สู่ร่มกาสาวพัสตร์
      
       หลังจากที่มาอยู่วัดอ้อน้อยได้ ๓ วัน ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๒ ได้มีพิธีปลงผม โดยมี หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นผู้ปลงผมให้นาคทั้งหมด ๙๓ คนซึ่งจะบวชที่ศาลาธรรม แล้วจากนั้นพวกเราก็ไปปลงผมต่อกันเอง โดยมีพระพี่เลี้ยงและญาติของแต่ละคน คอยช่วยปลงผมให้อีกที พอถึงตอนเย็นๆ มีพิธีอาบน้ำนาค โดยมีหลวงปู่ เป็นผู้นำอาบน้ำให้นาค และเณรจาก ภปร.ราชวิทยาลัย ที่บวชพร้อมกันอีก ๑๖๐ รูป กว่าจะเสร็จพิธี เล่นเอาหนาวเหมือนกัน เพราะญาติของนาค และลูกหลานหลวงปู่ มากันเยอะ อีกอย่างช่วงนั้นอากาศเริ่มที่จะหนาวแล้ว
      
       ตกกลางคืน พวกเราไปพักอยู่ที่กลดของแต่ละคน ความที่เป็นนาคเพิ่งปลงผมใหม่ๆ ยังไม่ชินกับการที่ไม่มีผม แล้วต้องมาอยู่กลดมุ้งใส ทีนี้หละ! เวลาจะมุดมุ้งในกลด หรือออกจากกลด หัวจะต้องโดนมุ้งกระชากทุกที และอากาศก็เริ่มเย็นแล้ว ผมพักอยู่ริมทุ่ง ลมโชยดีเหลือเกิน จนรู้สึกหนาว บางครั้งลมแรงดีเกินไป พัดเอามุ้งมาฉุดกระชากหัวเราที่ยังโล้นๆ อยู่ ทำให้ต้องตื่นเป็นระยะๆ\
      
       พอรุ่งเช้าจึงมีอาการหวัดนิดหน่อย เพราะเมื่อคืนอากาศเย็น บรรยากาศของวันนี้ เป็นเรื่องของพิธีการรับผ้าไตรพระราชทาน และพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งจัดขึ้นในตอนเย็น พิธีการเป็นไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน แฝงไปด้วยกลิ่นอายของประเพณี วัฒนธรรม มรดก ของบรรพบุรุษเรา ที่ต้องการให้ผู้ที่จะบวช หรือนาค ได้ระลึกรู้ถึงบุญคุณ บิดา มารดา ว่าท่านเลี้ยงดูเรามาด้วยความยากลำบาก วันนี้แล้วหนาพ่อนาคก็จะได้กระทำหนทางหนึ่งในการตอบแทนบุญคุณท่าน ด้วยการมาบวชในพระศาสนา สืบทอดเผ่าพันธุ์แห่งชาวศากยะต่อไป
      
       อีกทั้งพิธีนี้ยังเป็นการเตรียมการให้นาค ได้มีจิตใจที่พร้อมต่อการเดินเข้าสู่หนทางใหม่ มีสภาวะสถานะใหม่ ชนชั้นใหม่ วิถีอันใหม่ ในทางธรรมที่เรียกว่า "โลกุตระ" (โลกุดร, โลกุตตระ, โลกุตระ- พ้นจากโลก, เหนือโลก, พ้นวิสัยของโลก, ไม่เนื่องในภพทั้งสาม คู่กับ โลกิยะ) เมื่อเสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญแล้ว ก็กลับมาพักผ่อนเตรียมตัวที่จะบวชเป็นภิกษุในวันรุ่งขึ้น
      
       เช้าวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ วันนี้เป็นวันที่ผมรอคอยมานานแล้ว รู้สึกอิ่มเอิบใจ เป็นสุขใจมาก ซึ่งตามกำหนดการต้องตื่นกันตีสี่ เพื่อมาทำวัตรเช้า พอถึงตีสี่ฝนก็เทลงมาพอประมาณ เลยทำให้นาคทุกคนต้องตื่น รีบแต่งตัวสวมชุดนาคอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนจะรู้ว่านี่เป็นวันสำคัญเลยต้องมาปลุก พอนาคมาพร้อมกันที่ศาลา ฝนก็หยุด จึงเป็นที่น่าประหลาดใจ จากนั้นเป็นพิธีการขอขมาญาติ ตอนสายจึงเริ่มพิธีบวชเป็นเณรก่อน โดยมีเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ที่โบสถ์
      
       จากนั้นพระทั้งหมด ๙๓ รูป ต้องแบ่งไปทำพิธีบวชที่โบสถ์วัดอื่นอีก ๒ วัดคือ วัดทัพหลวงกับวัดวังตะกู เพราะมีผู้บวชมาก และการบวชชุดละ ๓ รูปนั้น แต่ละชุดใช้เวลาหลายสิบนาทีแล้ว ดังนั้นถ้าทำพิธีที่เดียวคงจะช้า พอดีผมได้บวชที่โบสถ์วัดอ้อน้อย แต่เป็นคนสุดท้ายของชุดสุดท้ายด้วย จึงต้องนั่งรอฟังเขาสวดตั้งแต่เช้าถึงบ่าย กว่าจะได้ทำพิธีเกือบเย็น
      
