ถามนายสุวิทย์หน่อย มหาทั้งสององค์ท่านไปทำอะไรให้นาย เห็นนายจ้องจองล้าง จองผลาญ จองเวรท่านนัก ทำไมไม่นึกถึงความรู้สึกตอนที่ตัวเองถูกตำรวจบุกจับคากุฎิบ้าง ?
ตอบ:
มหาทั้งสองไม่เคยมาทำอะไรให้ฉันดอกนะ
ส่วนประเด็นที่พุทธะอิสระเขียนวิจารณ์ถึงพฤติกรรมของมหาทั้งสองอยู่บ่อยๆ นั้นก็เพราะ สิ่งที่มหาทั้งสองกระทำจนคุ้นชินเป็นอาจิณ มันเป็นอันตรายต่อพระธรรมวินัย และความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อสังฆมณฑลในพระพุทธศาสนา
ในฐานะที่พุทธะอิสระ ยอมทุ่ม ยอมเสี่ยง ออกไปสู้กับพวกอลัชชี ที่โกงเงินวัด และสำนักลัทธิธรรมกาย ที่ขายบุญจนทำให้สถาบันครอบครัวล่มสลาย ทั้งยังบิดเบือนพระธรรมวินัยให้วิปริต
จนมาถึงวันนี้ เคยคิดว่าไม่น่าจะมีอลัชชีสงฆ์ใด กล้าแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงย่ำยีพระธรรมวินัยอีกแล้ว
แต่กลับต้องมาเห็นคนที่บวชเรียนมาจนได้เปรียญธรรมสูงสุด มีปริญญาหลายใบ และเป็นถึงนาคหลวง มาทำการย่ำยีพระธรรมวินัย ทำลายตระกูลสงฆ์ ละเมิดอาบัติชั่วหยาบเป็นอาจิณ
อีกทั้งเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง แทนที่จะห้ามปรามให้มหาทั้งสองหยุดพฤติกรรม กลับปล่อยปละ ละเลย เพิกเฉย ทั้งที่วัดสร้อยทองเป็นสำนักเรียนทั้งธรรม และ เรียนทั้งบาลี
แต่เจ้าอาวาสกลับปล่อยให้ศิษย์ของสำนักเรียนที่เป็นถึงมหาเปรียญ ๙ ละเมิดพระธรรมเป็นอาจิณ เช่นนี้ ก็เท่ากับเจ้าอาวาสช่วยกันปกปิดอาบัติชั่วหยาบ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ละเมิดจรรยาพระสังฆาธิการ ผิดกฎหมายและละเมิดพระธรรมวินัย
ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ จักทำให้พุทธะอิสระอยู่นิ่งเฉยอยู่ได้กระนั้นหรือ
ส่วนที่คุณถามฉันว่า ทำไมไม่นึกถึงความรู้สึกตอนที่ตำรวจบุกจับฉันคากุฎิบ้าง
ตอบว่า นึกสิ ก็เพราะนึกนี่แหละ จึงได้รู้ว่า มหาทั้งสองไม่ได้ซึมซับเอาพระธรรมที่ศึกษาเข้าไปในสมอง จิตวิญญาณแม้แต่น้อยนิดเลย
ดูได้จากเวลามหาทั้งสองประสบทุกข์ยาก เดือดร้อน ก็โวยวาย ตีโพยตีพาย ฟูมฟาย ขี้มูก ขี้ตา รอการระบายอย่างที่คนทั้งแผ่นดินเขาเห็นไงเล่า
ไอ้พฤติกรรมของเด็กแบบนี้นี่แหละ ที่น่าเป็นห่วงบรรดาพวกเอฟซีทั้งหลาย ว่าได้สัมผัสซึมซับเอาอารมณ์ธรรมเมาของมหาไปมากน้อยเพียงใด และถ้าหากพวกเอฟซีเหล่านั้นประสบทุกข์ยากเดือดร้อนขึ้นมาบ้าง พวกเขาจะหาทางออกแบบมหาไหม
 
พุทธะอิสระ