เสร็จ จากการทำงาน ในกิจกรรมร่วมกันพัฒนาถ้ำไก่หล่นฝนแต่ละวัน พวกเราจะนั่งกันตามสบาย แล้วก็รับฟังโอวาทจากหลวงปู่ มีเรื่องหลากหลายจากท่านให้เราไม่เบื่อในการฟัง รวมถึงเรื่องการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง ความยิ่งใหญ่ของการร่วมมือและพัฒนาต่อสิ่งแวดล้อม และสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราได้ลืมมันไปแล้ว สิ่งที่หลวงปู่เล่ามานั้น มีหลากรสมากมายหลากหลายจริงๆ เหมือนกับห้องสมุดขนาดใหญ่
      
       หลวงปู่พูดว่า สงบจิตวิญญาณของตัวเอง และจงหยุดสงบเมื่อมีโอกาส นี่คือ หนึ่งในการมีชีวิตอยู่อย่างมีสาระ
      
       หลวงปู่พูดถึงเรื่องของจิตว่า มันมีความรวดเร็ว และมีพลังมาก และผลของการทำจิตให้นิ่งและเป็นสมาธิ จะมีผลที่เกิดขึ้นมากมาย รวมไปถึงระบบของร่างกายของเราด้วย จะทำให้สดชื่นแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าและมีพลัง ฯลฯ ซึ่งในหัวข้อนี้ผมได้ลองปฏิบัติแล้ว
      
       หัวข้อที่ว่า จิตมีความรวดเร็วนั้น หลายท่านคงทราบดีว่าเป็นอย่างไร และต่อไปนี้ก็คือ ประสบการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนได้รับรู้และได้เห็น ซึ่งนับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์และน่าทึ่งมากๆ
      
       ท่านคงเคยได้ยินถึงเรื่อง ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ถูกรถไฟชน แต่รอดชีวิตมาได้ เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา จำวันที่แน่นอนไม่ได้ คงจะก่อนเกิดสุริยุปราคา 1 อาทิตย์กว่าๆ ผู้เขียนได้กลับจากทำงาน (ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี) ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ รุ่น R.C.-100 ขับมาถึงทางแยกเข้าวัดบ่อฝ้าย แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป เพื่อที่จะเลี่ยงถนนสายหลัก ซึ่งมีรถยนต์มาก ขับมาด้วยความเร็ว 60-70 กม./ชั่วโมง นับว่าเร็วพอสมควร ด้วยความชินกับรถคู่ใจของตนเอง และชินกับเส้นทางที่ใช้ จึงทำให้เกิดความประมาท และยังคงขับมาด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอ จากปากทางถึงทางรถไฟระยะทางประมาณ 300 เมตร ก่อนถึงทางรถไฟประมาณ20 เมตรจะเป็นทางโค้งซึ่งเป็นมุมอับสายตา จึงต้องชะลอความเร็ว และก่อนขึ้นทางรถไฟจะเป็นเนินชันไปขนาดพอสมควร ชาวบ้านมักจะพูดอยู่เสมอว่า มีคนถูกรถไฟชนตายเสมอ เมื่อ 2-3 วันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ของผู้เขียน ก็มีชาวบ้านถูกรถไฟชนตาย 2 คน เป็นวัยรุ่นผู้ชายทั้งคู่
      
       อีกประมาณ 2-3 เมตร ล้อหน้าของรถจักรยานยนต์จะขึ้นเหยียบบนทางรถไฟ(ขณะนั้นความเร็วก็ยังเร่ง เหมือนเดิม) ได้มองไปทางด้านขวา ซึ่งไปทางกรุงเทพฯ เห็นรางรถไฟทอดยาวไปสุดลูกตา ไม่มีสิ่งใดขวางสายตาเลย เลยเหลือบหันไปทางซ้าย เฮ้ย! รถไฟนี่หว่า มันได้พุ่งดำทมึนเข้ามาเต็มจอลูกตาของผู้เขียน เสียงแตรดังปู้นๆ 2 ครั้ง อีกไม่ถึง 5 เมตรก็ถึงตัวแล้ว เริ่มมาพิจารณาความเร็วของรถทันที
      
       ถ้าเปลี่ยนเกียร์ของรถแล้วบิดพุ่งไปข้างหน้า จะเป็นการชะลอความเร็วเล็กน้อย รถไฟก็จะชนทางด้านซ้ายอย่างเต็มที่ ถ้าเบรกรถบริเวณล้อหน้ามาจนถึงลำตัวของคนขับจะถูกชนเข้าอย่างเต็มแรงเช่นกัน
      
       จึงตัดสินใจเบรกลากล้อแล้วหักแฮนด์รถวกกลับมาข้างหลังทางซ้ายขงตัว เอง จึงทำให้รถเสียจังหวะการทรงตัว ตัวผมได้ล้มลง ช่วงจังหวะที่ตัวผมล้มนอนลงนั้น รถไฟได้พุ่งชนเข้าทางด้านขวาอย่างเต็มที่
      