       ภายหลังจากทำพิธีบวชเปลี่ยนจากนาคเป็นภิกษุ ผมได้ฉายาทางธรรมว่า "อนาลโย" ความรู้สึกครั้งแรกที่ออกจากโบสถ์มีความสุข ปีติมาก อิ่มเอิบ ซาบซ่าน ไม่มีครั้งใดในชีวิตที่จะมีความรู้สึกที่ยิ่งกว่าความสุขอย่างนี้ เพราะว่ากว่าที่เราจะเกิดเป็นคนก็ยากแล้ว ยิ่งได้เกิดเป็นชายแล้วได้มาบวชอีกยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ที่สำคัญบวชแล้วได้มาเจอ คุรุ ผู้นำทางวิญญาณที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคนี้ก็ยิ่งยากลำบาก จึงรู้สึกว่าได้เกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้ ไม่เสียชาติเกิดแล้ว บุญอันใดหนอที่ชักพาเรามา แล้วจะทำบุญกุศลอย่างไรหนอ จึงจะได้มีโอกาสอย่างนี้ทุกชาติไป
      
       จากนั้นผมก็อุ้มบาตรออกจากโบสถ์ เห็นโยมพ่อ โยมแม่ และคนอื่นๆ มาคอยใส่บาตร มาถวายข้าวของเงินทองมากมาย ผมจึงนำไปถวายวัดหมด รู้สึกปลื้มใจ พวกเขาคงอยากได้บุญจากพระใหม่ที่มีศีลบริสุทธิ์ซึ่งเพิ่งออกจากโบสถ์ ผมได้แต่อนุโมทนาบุญกับเขาเหล่านั้นด้วย วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ ๕ ธันวาคม มีผู้คนมาใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้งกันมากมาย และช่วงบ่ายได้มีการหล่อพระโพธิสัตว์ทั้ง ๔ องค์
      
       หลังจากการบวชเสร็จสิ้น ช่วงแรกที่อยู่วัดก็เรียนธรรมศึกษา หลักสูตรนักธรรมตรี เรียนพระวินัย เรียนศาสนพิธี และเรียนพุทธประวัติ โดยมีพระพี่เลี้ยงในวัดอ้อน้อยคอยชี้แจง อบรมสั่งสอน เพราะช่วงแรกนั้นหลวงปู่ไม่ค่อยว่าง ท่านต้องคอยอบรมเณร จนผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ หลังจากที่ท่านสอนเณร พาเณรไปธุดงค์กลับมา และเณรสึกออกไปหมดแล้ว ท่านจึงมาอบรมสั่งสอนพวกเราต่อ
      
       ปุยเมฆ
      
       มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ให้หนังสือเรื่อง "อุดมการณ์การดำรงพันธุ์" แก่พวกเรา เพื่อมาอ่าน แล้วท่านก็ออกข้อสอบให้พวกเราเขียนคำตอบส่ง โดยเป็นการถามเกี่ยวกับความหมายของภิกษุ นักบวช สมณะ พระ แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้พระใหม่ได้ตระหนัก สำนึกในหน้าที่ ซึ่งความหมายที่หลวงปู่เคยอธิบายไว้คือ
      
       วิถีชีวิตของ "ภิกษุ" ต้องเป็นผู้สำรวมระวังกิริยาอาการแห่งตน มีการตั้งมั่นของจิต อยู่ผู้เดียว สันโดษ รู้จักพอดีในสิ่งที่มีที่ได้ ทำลายความถือตัวถือตน สกัดความจองหอง อวดดี หลุดจากความโง่ โลภ โกรธ ไม่ข้องแวะต่อเครื่องผูก มีชีวิตประดุจปุยเมฆท่องไปในอากาศ เพราะว่าปุยเมฆนั้นล่องลอยไปยังสถานที่ต่างๆ มิได้เกาะเกี่ยว ยึดเหนี่ยวสิ่งใด อยู่เฉพาะที่ใดๆ และที่สำคัญปุยเมฆยังความร่มเย็น เป็นฝนที่ชุ่มช่ำ ให้แก่สรรพสัตว์ สรรพสิ่ง เปรียบได้ดั่งชีวิตของภิกษุ ที่ต้องเดินทางแสวงหาธรรม ไม่อยู่ยึดติดในที่ใดๆ กับใคร หรือสิ่งไหน และยังประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์
      
       มีธรรมวิธีที่เรียกว่า "มรรคาวิถี ๘ ประการ" คือ เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตชอบ เป็นเครื่องอยู่ ไม่ประมาทในการรักษาศีล ดำรงสติมั่น หวงแหนระวังรักษาพรหมจรรย์ยิ่งกว่าชีวิตของตน เพียรปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญ ชำระบาป ต้องไม่ยึดติด แม้ในบุญและบาปนั้น
      
       วิถีชีวิตของนักบวช ก็คือ มีความเพียรเพ่งอยู่ ชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาด ปราศจากอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง นั้นจึงชื่อว่า "นักบวช"
      
       ส่วน "สมณะ" นั้น หลวงปู่ได้เขียนบทโศลกอธิบายไว้ว่า
      
       "ลูกรัก...ขอเพียงเจ้าบรรเทา ละวาง ความยินดีที่มีในสรรพชีวิต สรรพวัตถุ และของเล่นทั้งหลายได้เด็ดขาด ละเว้นจากการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ไม่ปล่อยตนเองให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจมิได้ปรุงแต่ง ให้เกิดอารมณ์ใดๆ ความสงบระงับทางกาย วาจา ใจ ก็เกิดขึ้น เช่นนี้ต่างหาก จึงเรียกว่า สมณะ"
      
