ประสบการณ์ทางวิญญาณของข้าพเจ้าซึ่งได้เขียนชิ้นนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องหนึ่ง แต่ได้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงชีวิตและวิญญาณของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถสัมผัสรับรู้ได้ในเนื้อในตัวของเราเอง ทุกคน เพียงเราไม่ทอดทิ้งมันไปหรือไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นตามอำนาจของกิเลสความ ไม่รู้ซึ่งฉุดกระชากลากถูกเราไปตลอดเวลา ข้าพเจ้าเขียนบันทึกขึ้นไว้ในโอกาสนี้เพียงเพื่อแสดงสักการะต่ออำนาจแห่ง ธรรมะบริสุทธิ์ ซึ่งทรงพลานุภาพอยู่เหนืออำนาจใดๆ ในโลก และเป็นการกราบบูชาต่อจิตใจอันกรุณาหาที่สุดไม่ได้ของครูบาอาจารย์ ซึ่งมีมาถึงศิษย์ทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
      
       ข้าพเจ้าเพิ่งมีโอกาสได้พบหลวงปู่ได้ไม่นาน โดยการติดตาม ดร.สุวินัย ซึ่งได้นำคณะศิษย์สำนักพุทธธรรมจำนวน 30 คน ไปร่วมบวชชีพราหมณ์ที่ถ้ำไก่หล่น จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 5-7 ธันวาาคม 2540
      
       ประสบการณ์การบวชที่ถ้ำไก่หล่น ซึ่งเวลา 3 วัน 2 คืน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ในสำนักพุทธธรรม ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่รู้สึกศรัทธามั่นคงในพระศาสนา เรารู้สึกทึ่งที่ได้พบพระภิกษุที่รอบรู้ มีความหมดจด ชัดเจนในพระสัทธรรม ในท่ามกลางโลกสังคมที่วุ่นวายอยู่ในปัจจุบันและประทับใจต่อความเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของตัวท่าน ซึ่งเรียบง่าย แต่แหลมคมอย่างยิ่ง ท่านไม่โอ้อวดตนว่าเป็นผู้รู้ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นครู ที่ทำดีให้ดู และพร้อมที่จะสอน มอบทุกอย่างที่มีอันเป็นความรู้ทางจิตวิญญาณให้แก่ศิษย์ทุกคน แม้การแสดงออกจากสภาวะภายนอกดูหมางเมิน ห่างเหินไปบ้างก็ตาม
      
       ข้าพเจ้ากลับจากถ้ำไก่หล่นด้วยความมั่นใจในชีวิต รู้สึกมีความสุขบางอย่างซึ่งอิ่มเต็มอย่างชนิดที่ตนเองไม่เคยได้รับในทางโลก และตั้งใจว่าจะไปกราบขอฟังธรรมะจากหลวงปู่ในโอกาสต่อไปอีก
      
       ฝันเห็นวัดอ้อน้อย
      
       หลังจากกลับจากถ้ำไก่หล่นแล้ว ปลายเดือนธันวาคม 2540 ข้าพเจ้าฝันว่าได้ไปในที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งรวมอยู่กับกลุ่มผู้คนประมาณ 70-80 คน ทั้งหญิงและชาย เราทุกคนนั่งอยู่กับพื้นดิน ใต้ร่มไม้เตี้ยๆ ในฝันข้าพเจ้าลุกเดินออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น เดินไปพบทางแยกแห่งหนึ่งทางซ้ายมือข้าพเจ้าเห็นเป็นทางเล็กๆ คล้ายทางเดินจงกรม มีต้นไม้ปลูกเป็นแนว 2 ข้างทาง ร่มรื่น งดงาม ข้าพเจ้าอยากเดินต่อเข้าไปในทางนั้นมาก แต่มีเสียงในตัวเองร้องบอกว่า "อย่าไปทางนั้นเป็นทางของพระสงฆ์" พอข้าพเจ้าเหลียวมาอีกทางหนึ่งก็พบหลวงปู่ยืนอยู่ ก็มีเสียงร้องในใจบอกว่า "ให้ไปหาหลวงปู่สิ" แต่ข้าพเจ้ายังลังเล รีๆ รอๆ ไม่ได้ตัดสินใจอย่างไรลงไป
      
