เคยสงสัยไหมว่าอะไรคือพระธรรม พระธรรมมีเอาไว้ทำไมพระพุทธเจ้าทำไมต้องแสดงพระธรรม เราก็ต้องย้อน กลับไป ในอดีตเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน เริ่มต้นจากการมีชีวิต อยู่ของสรรพสัตว์ยุคนั้น จะพิจารณาได้จากการเมืองการปกครอง การแบ่งแยกชั้นวรรณะ ชนเผ่าและสีกลิ่นของบุคคล แบ่งแยกออกเป็น 4 ประเภทคือ
       
       กษัตริย์ วรรณะ 1 มีหน้าที่ปกครองแผ่นดิน
       
       พราหมณ์ มีหน้าที่อบรมสั่งสอนไตรเพท และคัมภีร์คำสั่งสอนของศาสนา รวมทั้งจารีต ประเพณี และบางทีบางครั้งก็ทำการปกครอง บ้านเมืองด้วย แพศย์ มีหน้าที่ทำการติดต่อค้าขายกับธุระเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเกษตรกรรม ศูทร มีหน้าที่รับจ้างเป็นแรงงานเป็นจับกัง และมีอีกชนชั้นที่เหลือเดนเรียกว่า จัณฑาล ที่พ่อกับแม่ต่างวรรณะกันสมสู่กันออกลูกมาถือว่าเป็นที่ไม่เอาไหน ไม่เอาถ่าน ไม่เอาประเทศ
       
       เมื่อพระศาสดาทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณประกาศพระศาสนาอันดับแรก พระองค์เพียงเพื่อจะได้แก้การปกครองและความเชื่อกันมาผิดๆ ในเรื่องของการแบ่งชนชั้นวรรณะ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากพวกกษัตริย์ และพราหมณ์เดินมา พวกศูทรและพวกแพศย์จะไปมองหน้าไม่ได้ ถ้ามองหน้า ก็จะโดนควักลูกตาทิ้ง เพราะถือว่าหลบหลู่เบื้องสูง สุนัขของพราหมณ์ พวกกษัตริย์ พวกแพศย์ พวกศูทรเดินผ่านมา พวกจัณฑาลจะเดินสวนกับสัตว์เลี้ยงของชนชั้นต่างวรรณะไม่ได้ต้องลงไปแอบข้าง ทางแล้วทำความเคารพกับสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น เราจะเห็นว่ามีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะอย่างชนิดเหยียดหยามความเป็นคน
       
       เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา อันดับแรก พระ-องค์เพียงมุ่งหวังให้สรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อยู่ร่วมกันอย่างชนิดที่เกื้อกูลการุญ อนุเคราะห์อุปถัมภ์ค้ำชูต่อกันและกัน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เมื่อเป็นดังนั้นพระองค์มุ่งหวังจะแก้กฎเกณฑ์ของสังคมที่เขานิยมยกย่องกัน ว่า เหยียดย่ำคนต่ำ ยกย่องคนสูง ชมชอบ คนขาว ปฏิเสธคนดำ เมื่อพระองค์ทรงประกาศพระศาสนาของพระองค์ทรงประกาศอุดมการณ์และความเชื่อ ความอยู่ร่วมกันเป็นนโยบายแห่งศาสนาอันดับแรกเลยก็คือ ผู้ที่มีจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างชั้น ต่างวรรณะ ไม่ว่าจะเป็นมาจากกษัตริย์ มาจากพราหมณ์ มาจาก แพศย์ มาจากศูทรหรือมาจากจัณฑาล เมื่อเข้ามาอยู่ในศาสนานี้ มีธรรมเป็นเครื่องมือ มาด้วยพระธรรม มีธรรมเป็นเครื่องอาศัย ถือว่า เสมอภาคกันโดยดุษฎี
       
       จะเห็นว่าพระองค์ทรงแสดงประกาศพระศาสนา เพื่อจะปลด เปลื้องความเดือดร้อนและทุกข์ภัยของสรรพสัตว์ในยุคนั้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด เมื่อเข้ามาอยู่ในศาสนานี้แล้วไซร้ จะไม่มีการแบ่งแยกสี เผ่า และวรรณะ ซึ่งต่างจากลัทธิและศาสนาอื่นๆ ซึ่งมีถึง 600 กว่าลัทธิก็ยังยึดถือวรรณะเป็นเกณฑ์ แต่มีศาสนาเดียวในยุคนั้นที่ไม่ยึดถือวรรณะ แต่ยึดถือธรรมะ ก็คือศาสนาแห่งพระสมณโคดมที่ทรงประกาศออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นหลวงปู่จึงเกิดความเข้าใจในวิญญาณและชีวิตของพระศาสดาที่พระองค์ ทรงประกาศพระศาสนาเพื่อให้ศาสนธรรมซึมเข้าไปในหัวใจของสรรพสัตว์ เพื่อจะให้สรรพสัตว์อยู่ร่วมกันโดยสันติ สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว และต้องเคารพในธรรมซึ่งกันและกันไม่ใช่ด้วยวรรณะและการยกย่อง และด้วยเกียรติ
       
