ความเดิมตอนที่แล้ว
จบลงตรงที่พระปิณโฑลภารทวาชะ เดินทางกลับบ้านเกิดของท่าน คือ นครอุเชนี อันมีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ปกครอง เพื่อกลับไปโปรดญาติและเพื่อนสนิทของท่านผู้เป็นพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง แต่มีนิสัยตระหนี่
ท่านปิณโฑลภารทวาชะได้ชักชวนให้เพื่อนพราหมณ์บริจาคทานแด่หมู่สงฆ์ อันมีพระสารีบุตรเป็นประธาน
ทั้งที่พราหมณ์เพื่อนของท่านรู้สึกไม่พึงพอใจยิ่งนักด้วยคิดว่า สมณะหัวโล้นผู้นี้กำลังจะทำให้ทรัพย์ของเราต้องมาฉิบหายด้วยการมาชวนเราบริจาคทาน
แต่ด้วยความเกรงใจเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ขณะที่พระปิณโฑลภารทวาชะเป็นลูกชายปุโรหิตของพระราชาอุเทน แต่เราเป็นลูกพราหมณ์สามัญชน เขาก็ยังไม่ถือสา ยังมาเป็นเพื่อนเล่นกับเราจนโต
ไหนๆ สมณะเพื่อนเรามาขอให้ช่วยบริจาคทานเลี้ยงอาหารแก่หมู่สงฆ์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เสียความเป็นเพื่อน พราหมณ์ผู้มั่งคั่งก็ยินยอมจัดอาหารเลี้ยงต่อหมู่สงฆ์ อันมีพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเป็นประธาน
แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจที่ต้องเสียทรัพย์ไปจำนวนมาก เพื่อจัดทำอาหารและจ้างแรงงานให้มาช่วย
พระปิณโฑลภารทวาชะ รู้ถึงวาระจิตของเพื่อนพราหมณ์เช่นนั้น ท่านจึงกล่าวแสดงสัมโมทนียกถา อานิสงส์ของทาน
๑. ผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก
๒. สัปบุรุษ ผู้สงบ มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมคบหาผู้ให้ทาน
๓. กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ทาน ย่อมขจรขจายไปทั่ว
๔. ผู้ให้ทาน ย่อมไม่เหินห่างจากธรรมของคฤหัสถ์ คือมีศีล ๕ ไม่ขาด
๕. ผู้ให้ทาน เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
๖. ผู้ให้ทรัพย์อันมาก จักพึงบังเกิดแก่ผู้บริจาคทาน
หลังจากจบการแสดงอานิสงส์ของท่านแล้ว พราหมณ์มหาศาลนั้นจึงได้เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เขาและครอบครัวแสดงตนเป็นผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
กาลต่อมาท่านปิณโฑลภารทวาชะ ได้ไปยังพระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทน ชื่ออาวัฏฏกะใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคาในกรุงโกสัมพี ซึ่งเป็นที่ที่ท่านเข้าไปพักผ่อนอยู่เสมอ ๆ ท่านนั้นนั่งพักกลางวัน ดื่มด่ำกับสมาบัติ ณ โคนต้นไม้ร่มเย็นใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคานั้น
ในวันนั้นพระเจ้าอุเทนเสด็จไปประพาสพระราชอุทยาน ทรงเพลิดเพลินอยู่ในพระราชอุทยาน โดยมีนางสาวสรรกำนัลในฟ้อนรำขับร้องขับกล่อมพระองค์ตลอดวัน
ราชาอุเทนทรงมึนเมาจากการเสวยเมรัยเข้าไปมาก จึงทรงเอนพระวรกายลงบรรทม ด้วยการเอาเศียรหนุนบนตักของนางสนมคนหนึ่ง
ส่วนบรรดาหญิงคนอื่นๆ จึงพากันปรึกษากันว่าพระราชาบรรทมหลับแล้ว จึงพากันลุกไปเก็บดอกไม้และผลไม้ เที่ยวเล่นในพระราชอุทยานนั้น
ต่อมาหญิงเหล่านั้นเดินมาเห็นพระเถระกำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนแท่นใต้โคนไม้ หญิงเหล่านั้นจึงห้ามกันเองว่าอย่างส่งเสียงดัง แล้วค่อย ๆ พากันเข้าไปไหว้ พร้อมพากันนั่งห้อมล้อมพระเถระ
ครั้นต่อมาพระเถระออกจากสมาบัติ เห็นบรรดานางในของราชาอุเทน มานั่งรออยู่ ท่านจึงแสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นต่างชื่นใจตั้งใจฟังแล้วกล่าวว่า สาธุ สาธุ ดังนี้