       เมื่อตื่นเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไม่ได้ติดใจอะไรกับความฝัน เพราะไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร จนวันที่ 31 ธันวาคม 2540 ก็ได้มาร่วมงานหล่อพระโพธิสัตว์ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าได้พบกับสถานที่ดังในฝันทุกประการ
      
       วันหล่อพระฯ หลวงปู่ได้แจ้งให้ทราบว่า วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศมาจัดที่ซุ้มเรือนต้นไม้แทนการจัดที่ศาลาตามปรกติ ในช่วงบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้าเมื่อยขาจากการนั่งพับเพียบกับพื้นดินนานๆ จึงลุกขึ้นออกเดินชมบริเวณวัด ข้าพเจ้าเดินผ่านโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างมาจนถึง 3 แยกปากทางเข้ากุฏิพระสงฆ์หอกรรมฐาน ทางเดินที่จะเข้าสู่กุฏิพระที่ข้าพเจ้าได้เห็น เป็นทางเดินลึกเข้าไปมีต้นไผ่ และมะม่วงปลูกไว้ 2 ข้างทางเหมือนที่ข้าพเจ้าฝันเห็น และโดยเฉพาะมีป้ายที่แขวนไว้อยู่ตรงปากทางเข้าว่า "เขตสังฆวาส ฆราวาสไม่มีกิจห้ามเข้า" ทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งในใจว่าเหมือนกับที่ข้าพเจ้าฝันเสียจริงๆ มันเป็นความบังเอิญหรืออย่างไรก็ยากอธิบาย
      
       ปรากฏโศลกในสมอง
      
       ในวันทำบุญหล่อพระโพธิสัตว์นี้เอง ที่หลวงปู่ได้เมตตาแจกเหรียญรูปใบโพธิ์เบญจมหาโพธิสัตว์ให้แก่ผู้ที่มาร่วม ทำบุญ ข้าพเจ้าดีใจมากเพราะรู้สึกอยากได้เครื่องระลึกถึงหลวงปู่เป็นขวัญกำลังใจใน การปฏิบัติ ระหว่างที่ไม่ได้พบท่านหรือมาวัด ข้าพเจ้าได้นำเหรียญฯ ห้อยคอตลอดเวลา
      
       ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอย่างไร หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าพบว่า เมื่อจิตใจอยู่ในภาวะสงบ ปราศจากการคิดฟุ้งซ่าน เช่น ตอนกำลังจะหลับ หรือเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ ข้าพเจ้าจะมีอาการผุดบังเกิดชุดคำพูดสั้นๆ คล้ายๆ บทโศลกในสมอง ซึ่งข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ใช่การคิดเอาเองเพราะไม่มีปัญญาคิดได้เช่นนั้น สิ่งที่รู้เกินกว่าการคิดของตนและที่สำคัญคือ ขณะที่ข้อความผุดปรากฏขึ้น ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในอาการคิดหรือต้องการ ไม่มีเจตนาคิดเรื่องใดๆ อยู่แม้แต่น้อย
      
       การผุดบังเกิดของบทโศลกแต่ละครั้งจะพอเหมาะกับภาวะชีวิตที่ข้าพเจ้า เป็นอยู่อย่างพอเหมาะพอเจาะ เช่น จิตใจติดขัด ยึดมั่นอยู่กับเรื่องใดหรือชีวิตกำลังมีปัญหาความทุกข์เรื่องใดที่ยากจะเดิน ต่อ ก็จะปรากฏบทโศลกเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ซึ่งมีอานุภาพมหาศาล มาปัดกวาดความทุกข์ใจที่สงสัยได้เป็นปลิดทิ้ง มันไม่ใช่คำสอนที่ต้องทำความเข้าใจหรือจำไว้ แต่เป็น "รสชาติ" แท้ๆ ของธรรมะอันหมดจด ซึ่งได้ขับไล่ ปลดทิ้งความไม่รู้ ความทุกข์ ออกจากจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ เหตุการณ์ลักษณะนี้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าจนถึงปัจจุบัน ประมาณ 7-8 ครั้ง แต่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังย่อๆ ดังนี้
      