       เพราะฉะนั้น ถ้าจะมาถามกันในจุดยืนว่า ธรรมะคืออะไร ก็คือธรรมะที่สามารถทำให้เราอยู่ร่วมรวมกันได้โดยสันติวิธี มีความนำมาซึ่งความสะอาดสว่าง สงบ มีการนำมาซึ่งความประหยัด และได้ประโยชน์แม้แต่การใช้ชีวิต และโดยการนำมาซึ่งการพัฒนา ตั้ง แต่หัวจรดปลายตีนให้เป็นที่ยอมรับของกันและกัน ไม่ว่าจะมาจากวรรณะใดๆ ให้ยอมรับของกันและกัน ไม่ใช่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่ให้ยอมรับโดยวัยวุฒิ ไม่ใช่ให้ยอมรับโดยชาติวุฒิแต่ให้ยอมรับกันเคารพกันในฐานะที่มีพระธรรม เป็นความเสมอภาคที่พระองค์ ทรงปลดเปลื้อง ความเป็นทาสของกษัตริย์และ พราหมณ์ เมื่อเข้ามาบวชแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นทาสใคร กษัตริย์และพราหมณ์ ที่เคยใช้แพศย์ ศูทรและจัณฑาลเป็นขี้ข้าต่างวัวต่างควาย ถ้าจะเหยียบจะ ย่ำก็ทำได้ เมื่อเข้ามาบวชแล้วอยู่ในศาสนาธรรมนี้ ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ต้องยอมรับกันโดยเหตุปัจจัย
       
       ดูตัวอย่าง "พระมหานามะ" ที่เป็นสุขุมาลชาติ เป็นชาติกษัตริย์ โดยโคตรฝ่ายแม่สมบูรณ์ ฝ่ายพ่อก็บริสุทธิ์ เมื่อถึงตนเข้ามาบวช ความ ที่มีใจคิดที่จะปลดเปลื้องความหยิ่งผยอง ทรนงยโสโอหัง นายภูษา-มาลาการ คือผู้จัดชุดผ้าผ่อนเครื่องทรงที่ตามเสด็จมาส่ง เพื่อจะให้พระมหานามะกับพระราชบุตรทั้งหลาย ให้เข้ามาบวชในศาสนาพระสมณโคดม ราชกุมารทั้ง 6 กลับปฏิเสธที่จะบวชก่อน กลับให้นายภูษามาลาการที่เป็นขี้ข้าต่ำกว่าตนบวชก่อน ท่านผู้นั้นมีนามว่าอุบาลี แล้วเมื่อบวชแล้วเป็นผู้ทรงจำพระวินัยอย่างยอดเยี่ยม ได้รับการเคารพ กราบไหว้กับชนทั้งหลาย ท่านอุบาลีจริงๆ แล้วเป็นคนรับใช้ของพระ-มหานามะ แต่เมื่อบวชมาแล้วพระมหานามะต้องมากราบในฐานะที่เป็นผู้เฒ่าเป็นผู้อาวุโส โดยธรรม เพราะมีอายุในพระศาสนาก่อนตนเพราะฉะนั้นผู้ที่บวชเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นไพร่ฟ้า ข้าราชแผ่นดิน คหบดี เศรษฐี ยาจก หรือพระเจ้าจักรพรรดิจอมราชัน เมื่อบวชเข้ามาแล้ว ก็มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเสมอกันด้วยธรรมวุฒิ คือมีคุณวิเศษในเรื่องของพระธรรม
       
       ซึ่งจากวันนี้ หลวงปู่ได้สังเกตทั้งผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้ปานกลางและหนุ่มสาว เมื่ออยู่ร่วมกันก็เคารพยอมรับกันโดยธรรม ต่างช่วยกันทำ ปฏิบัติพระธรรม โดยการกระทำถือว่าเป็นสิ่งที่มันตรงจุดบริสุทธิ์ถูกต้องต่อคำสอนที่พระศาสดา ต้องการจะแสดงพระธรรม เพียงเพื่อ จะปลดมานะความถือตัวถือตน ทิฐิความเห็นที่บวกกับมิจฉา คือเห็นผิดว่าต้องหยิ่งทระนง จองหอง อวดดีวางก้ามถือตัวว่าข้าเป็นผู้ ใหญ่มีอายุมาก มีพรรษามาก หรือมีความรู้ทางโลกมากเป็นที่ยอมรับของสรรพชนทั้งหลายแต่เมื่อเข้ามาอยู่ใน ศาสนธรรมนี้แล้วต้องถือว่าต้องถอดหน้ากากของตนออกและเมื่อพวกเราร่วมใจร่วม แรงช่วยกันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นคือ กิริยาที่วิเศษสุด มันเป็นกิริยาที่เราไม่รู้ตัวหรอกว่า เราได้ถอดหน้ากากของเราออก ถึงมันจะเหนื่อย แต่มัน ก็เป็นความเหนื่อยเหมือนอย่างวันนี้ที่พวกเรา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันต้องทำอะไร พระธรรมอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเราลองทำลงไปแล้วความระยำตำบอน ความไม่เอาไหนไม่เอาถ่าน มันก็หมดลงไปด้วยความรู้สึกว่าเรายอมรับนิยมที่ได้จากการกระทำของตัวเรา
       