       สำหรับวิถีชีวิตของ "พระ" ไม่มักมากในทาน ไม่ติดในตระกูล ไม่ให้ความสนิทสนมกับผู้ใดผู้หนึ่งในบ้านหรือนอกบ้าน ไม่ติดในที่อยู่ ไม่ติดในที่อาศัย ไม่ติดทั้งภายในกายและนอกกาย เปรียบดังหยดน้ำ ที่ไม่ติดบนใบบัวฉันนั้น วิถีชีวิตของพระต้องไม่สร้างกรรมอันเป็นเหตุปัจจัย ของภพ ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ เป็นผู้สำรอกแล้วซึ่งเหตุปัจจัยนั้นๆ มีปัญญา ทำ พูด คิด ไม่โอ้อวด พ้นแล้วจากเครื่องกังวลทั้งปวง มีความเพียรเพ่งอยู่ในการปฏิบัติธรรม เพื่อวิถีแห่งความดับและเย็น นั่นคือ นิพพาน
      
       วินัยบัญญัติ
      
       ในตอนบ่ายวันหนึ่งของอากาศที่หนาวเหน็บในเดือนธันวาคม ใต้ลานโพธ์หน้าหอกรรมฐาน หลวงปู่บอกให้พวกเรามารวมกัน แล้วท่านได้แนะนำสั่งสอน วินัยบัญญัติ เป็นการทบทวนให้พวกเราอีกครั้ง หลังจากที่เรียนจากพระพี่เลี้ยงมาแล้ว เพื่อความเข้าใจที่กระจ่างชัดขึ้นหลังจากที่บวชมาได้หลายอาทิตย์แล้ว หลวงปู่ได้สอนพระธรรมวินัยไว้ พอสรุปได้คือ
      
        ความหมายของระเบียบวินัย
      
       ความจำเป็นของระเบียบวินัยมีเอาไว้ให้เราได้อยู่ร่วมกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว เป็นปึกแผ่นแน่นหนาเดียวกัน อันลงรอยกันได้ มีการกระทำ คำพูด ที่เป็นข้อ วิธี วิถีทางเดียวกัน และไม่ทำให้ต้องแตกแยกกัน ออกจากกันและกัน ในสังคมก็ตาม ในชีวิตประจำวันก็ตาม
      
       ความหมายของระเบียบวินัยและกติกาที่มีอยู่ในสังคมสิ่งรอบตัว หลวงปู่ได้อธิบายว่าเป็นความหมายของการสร้างดุลยภาพ ดุลถ่วงให้แก่ชีวิตเราและการอยู่ร่วมกัน เพราะถ้าเมื่อใด สังคมใดปฏิเสธระเบียบวินัย ปฏิเสธกฏเกณฑ์ กติกา สังคมนั้นก็ขาดดุลถ่วง ใครพอใจจะทำอะไรก็ทำ ถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีระเบียบวินัย แล้วก็เกิดความร้าวฉาน เกิดความรู้สึก อึดอัด ขัดเคือง ต่อกันและกัน ใครพอใจที่จะพูดอย่างไรก็พูด ทำอย่างไรก็ทำ คิดอย่างไรก็คิด แสดงอย่างไรก็แสดง โดยไม่คำนึงว่าการ ทำ พูด คิด แสดงนั้น ทำลาย ก้าวก่าย สิทธิของใคร นี่เป็นความหมายของการขาดระเบียบวินัยในบ้าน ในเมือง
      
       ส่วนในพระศาสนานั้นหลวงปู่บอกว่า ถ้าผู้คนมาอยู่ร่วมกัน โดยมาจากเผ่าพันธุ์ต่างกัน จากหลายที่ หลายถิ่น หลายสกุลวงศ์ แล้วไม่มีกติกา กฎเกณฑ์ ข้อตกลงกันเป็นพื้นฐานว่าจะทำอะไรเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือนกัน มันก็กลายเป็นตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ แล้วความหมายของความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความสามัคคี กลมเกลียว ก็จะหายไป ดังนั้นคนที่อยู่ในบ้านเมืองใด ตำบลท้องถิ่นใด สังคมใดๆ ต้องอยู่ด้วยความสมัครใจ
      
       พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ผู้ที่จะเข้ามาบวช จึงต้องมี "ศรัทธา" มีความเชื่อ เชื่อว่าเราจะปฏิบัติตามกฎ กติกา ของบ้านเมืองนั้นได้ แล้วเราจะเอาตัวเอง น้อมเข้าไปอยู่ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นความลำบากใจรู้สึกอึดอัดใจ ยินดีที่จะทำตามกติกาของบ้านเมืองนั้น ท้องถิ่นนั้น เมื่อเราเข้าไปแล้วยอมรับมันได้ ก็จะเป็นเรื่องเป็นราวที่เราจะมีความสุขได้ในการเป็นอยู่ร่วมกัน แต่ถ้าไม่ศรัทธา ไม่เชื่อ และเข้าไปอยู่ แล้วยอมรับไม่ได้ ก็จะสร้างความทุกข์เดือดร้อนขึ้นมา
      