       1. "เมื่อไม่มีพื้นที่ดีงาม (ในใจ) ก็ไม่มีใครต้องตามให้ได้ประโยชน์
      
       ในวันที่ 13 มกราคม 2541 เวลา 06.30 น. ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่บนรถไฟขบวนเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ก็ได้ปรากฎคำพูดหรือบทโศลกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในสมองเป็นครั้งแรกว่า "เมื่อไม่มีพื้นที่ดีงาม (ในใจ) ก็ไม่มีใครต้องตามให้ได้ประโยชน์" ถ้าดูเป็นคำพูดตามภาษาแล้วก็จะเป็นคำห้วนๆ ยากแก่การเข้าใจ แต่ขณะที่ผุดบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาทีนั้นได้มีการ "รู้" ความหมายอันเป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณของข้าพเจ้าว่า
      
       "ถ้ายังติดยึดว่า ตนเป็นคนดี ต้องคอยทำความดี ตามให้กับคนอื่นๆ ก็ยังเป็นทุกข์ เป็นความหนัก เป็นการแบกหามชนิดหนึ่ง ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะจิตยังยึดมั่นว่าดี-ไม่ดี แบ่งแยกตัวตนกับสิ่งต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นกระแสธรรมอันไม่ใช่ตน ถือว่ายังไม่ได้ประโยชน์ให้รู้ว่า ไม่มีผู้ใด (ตัวตน) ต้องการสิ่งใด (ตัวตน) จึงไม่มีตะกอน อิสระเสรี ถ้าอยากดี มันก็ต้องคอยรักษา นับว่าเป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง ถ้ามันทุกข์มันก็อยากไล่หนี มันก็ทุกข์เหมือนกัน ทั้งดี-ทั้งชั่ว ต้องไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น
      
       ข้าพเจ้ารับรู้รสชาติ ความปีติ จิตใจแผ่ขยายกว้างใหญ่ไพศาล นุ่มนวล สันติสุข แม้ธรรมชาติคือดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นยามเช้าตามปกติในวันนั้น ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนมีดวงตาอีกดวงภายในที่สัมผัสได้ถึงความงดงาม ปลอดโปร่งใจ แตกต่างจากวันก่อนๆ เสียจริง
      
       2. "เราจะวิจารณ์เขาไม่ได้ จนกว่าจะฟังจนจบประโยคลูก"
      
       โศลกบทที่ 2 ปรากฏเวลา 07.00 น. วันที่ 23 มกราคม 2541 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่ที่พัก ในช่วงนั้นชีวิตข้าพเจ้าติดขัดลำบากใจกับการต้องพบเจอกับคนบางคน บางจำพวก ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาช่างเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็ได้เพื่อตัวเองโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
      
       ข้าพเจ้ารู้สึกปฏิเสธคนคนนั้น ไม่ต้องการพบเจอแต่ก็ต้องเจอเพราะหน้าที่การงาน ข้าพเจ้ามีควาทุกข์ที่แกะไม่หลุด หัวใจเต็มไปด้วยความรังเกียจ กระด้าง รู้สึกถูกเอาเปรียบ และตราหน้าเขาว่าเป็นคนไม่ดีไม่ควรอภัยซึ่งก็ทำให้จิตใจตนเองพลอยไม่ปกติ ไม่แจ่มใส
      
       ขณะที่ปรากฏบทโศลกขึ้นว่า "เราจะวิจารณ์เขาไม่ได้ จนกว่าจะฟังจนจบประโยคลูก" นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีแม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก กำลังพูดกับลูกด้วยความปรานีว่า
 "ธรรมชาติทุกสิ่งไม่ใช่ของตายตัว หยุดนิ่งอย่างที่เห็น ทุกสิ่งล้วนมีขบวนการของมัน ซึ่งเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ แล้วเราจะไปวิจารณ์สิ่งซึ่งเห็นเป็นแค่ชั่วขณะของกระแส ซึ่งเป็นความไม่เที่ยงอยู่ทำไม มันเหมือนการสรุปเอาเรื่องเอาความจากประโยคที่ยังมาไม่หมด เราทุกคน รวมทั้งตัวเอง ก็เป็นประโยคที่ยังไม่จบ (ไม่เที่ยง) กำลังเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงอยู่ จะไปวิจารณ์สรุปเอาเป็นความจริงทั้งหมดโดยที่ไม่ฟังให้จบประโยคได้อย่างไร"
      
