สังคมของคนไทยยุคนี้ เป็นสังคมของการอยากมี อยากดี อยากได้ เสียส่วนใหญ่ ตัวเองนับถือศาสนาพุทธ แต่เพื่อความอยากมี อยากดี อยากได้ และให้สมหวังตาม ที่ตัวเองต้องการ มีคนเขาบอกว่าการบูชารูปเคารพชนิดนั้น ศาสนานั้น เทพองค์นั้น คนนั้น ท่านผู้นั้น แล้วจะทำให้ตัว เองดี มี หรือได้ก็ไม่คำนึงถึงว่า จะถูกหรือผิด จะรับประโยชน์ ได้แท้จริงหรือไม่ แต่ก็พากันตะกายไปหามาเคารพ ยิ่งสังเกตดูในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนทั้งหลายก็ยิ่งตะกายทะยานอยาก หาที่พึ่งที่ตัวเองคิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของตนและครอบครัว ฐานะของตนดีขึ้น ถึงกับยอมรับเอาลัทธิประ-หลาดๆ ให้เข้ามาไว้ในตัวและวิญญาณของตน เพื่อแลกมาซึ่งวัตถุที่ตัวปรารถนา เหมือนกับคนที่ยอมก้มหัวให้กับคนผิด คนพาล เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร เงินทอง หรือสิ่งที่ปรารถนาโดยไม่คำนึงว่า การ ก้มหัวชนิดนั้น คนคนนั้นจะเป็นคนพาล หรือจะเป็นบัณฑิต จะเป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบ หรือเป็นคนที่ให้ประโยชน์ต่อตน และสังคมอย่างแท้จริงหรือไม่
ตัวอย่างเช่น มีข่าวเล่าลือกันว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคนไปเคารพไหว้ บูชาราหู โดยกลัวว่า...ถ้าไม่ได้ไหว้ ไม่ได้บูชา แล้วจะทำให้ตนตกต่ำ! จะทำให้ตัวเองต้องมีอันเป็นไปหรือไม่ก็บูชาเพื่อมุ่งหวังให้ตัวเองมีฐานะ ครอบครัว สังคม และการงานที่ดีขึ้นก็ยอมที่จะไปกราบไหว้คนพาล ใครๆ ใน โลก เขาก็รู้กันอยู่ว่า ราหูเป็นมารเป็นยักษ์ เป็นคนพาล แต่ก็มีคนที่อ่อนแอไปยอมรับ เหมือนกับบุรุษบุคคลที่ยอมก้มหัวให้ กับอิทธิพลเถื่อนเพื่อจะเอาตัวรอด และประจบสอพลอไปวันๆ หนึ่ง ดู...ดูแล้ว ช่างน่าอนาถเสียจริงๆ
มันแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานทางจริยธรรม และจิตใจของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ว่า มันตกต่ำ ถึงขนาดไปยอมรับ สิ่งที่เลวร้าย พาลพาโล และบูชาวัตถุเป็นพระเจ้า จนลืมไปว่าคุณค่าและราคาของจิตวิญญาณของตัวเอง มีค่ามากกว่าวัตถุ จริยธรรมและความดีงาม ชีวิตเสรีภาพ และความอิสระของ ตน มีราคามากกว่าวัตถุ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิศักดิ์ศรี แห่งจิตวิญญาณในตน ในความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นของตนเสีย และ ก็ไปก้มหัวให้กับซาตานให้แก่ยักษ์มาร หรือไม่ก็คนพาล เพื่อ จะประจบสอพลอ เพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆหนึ่ง ให้อยู่ได้ แสดงว่าคนปัจจุบันชอบทำอะไรเพื่อความอยู่รอด โดยไม่คำนึง ว่า ความอยู่รอดอันนั้นอยู่รอดด้วยวิถีที่ถูกหรือผิด เป็นความอยู่รอดตลอดกาล หรือความอยู่รอดเฉพาะหน้า คนที่ก้มหัวให้แก่คนพาล มันก็เป็นเพียงแค่ความอยู่รอด เฉพาะกาล เฉพาะครู่ เฉพาะยามเท่านั้น พอคนพาลตนนั้น คนนั้น หมดอำนาจ หรือว่าบ้าอำนาจขึ้นมา มันก็จะหันมากัดกินและทำร้ายบริวารของตนก็ได้ แต่ถ้าเผอิญหมดอำนาจเสียก่อน มันก็จักหันมาวิงวอน ดิ้นรนขวนขวาย ทุกวิถีทาง เพื่อจะเรียกร้องเอาอำนาจคืน แม้แต่จะต้องใช้ชีวิต ของผู้ที่ให้ความเคารพยอมรับบูชาตน มาเป็นเครื่องสังเวยแลกเปลี่ยน คนพาลคนนั้น มาร ซาตาน