       การปฏิบัติตามธรรมวินัยหัวใจสำคัญ คือ "ความเชื่อ ความศรัทธา" ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา เราจะปฏิบัติพระธรรมวินัยไม่ดี จะขาด บกพร่องไปหมด กฎเกณฑ์ กติกาของศาสนา นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างกันและกันในส่วนตนและส่วนตัวแล้ว ยังต้องมีสัมพันธภาพอันดีต่อสรรพสิ่ง สภาวะแวดล้อม ธรรมชาติ หรือแม้แต่จิตวิญญาณสำนึกของเราเอง ทุกส่วนของเรา เซลล์ต่างๆในร่างกายเรา พลังงาน ปราณ ลมหายใจ และความรู้นึกคิดของเรา รวมทั้งสารอาหารที่ได้จากการสกัดอาหารที่กินเข้าไปแห่งเรา เลือดเนื้อทุกหยาดหยดแห่งเรา กติกา กฎเกณฑ์แห่งพระศาสนายังเอื้ออำนวยสุขให้แก่มัน ให้สรรพสิ่งที่อยู่ในตัวเรา เป็นไปด้วยความพร้อมเพรียง สมัครสมานฉันท์ กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน และผู้ที่มีกฎเกณฑ์กติกาอย่างนี้เท่านั้น จึงจะเป็นคนที่แกร่งกล้า องอาจ และสง่างาม สามารถที่จะคงทนต่อทุกสภาวะ
      
       อานิสงส์
      
       พระธรรมวินัยนอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างเรากับคนอื่นๆ แล้ว ยังให้สัมพันธภาพอันดีระหว่างเรากับตัวเราเอง อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเรา เซลล์ทุกส่วนในร่างกายเรา ช่วยประคับประคองให้มันอยู่ร่วมกันได้ด้วยความรู้สึกพึงพิง อิงแอบอาศัย ถ้อยทีถ้อยอาศัย และอาทรการุณต่อกันและกัน
      
       อย่างเช่น พระธรรมวินัยบอกเราว่า การไม่กินอาหารเย็น สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ คนที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจริงๆ จะไม่เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด จะไม่เป็นโรคเบาหวาน ไม่เป็นโรคความจำเสื่อม ไม่เป็นโรคความดันในกระแสเลือดสูง ไม่เป็นโรคแคลเซียมเกาะกระดูกมาก และไม่เป็นโรคเครียด ไม่เป็นโรคปลายประสาทฟ่อ เพราะโดยปกติอาหารมื้อเย็นไม่ได้เป็นมื้อที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นมื้อที่เกินความจำเป็น มื้อที่สำคัญที่สุดคือมื้อเช้า รองลงมาคือมื้อกลางวัน อาจเป็นเพราะว่าเราเคยชินกับการได้กิน ถ้าไม่ได้กิน ทำให้รู้สึกว่า เราขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง จริงๆ แล้วมันขาดได้ มีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องสิ้นเปลือง สุขภาพก็จะดีขึ้น
      
       หลวงปู่ยังบอกอีกว่า หากเราได้ทำการปรับธาตุในร่างกายให้เข้าที่ได้แล้ว ท้องที่ว่างๆ ในตอนเย็นนั้น มันจะทำให้ลำไส้ และกระเพาะอาหารได้พักผ่อน เป็นการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อลำไส้ การย่อยอาหารจะดีขึ้น การที่เรากินหลายมื้อตลอดเวลา เรียกว่าเป็น การบั่นทอนสุขภาพ
      
       เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจึงให้ประโยชน์ต่อเราได้ มันทำให้เราสร้างสัมพันธภาพอันดีต่อกายนี้ และมีสัมพันธภาพต่อผู้อื่นด้วย และยังสามารถช่วยเหลือประคับประคอง กาย วาจา ของเราให้สงบ ตั้งมั่น มีขันติธรรม มีความอดทน อดกลั้น ต่อสภาวะแวดล้อมที่บีบคั้นได้ เพราะเรามีขันติธรรม มีพระธรรมวินัย
      
        ขันติธรรม
      
       คนที่ปฏิบัติตามตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จริงจัง จะเกิดขันติธรรมโดยปริยาย คือ ทนต่อความหิวที่บีบคั้นในกายตน ทนต่อการยั่วยวนทางกาย วาจา หรือ ตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส ดังนั้นผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจึงกลายเป็นผู้มีขันติโดยปริยาย
      
       จริงๆ อานิสงส์ที่บอกไว้ในตำรา คือ ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติไม่เกิดวิปฏิสาร คือ ไม่เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ แต่เกิดความรื่นเริงในขณะที่เข้าไปอยู่ในหมู่คณะ มีความตั้งมั่น มีสติตั้งมั่นได้ง่าย มีความแช่มชื่นใจ และทำให้ผู้ที่มาจากนานาๆ สกุล เผ่าพันธุ์ อายุขัย มาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข และมีระเบียบวินัย
      
       การปฏิบัติตามธรรมวินัย
      
       หลวงปู่เปรียบพระธรรมวินัย ดังเข็มกับด้าย ที่ร้อยบุปผาชาตินานาพันธุ์ ต่างสีต่างกลิ่น ให้รวมกัน และกลายเป็นพวงอุบะ อันสวยงามได้ เป็นพวงมาลัยอันสง่างามได้ นี่คือคุณสมบัติของพระธรรมวินัย ในเรื่องของความหมายของการจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น สำหรับพระนวกะ (พระใหม่) จะต้องได้เรียนจากหนังสือ "นวโกวาท" ซึ่งจะมีอนุศาสน์ ๘ อย่าง โดยแบ่งออกเป็น ๒ หัวข้อใหญ่คืออกรณียกิจ หรือกิจที่ทำไม่ได้ กับ นิสัย ๔
      