       - ทุกอย่างมีกระบวนการของมัน และง่ายดาย เมื่อถูกเวลาของมัน
       - คำพูดซึ่งใช้วิจารณ์ใดๆ นั้น สำคัญน้อยกว่าหัวใจที่อ่อนโยน
       - ความรักในหัวใจ ทำให้การวิจารณ์นั้นไม่เหนื่อยหนัก แต่มีน้ำหนักและหนักแน่นยิ่ง
      
       ข้าพเจ้าสามารถปลดความคับแคบ ความเกลียด ทุรนทุราย ซึ่งตนได้สร้างทุกข์ให้กับตนเองได้ระดับหนึ่ง ด้วยรสชาติของความรัก ความปรานีจากโศลกบทนี้และได้เข้าใจว่า สันติสุข ความเข้าใจ ปรานี มันสร้างจากความรักและความสัมผัสสิ่งนี้ได้เป็นคนแรก ในจิตของเราเอง
      
       3. "ปล่อยหัวใจตนให้เป็นอิสระ"
      
       ปลายเดือนมกราคม 2541 ข้าพเจ้ากลับมาจากที่ทำงานมาถึงที่พักในตอนค่ำ หลังจากทำภารกิจเรื่องส่วนตัวเสร็จแล้ว เตรียมจะเข้านอนจู่ๆ ก็ถูกกลุ้มรุมด้วยความคิด ตระหนักขึ้นมาว่า ชีวิตกำลังดำเนินไปสู่ความเสื่อมโดยแท้ ทั่วกายสังขาร, วัย, เวลา นับวันจะน้อยลงไปทุกขณะ ข้าพเจ้ารู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงแม่ของข้าพเจ้าราวกับมีใครมาเตือนว่ากำลัง จะต้องพลัดพรากจากแม่ ชีวิตรู้สึกไร้ที่พึ่ง หมดหนทาง ถ้าพ่อแม่ตายไป จะอยู่ได้อย่างไร จะมีใครเป็นที่พึ่งคุ้มขวัญ คุ้มหัว หรือถ้าตัวเองต้องตายจากไปก่อน จะทำอย่างไรไม่ให้พ่อแม่เป็นทุกข์ โลกดูมืดมนไปหมด ข้าพเจ้านอนร้องไห้กับปัญหาที่แก้ไม่ได้นี้ ความทุกข์ท่วมเต็มหัวอกไปหมด นอนน้ำตาไหลรินอย่างคนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ ไร้ทางสู้ กับความตาย ความเที่ยงแท้อันชีวิตทั้งหลายหลีกหนีไปไม่พ้นเรื่องนี้
      
       จนจิตใจเคลิ้มๆ ไป ก็ผุดปรากฏคำพูดหรือโศลกในสมองว่า"จงปล่อยหัวใจตนให้เป็นอิสระ" เพียงแว่บเสี้ยววินาที เหมือนมีแสงสว่างสาดฉายเข้ามาไล่ความระทมทุกข์ไปจากใจจบสิ้น จิตที่หมดกำลังท้อแท้กลับมีกำลังหยั่งรู้ว่า ความทุกข์เกิดขึ้นที่จิตจากความยึดมั่นมากกว่าทุกข์จากการตายตามธรรมชาติ จิตรู้ว่า ไม่มีวิถีทางใดที่จะพ้นความตายไปได้ ไม่มีวิถีทางใดที่จะรอดจากทุกข์ได้นอกจากการปลดปล่อยจิตใจตนเองให้เป็นอิสระ เท่านั้น
      
       จากโศลกบทนี้ ข้าพเจ้ารับรู้ถึงอานุภาพแห่งปัญญาการรู้แจ้ง แม้เพียงแว่บเดียว ประโยคเดียว ก็สามารถเอาชนะความประหวั่นพรั่นพรึงกับความตาย การพลัดพราก การสูญเสียของชีวิตได้
      
       ความฝันเรื่องภาพถ่ายของหลวงปู่
      
       เป็นที่รู้กันในชมรมฯว่า หลวงปู่จะไม่ชอบให้ถ่ายภาพของท่าน ดังนั้นที่บ้านข้าพเจ้าจึงมีเพียงรูปถ่ายเล็กๆ เป็นภาพหมู่ที่ถ่ายกับคณะศิษย์ ขณะลาสิกขาบทที่ถ้ำไก่หล่น เท่านั้น
      
       ในวันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2541 ข้าพเจ้าฝันประหลาดว่า มีคนมาบอกว่ามีการพิมพ์ปฏิทินภาพหลวงปู่ขนาดใหญ่มาให้ ข้าพเจ้าดีใจมากรับไปดู ข้าพเจ้าเห็นภาพหลวงปู่ 4-5 ภาพวางอยู่ ภาพแรกที่เห็นเป็นภาพหลวงปู่ขนาดครึ่งองค์ เป็นภิกษุที่ยิ้ม แจ่มใส สะอาดตางดงาม ภาพที่สองที่เห็น เป็นภาพเทวรูปสีดำสนิทน่าเกรงขาม ที่ใบหน้าบริเวณหว่างคิ้ว (หน้าผาก) และบริเวณเหนือหางคิ้วทั้ง 2 ช้าง มีอักขระหรือลายเส้นศิลปะคล้ายภาพพระโพธิสัตว์ของธิเบตที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ภาพที่สามเป็นภาพพระโพธิสัตว์ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปสีดำที่เราเห็นในศาลาวัด อ้อน้อยแต่ที่พระพักตร์ท่านมีหยาดน้ำตาไหลร่นอยู่ที่แก้ม
      
       ข้าพเจ้ารีบหยิบภาพหลวงปู่ซึ่งเป็นภาพพระภิกษุภาพแรกด้วยความดีใจ และรีบนำภาพของท่านไปกราบที่หน้าพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังกราบพระอยู่ หลวงปู่ก็มากราบพระใกล้ๆ ด้วยความเกรงที่จะเกะกะหลวงปู่ ข้าพเจ้าจึงรีบหลบไปอยู่ในซอกเล็กๆ ด้านข้าง และก้มกราบหลวงปู่จากที่ตรงนั้น
      
       ขณะที่กำลังกราบอยู่นั่นเอง หลวงปู่ก็หันมาบอกข้าพเจ้าว่า
      
       "ไม่ต้องไปกราบเล่นๆ อยู่ตรงนั้น ถ้าจะกราบเป็นศิษย์ให้มาใกล้ๆ....จะเป็นผู้ทรงสติ ถ้าจะกราบพระให้มีสติ จงระลึกรู้สึกตัวอยู่เช่นนี้จึงจะถือว่าเป็นศิษย์และเป็นผู้ที่อยู่ใกล้พระ"
      
       ข้าพเจ้ารู้ด้วยใจว่า ความหมายของคำว่า "กราบเล่นๆ" หมายถึงสิ่งที่เรามักทำๆ กัน คือกราบสักแต่ว่ากราบกันไป ก็ชั่วๆ ดีๆ ตามเรื่องตามราว แล้วก็เข้าใจว่านั่นคือการสักการะพระพุทธะ ส่วนความหมายคำว่า "เข้ามาใกล้" ของท่านนั้นหมายถึง การกระทำอย่างจริงจัง การจัดกาย วาจาใจของตนอย่างจริงจัง เปลี่ยนจากเล่นๆ เหยาะๆแหยะๆ ชั่วๆ ดีๆ มาเป็นการทำอย่างจริงจัง-จริงใจ เพื่อการเปิดประตูวิญญาณสู่การรู้แจ้ง เห็นธรรม
      
       หลังจากนั้นหลวงปู่ได้สอนธรรมะเป็นคำไทยโบราณ 1 คำ เมื่อข้าพเจ้าได้ยินก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันที ขณะนั้นเป็น เวลา 04.30 น. ต้องยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความสำนึกในพระคุณที่ท่านเมตตา เสียดายที่ข้าพเจ้าไม่ได้จดบันทึกไว้ในทันทีตอนที่ตื่นนอน มาบันทึกตอนรู้ว่าเช้าแล้ว ซึ่งคำสอนดังกล่าวก็เลือนๆ ไป รู้แต่ตัวความหมายว่า แปลว่า "ความอยาก" เท่านั้น
      
       ข้าพเจ้าบันทึกเรื่องความฝันนี้ ด้วยความสำนึกในพระคุณที่ท่านได้กรุณาบอกทางปฏิบัติและก็อดสะท้อนใจในตัวเอง และชาวพุทธอีกมากที่มัวแต่ "กราบเล่นๆ" กันอยู่ตลอดชีวิต ทำให้พลาดจากการได้อยู่ใกล้พระพุทธซึ่งเป็นการกระทำจริง และปรากฏขึ้นในเนื้อในตัวของเรา
      