ที่เป็นพาลนั้น จะยินดีแลกเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตน ด้วยคิดว่า ถ้าสิ้นอำนาจ ชีวิตตนก็จะสิ้นไปด้วย เห็นไหมล่ะว่า แม้แต่วัตถุ มาร ซาตาน ที่เราหลงไปเทิดทูนบูชา ตัวเค้าเองยังน่าสงสาร ยังเต็มไปด้วยความหวาดผวา สะดุ้งกลัว ต่อภัยที่ตนมองไม่เห็น แล้วนับประสาอะไรที่จะมามีปัญญา มาอภิบาล ปกปักรักษา ผู้บวงสรวง บูชาได้ เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นบริวารของซาตาน เป็นสาวกของคนพาล มักจะมีชีวิตอยู่ไม่รอดตลอดกาล จะรอดก็เพียงแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม ชั่วครั้ง ชั่วเผลอ
เช่นเดียวกันกับการที่คนทั้งหลาย พากันไปหารูปเคารพในศาสนาทั้งหลายที่มีคำโฆษณากล่าวขาน เล่าลือกันว่า เป็นรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ เนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เราได้รับประโยชน์ได้ โดยไม่คำนึงว่า การไปเคารพรูปเคารพเหล่านั้น มันจะทำให้ตนเป็นคนฉลาดขึ้นหรือโง่ลง ไม่คำนึงว่าเราจะมี อิสรภาพหรือว่าเป็นทาสมากขึ้น ไม่คำนึงว่าชีวิตเราจะเป็นคน ที่มีปัญญาเยอะ หรือปัญญาทรามลง ไม่คำนึงถึงประโยชน์ สูงสุดที่จะได้จากการเคารพคนพาลเคารพซาตาน หรือเคารพรูปเคารพทั้งหลาย ซึ่งเราไม่รู้ว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เป็นแต่เพียงคำเล่าขาน และอ้างลือกันเฉยๆ ก็ถือว่าเป็นการ เคารพเพื่อเอาตัวรอดเฉยๆ ทั้งๆที่มันไม่ได้รอดเลย ยิ่งเคารพ ก็ยิ่งโง่เขลา เบาปัญญามากขึ้น
หลังจากมีเสียงเล่าขานที่ผ่านมาว่า คนไปเคารพรูปบูชาของเทพเจ้าในลัทธิต่างๆแล้วจักทำให้ตนมีการค้าเจริญ รุ่งเรือง มีบริวารราชศักดิ์เยอะแยะ มีชื่อเสียงเกียรติภูมิแต่ที่เห็นแน่ๆ ก็คือ คนที่ขายรูปเคารพเจริญขึ้น นักบวชที่เป็น บริวารแห่งรูปนั้นๆ ก็รุ่งเรืองมากขึ้น และมีทรัพย์สินมากขึ้น แต่คนที่ไปเคารพก็จะจนลงอยู่ตลอด และถ้าเผอิญจะได้อะไรมานิดๆหน่อยๆ ก็คิดว่านี้คือการเนรมิตของรูปเคารพ จนลืม ไปว่า ไอ้การที่เราจะได้มานั้น มันต้องลงมือกระทำ และบางที บางครั้ง เขาก็ได้มาจากผลแห่งการขวนขวายกระทำแต่เพราะ ขณะที่กระทำด้วย แล้วก็เคารพไปด้วย ก็เลยคิดว่า นี้คือการ เนรมิตแห่งรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิ ความรู้ความสามารถและสติปัญญาของตัวเองเสีย เหมือนกับ บุคคลที่ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีปัญญาที่จะคิดอ่าน เอะอะอะไร ก็มืดบอดเมามัวอ้างมั่วไปหมด
เหตุการณ์เหล่านี้มันทำให้ผู้รู้ทั้งหลาย ที่มีปัญญา ได้วิเคราะห์ว่า เป็นความอ่อนแอของชีวิต ที่ปฏิเสธสัจธรรม จนทำให้หูหนา ตาบอด ขาดแสงสว่างแห่งปัญญา จนถูกครอบงำ จองจำ ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ และด้วยเครื่องล่อต่างๆ ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อต้องการให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ จิตวิญญาณของปุถุชนและบุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่ มักจะเป็นทาสวัตถุ เสียจนเต็มที่ จนทับถมความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบาน และครูที่ดีงามที่อยู่ในจิตวิญญาณของตนเสียหมด เรายึดถือ วัตถุเป็นพระเจ้าภายใน