       นิสัย คือสิ่งที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ จิตวิญญาณของนักบวช ซึ่งนักบวชที่บวชเข้ามาแล้วต้องทำจนเป็นนิสัย ใน ๔ ข้อนี้ ไม่ใช่ทำด้วยการจำ แต่ทำจนเป็นนิสัย เรียกว่า ทำมันจนเป็นจิตวิญญาณ และชีวิตของภิกษุ นิสัยทั้ง ๔ ข้อนี้ ก็คือ ๑. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๒. อยู่โคนไม้ ๓. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๔. บิณฑบาตเป็นวัตร
      
       นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
      
       สมัยก่อนนั้น ไม่มีผ้าขาย คนที่จะบวชต้องไปดึงเอาผ้าที่เขาหุ้มศพมา เพราะในประเทศอินเดียสมัยก่อน ไม่นิยมที่จะฝัง หรือเผา พอคนตายจะเอาผ้ามาพันศพแล้วปล่อยทิ้งไว้ เมื่อพระที่บวชในพระศาสนาปรารถนาที่จะมีเครื่องนุ่งห่ม เครื่องทรงของนักบวช พระพุทธเจ้าก็ทรงชี้ว่า นั่นผ้าบังสุกุล นั่นผ้าห่อศพ ท่านจงไปเก็บมาย้อม และเย็บ ให้เป็นเครื่องนุ่งห่มของท่าน พระจึงมีหน้าที่ไปเก็บเอาผ้าเหล่านี้ มาซัก มาย้อม และมาเย็บ จนกลายเป็นเครื่องนุ่ง เครื่องห่ม พระเก่าจะนุ่งห่มผ้าที่ไม่บังสุกุลไม่ได้ และผ้าที่เป็นของคฤหัสถ์ก็ไม่ได้ ต้องนุ่งห่มผ้าของนักบวช คือ ผ้าบังสุกุลเท่านั้น ต่อมาก็มีอนุบัญญัติ ให้ภิกษุรับคหบดีจีวรได้ อย่างเช่นที่ภิกษุนุ่งห่มในปัจจุบัน ที่เรียกว่า คหบดีจีวร
      
       อยู่โคนไม้
      
       หลวงปู่บอกว่าไม่อยากให้ภิกษุที่บวชน้อยวันแล้วจะละเลยความหมายของ พระศาสนา ละเลยความหมายข้อใหญ่ของนิสัย ๔ ที่พระอุปัชฌาย์สอนเอาไว้ อยากให้สัมผัส หรือสำเหนียก พิสูจน์ ทราบถึงวิถีชีวิตของนักบวชโบราณว่า มีชีวิตแบบใดบ้าง แล้วจะได้รู้สึกภาคภูมิ ศรัทธาในวิถีของนักบวชที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ เพราะว่าสมัยก่อนไม่ค่อยมีวัด เย็นๆ ก็จะไปอาศัยตามสุมทุมพุ่มไม้ หัวไร่ปลายนา เรือนว่าง ป่าช้า ชะง่อนผา จอมปลวก ถ้ำ คูหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของพระ ที่จัดอยู่ในประเภทของการอยู่โคนไม้ตามพระธรรมวินัย
      
       ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
      
       น้ำมูตรเน่าคืออะไร? หลวงปู่ได้อธิบายให้เข้าใจว่ามันคือ น้ำเยี่ยวของโคดำ แต่เดี๋ยวนี้หาน้ำเยี่ยวของโคดำไม่ได้ ซึ่งทางวิชาการแพทย์ เยี่ยวที่ทิ้งออกมาจากร่างกายเรา เมื่อตกตะกอนแล้ว มันจะมีสารที่เป็นยาและมีฮอร์โมน ไขมัน เกลือแร่ มีสิ่งที่ร่างกายสกัดไม่ได้ และเป็นสารตกค้างขับถ่ายออกมา สามารถเอามาประกอบเป็นตัวกษัยยาได้ นี่คือความรู้แพทย์สมัยสองพันกว่าปีก่อน เขาเอามาดองกับรากไม้ ว่านยา ใบไม้ เปลือกไม้ หรือ แก่นไม้บางชนิด จนทำให้เกิดการตกผลึก นอนก้น ผสมผสานกันระหว่างสารที่มีอยู่ใน ยี่ยวกับสารที่มีอยู่ในรากไม้ แก่นไม้ ใบไม้ เหล่านั้น เป็นสูตรสำเร็จทางเคมีที่ประกอบเป็นยารักษาโรคได้ นั่นคือที่มาของ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
      
       บิณฑบาตเป็นวัตร
      
       บิณฑบาตเป็นวัตร รวมถึงการฉันอาหาร คือต้องไม่เป็นผู้ที่รวนเรในการบิณฑบาต คือไปทางใดก็ไปทางนั้น รับแล้วต้องไปทางนั้น บิณฑบาตเป็นวัตร มันเป็นความหมายของการซื่อตรงของตน ว่าเราจะรับบาตรด้วยความซื่อตรง รับบาตรด้วยความเมตตา อาทร ด้วยคิดจะอนุเคราะห์ รับบาตรด้วยความไม่ละโมบ นี่คือวิถีทางของการรับบาตร
      