       ส่วนภาพหลวงปู่ที่เห็นในฝัน 3 ลักษณะนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจอธิบายใดๆ ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพพระภิกษุภาพเทพเจ้าแบบธิเบต หรือภาพพระโพธิสัตว์ซึ่งกำลังร้องไห้กับความทุกข์ของสรรพสัตว์ในโลก คงมีเพียงทิฐิหรือความเชื่อเรื่องกายต่างๆ แห่งพระพุทธในลัทธิมหายาน เช่น มหายาน สุตราลังการ ที่แสดงเรื่องตรีกาย หรือกายสามแห่งพระพุทธะไว้ว่า เป็นนิมารกาย คือ กายอันปรากฏขึ้นในโลกจักรวาลทั้งปวง ซึ่งแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ชื่อ รูปร่าง เพื่อทำหน้าที่ช่วยสรรพสัตว์ ให้พ้นทุกข์ ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจสรุปใดๆ ได้ สำหรับท่านที่กระหายใคร่รู้คงต้องกราบเรียนถามหลวงปู่ด้วยตนเอง เพราะนั่นเป็นเรื่องของท่าน เรื่องของเราที่ได้รับคำมาในฝันคือการทำจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆ ก็ขอถือโอกาสนี้แบ่งปันความฝันและคำสั่งสอนของท่านให้ชาวธรรมอิสระทุกท่าน ร่วมกันปฏิบัติต่อไปความว่างอันไร้ชื่อ
      
       คืนวันเสาร์ 7 มีนาคม 2541 ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากวัดอ้อน้อยและได้รับหนังสือภาพ "บรมครูพระเทพโลกอุดร" จาก พี่เล็ก กัลยาณมิตรร่วมสำนักพุทธธรรม ซึ่งข้างในเล่มมีภาพวาดของพระครูเทพโลกอุดร และมีการบอกเล่ากล่าวถึงท่านโดยพระภิกษุหลายๆ รูป ข้าพเจ้าพลิกดูโดยไม่ได้ใส่ใจจริงจัง พลางก็คิดในใจว่า ไม่มีรูปถ่าย มีแต่รูปวาด ก็ยากจะบอกได้ว่าใครเป็นใคร ข้าพเจ้าไม่ได้คิดจริงจังว่า หลวงปู่เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรแต่อย่างใดเพราะข้าพเจ้าไม่ได้รู้หรือประทับใจ กับเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรมาก่อน และยังจำได้ว่าที่ถ้ำไก่หล่น หลวงปู่ได้สอนไว้ว่า
      
       "ใครจะพูดว่าหลวงปู่เป็นอะไร เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นอะไรต่ออะไรก็ช่างหัวมัน....ต้องช่างหัวเรา ช่างตัวเราว่า เรามีขยะกี่กอง มีทองกี่ก้อน ต้องเลือกขยะทิ้ง รักษาทองไว้ พวกเราเห็นกันตรงนี้แล้วหรือยัง"
      
       ข้าพเจ้าเพียงแค่แปลกใจเล็กน้อยที่หนังสือได้เขียนไว้ว่า คำสอนหลักข้อหนึ่งของหลวงปู่เทพฯ คือ "ให้ทำตัวเหมือนน้ำ" เพราะน้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ได้ทุกสภาวะ ให้ความชุ่มชื้นให้ชีวิต มีรูปร่างแตกต่างตามแต่ภาชนะที่ใส่ชำระล้างความสกปรกให้สะอาด ฯลฯ ซึ่งเหมือนกันกับที่พี่เฉลิมชัย ศิษย์คนแรกที่ได้พบหลวงปู่เล่าให้ฟังที่วัดเมื่อตอนบ่ายวันนี้
       ข้าพเจ้าพลิกดูหนังสือ 10 นาที ก็สวดมนต์เข้านอน
      
       ขณะที่ศีรษะถึงหมอน กำลังสำรวจจิต ผ่อนคลายเพื่อการหลับอยู่นั่นเอง จิตมีอาการสัมผัสถึงความว่าง ผุดรู้ขึ้นมาในขณะจิตนั้นว่า "ทุกอย่างล้วนเป็นความว่าง"
      