จนทำลายพระเจ้าของเราให้ท่านตาย สนิทลงไป ซึ่งของเดิมท่านก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว เขาให้เรามีชีวิต เพื่อที่จะปลุกพระเจ้าที่อยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมา แล้วก็จะได้รับคำสั่งสอนจากพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้ได้รู้ว่าเราจะต้องทำชีวิตให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม และวิถีทางแห่งผู้รู้ ผู้ตื่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่เราก็ดันไปเคารพพระเจ้านอกกาย และเป็นพระเจ้า ที่เป็นอันตรายต่อพระเจ้าภายใน ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าภายในของพวกเราก็คือ จิตวิญญาณที่ได้รับการปลุกให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามสถานภาพแห่งสติปัญญาของตน ซึ่งชาวโลกเขาเรียกขาน จิตวิญญาณเหล่านั้นว่า "พุทธะจิต" คือจิตแห่งพุทธะ
รวมความแล้ว ทุกคนมีจิตวิญญาณแห่งพุทธะอยู่ในตัวของตนเสมอเหมือนกันเท่ากันทุกคน เพราะบางคนรู้จัก ที่จะปลุกให้ตื่น คนคนนั้นจึงกลายเป็นพระพุทธะและอีก หลายร้อย หลายพัน หลายล้าน หมื่นแสนคน ที่ไม่รู้จักจะปลุกให้จิตวิญญาณพุทธะอันนั้นตื่น เขาจึงกลายเป็นบุคคล ที่โง่เขลา ตกเป็นทาสของสิ่งที่เลวร้าย เหลวไหล เลอะเทอะตามครรลองของซาตาน ที่จะฉุดกระชาก ลากถูไป
ฉะนั้น ถ้าโลกและสังคมยังยอมรับวัตถุและความไม่ปกติเป็นพระเจ้า มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขารู้จักความ ปกติและพระเจ้าภายใน โลกและสังคมยังเทิดทูนบูชายังสละ ได้แม้แต่ชีวิต เพื่อให้แลกมาซึ่งวัตถุและความไม่ปกติ มันก็เป็น เรื่องยากที่จะให้เข้าใจถึงพระเจ้าที่อยู่ภายในจิตวิญญาณ มันจะยิ่งลำบากใหญ่ ที่จะทำให้พระเจ้าของเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่าง เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระศาสดาจึงทรงสอนนักบวชแห่งพระองค์ว่า "จงเป็นผู้มีภาระอันวาง"คำว่ามีภาระอันวางก็คือ ได้เป็นผู้รู้จัก หน้าที่ ที่มีต่อกันและกัน ถูกต้อง ไม่บกพร่อง แล้วสุดท้ายก็ต้องวาง จากภาระทั้งปวง คนที่วางภาระได้แล้ว ย่อมเข้าถึง ชีวิต วิญญาณแห่งครูผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ย่อมเข้าถึงความสุข อิ่มและสันติ เยือกเย็นและสงบภายในแห่งตน โดยไม่ต้อง มุ่งหวัง และพึ่งพิงอิงแอบอาศัยพระเจ้าใดๆ ในโลกต่อไป โดยไม่ต้องขอพรไหว้วอนพระเจ้า หรือยกให้พระเจ้าทั้งปวงให้พรต่อเรา เราจะกลายเป็น ผู้เป็นเจ้าของ พรอันประเสริฐด้วย ตัวเองได้ อย่างชนิดที่ไม่มีใครคิดและคาดถึง
ฉะนั้น ผู้ฉลาดในโลก ย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ อย่าลืมว่าหลวงปู่พูดว่า "ผู้ฉลาดในโลกย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ คำว่าผู้ฉลาดในโลก ได้แก่ ผู้ที่รู้ เห็น ตามความเป็นจริงของสภาวะที่เป็นธรรมดาของโลก โดยไม่ทำชีวิต จิตวิญญาณ ให้ฝืนสภาวะธรรมชาติที่เป็นจริงจนไม่โดนกระแสสภาวะธรรมใดๆ ครอบงำ ผู้ที่โง่เขลาในโลก ย่อมอยู่แล้วเสีย โอกาส ไร้ประโยชน์เขาจะปล่อยชีวิตของเขาให้ตกเป็นทาส ของอะไรๆ เยอะแยะมากมาย แล้วตะกายทะยานอยากไม่จบสิ้น"