       เราจะรู้สึกถึงรสชาติ และกลิ่นอายของความหอมหวานตลบอบอวลต่อสิ่งที่เราลงมือกระทำมันด้วยชีวิต วิญญาณ แม้แต่การ กวาดขยะ ถูกุฏิ ปัดหยากเยื่อหยากไย่ ล้างห้องน้ำ ถ้าเราทำ มันด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี และเสียสละ ตั้งมั่นที่ฝึกปรือ อบรมตนนั้นแหละ คือสุดยอดของพระธรรม ก็กิริยาอาการเช่นนั้น การที่เราจะลงมือทำงานสักอย่างนึงอย่างน้อยๆ มันก็จะเป็นผลสะท้อนย้อนเรามาให้รู้ว่า ปกติเราเป็นคนเกียจคร้าน สันดานหยาบ หลังยาวไม่เอาไหน แต่ถ้าเมื่อใดที่เรากล้าที่จะทำ และทำมันอย่างเฉียบขาด ต่อการกระทำที่จะทำให้ความระยำให้ลดลงไป ละก็ แม้แต่การเก็บขยะขึ้นมาหนึ่งชิ้นด้วยความเอื้ออาทรและอารี นั้นแหละคือวิธีการทำลายความอัปรีย์ได้อย่างเยี่ยมยอดทีเดียว
       
       แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเห็นกองขยะ แล้วเราก็ยังเดินผ่าน ไปไม่ใส่ใจแสดงว่าไม่มีพระธรรมอยู่ในใจ เราไม่ได้ปฏิบัติ พระธรรม พระธรรมในที่นี้ไม่ได้มีเอาไว้ให้คุยอวดกัน พระธรรมในที่นี้ไม่ได้มีเอาไว้ให้ทำลายกฎระเบียบของสังคมพระธรรมในที่นี้มี เอาไว้สนับสนุนให้ทำอะไรที่อยู่รอบข้างให้เต็มไปด้วยความมีประโยชน์และ ประหยัด ที่สุด นั่นแหละคือ คุณสมบัติพระธรรม แล้วถ้าตราบใดที่เราคุยกับคนอื่นว่าเรามีพระธรรม แต่ยังทำอะไรที่ระยำ อยู่ตลอดกาลยังเป็นคนเกียจคร้าน สันหลังยาว ยังทำตัวเองเป็นคนทระนง จองหองอวดดี ไม่ยอมรับเหตุและผลของใครละก็ แสดงว่าเรายังไม่มีพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วถ้าเราใช้อะไรที่มันสุรุ่ยสุร่ายไม่ใช้ให้มันอย่างคุ้มค่าและเต็มไปด้วย ความประหยัดแสดงว่าเราไม่เข้าใจพระธรรม รวมความแล้วถ้าจะถามว่าพระธรรม คืออะไร พระธรรมก็คือ สิ่งที่ทำลายความระยำทั้งปวงนั่นแหละ
       
       เพราะฉะนั้นท่านที่รักทั้งหลายอยากจะเตือนในฐานะญาติสนิทว่าพระธรรม นั้นไม่สามารถจะมาแสดงแจกแจง และจำหน่ายออกมาเป็นข้อเป็นเรื่องเป็นราวได้ เหตุผลก็เพราะ พระธรรมนั้น มันคือชีวิตที่เปี่ยมไปด้วย คุณภาพมากไปด้วยสรรพประโยชน์ สำหรับหลวงปู่แล้ว ไม่สามารถจะบอกได้อย่างชนิดเด็ดขาดว่า อะไรคือพระ ธรรม เพราะพระธรรมนี้มันสอนให้เรามีชีวิตอย่างมีศิลปะ เกิดขึ้นก็ด้วยศิลปะ สุดท้ายก็ตายอย่างมีศิลปะด้วย
       
       รวมความแล้วถ้าที่ไหนยังมีความคิดแตกแยก มีความเห็นไม่ลงรอยมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง จงรู้เถิดว่าคนเหล่านั้นไม่เข้าใจพระธรรม ไม่รู้จักพระธรรม และถ้าบ้านเมืองใด ประเทศใด วัดใด ยังมีความเห็นเป็นนานาความเห็นอยู่ คือความเห็นที่ไม่กลมเกลียวสมัครสมานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ก็ถือว่าบ้าน นั้น เมืองนั้น ประเทศนั้น วัดนั้น ยังไม่มีพระธรรม ที่ผ่านมานี้ก็ เป็นการแสดงออกให้เราได้รู้ว่า มันอยู่กันอย่างไม่มีพระธรรม มันถึงระยำกันอยู่ตลอดเวลา