ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหนึ่งพันองค์ปรารถนาที่จะอนุเคราะห์แก่มหาชน จึงเหาะลงมาจากเขาหิมพานต์ ถิ่นที่พำนักบำเพ็ญเพียรของพระองค์
มายังนครพาราณสี ตรงเข้าไปหาราชาพาราณสี เพื่อขอบิณฑบาตรอุปกรณ์สร้างที่พัก สำหรับพระมหาสมณะทั้ง ๑,๐๐๐ รูป
แต่ด้วยองค์ราชากำลังจะมีงานมงคลอีก ๓ วันต่อไปนี้ พระราชาจึงได้ตรัสผัดผ่อนให้พระปัจเจกพุทธเจ้าสมณทูตทั้ง ๘ องค์ว่าอีก ๓ วันข้างหน้าค่อยมาใหม่
ข้างพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นสมณทูตตัวแทนของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหนึ่งพันองค์
จึงได้จาริกเข้าไปในหมู่บ้านของช่างทอหูก ภรรยาของช่างทอหูกครั้งได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ จึงบังเกิดศรัทธา และเมื่อได้ฟังว่า พระมหาสมณะ ปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ลงจากเขาหิมพานต์ เพื่อมาโปรดชาวพระนคร ก็เกิดศรัทธารับอาสาที่จะจัดหาอุปกรณ์สร้างบรรณศาลา และวิหาร พร้อมทั้งป่าวร้องเชิญชวนเพื่อนบ้านช่างทอหูกทั้งหญิงชายจำนวน ๑,๐๐๐ คน ให้มาช่วยกันสร้างบรรณศาลาและวิหาร พร้อมจัดประกอบอาหารมาถวายพระมหาสมณะทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ ตลอด ๓ เดือน
อีกทั้งเมื่อออกพรรษาแล้ว ภรรยาหัวหน้าช่างทอหูก ยังได้ชักชวนให้หญิงภรรยาช่างทอหูกทั้ง ๑,๐๐๐ คน ได้ช่วยกันปั่นฝ้าย ทอผ้าสบง จีวร ถวายแด่พระมหาสมณะจำนวน ๑,๐๐๐ องค์ อย่างมิขาด
และด้วยอานิสงส์ผลแห่งมหาทานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ส่งผลให้ชาวบ้านช่างทอหูกทั้งชายและหญิง ที่ร่วมกันสร้างมหาทาน ครั้งได้ถึงกาลกิริยาลง จึงไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานและสวนรมณียสถาน ประกอบด้วยเทพบุตร เทพธิดา บริวารอีกองค์ละพันๆ
เหล่าเทพยดาในชั้นดาวดึงส์เทวโลกต่างขนานนามเทวดาพวกนี้ว่า คนเทวา
จวบจนได้มาเกิดในต้นตระกูลของพระมหากัปปินะในปัจจุบัน
ทีนี้เราท่านทั้งหลายมาตามดูบุพกรรมของพวกคณะเทวาทั้ง ๑,๐๐๐ องค์กันหน่อยว่า มีความเป็นมาอย่างไร
ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้พากันมาบังเกิดในบ้านเรือนของพวกคหบดี หัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นลูกชายของหัวหน้าคหบดี แม้ภริยาของหัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ก็ได้มาเกิดเป็นลูกสาวของหัวหน้าคหบดีคนหนึ่ง พวกภริยาของช่างหูกที่เหลือในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นพวกลูกสาวของคหบดีที่เหลือทั้งหลาย หญิงเหล่านั้นทั้งหมดเมื่อเจริญวัยแล้ว เมื่อจะแต่งงานมีเหย้าเรือน ต่างก็แต่งงานกับคู่ของตนในกาลก่อน
ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อมีการป่าวประกาศให้ ไปฟังธรรมที่พระวิหาร พวกคหบดีเหล่านั้นทั้งหมดจำนวน ๑,๐๐๐ คน ได้ทราบว่า พระศาสดาจักทรงแสดงธรรม จึงได้ไปยังพระวิหารพร้อมกับภริยาเพื่อฟังธรรม ในขณะที่คนเหล่านั้นเข้าไปยังท่ามกลางพระวิหาร ฝนก็ตกลงมา พวกคนที่รู้จักมักคุ้นกับพระหรือมีญาติที่เป็นสามเณรเป็นต้น ต่างก็เข้าไปยังที่พักของพระและสามเณรที่คุ้นเคยเป็นญาติกันเหล่านั้น เพื่อหลบฝน แต่คหบดีเหล่านั้น ไม่อาจจะเข้าไปในที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ เพราะไม่มีพระภิกษุสามเณรที่รู้จักหรือเป็นญาติเช่นนั้นเลย จึงได้ยืนอยู่กลางฝนนั้น
หัวหน้าคหบดีเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงดูอาการอันน่าอับอายของพวกเรา ธรรมดา กุลบุตรทั้งหลาย ละอายด้วยเหตุเช่นนี้ ก็สมควรแล้ว
พวกคหบดีจึงถามว่า พวกเราจะทำอย่างไรดีนาย