เพราะฉะนั้น จงปลุกครูที่มีความเอื้ออาทรต่อเราอย่างยิ่ง ที่นอนหลับไม่ไหวติงอยู่ภายในจิตวิญญาณ ให้ท่าน เป็นผู้ตื่นขึ้นมาเสียที โดยกระบวนการที่ รู้ให้เท่าทัน ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นมิตรหรือศัตรู โดยที่เราต้องเข้าใจถึงสภาวะแห่งความเป็นจริงของโลก จักรวาลและสังขารทั้งปวง แล้วทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนรู้จักเข้าใจกระบวนการและ องค์-ประกอบของชีวิต อย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด นี้คือวิธีการปลุกครูผู้เอื้ออาทรที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นให้สะดุ้งขึ้นมา เพื่อที่จะมาสอนเรา สั่งเรา บอกเราให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควร วิถีทางแห่งการปลุกครู ก็ต้องเริ่มต้นมาจากการทำความรู้จัก กายที่ละเอียดอ่อน ตั้งความเป็นระเบียบอย่างยิ่ง จนกลายเป็นสติที่คอยเตือน เป็นสติที่มากไปด้วย ความรู้เนื้อรู้ตัว ว่าเราอย่าทำผิดระเบียบ และกฎเกณฑ์กติกา ของโลก สังคม และธรรมชาติ เป็นการฝึกให้ตนเป็นคนที่ รู้เท่าทันศัตรู และก็มิตร ได้อย่างชนิดที่ไม่คิดว่า มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่สุดท้ายมันจะให้ประโยชน์เราจนเกินคุ้ม และมีค่าอย่างเหลือล้น จนคนทั้งหลายต้องร้องบอกว่า "โอ้.. พระพุทธะท่านตื่นแล้ว โอ้...เราค้นพบพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในตัวเราแล้ว"
แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจต่อการให้ความเป็นระเบียบมี ระบบของกาย เราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรๆ และไม่เข้าใจใครๆ ในโลกทั้งหลายได้เลย จนสุดท้ายจะกลับกลายเป็นบุคคลที่เกินเลยต่อโลกและสังคม สิ้นความนิยมของคนทั้งหลายไปด้วย เราจะกลายเป็นบุคคลที่เลวระยำ ชั่วร้าย เหลวไหลในสายตา ของชาวบ้าน เพราะเราได้ผิดระเบียบ ผิดระบบ และไม่มีใคร คิดจะคบกับตัวเรา เราจะกลายเป็นบุคคลที่ผิดต่อกระบวนการ ปกติ ของธรรมชาติในกายนอกกาย จนล่วงเกินก้าวก่ายต่อความยุติธรรมที่สังคมก่อตั้งขึ้น
ขอพวกเราทั้งหลายผู้เจริญ จงปลุกครูผู้มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ และเป็นพระเจ้าภายในให้ตื่นขึ้นมา เพื่อมุ่งสอนสั่ง ชี้นำให้พวกเราเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ด้วยตัวของเราเอง และเราก็จะ ได้ ไม่ต้องวิ่งวนขวนขวาย ขอพรอ้อนวอนพระเจ้านอกกาย หรือที่ไหนอีกเลย และเราก็จะร้องบอกกับตัวเราเองว่า พระเจ้า อยู่กับเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระศาสดาองค์ใดๆ ก็อยู่กับ เราทั้งหมด อำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ และความศักดิ์สิทธิ์เป็นของเราทั้งปวง เราจะกลับกลายเป็นบุคคลที่วิเศษกว่าคน ทั้งหลาย เจริญกว่าคนทั้งหลาย ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลาย และก็กลายเป็นผู้ชนะในโลกได้ตลอดเวลา
ลูกรัก
เจ้าอย่ามัวแต่มาเสียเวลากับการอ่าน
หรือดูเรื่องของคนอื่นอยู่เลย
ควรจะเอาเวลาเหล่านั้น
มาอ่านและก็ดูตนเองบ้างจะดีกว่า
ลูกรัก
ไม่ว่าคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายหรือของพ่อ
จะวิเศษพิสดารขนาดไหน
มันจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
ถ้าเจ้าไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ
ลูกรัก
ผู้คนทั้งหลายที่มีชีวิตวันนี้
ก็เพื่อจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้
เพื่อให้ได้ในสิ่งที่คาดหวัง
แต่สำหรับพ่อมีชีวิตอยู่วันนี้
มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้
ชั่วชีวิตของพ่อ
ไม่เคยมีวันข้างหน้าเลย
ลูกรัก
เจ้าจักรู้หรือไม่หนอ
ว่าในความทุกข์ยากเหลือแสน
มันย่อมเป็นตัวแทนของความสำเร็จ
และมักเป็นเหตุให้เกิด ผู้รู้ ผู้ตื่น
ลูกรัก
เจ้าต้องทำให้ชีวิตเหมือนกับ
เมฆหมอกที่กำลังเคลื่อนตัว
หรือสายน้ำที่กำลังไหลริน
ตัวอย่างเช่น มีข่าวเล่าลือกันว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคนไปเคารพไหว้ บูชาราหู โดยกลัวว่า...ถ้าไม่ได้ไหว้ ไม่ได้บูชา แล้วจะทำให้ตนตกต่ำ! จะทำให้ตัวเองต้องมีอันเป็นไปหรือไม่ก็บูชาเพื่อมุ่งหวังให้ตัวเองมีฐานะ ครอบครัว สังคม และการงานที่ดีขึ้นก็ยอมที่จะไปกราบไหว้คนพาล ใครๆ ใน โลก เขาก็รู้กันอยู่ว่า ราหูเป็นมารเป็นยักษ์ เป็นคนพาล แต่ก็มีคนที่อ่อนแอไปยอมรับ เหมือนกับบุรุษบุคคลที่ยอมก้มหัวให้ กับอิทธิพลเถื่อนเพื่อจะเอาตัวรอด และประจบสอพลอไปวันๆ หนึ่ง ดู...ดูแล้ว ช่างน่าอนาถเสียจริงๆ
มันแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานทางจริยธรรม และจิตใจของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ว่า มันตกต่ำ ถึงขนาดไปยอมรับ สิ่งที่เลวร้าย พาลพาโล และบูชาวัตถุเป็นพระเจ้า จนลืมไปว่าคุณค่าและราคาของจิตวิญญาณของตัวเอง มีค่ามากกว่าวัตถุ จริยธรรมและความดีงาม ชีวิตเสรีภาพ และความอิสระของ ตน มีราคามากกว่าวัตถุ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิศักดิ์ศรี แห่งจิตวิญญาณในตน ในความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นของตนเสีย และ ก็ไปก้มหัวให้กับซาตานให้แก่ยักษ์มาร หรือไม่ก็คนพาล เพื่อ จะประจบสอพลอ เพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆหนึ่ง ให้อยู่ได้ แสดงว่าคนปัจจุบันชอบทำอะไรเพื่อความอยู่รอด โดยไม่คำนึง ว่า ความอยู่รอดอันนั้นอยู่รอดด้วยวิถีที่ถูกหรือผิด เป็นความอยู่รอดตลอดกาล หรือความอยู่รอดเฉพาะหน้า คนที่ก้มหัวให้แก่คนพาล มันก็เป็นเพียงแค่ความอยู่รอด เฉพาะกาล เฉพาะครู่ เฉพาะยามเท่านั้น พอคนพาลตนนั้น คนนั้น หมดอำนาจ หรือว่าบ้าอำนาจขึ้นมา มันก็จะหันมากัดกินและทำร้ายบริวารของตนก็ได้ แต่ถ้าเผอิญหมดอำนาจเสียก่อน มันก็จักหันมาวิงวอน ดิ้นรนขวนขวาย ทุกวิถีทาง เพื่อจะเรียกร้องเอาอำนาจคืน แม้แต่จะต้องใช้ชีวิต ของผู้ที่ให้ความเคารพยอมรับบูชาตน มาเป็นเครื่องสังเวยแลกเปลี่ยน คนพาลคนนั้น มาร ซาตาน ที่เป็นพาลนั้น จะยินดีแลกเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตน ด้วยคิดว่า ถ้าสิ้นอำนาจ ชีวิตตนก็จะสิ้นไปด้วย เห็นไหมล่ะว่า แม้แต่วัตถุ มาร ซาตาน ที่เราหลงไปเทิดทูนบูชา ตัวเค้าเองยังน่าสงสาร ยังเต็มไปด้วยความหวาดผวา สะดุ้งกลัว ต่อภัยที่ตนมองไม่เห็น แล้วนับประสาอะไรที่จะมามีปัญญา มาอภิบาล ปกปักรักษา ผู้บวงสรวง บูชาได้ เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นบริวารของซาตาน เป็นสาวกของคนพาล มักจะมีชีวิตอยู่ไม่รอดตลอดกาล จะรอดก็เพียงแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม ชั่วครั้ง ชั่วเผลอ