        อกรณียกิจ
      
       "อกรณียกิจ" คือ กิจที่ภิกษุไม่ควรทำมีอยู่ ๔ อย่างคือ เสพเมถุน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ อวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งหลวงปู่ได้อธิบายให้แจ่มชัดลงไปว่า ข้อว่าด้วย "เสพเมถุน" คือการเสพเมถุน กับสัตว์ มนุษย์ ซากศพ และกับบุคคลทั่วไป ข้อว่า "ฆ่าสัตว์" ก็คือห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิด (แต่ในปาราชิก ๔ หมายถึง สัตว์ที่เป็นมนุษย์) เพราะเป็นภิกษุต้องมีเมตตา ข้อ "ลักทรัพย์" คือห้ามลักทรัพย์ทุกชนิดโดยไม่จำเป็นว่ามีราคาเท่าไร ส่วนการพูด "อวดอุตริมนุสธรรม" พูดโดยเจตนาที่อยากอวด ต้องการให้ผู้ฟังเชื่อเราว่าเรามี อวดด้วยความคิดว่า เราเป็นผู้วิเศษในสายตาของผู้ฟัง หรือก็คืออย่าพูดโกหกนั่นเอง เจตนาเหล่านี้ถือว่าเป็นอกรณียกิจ อกรณียกิจเป็นข้อที่ห้ามไว้กว้าง ไม่มีโทษตายตัว เด็ดขาด แต่อย่าทำ
      
        ไตรสิกขา
      
       เมื่อรู้อนุศาสน์ ๘ แล้ว ต่อไปคือ สิ่งที่ภิกษุจะต้องศึกษามีอยู่ด้วยกัน ๓ อย่างคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
      
       "ศีล" เมื่อศึกษาแล้วจะ "รักษา" กาย วาจาใจ ให้ตั้งมั่น
      
       "สมาธิ" ศึกษาแล้ว "ทำให้" ใจตั้งมั่นได้
      
       "ปัญญา" ศึกษาแล้วทำให้รอบรู้เท่าทันกระบวนการของกองสังขาร กองสังขารที่รวมทั้งร่างกายของเรา ร่างกายของผู้อื่น สัตว์อื่น บุคคลอื่น และสิ่งอื่นๆ รอบๆ ตัวเรา ซึ่งประกอบด้วย ธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่คือ การศึกษาโดยปัญญา
      
        อาบัติ
      
       อาบัติ มี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และทุพภาสิต
      
       "อาบัติ" คือ กิริยาที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ และมีโทษเหนือตนอยู่ พระบัญญัติ ก็คือ ข้อห้าม และข้ออนุญาตที่พระศาสดาทรงตั้งขึ้น เมื่อผิดพระบัญญัติถือว่าเป็นอาบัติ
      
        ความหมายแห่งนักบวช
      
       พระธรรมวินัย ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่ศึกษา ไม่จัดว่า เป็นการครบองค์ประกอบของนักบวช ไม่ครบความหมายแห่งนักบวช ไม่ใชสูตรสำเร็จของนักบวช และเมื่อผิดจะมาอ้างว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ เหมือนคนที่ทำผิดกฎหมาย จะมาอ้างว่าไม่รู้กฎหมายก็ไม่ได้ ถึงจะรู้หรือไม่รู้ ก็ยังมีความผิด เพราะฉะนั้นกิริยาล่วงละเมิดที่ทำให้เกิดอาบัติ จะมาอ้างไม่รู้ก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พระอุปัชฌาย์ บอกแก่ผู้บวชตั้งแต่วันแรกให้รู้เรื่อง กติกา และนิสัยของนักบวช กติกาหรืออกณียกิจมี ๔ นิสัยมี ๔ เรียกว่า อนุศาสน์ ๘ แล้วก็สอนให้เรียนรู้เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญาตั้งแต่อยู่ในโบสถ์ บวชครั้งแรกสอนให้เรียนรู้เรื่องสัจจะปัญจะกัมมัฏฐาน (คำศัพท์บาลีอาจจะไม่ตรง : ผู้เขียน) คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ และ พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรามีสติ ในการรักษาศีล มีสติในการรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย มีสติในการพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจสอบ พิสูจน์ทราบในการกระบวนการคิด พูด ทำ จะได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด หลวงปู่ท่านจึงบอกว่า การอยู่ในพระธรรมวินัยนั้น ต้องรู้ให้ชัด รู้ให้จริง รู้แล้วต้องทำได้ และต้องมีกระบวนการในจิตวิญญาณ
      
        ความตระหนักสำนึก
      
       เช้าวันหนึ่งที่อากาศหนาวเหน็บมาก ทำให้พระนวกะหลายรูปไม่ได้มาร่วมทำวัตรเช้า สวดมนต์ ซึ่งปกติจะมีพระนวกะบางรูป บางกลุ่ม ไม่มาร่วมทำสังฆกรรมคือขี้เกียจ เริ่มทำตัวตามใจกิเลสตน แต่วันนี้อากาศหนาวมาก ยิ่งทำให้พระน้อยลงไปอีก ตอนเช้าและตอนสายของวันนั้นหลวงปู่จึงได้สอนว่า ที่หลายท่านไม่มาร่วมทำสังฆกรรมเหมือนกันนั้น เพราะไม่มีความตระหนักสำนึก ไม่มีความสำนึกในหน้าที่ของนักบวช ทำตัวเป็นดักแด้ หลวงปู่บอกว่า วิถีพุทธ ที่พวกเรากำลังดำเนินอยู่นี้ เป็นวิถีทางที่จะต้องฝืนกับกระแสของโลก การที่เราเพียรพยามจะกระทำดีนั้น บางครั้งก็ต้องฝืนกับชีวิตของผู้คนในทางโลก
      
