ตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ราชาปายาสิต้องการจะตามมหาชนไปดูความมหัศจรรย์อันงดงามของพระกุมารกัสสปะเถระ และภิกษุบริวารทั้ง ๕๐๐ รูป
ว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่นักต้มตุ๋นหลอกให้คนหลงเชื่อ
ราชาปายาสิจึงได้สั่งให้ราชบุรุษไปสั่งให้มหาชนหยุดรอพระองค์ก่อน เพื่อที่พระองค์จะได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับมหาชนเหล่านั้นด้วย เพราะต้องการจะไปทดสอบคุณวิเศษของพระเถระกุมารกัสสปะและภิกษุบริวาร
ราชบุรุษจึงได้รีบเดินทางไปแจ้งข่าวแก่กลุ่มมหาชน อันประกอบไปด้วยคฤหบดี พราหมณ์ พ่อค้า ประชาชน ขอให้รอองค์ราชาปายาสิก่อน เพราะพระองค์ทรงต้องการจะเสด็จไปหาพระกุมารกัสสปะ และภิกษุทั้งหลายในป่าไม้สีเสียด
หมู่ชนทั้งหลายจึงหยุดรั้งรอองค์ราชาอยู่พักหนึ่ง
เมื่อองค์ราชาเสด็จมาร่วมทางพร้อมแล้ว จึงพากันเดินทางไปยังป่าไม้สีเสียด
ครั้นมาถึงที่พักนำของพระกุมารกัสสปะเถระแล้ว ต่างฝ่ายต่างสั่งสนทนาบอกชื่อและโคตรกันและกันจนเป็นที่คุ้นเคยแล้ว ต่างก็หาที่นั่งอันสมควรแก่ตน
แต่ละพวก แต่ละกลุ่ม แต่ละคน ก็ยังมีอัสมิมานะ ความถือตัวถือตน
บางพวก ก็ยกมือไหว้
บางพวก ก็เอาแต่เจรจาพูดคุย
บางพวก ก็พูดไปพนมมือไป
บางพวก ก็เอาแต่ประกาศฐานะของตนด้วยความภาคภูมิถือตัว
บางพวก ก็นั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ
ส่วนพระราชาปายาสิ จึงได้ตรัสขึ้นว่า
ดูกรท่านกัสสปะ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะถามปัญหาแก่ท่านด้วยความเห็น ความเชื่อของข้าพเจ้า มีดังนี้คือ
ข้าพเจ้าเชื่อว่า โลกหน้าไม่มีอยู่จริง
ข้าพเจ้าเชื่อว่า สัตว์เมื่อตายแล้วไม่เกิดอีก
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ทำดีไม่มีผล ทำชั่วไม่มีผล
แล้วท่านกัสสปะ มีความเห็นเช่นไร
พระเถระกุมารกัสสปะจึงได้ทูลว่า
ดูกรมหาบพิตร อาตมาภาพได้เห็นมามาก ได้ยินมามาก บุคคลที่มีความเชื่อ และความเห็นแบบมหาบพิตร
ดูกรมหาบพิตร อาตมาจึงอยากถามมหาบพิตรว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่เราท่านทั้งหลายได้เห็นกันอยู่ทุกเช้าค่ำอยู่ในโลกนี้หรืออยู่ในโลกหน้า เป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์
ราชาปายาสิจึงตรัสตอบว่า
ดูกรท่านกัสสปะ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อยู่ในโลกหน้ามิใช่โลกนี้ เป็นเทวดามิใช่มนุษย์
พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า เป็นเช่นนั้นจริงแหละมหาบพิตร พระอาทิตย์และพระจันทร์ มีอยู่ในโลกหน้ามิใช่โลกนี้ อีกทั้งยังเป็นเทวดามิใช่มนุษย์
ฉะนั้นที่พระองค์ทรงเข้าใจว่า เห็นว่า โลกหน้าและโลกอื่นๆไม่มีนั้น เป็นความเข้าใจผิด
ดูกรมหาบพิตรพระราชบุตร พระราชธิดาของพระองค์เป็นมนุษย์หรือเป็นอื่นใดหรือเป็นสัตว์อื่นใด