หัวหน้าจึงพูดว่า พวกเราถึงซึ่งการอันน่าอายนี้ เพราะไม่มีที่อยู่สำหรับผู้คุ้นเคยกัน พวกเราทั้งหมดจักรวบรวมทรัพย์สร้างวิหารที่พักฟังธรรมให้ปรากฎขึ้นในบริเวณอาวาสแห่งนี้
พวกเพื่อนคหบดีคนอื่นๆ จึงพูดว่า ดีละนาย
หัวหน้าคหบดีจึงได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง คนที่เหลือได้ให้ทรัพย์คนละห้าร้อย ส่วนพวกผู้หญิงก็ได้ให้ทรัพย์คนละสองร้อยห้าสิบ คหบดีเหล่านั้นนำทรัพย์นั้นมาแล้ว มอบให้ช่างสร้างวิหารปราสาท เรียงรายไป ๑,๐๐๐ หลัง ได้ชื่อว่าเป็นบริเวณกว้างขวางเพื่อเป็นที่ประทับสำหรับพระศาสดา เพราะค่าที่การก่อสร้างนั้นใหญ่ไป เมื่อทรัพย์ที่บริจาคไปนั้นไม่เพียงพอ จึงได้ช่วยกันออกให้อีกครึ่งหนึ่งของจำนวนทรัพย์ที่ได้บริจาคให้แล้วในครั้งก่อน เมื่อบริเวณสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ก็ทำการฉลองพระวิหาร ได้ถวายวิหารและมหาทานแต่ ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วันแล้ว จัดแจงผ้าจีวรสำหรับถวายภิกษุอีก ๒,๐๐๐ องค์
ส่วนภริยาของหัวหน้าคหบดี คิดว่า เราจักไม่ทำให้เสมอกับพวกเขา แต่จะทำให้ยิ่งไปกว่าพวกเขาคือ จักบูชาพระศาสดาด้วยวิธีอันเลิศ ดังนี้แล้ว จึงถือเอาผอบบรรจุดอกอโนชา (ดอกอังกาบ) พร้อมกับผ้าสาฎก มีมูลค่า ๑,๐๐๐ ซึ่งมีสีดุจดอกอโนชาแล้ว เอาดอกอโนชาบูชาพระศาสดา วางผ้าสาฎกนั้นไว้ใกล้บาทมูลของพระศาสดา ได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ขอให้สรีระของข้าพระองค์จงมีสีคล้ายดอกอโนชา ในที่ที่ข้าพระองค์เกิด แล้วเกิดทั้งจงมีชื่อว่า อโนชา ดังนี้เถิด พระศาสดา ได้ทรงกระทำอนุโมทนาด้วยพระดำรัสว่า จงสำเร็จดังปรารถนาเถิด คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดดำรงอยู่จนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปบังเกิด ในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลก และมนุษยโลก ตลอดพุทธันดรหนึ่ง
ในพุทธบาทกาลนี้ คณะเทวดาเหล่านั้น จุติจากเทวโลกแล้ว ผู้เป็นหัวหน้าคหบดี ได้บังเกิดในราชตระกูลในกุกกุฏวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้รับเลือกเป็นเป็นพระเจ้ามหากัปปินะ คนที่เหลือได้ไปบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ทั้งหมด ภริยาของหัวหน้าคหบดีได้บังเกิดในราชตระกูล ในมัททรัฐสาคลนคร พระนางได้มีพระสรีระงามมีสีดุจดอกอโนชาทีเดียว ด้วยเหตุนั้นพระชนกพระชนนี จึงได้ทรงขนานพระนามของพระนางว่า อโนชา ดังนี้ พระนางทรงเจริญวัย แล้ว ก็อภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้ามหากัปปินะ ได้มีพระนามปรากฏว่า อโนชาเทวี
พวกผู้หญิงที่เหลือ ก็ได้ไปบังเกิดในตระกูลพวกอำมาตย์ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้แต่งงานกับบุตรอำมาตย์เหล่านั้นแล คนเหล่านั้นทั้งหมด ก็ได้เสวยสมบัติเช่นกับสมบัติของพระราชา ในกาลใด พระเจ้าแผ่นดินทรงประดับด้วยเครื่องทรงอลังการพร้อมสรรพ เสด็จขึ้นหลังพญาช้างเที่ยวไป แม้ในกาลนั้น คนเหล่านั้นก็เที่ยวไป
เมื่อพระราชาพระองค์นั้น เสด็จเที่ยวไปด้วยม้าหรือด้วยรถ โดยมีพวกอำมาตย์เหล่านั้นก็เที่ยวไป เพราะกำลังแห่งบุญเป็นอันมากที่ได้ทำไว้ร่วมกันอย่างนั้น พวกอำมาตย์เหล่านั้นจึงได้เสวยสมบัติอย่างเดียวกันกับพระราชาด้วยเป็นเพราะได้ร่วมกันทำบุญกุศลบำเพ็ญคุณงามความดีร่วมกันมา หลายภพ หลายชาติ
*************************
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ.
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.
*************************
ลูกรัก บุญ คือ เครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์ถึงสมบัติทั้งปวง
พุทธะอิสระ