วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ. กำแพงเสน จ.นครปฐม

ถามมา ตอบไป - ๒๗ เมษายน ๒๕๖๕

ดิฉันเคยเป็นเอฟซีของ ๒ มหา ที่สึกออกไปรู้สึกใจหาย เหมือนกันกับคนที่เราเคยกราบ เคยไหว้ เคยชื่นชอบเคารพบูชา

เสียดายทั้งกาลเวลาที่บวชเรียนมา และความรู้ที่มหา ๒ คนไปร่ำเรียนมาจนได้ปริญญาหลายใบ

เมื่อเขาสึกออกมาดิฉันก็ยังติดตามดูเขาทุกครั้งที่ออกสื่อ แต่พักหลัง ๆ ติดตามแล้วรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว เสียใจ ที่เมื่อก่อนเคยตั้งความหวังเอาไว้กับมหาสองคนนี้มาก

หวังว่าจะเชิดหน้าชูตาพระพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งพาแก่ชาวบ้านอีกทั้งยังคิดว่า มหาสองคนนี้แหละ จะเป็นต้นแบบที่ดีของคนรุ่นใหม่

แต่ปัจจุบันนี้ความหวังของดิฉันล่มสลาย เมื่อได้เห็นภาพมหาทั้ง ๒ ประพฤติตนละเมิดศีลเป็นอาจิน ดื่มสุรา เคล้านารี

(อันนี้เฉพาะคนเดียว ส่วนอีกคนก็คลอเคลียกับหนุ่มหล่อ) เสพติดกับอบายมุข ครบสูตรทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า เป็นหนทางแห่งความฉิบหาย

มหาทั้งสองทำครบหมด ล่าสุดยังมีภาพมหานั่งแกะหอยสด ปาณาติปาตาศีลข้อแรกอีกต่างหาก สิ่งที่ดิฉันสงสัยและอยากถามท่านก็คือ

การศึกษาในพระพุทธศาสนานี้ มันไม่สามารถบ่มเพาะผู้คนที่บวชเรียนมาให้เป็นคนดี มีศีลธรรมได้เลยหรือ บางคนบวชมาจนเป็นเจ้าคณะอำเภอ

ยังนั่งก๊งเหล้ากินกับแกล้ม ร้องคาราโอเก๊ะ ทั้งที่อยู่ในชุดผ้าเหลือง นี่แสดงว่า การบวชเรียนของพระสงฆ์องค์เจ้า น่าจะมีปัญหาหรือเปล่า อยากฟังท่านอธิบาย

ขออภัยที่ระบายมาเสียยืดยาว

 

ตอบ : คุณเอฟซีอกหัก

ดูจากการตั้งประเด็นคำถามของคุณคงน่าจะมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา มากพอสมควร จึงรู้ว่า  “อบายมุข คือ เหตุแห่งความฉิบหาย” 

แต่ที่คุณรำพึงรำพันระบายความอัดอั้นออกมาเสียยืดยาว ฉันพอจะเข้าใจได้ว่า นี่เป็นความรู้สึกหมดอาลัยกับบุคคลที่คุณเคยเคารพ เคยศรัทธา

ให้ความหวังกับเขาไว้มาก  หากคุณรู้สภาวะธรรมจริง คุณก็ควรจะรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของคนธรรมดาที่มีอยู่ในโลกใบนี้

ผู้มัวเมาประมาทมักตกอยู่ในกระแสของกิเลสตัณหา นำพาให้ตกต่ำเสมอ และอยากเตือนให้สติคุณว่า จะไปหวังอะไรกับลูกชาวบ้าน

ที่เข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนาหาเลี้ยงชีพ เพราะจุดมุ่งหมายของคนอาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีวิต ย่อมแตกต่างจากคนที่เข้ามาอาศัยพระศาสนาเปลื้องทุกข์อยู่แล้ว

เฉกเช่นคนที่หาเลี้ยงตนเองก็ย่อมปรารถนาตนเป็นใหญ่ คนที่ต้องการจะหลุดพ้นก็จะปรารถนาอาสวะที่ก่อให้เกิดทุกข์เป็นใหญ่

         เรื่องเหล่านี้มันดูไม่ยากหากสังเกต และไม่ลุ่มหลง งมงายจนเกินไป อีกทั้งก็อยากจะบอกคุณๆ ทั้งหลายว่า จะไปเอาอะไรกับมหาทั้งสองกันนักหนา

เมื่อเขาสึกออกไปแล้วก็ต้องปากกัดตีนถีบ ทำมาหากินตามวิถีชาวโลก ซึ่งก็มีได้บ้าง เสียบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ระคนปนเคล้ากันไป

มหาทั้งสองอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มีดีกรีของนักธรรม มหาเปรียญ และปริญญาทางพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะทำให้สังคมคาดหวังว่า เขาน่าจะเป็นต้นแบบที่ดีงาม

ในทางจริยธรรม ศีลธรรม ให้แก่คนอื่น ๆ ก็เท่านั้น เมื่อเขาทำไม่ได้คุณทั้งหลายก็ควรเลิกหวังปล่อยให้เขาเดินในเส้นทางที่เขาเลือกจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก

ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับพวกคุณ ๆ ส่วนที่คุณถามมาว่า การศึกษาของพุทธศาสนานั้นมีปัญหา สร้างปัญหาหรือเปล่า

 

ตอบข้อนี้ว่า หากเป็นการศึกษาตามหลักพระธรรมวินัย อันมีหลักอยู่ว่า

เล่าเรียนทฤษฎี เรียกว่า ปริยัติ

น้อมนำมาปฏิบัติ เรียกว่า ลงมือปฏิบัติให้เห็นผล

จนลุถึงผลอันสูงสุด เรียกว่า ปฏิเวธ

หากศึกษาตามหลักนี้ ไม่มีปัญหา หรือหากจะมีก็น้อยมาก นี่เรียกว่า ร่ำเรียนเพื่อความหลุดพ้นทุกข์

แต่ที่เป็นปัญหากันอยู่ทุกวันนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อยกระดับวิทยฐานะตนทางสังคมให้ดูดีเป็นที่ยอมรับในดีกรีที่ตนเรียนมา ปัญหามันถึงได้เกิดอย่างที่คุณเห็นไงหละ

สังคมของผู้ร่ำเรียนทางพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ มันเป็นเช่นนี้จริงๆ คือ เรียนมาเพื่อยกฐานะทางสังคม (สังคมก็ชมชอบเสียด้วย) เพื่อให้ได้รับการยอมรับและให้เกิดลาภ ยศ และชื่อเสียง

ซึ่งมันแตกต่างจากอุดมคติของการเรียนพระพุทธศาสนาในอดีต เข้าต้องการเรียนเพื่อจะลด ละ เลิก มูลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง จนให้ลุถึงความฉลาด สะอาด สว่าง สงบ

เมื่อใคร ๆ ได้พบได้สัมผัส ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสอย่างเช่น พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ที่มีมาแล้วในอดีต เมื่อจุดมุ่งหมายในการร่ำเรียนทางพระพุทธศาสนา มันเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

ปัญหามันก็เลยเกิดจนศรัทธาของผู้คนในสังคมล่มสลายอย่างที่คุณ ๆ เห็นนี่แหละ เข้าใจมั้ย

 

พุทธะอิสระ

 

 

26 | 6 กันยายน 2024, 15:33
บทความอื่นๆ