ตอนที่แล้วจบลงตรงที่
องค์อินทราธิราชพร้อมทั้งเหล่าเทวดาในชั้นดาวดึงและมหาชน ซึ่งนำโดยองค์ราชากาลิงคะ องค์ราชาอัฏฐกะ และองค์ราชาภีมรถ ได้มาประชุมพรั่งพร้อมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ท่านกล่าวเอาไว้ว่า
หากจะถามว่า เทวดา ฤาษี และหมู่มนุษย์พากันมาประชุมมากมายแน่นขนัดขนาดไหน ท่านให้อุปมาดังว่า บุรุษผู้มีกำลังนำขนนกยูงพันเส้นจุ่มลงไปในหม้อน้ำมัน แล้วสลัดไปในอากาศ ละอองของต่อมน้ำมันนั้น ก็มิอาจจะตกลงสู่แผ่นดินได้เลย
เมื่อบนอากาศเต็มไปด้วยหมู่เทวดา และภาคพื้นก็เต็มไปด้วยบรรดาฤาษี พร้อมกับมหาชนทั้งหลาย เพื่อมาแสดงความเคารพ อาลัยต่อฤาษีกีสวัจฉที่จักหมดอายุขัยในวันนี้
อีกทั้งต้องการจักถามปัญหาและรับฟังการตอบปัญหาของคุรุฤาษีสรภังคะศาสดา
เมื่อทุกองค์ ทุกคนมาประชุมพรั่งพร้อมกันแล้ว องค์อินทราธิราชจึงทรงมีเทวคาถากล่าวคำสรรเสริญคุณแห่งฤาษีทั้งปวง ว่าช่างเป็นผู้มีความเพียรอย่างเคร่งครัด ตั้งมั่นอยู่ในขันติธรรมองค์ญาณ ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการไม่เบียดเบียน มีจิตอันเสมอด้วยแผ่นดิน และด้วยคุณของฤาษีดังกล่าว จึงทำให้หมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ต่างพากันมาชุมนุมในกาลนี้
เพื่อถวายความอาลัยและสดับรับฟังมธุรส คาถาจากองค์คุรุมหาฤาษีสรภังคะศาสดา ขอเชิญองค์คุรุฤาษีผู้เป็นใหญ่พระองค์นั้น ได้โปรดแสดงมธุรสวาจาแก่ปวงข้าผู้อับจนปัญญาด้วยเถิดเจ้าข้า
ฝ่ายคุรุฤาษีสรภังคะ จึงได้ปรากฏตัวขึ้นบนอากาศ นั่งอยู่บนแผ่นศิลา อันมีหญ้าแพรกอันอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่ แล้วกล่าวมธุรสวาจาขึ้นว่า
เจริญพรมหาบพิตร ผู้เป็นจักรพรรดิราชแห่งหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายมาประชุมพรั่งพร้อมกันในครานี้ มีเหตุสิ่งใดหรือ
ขอทูลเชิญท่านผู้มียศเดชเดชาทรงตรัสมธุรสวาจาแจ้งแก่อาตมาตามชอบใจ
องค์อิทราธิราชจึงทรงตรัสคำถามด้วยพระสุรเสียงอันซาบซ่าน นอบน้อมกังวานไปทั่วภูมิภาคนั้นว่า ข้าแต่คุรุฤาษีผู้ประเสริฐ บุคคลฆ่าอะไรจึงจะไม่เศร้าโศกเจ้าข้า
คุรุฤาษีสรภังคะ จึงทูลตอบปัญหาแก่องค์อินทราธิราชด้วยสุรเสียงอันซาบซ่านแผ่ขยายก้องกังวานไปทั่วภูมิภาคว่า
ข้าแต่องค์มหาบพิตร บุคคลหากฆ่าความโกธรเสียได้ ก็จักไร้ซึ่งความเศร้าโศกพระเจ้าข้า
(หากเป็นคำตอบขององค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะทรงตอบว่า การฆ่าเสียซึ่งเหตุปัจจัยแห่งชาติ ชรา พยาธิ มรณะ จึงจักไม่เศร้าโศก)
องค์อินทราพร้อมหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จึงได้ประนมมือเปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกันดังเลือนลั่น กัมปนาทไปทั่วภูมิภาค
แล้วจึงทรงตรัสถามปัญหาข้อต่อไปว่า ข้าแต่คุรุฤาษีผู้ประเสริฐ บรรดาหมู่ฤาษีทั้งหลายสรรเสริญการละอะไร
คุรุฤาษีสรภังคะจึงทูลตอบว่า บรรดาฤาษีทั้งปวงสรรเสริญการละความเหยียดหยาม การละการดูแคลน การละความลบหลู่ ว่าเป็นการละอันประเสริฐพระเจ้าข้า
(หากท่านทั้งหลายจะพิจารณาคำตอบนี้ให้ถี่ถ้วน ถ่องแท้ก็จะเห็นว่า ถ้าเป็นคำตอบของผู้ศึกษาในพุทธธรรมก็จะตอบว่า สรรเสริญการละเสียซึ่งเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ทั้งปวง นั้นเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ)
จบการตอบปัญหาเหล่าเทวดาและมนุษย์ จึงเปล่งสาธุการขึ้นพร้อมกัน
องค์อินทราจึงได้ถามปัญหาข้อที่ ๓ ว่า
บุคคลควรอดทนต่อคำหยาบคายที่ใครๆ ในโลกกล่าวว่าหรือไม่
เจริญพรมหาบพิตร บุคคลที่อดทนต่อถ้อยคำของคนที่ประเสริฐต่อตนได้ เพราะยำเกรง
บุคคลผู้อดทนต่อถ้อยคำของคนที่มีคุณธรรมเสมอกันได้ ก็เพราะต้องการแบ่งปัน ต้องการมีชัยชนะต่อกัน
แต่หากบุคคลใดสามารถอดทนต่อถ้อยคำของคนที่ต่ำช้ากว่าตนได้ บุคคลผู้นั้นจึงจักได้ชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐ เป็นสัตบุรุษผู้เจริญ
(คำตอบนี้ ท่านพยายามอธิบายถึงข้อสงสัยขององค์ราชาทั้ง ๓ และมหาชนที่สงสัยในตัวศิษย์ของท่านคือ กีสวัจฉดาบส ที่ถูกเหยียดหยามแต่กลับไม่โต้ตอบจนเทวดาทนมิได้ จึงได้ลงโทษชาวนครพาราณสีดังที่เกิดขึ้น)
เสียงสาธุ สาธุ สาธุ ดังกระหึ่มไปทั่วภูมิภาค
เราท่านทั้งหลาย จะเห็นว่า แม้บรรดาหมู่ฤาษีทั้งหลายจักเป็นผู้มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปถึงองค์ญาณ บำเพ็ญเนกขัมมะ บำเพ็ญตบะ
แต่ถ้าจักให้อธิบายถึงธรรมอันลุ่มลึก อย่างที่พุทธปัญญาตรัสรู้เองแล้ว อธิบายฤาษีทั้งหลายคงจักทำมิได้เช่นนั้น จึงได้แต่อธิบายเท่าที่สติปัญญาของผู้มีญาณจะพึงมี
 
จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ
 
พุทธะอิสระ