เช่นเดียวกันกับการที่คนทั้งหลาย พากันไปหารูปเคารพในศาสนาทั้งหลายที่มีคำโฆษณากล่าวขาน เล่าลือกันว่า เป็นรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ เนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เราได้รับประโยชน์ได้ โดยไม่คำนึงว่า การไปเคารพรูปเคารพเหล่านั้น มันจะทำให้ตนเป็นคนฉลาดขึ้นหรือโง่ลง ไม่คำนึงว่าเราจะมี อิสรภาพหรือว่าเป็นทาสมากขึ้น ไม่คำนึงว่าชีวิตเราจะเป็นคน ที่มีปัญญาเยอะ หรือปัญญาทรามลง ไม่คำนึงถึงประโยชน์ สูงสุดที่จะได้จากการเคารพคนพาลเคารพซาตาน หรือเคารพรูปเคารพทั้งหลาย ซึ่งเราไม่รู้ว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เป็นแต่เพียงคำเล่าขาน และอ้างลือกันเฉยๆ ก็ถือว่าเป็นการ เคารพเพื่อเอาตัวรอดเฉยๆ ทั้งๆที่มันไม่ได้รอดเลย ยิ่งเคารพ ก็ยิ่งโง่เขลา เบาปัญญามากขึ้น
หลังจากมีเสียงเล่าขานที่ผ่านมาว่า คนไปเคารพรูปบูชาของเทพเจ้าในลัทธิต่างๆแล้วจักทำให้ตนมีการค้าเจริญ รุ่งเรือง มีบริวารราชศักดิ์เยอะแยะ มีชื่อเสียงเกียรติภูมิแต่ที่เห็นแน่ๆ ก็คือ คนที่ขายรูปเคารพเจริญขึ้น นักบวชที่เป็น บริวารแห่งรูปนั้นๆ ก็รุ่งเรืองมากขึ้น และมีทรัพย์สินมากขึ้น แต่คนที่ไปเคารพก็จะจนลงอยู่ตลอด และถ้าเผอิญจะได้อะไรมานิดๆหน่อยๆ ก็คิดว่านี้คือการเนรมิตของรูปเคารพ จนลืม ไปว่า ไอ้การที่เราจะได้มานั้น มันต้องลงมือกระทำ และบางที บางครั้ง เขาก็ได้มาจากผลแห่งการขวนขวายกระทำแต่เพราะ ขณะที่กระทำด้วย แล้วก็เคารพไปด้วย ก็เลยคิดว่า นี้คือการ เนรมิตแห่งรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ และก็เหยียบย่ำเกียรติภูมิ ความรู้ความสามารถและสติปัญญาของตัวเองเสีย เหมือนกับ บุคคลที่ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีปัญญาที่จะคิดอ่าน เอะอะอะไร ก็มืดบอดเมามัวอ้างมั่วไปหมด
เหตุการณ์เหล่านี้มันทำให้ผู้รู้ทั้งหลาย ที่มีปัญญา ได้วิเคราะห์ว่า เป็นความอ่อนแอของชีวิต ที่ปฏิเสธสัจธรรม จนทำให้หูหนา ตาบอด ขาดแสงสว่างแห่งปัญญา จนถูกครอบงำ จองจำ ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ และด้วยเครื่องล่อต่างๆ ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อต้องการให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ จิตวิญญาณของปุถุชนและบุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่ มักจะเป็นทาสวัตถุ เสียจนเต็มที่ จนทับถมความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบาน และครูที่ดีงามที่อยู่ในจิตวิญญาณของตนเสียหมด เรายึดถือ วัตถุเป็นพระเจ้าภายใน จนทำลายพระเจ้าของเราให้ท่านตาย สนิทลงไป ซึ่งของเดิมท่านก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว เขาให้เรามีชีวิต เพื่อที่จะปลุกพระเจ้าที่อยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมา แล้วก็จะได้รับคำสั่งสอนจากพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้ได้รู้ว่าเราจะต้องทำชีวิตให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม และวิถีทางแห่งผู้รู้ ผู้ตื่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่เราก็ดันไปเคารพพระเจ้านอกกาย และเป็นพระเจ้า ที่เป็นอันตรายต่อพระเจ้าภายใน ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าภายในของพวกเราก็คือ จิตวิญญาณที่ได้รับการปลุกให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามสถานภาพแห่งสติปัญญาของตน ซึ่งชาวโลกเขาเรียกขาน จิตวิญญาณเหล่านั้นว่า "พุทธะจิต" คือจิตแห่งพุทธะ