       ในความว่าง ไร้ชื่อเรียกขาน ไร้ตัว-ตน ไร้พรหมแดน
      
       การเป็นของหลวงปู่ ไม่ว่าชื่ออะไร นั้นเป็นแค่ชื่อ
      
       ชื่อสิ่งโน้น-สิ่งนี้ เป็นเพียงรูปของการคิดของคน ที่มองมายังหลวงปู่ ไม่ใช่ตัวหลวงปู่ เปรียบเสมือนพระพุทธรูป บังพระพุทธเจ้า การปรากฏของความว่าง-อันไร้ชื่อเท่านั้น ที่จะได้พบความหมายที่แท้ที่เป็นตัวหลวงปู่เองซึ่งอยู่เหนือการคิด-เหนือ ชื่อใดๆ
      
       ก็ยังคงเป็นอาการเดิม คือ รู้ในจิตเพียงเสี้ยววินาที เหมือนของในที่มืดต้องแสงไฟ ข้าพเจ้าต้องรีบลุกมาบันทึกเรื่องนี้ไว้ และอดนึกไม่ได้ว่าทำไมหลวงปู่จึงชอบพูดว่าไม่มีใครรู้จักหลวงปู่จริงๆ สักคน เพราะคนเหล่านั้นพยายามรู้จักและอธิบายหลวงปู่ด้วยการคิด ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นั่นเอง แต่หาได้รู้แจ่มแจ้ง ด้วยการปฏิบัติตามขัดเกลาจิตวิญญาณของตนให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะได้สัมผัสกับ พระพุทธะอันบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
      
       ข้าพเจ้าพบความมั่นใจที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่งในจิตใจ คือความเชื่อมั่นว่า ในเวลาหนึ่งเมื่อหลวงปู่จะจากไป ท่านยังคงอยู่กับเรา ทุกที่ ทุกเวลา เพียงเรามีความตั้งมั่น หมั่นนึกถึงและปฏิบัติตามแนวทางคำสอนที่ท่านทิ้งไว้แทนตัว ก็เสมือนเราได้อยู่ใกล้ท่านและพระพุทธะตลอดเวลา
      
       แต่ข้าพเจ้าก็สำนึกตัว รู้ตัวว่ายังอ่อนนัก คงต้องล้มลุกคลุกคลานเจ็บตัวกับความทุกข์-ความหลงที่อยู่เบื้องหน้าอีกมาก จึงได้แต่หวังว่าท่านจะยังคงอยู่เป็นครู เป็นแบบอย่างแห่งชีวิตให้เราได้ดำเนินรอยตาม
      
       ข้าพเจ้าขอบันทึกประสบการณ์ทางวิญญาณ (อันน้อยนิดๆ) เพียงเท่านี้ ทุกอย่างที่บันทึกไว้ไม่ได้สลักสำคัญว่ามีอยู่เป็นการรู้อะไรที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เลย ข้าพเจ้าไม่ได้รู้อะไร นอกจากรู้จักตัวตนของตนเอง ข้าพเจ้าภาคภูมิใจและรู้สึกมีโชคอันยิ่งใหญ่ที่ได้มาร่วมเป็นชาวธรรมอิสระ ที่หลวงปู่บอกว่าหมายถึง "การประกาศที่จะปลดปล่อยตนจากความเป็นทาส จากความคิดที่ฉุดกกระชากลากถูไปจนเกิดทุกข์"
      
       กำลังแห่งจิต อำนาจธรรมะอันบริสุทธิ์ แห่งพระพุทธะนั้นมีอยู่จริงอย่างน้อยในพื้นที่หัวใจเราดั่งที่หลวงปู่เคยพูด ไว้ว่า"เราจะได้กลิ่นอายจากพระเจ้า-เราจะรู้จักสิ่งนั้น"
      
       "ความรักของพระพุทธะ เป็นอะไรที่เยอะแยะในจักรวาลที่เราต้องมีให้ต่อกัน รู้จักใจกัน ช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน เพื่อพลิกผันไปสู่ความถูกต้องของการพ้นทุกข์" ข้าพเจ้าขอร่วมเดินทางไปกับผองเพื่อนบนเส้นทางนี้
       "น้องใหม่ธรรมอิสระ"