       เหมือนดั่งพระโพธิสัตว์ ที่พยายามจะว่ายทวนกระแส ไม่ให้ตกอยู่ในวังวนแห่งกระแส สรรพชีวิตทั้งหลายยังรู้จักที่จะเอาตัวรอด รู้จักที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อให้อยู่รอด ชีวิตของคนก็เหมือนกัน เป็นวิถีชีวิตที่ประเสริฐ ดังนั้นจึงต้องฝึกหัด ปฏิบัติเรียนรู้ ทำให้คนกลายเป็นมนุษย์ เป็นการทำชีวิตให้ทวนกระแส เหมือนดังปลาว่ายน้ำทวนกระแสเพื่อจะไปวางไข่ ให้เผ่าพันธุ์ของตนได้ดำรงต่อไป น้ำที่อยู่รอบๆ ตัวปลา ก็คืออารมณ์รอบๆ ตัวเรา ซึ่งมีทั้งน้ำแห่งอารมณ์ชอบ ชัง ยอมรับ ปฏิเสธ ลากถูเราไปสู่น้ำที่สกปรก เชี่ยวกราก วกวน รุนแรง ดังนั้นมนุษย์ ถ้าไม่ฝึกหัด ปฏิบัติ เรียนรู้ ก็จะทำให้ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ
      
       แล้วหลวงปู่ก็ได้พูดถึงความหมายของคำว่า "ตบะ" ว่าการสร้างสมบุญ บารมี สะสมปัญญา นำมาซึ่งคำว่าบุญ และการจะเป็นคนแกร่ง คนกล้าได้นั้นต้องได้มาจากคำว่า อดทน อดกลั้น เมื่ออะไรเกิดขึ้นกับใจ จะเกิดโดยชอบธรรมหรือชอบใจก็ตาม ต้องอดทนอดกลั้นได้ และต้องไม่เป็นการเบียดเบียนตน ไม่ทำร้าย ทำลายประโยชน์คนอื่น ทำลายดุลยภาพ ประโยชน์ส่วนรวม
      
       ดังนั้น ทุกคนจึงต้องมีความตระหนัก ต้องมีความสำนึกถึงสถานภาพว่า ตอนนี้เราเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ทำแล้วได้บุญมากน้อยแค่ไหน มีบารมีไปแล้วเท่าไร อย่าปล่อยให้ตกอยู่ในความอยาก ต้องปลดปล่อยเครื่องร้อยรัด พันธนาการต่างๆ ในคุกขังของสมอง การบวชเพื่อสั่งสมเนกขัมมะบารมี ต้องไม่บวชแต่ซาก หากบวชแต่ซากเป็นการซื้อนรก เราต้องมีความเพียร มานะ เราต้องบำเพ็ญบารมีด้วยความอดทน มานะ บากบั่น เพื่อจะได้ไม่เป็นการดูถูกข้าว น้ำของชาวบ้าน เมื่อมาบำเพ็ญบารมี มาสร้างตบะ ต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงใหลไปกับอารมณ์แห่งความชอบ ยอมรับ ปฏิเสธ น้ำดีนั้นย่อมที่จะไม่ยุ่งกับน้ำครำ น้ำคลอง เทียนย่อมไม่เปียกน้ำ บุรุษแกร่งจึงย่อมไม่หมักหมมในสิ่งโสโครก ความผิดถูกนั้นมีอยู่กับทุกคน ไม่ต้องคิดที่จะเปลี่ยนคนอื่น ให้เปลี่ยนตัวเองให้เข้าสู่สังคม มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ต้องไม่ปฏิเสธสังคม อย่าไปเปลี่ยนคนอื่นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคนอื่น
      
       จงทำวิถีชีวิตให้เหมือนน้ำ เพราะน้ำสามารถจะอยู่ได้ในทุกที่ ทุกถิ่น แล้วเราจะได้เป็นคนยิ่งใหญ่ในโลก หัดที่จะใช้สิ่งแวดล้อมเป็นครูสอน หลวงปู่ท่านได้พูดไว้ว่าอยากให้ทุกคนเหมือนกันในการเรียนรู้พระธรรม ดังคำโบราณที่ว่าน้ำหยดบนหินทุกวัน หินยังกร่อน สำคัญคือหิน (ตัวเรา) จะยอมให้น้ำ (พระธรรม) หยดหรือเปล่า ขยันที่จะทำดีให้แก่ชีวิตตัวเอง แล้วการบวชจะได้เป็นการบำเพ็ญบารมีที่แท้
      
        อบรมพระวิปัสสนาจารย์ ณ วัดปลักไม้ลาย
      
       เมื่อได้อบรมศึกษาธรรมที่วัดอ้อน้อยได้ประมาณครึ่งเดือน ความสงบแห่งชีวิตสมณะก็มาสู่พวกเรามากขึ้น จนวันหนึ่ง หลวงปู่ได้แจ้งให้พวกเราทราบว่า จะพาพวกเราไปร่วมอยู่ธุดงค์กับพระในจังหวัดนครปฐม เพื่ออบรมพระวิปัสสนาจารย์ (รุ่นที่ ๑ ครั้งที่ ๒) ที่วัดปลักไม้ลาย เป็นเวลาทั้งหมด ๗ วัน
      