เวลาต่อมา หญิงคนที่นั่งเอาเศียรของพระราชาพาดตักคิดว่า แม่พวกเหล่านี้ทิ้งเราไปเที่ยวเล่นสนุกกัน ปล่อยให้เราทนนั่งเมื่อยอยู่คนเดียว
เกิดริษยาในหญิงพวกนั้นจึงขยับขาให้พระราชาทรงตื่น พระราชาครั้นทรงตื่นบรรทมไม่เห็นนางสนม รับสั่งถามว่า พวกหญิงเหล่านี้หายไปไหน หญิงนั้นทูลว่า หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมพระสมณะองค์หนึ่งที่ดคนต้นไม้
พระราชานั้นทรงพิโรธได้เสด็จมุ่งหน้าไปหาพระเถระ
หญิงเหล่านั้นเห็นพระราชาเสด็จมา บางพวกก็ลุกขึ้น บางพวกก็ไม่ลุกโดยทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกหม่อมฉันกำลังฟังธรรมในที่ของนักบวช
เมื่อหญิงเหล่านั้นทูลอย่างนั้น พระราชาทรงพิโรธหนักขึ้น ด้วยความเมา พระราชาไม่ทรงไหว้พระเถระเลย ตรัสถามว่า
สมณะ เหตุใดท่านมานั่งอยู่ในอุทยานของเราเพื่ออะไร
พระเถระถวายพระพรว่า เพื่อความวิเวก มหาบพิตร
พระราชาตรัสว่าท่านมาเพื่อความวิเวก นั่งให้พวกนางสนมของเราแวดล้อมอยู่อย่างนี้แหละหรือ เรียกว่าวิเวก ไหนท่านจงบอกวิเวกของท่านดูทีหรือ
พระเถระแม้ชำนาญในการกล่าวถึงวิเวก แต่ก็ได้นิ่งเสียด้วยคิดว่า พระราชานี้ตรัสถามเพราะประสงค์จะรู้ก็หาไม่
พระราชาตรัสว่า หากท่านไม่บอก เราจะให้มดแดงกัดท่าน
แล้วทรงเด็ดรังมดแดงที่ต้นอโศกต้นหนึ่ง เพราะความเมา จึงทำให้รังมดแดงรังหนึ่งแตก ตัวมดแดงกระจายตกเรี่ยรายลงบนพระกายของพระองค์ ทรงปัดมดแดงออกจากพระกายแล้วเด็ดรังอื่นมุ่งหน้าไปหาพระเถระ
พระเถระคิดว่า หากพระราชานี้ทำเช่นนั้นแก่เราได้ เขาจะต้องไปตกอยู่ในอบายเป็นแน่ พระเถระจึงได้อนุเคราะห์พระราชาด้วยการเหาะหนีขึ้นสู่อากาศด้วยฤทธิ์ไปเสีย
หญิงทั้งหลายเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาเหล่าอื่นเห็นบรรพชิตแล้วก็พากันบูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น พระองค์สิกลับไม่พอพระทัยโดยจะเอารังมดแดงไปบูชา พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ อาจทำให้ตระกูลวงศ์ของพระองค์ถึงความพินาศได้นะเพคะ
พระราชาทรงสำนึกโทษของพระองค์ จึงทรงนิ่ง ตรัสถามคนรักษาพระราชอุทยานว่า ในวันอื่นพระเถระยังจะมาในอุทยานนี้อีกไหม
คนรักษาพระราชอุทยานทูลว่ามาพระเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกแก่เราในเวลาที่พระเถระมา
ก็ในวันที่พระเถระถูกพระราชาไม่ทรงพอพระทัยโดยเอารังมดแดงมาบูชา พระเถระจึงเหาะหนีไปทางอากาศแล้วดำลงไปในดินโผล่ขึ้น ณ พระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะ สำเร็จสีหไสยาโดยพระปางเบื้องขวา ทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้วตรัสถามว่าดูก่อนภารทวาชะ เธอมาในเวลามิใช่กาลหรือ
พระเถระกราบทูลว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า แล้วจึงกราบทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า การพูดถึงเรื่องวิเวกแก่พระราชาผู้ยังต้องการกามคุณ จักมีประโยชน์อะไรดังนี้ ทรงบรรทมด้วยพระปรัศน์เบื้องขวานั่นแหละ
อีก ๒ - ๓ วันต่อมา พระเถระก็มานั่งพักกลางวันที่โคนไม้อีก คนเฝ้าพระราชอุทยานเห็นเข้า จึงรีบไปกราบทูลพระราชา
พระราชาเสด็จไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยอำมาตย์
ครั้งนั้นแล พระเจ้าอุเทนได้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ตรัสถามท่านพระบิณโฑลภารทวาชะว่า
ท่านภารทวาชะผู้เจริญเหตุปัจจัยอะไรหนอแล เป็นเครื่องให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่หมดความปรารถนาในกามทั้งหลาย สามารถประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