       ส่วนหน้าของหัวรถจักรซึ่งมีตะแกรงหรือกันชนเป็นรูนั้น ได้กระแทกเข้ากับแฮนด์ทางด้านขวา ซึ่งเป็นส่วนของคันเร่ง ผู้เขียนกับรถหลุดออกจากกัน หัวรถจักรได้ชนและลากเอารถมอเตอร์ไซค์ติดหน้ารถไปกินซะแล้ว ส่วนตัวของผู้เขียนนั้นกลับนอนค้างอยู่บนรางรถไฟ นอนตัวงอเป็นรูปเกือกม้า ลืมไปว่าล้อรถไฟต้องทับที่ขาทั้งสองข้าง แล้วก็ผ่านมาทับบริเวณคอหรือศีรษะแน่ๆ
      
       ดังนั้น ผมจึงบิดลำตัวออกจากรางรถไฟเหลือไว้แต่ขาทั้ง 2 ข้าง ขาต้องขาดแน่ๆ อยากดูว่าจะเป็นอย่างไร แต่...อย่าดูเลยดีกว่า เลยหันหน้าหนี รอฟังเสียงดังกริ๊บๆดีกว่า คิดว่าคงไม่เจ็บหรอก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันผิดคาด ขาทั้งสองเหมือนถูกเตะอย่างแรง จนทำให้กระเด็นและหมุนคว้างเหมือนกับจานใส่ข้าวที่ถูกร่อนลงไปทางพื้นถนน ตัวผู้เขียนกระเด็นตกลงมานอนในพงหญ้าข้างทางทางด้านซ้ายซึ่งมีต้นสะเดาขนาด ใหญ่ขึ้นอยู่ ผู้เขียนนอนสงบนิ่งแผ่สองสลึงสักพักได้ยินเสียงชาวบ้านประมาณ 3-4 คน ยืนคุยกันอยู่ ฟังดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน เป็นเสียงของผู้หญิงแก่ๆพูดว่า "ไอ้ห่า...ขับรถขับราไม่ดูเลย" "สงสัยเละหมดแล้วมั้ง" "รถไฟเอาอีกแล้ว ไม่บีบแตรเตือนก่อนเลย" ฯลฯ ผู้เขียนเลยลืมตาขึ้นมาเห็นยอดสะเดาลมพัดไหวๆ เสียงผู้คนพูดคุยกัน เฮ้ย! นี่โลกมนุษย์นี่หว่า เราไม่ตายแล้ว แต่เนื้อตัวเราเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ว่าแล้วก็เช็คร่างกายดูทันที
      
       หมุนข้อเท้าซ้าย งอเข่าซ้าย แล้วก็ยกขา O.K. ยังอยู่ หมุนเท้าขวา งอเข่าขวา รู้สึกเจ็บแปลบเหนือเข่านิดหน่อย ไม่เป็นไร ยกขาขวา O.K. ยังอยู่ มาที่มือซ้ายแขนซ้าย O.K.ยังอยู่ มือขวาแขนขวาอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าไม่เป็นไร ผู้เขียนลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นมาทันที กลุ่มหญิงรุ่นแรก(ไม่ใช่แรกรุ่น) ที่ยืนพูดคุยกันอยู่นั้น ร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ ตะโกนขึ้นมาว่า"ผีหลอกตอนเย็นโว้ย" "นึกว่าตายห่าไปแล้ว" ฯลฯ สารพัดคำพูด แล้วผู้เขียนก็เดินไปที่รถไฟซึ่งจอดอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1200 เมตร ผู้คนมุงดูเต็มไปหมด มีคนพูดขึ้นมาว่า "ศพไปไหนวะ ไม่เห็นเลย" นึกสนุกก็ช่วยเขามองหา แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ เลยเดินไปที่ด้านหน้าห้องรถจักร ผู้คนกำลังงัดรถมอเตอร์ไซค์ออกอย่างขะมักเขม้น ก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะออกมาได้ สภาพของรถที่เห็น ยางล้อรถ ตัวถังรถ รวมทั้งเหล็กทั้งหมดได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับกระป๋องเบียร์ถูกทุบให้แบน ทุบแล้วทุบอีก เห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับบ้าน ส่วนแผลที่เหนือเข่าขวาเย็บไป 2 เข็ม มันเจ็บยิ่งกว่าถูกรถไฟชนซะอีก หลังจากนั้นนอนช้ำระบมอยู่เป็นอาทิตย์
      
       ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า กระบวนการทำงานของจิตนั้นมันรวดเร็วมาก ผมว่ามันเร็วกว่าแสงซะอีก
      
       หลวงปู่พูดว่า "ถ้าจิตของเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว มันจะมีพลังมหาศาล และถ้าฝึกนำให้กายกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ มันจะเป็นสิ่งที่สุดยอดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราสามารถจะนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม ได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
      
       ท่านทั้งหลายที่เจริญในธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายคงทราบและเข้าใจได้ดีนะครับว่า ธรรมะและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ค้นพบและสำเร็จมาได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบากและต่อสู้มาด้วยชีวิต เมื่อมาถึงในยุคของเรานี้ ผมพูดได้ว่า มันเป็นสูตรสำเร็จที่มีให้พวกเราทุกชีวิตได้ลองสัมผัส แล้วขณะนี้พวกเราได้เริ่ม "ทำ" กันหรือยัง
       กราบมาด้วยความเคารพยิ่ง
       (ไอ้กุด)