รวมความแล้ว ทุกคนมีจิตวิญญาณแห่งพุทธะอยู่ในตัวของตนเสมอเหมือนกันเท่ากันทุกคน เพราะบางคนรู้จัก ที่จะปลุกให้ตื่น คนคนนั้นจึงกลายเป็นพระพุทธะและอีก หลายร้อย หลายพัน หลายล้าน หมื่นแสนคน ที่ไม่รู้จักจะปลุกให้จิตวิญญาณพุทธะอันนั้นตื่น เขาจึงกลายเป็นบุคคล ที่โง่เขลา ตกเป็นทาสของสิ่งที่เลวร้าย เหลวไหล เลอะเทอะตามครรลองของซาตาน ที่จะฉุดกระชาก ลากถูไป
ฉะนั้น ถ้าโลกและสังคมยังยอมรับวัตถุและความไม่ปกติเป็นพระเจ้า มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขารู้จักความ ปกติและพระเจ้าภายใน โลกและสังคมยังเทิดทูนบูชายังสละ ได้แม้แต่ชีวิต เพื่อให้แลกมาซึ่งวัตถุและความไม่ปกติ มันก็เป็น เรื่องยากที่จะให้เข้าใจถึงพระเจ้าที่อยู่ภายในจิตวิญญาณ มันจะยิ่งลำบากใหญ่ ที่จะทำให้พระเจ้าของเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่าง เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระศาสดาจึงทรงสอนนักบวชแห่งพระองค์ว่า "จงเป็นผู้มีภาระอันวาง"คำว่ามีภาระอันวางก็คือ ได้เป็นผู้รู้จัก หน้าที่ ที่มีต่อกันและกัน ถูกต้อง ไม่บกพร่อง แล้วสุดท้ายก็ต้องวาง จากภาระทั้งปวง คนที่วางภาระได้แล้ว ย่อมเข้าถึง ชีวิต วิญญาณแห่งครูผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ย่อมเข้าถึงความสุข อิ่มและสันติ เยือกเย็นและสงบภายในแห่งตน โดยไม่ต้อง มุ่งหวัง และพึ่งพิงอิงแอบอาศัยพระเจ้าใดๆ ในโลกต่อไป โดยไม่ต้องขอพรไหว้วอนพระเจ้า หรือยกให้พระเจ้าทั้งปวงให้พรต่อเรา เราจะกลายเป็น ผู้เป็นเจ้าของ พรอันประเสริฐด้วย ตัวเองได้ อย่างชนิดที่ไม่มีใครคิดและคาดถึง
ฉะนั้น ผู้ฉลาดในโลก ย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ อย่าลืมว่าหลวงปู่พูดว่า "ผู้ฉลาดในโลกย่อมอยู่ได้อย่างมีประโยชน์ คำว่าผู้ฉลาดในโลก ได้แก่ ผู้ที่รู้ เห็น ตามความเป็นจริงของสภาวะที่เป็นธรรมดาของโลก โดยไม่ทำชีวิต จิตวิญญาณ ให้ฝืนสภาวะธรรมชาติที่เป็นจริงจนไม่โดนกระแสสภาวะธรรมใดๆ ครอบงำ ผู้ที่โง่เขลาในโลก ย่อมอยู่แล้วเสีย โอกาส ไร้ประโยชน์เขาจะปล่อยชีวิตของเขาให้ตกเป็นทาส ของอะไรๆ เยอะแยะมากมาย แล้วตะกายทะยานอยากไม่จบสิ้น"
เพราะฉะนั้น จงปลุกครูที่มีความเอื้ออาทรต่อเราอย่างยิ่ง ที่นอนหลับไม่ไหวติงอยู่ภายในจิตวิญญาณ ให้ท่าน เป็นผู้ตื่นขึ้นมาเสียที โดยกระบวนการที่ รู้ให้เท่าทัน ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นมิตรหรือศัตรู โดยที่เราต้องเข้าใจถึงสภาวะแห่งความเป็นจริงของโลก จักรวาลและสังขารทั้งปวง แล้วทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนรู้จักเข้าใจกระบวนการและ องค์-ประกอบของชีวิต อย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด นี้คือวิธีการปลุกครูผู้เอื้ออาทรที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นให้สะดุ้งขึ้นมา