ท่านพระเถระทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาตั้งจิตว่า หญิงทั้งหลายที่มีอายุคราวมารดา เป็นเสมือนมารดาของตน
ตั้งจิตว่า หญิงที่มีอายุคราวพี่สาวน้องสาว เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว ของตน
ตั้งจิตว่า หญิงที่มีอายุคราวธิดา เป็นเสมือนธิดาของตน ขอถวายพระพร
ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุผู้ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่หมดความปรารถนาในกามทั้งหลาย สามารถประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
พระเจ้าอุเทนกล่าวว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ธรรมชาติของจิตนั้นบางคราวก็โลเล บางครั้งนั้น ความปรารถนาลามกนั้น อาจเกิดขึ้นในเหล่าสตรีผู้มีอายุใกล้เคียงกับมารดาก็มี ผู้มีอายุใกล้เคียงกับพี่สาวน้องสาวก็มี มีอายุใกล้เคียงกับธิดาก็มี
มีธรรมข้ออื่นไหมหนอ ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่หมดความปรารถนาในกามทั้งหลาย สามารถประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
ท่านพระเถระทูลตอบว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาพิจารณากายนี้แหละ
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป
เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูกม้าม หัวใจ ตับ พังผืดไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือดเหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้ ขอถวายพระพร
แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่หมดความปรารถนาในกามทั้งหลาย สามารถประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
พระเจ้าอุเทนกล่าวว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอันอบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้น ไม่เป็นกิจที่ภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก
ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญายังไม่ได้อบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้นเป็นกิจที่ภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก
ท่านภารทวาชะผู้เจริญ บางคราวเมื่อบุคคลตั้งใจอยู่ว่า เราจักทำไว้ในใจโดยความเป็นของไม่งาม แต่อารมณ์ย่อมมาโดยความเป็นของงามก็มี มีไหมหนอแล
พระเถระทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาเถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่เถิด
เธอทั้งหลายเห็นรูปด้วยตาแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต
อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ที่หากไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ จงถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
เธอทั้งหลายฟังเสียงด้วยหูแล้ว สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วอย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะจงปฏิบัติเพื่อความสำรวมมนินทรีย์ (ใจ) ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษามนินทรีย์ (ใจ) จงถึงความสำรวมในมนินทรีย์
ขอถวายพระพร แม้ข้อนี้ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่หมดความปรารถนาในกามทั้งหลาย สามารถประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ ไว้ต่อคราวหน้า
 
พุทธะอิสระ