องค์ราชาปายาสิตรัสตอบว่า บุตรธิดาของเราเป็นมนุษย์
ดูกรมหาบพิตร พระองค์ปลูกเม็ดมะม่วงเมื่อเป็นต้นเจริญเติบโต เรียกต้นไม้นั้นว่า ต้นอะไร
องค์ราชาปายาสิตรัสตอบว่า ก็ต้องเรียกว่า ต้นมะม่วงสิท่าน
ฉันใดก็ฉันนั้น พระราชบุตร พระราชธิดา ของพระองค์เป็นมนุษย์ก็เพราะมีเสด็จพ่อ เสด็จแม่เป็นมนุษย์
พระองค์ทรงปลูกเม็ดมะม่วง เมื่อต้นไม้งอกงามเติบโต ก็เรียกว่า ต้นมะม่วงฉันนั้น
การที่บุคคลทำกรรมอย่างใด บุคคลนั้นก็ย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น
ทำกรรมดีก็ย่อมได้ผลดี
ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้ผลชั่ว
ดุจดังมนุษย์ย่อมมีลูกเป็นมนุษย์ ปลูกเม็ดมะม่วง ย่อมเจริญเติบโตเป็นต้นมะม่วงฉันนั้น
องค์ราชาปายาสิ เมื่อได้ทรงสดับคำอธิบายของพระกุมารกัสสปะโดยละเอียด จึงทรงตรัสว่า จริงอย่างที่ท่านกล่าวมา แต่เราก็ยังเชื่อว่า โลกหน้าไม่มีจริง สัตว์ทั้งหลายเมื่อสิ้นอายุขัย ตายไปแล้วก็มิได้มาเกิดอีก เช่นนี้แล้วท่านจะแก้อย่างไร
พระกุมารกัสสปะจึงทูลตอบพระราชาปายาสิไปว่า
ดูกรมหาบพิตร พระองค์ยังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ทั้งหลายเมื่อแล้วก็ขาดสูญ ไม่มาเกิดอีก การกระทำกรรมดี กรรมชั่วไม่มีผล เช่นนี้หรือ
องค์ราชาปายาสิจึงทรงตรัสตอบว่า เช่นนั้นท่านกัสสปะ
พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามต่อไปว่า พระองค์ลองทรงยกตัวอย่างให้อาตมาได้รู้ ได้เห็นมาหน่อยเถิดพระองค์
องค์ราชาปายาสิจึงตรัสว่า ดูกรท่านกัสสปะ ญาติ มิตร บริวารของข้าพเจ้าที่มีอยู่ในโลกนี้ ล้วนเป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดเท็จ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
มีจิตใจอาฆาตพยาบาท เอาแต่จ้องจะทำร้ายผู้อื่น ในเวลาต่อมาผู้คนเหล่านี้ล้มป่วยลง ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก
ต่อมาข้าพเจ้าได้เข้าไปเยี่ยม พร้อมทั้งกล่าวกับพวกเขาว่า ท่านทั้งหลายมีสมณะ ชี พราหมณ์บางจำพวก มักจะกล่าวว่า
บุคคลที่ชอบฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
มีจิตใจโหดร้าย ชอบทำร้าย ฆ่าสัตว์
คนเหล่านี้เมื่อตายไปย่อมไปตกอยู่ในอบาย ทุกข์คติภพ หากเรื่องที่สมณะ ชี พราหมณ์พวกนั้นพร่ำสอนเป็นเรื่องจริง พวกท่านทั้งหลายเมื่อดับกายตายลง ต้องรับทุกขเวทนาอยู่ในนรกภูมิ ขุมใดก็ตาม ขอจงมาบอกแก่ข้าพเจ้าด้วย
ดูกรท่านกัสสปะ หมู่ญาติ มิตร บริวารของข้าพเจ้าต่างทยอยกันแตกกายตายลงไปหลายร้อยคน ก็ไม่เห็นมีญาติ มิตร บริวารคนใดเลยที่กลับมาบอกแก่ข้าพเจ้า
เช่นนี้แล้วเราจึงเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์เมื่อตายแล้วก็ไม่เกิด ทำดีทำชั่วก็ไม่มีผล
จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โปรดติดตามกันต่อไป
พุทธะอิสระ