เพื่อที่จะมาสอนเรา สั่งเรา บอกเราให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควร วิถีทางแห่งการปลุกครู ก็ต้องเริ่มต้นมาจากการทำความรู้จัก กายที่ละเอียดอ่อน ตั้งความเป็นระเบียบอย่างยิ่ง จนกลายเป็นสติที่คอยเตือน เป็นสติที่มากไปด้วย ความรู้เนื้อรู้ตัว ว่าเราอย่าทำผิดระเบียบ และกฎเกณฑ์กติกา ของโลก สังคม และธรรมชาติ เป็นการฝึกให้ตนเป็นคนที่ รู้เท่าทันศัตรู และก็มิตร ได้อย่างชนิดที่ไม่คิดว่า มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่สุดท้ายมันจะให้ประโยชน์เราจนเกินคุ้ม และมีค่าอย่างเหลือล้น จนคนทั้งหลายต้องร้องบอกว่า "โอ้.. พระพุทธะท่านตื่นแล้ว โอ้...เราค้นพบพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในตัวเราแล้ว"
แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจต่อการให้ความเป็นระเบียบมี ระบบของกาย เราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรๆ และไม่เข้าใจใครๆ ในโลกทั้งหลายได้เลย จนสุดท้ายจะกลับกลายเป็นบุคคลที่เกินเลยต่อโลกและสังคม สิ้นความนิยมของคนทั้งหลายไปด้วย เราจะกลายเป็นบุคคลที่เลวระยำ ชั่วร้าย เหลวไหลในสายตา ของชาวบ้าน เพราะเราได้ผิดระเบียบ ผิดระบบ และไม่มีใคร คิดจะคบกับตัวเรา เราจะกลายเป็นบุคคลที่ผิดต่อกระบวนการ ปกติ ของธรรมชาติในกายนอกกาย จนล่วงเกินก้าวก่ายต่อความยุติธรรมที่สังคมก่อตั้งขึ้น
ขอพวกเราทั้งหลายผู้เจริญ จงปลุกครูผู้มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ และเป็นพระเจ้าภายในให้ตื่นขึ้นมา เพื่อมุ่งสอนสั่ง ชี้นำให้พวกเราเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ด้วยตัวของเราเอง และเราก็จะ ได้ ไม่ต้องวิ่งวนขวนขวาย ขอพรอ้อนวอนพระเจ้านอกกาย หรือที่ไหนอีกเลย และเราก็จะร้องบอกกับตัวเราเองว่า พระเจ้า อยู่กับเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระศาสดาองค์ใดๆ ก็อยู่กับ เราทั้งหมด อำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ และความศักดิ์สิทธิ์เป็นของเราทั้งปวง เราจะกลับกลายเป็นบุคคลที่วิเศษกว่าคน ทั้งหลาย เจริญกว่าคนทั้งหลาย ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลาย และก็กลายเป็นผู้ชนะในโลกได้ตลอดเวลา
ลูกรัก
เจ้าอย่ามัวแต่มาเสียเวลากับการอ่าน
หรือดูเรื่องของคนอื่นอยู่เลย
ควรจะเอาเวลาเหล่านั้น
มาอ่านและก็ดูตนเองบ้างจะดีกว่า
ลูกรัก
ไม่ว่าคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายหรือของพ่อ
จะวิเศษพิสดารขนาดไหน
มันจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
ถ้าเจ้าไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ
ลูกรัก
ผู้คนทั้งหลายที่มีชีวิตวันนี้
ก็เพื่อจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้
เพื่อให้ได้ในสิ่งที่คาดหวัง
แต่สำหรับพ่อมีชีวิตอยู่วันนี้
มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้
ชั่วชีวิตของพ่อ
ไม่เคยมีวันข้างหน้าเลย
ลูกรัก
เจ้าจักรู้หรือไม่หนอ
ว่าในความทุกข์ยากเหลือแสน
มันย่อมเป็นตัวแทนของความสำเร็จ
และมักเป็นเหตุให้เกิด ผู้รู้ ผู้ตื่น
ลูกรัก
เจ้าต้องทำให้ชีวิตเหมือนกับ
เมฆหมอกที่กำลังเคลื่อนตัว
หรือสายน้ำที่กำลังไหลริน