       การได้ธุดงค์ครั้งแรกหลังจากบวชนั้น พระนวกะทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ใช้ชีวิตของพระที่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวกันอย่างไร ในเช้าวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ หลังจากตื่นนอนทุกคนก็เก็บสัมภาระที่เห็นว่าจำเป็น โดยเฉพาะกลดสามฤดูใหม่ที่ทุกคนนำไปด้วย แต่ผมไม่ได้เอาไปเพราะเห็นว่ามันหนัก จึงใช้กลดมุ้งใสธรรมดา พอฉันเช้ากันเสร็จ ทุกคนมารวมตัวที่ศาลา เพื่อแบ่งกลุ่มและทำความเข้าใจว่าเราต้องไปทำอะไร ไปในฐานะอะไร ลูกศิษย์ใคร
      
       พวกเราเริ่มเดินจากวัดอ้อน้อย ไปวัดปลักไม้ลายซึ่งก็มีระยะทางประมาณ ๕-๖ กม. โดยมีของติดตัวไปไม่มากทั้งผ้าครองสามผืน บาตร กลด ผ้ายาง และของใช้ส่วนตัว ดูพระแต่ละองค์ท่าทางทะมัดทะแมง โดยทยอยกันเดินไปเป็นกลุ่ม การเดินทางในครั้งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกองทัพธรรม ออกไปเผยแผ่ธรรม แสวงบุญ แต่ดูแล้วกองทัพยังขาดระเบียบไปหน่อย ยังเล่นๆ กัน เดินไปคุยไป เมื่อถึงวัดปลักไม้ลายก็ฉันเพลที่นั่น บริเวณรอบวัดดูร่มรื่นดี มีต้นไม้เยอะ แล้วเคยเป็นป่าช้าเก่าด้วย ความเก่าแก่จะเห็นได้จากมีต้นไม้เก่าแก่เช่น ต้นโพยพาย อายุกว่า ๑๐๐ ปี จากนั้นพวกเราก็หาสถานที่ปักกลด โดยผมเลือกที่ใต้ต้นไม้หน้าสุสาน บริเวณรอบๆ วัดเป็นป่า มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ส่วนใหญ่เป็นการปลูกต้นไม้ สมุนไพรต่างๆ สภาพป่าก็เป็นป่าจริงๆ ไม่ค่อยได้ดูแลกันมาก ผมเห็นมีการตั้งเตาสำหรับกระทะใบใหญ่ เพื่อต้มยาสมุนไพร ทั้งยาแก้กษัย ยาบำรุงธาตุต่างๆ ซึ่งยาบางชนิดเมื่อฉันแล้วเป็นยาระบายดี
      
       การได้มาร่วมอบรมครั้งนี้ทำให้เห็นว่า วิถีของการปฏิบัตินั้นมีความสำคัญอย่างไร ดังคำโอวาทของพระเทพคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดที่กล่าวไว้ว่า "...การเรียนธรรมะนั้นต้องฝึกทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การได้มาอบรม ฝึกฝนนั้น เป็นการแสดงออกซึ่งความตั้งใจมั่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงต้องตั้งใจ เรียนรู้ปฏิบัติให้เต็มความสามารถ ให้เต็มกำลัง เพื่อทำความเจริญงอกงามแก่ตนและพระศาสนา โดยมีพระธรรมเป็นที่หมาย เพื่อเป็นสัตบุรุษ และจะได้เจริญในธรรมยิ่งๆ เพราะว่าพระภิกษุในจังหวัดนครปฐมนี้มีความเจริญ มีความสามารถทางด้านปริยัติก็มาก เปรียญธรรม ๙ ประโยคก็มาก หรือไม่ก็มีพระเกจิอาจารย์ที่มุ่งเป่า ปลุกเสก เอาวัตถุมาเป็นศรัทธาสร้างวัด เป็นการสร้างความเจริญเฉพาะบุคคลคนหนึ่ง ในสมัยหนึ่ง ไม่ได้ยั่งยืน มิได้ก่อให้เกิดความเจริญแก่พระศาสนาในระยะยาว ดังนั้นเรื่องการปฏิบัติธรรม จึงเป็นของยั่งยืน มั่นคง ไม่มีกาล ไม่มีสมัย ทุกคนสามารถทำได้ สามารถดึงดูดศรัทธาผู้คน ให้เข้ามาปฏิบัติ ตรงกับคำสอนอย่างแท้จริง เราอาจจะเห็นได้จากพระป่า ที่มักจะมีผู้คนนิยม ชื่นชม เพราะท่านอยู่แต่ป่าดง ปฏิบัติ ปล่อยวาง ละเว้น ไม่มีอะไรเป็นเครื่องห่วง ดังนั้นเราต้องส่งเสริมให้ครบสูตรตามหลักธรรมทั้ง ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ ในเรื่องของการศึกษาปริยัตินั้นเป็นการศึกษาวิชาการใดๆ ในโลก ที่ต้องทำการค้นคว้า ทำการศึกษา ออกไปจากตัว แต่การปฏิบัติเป็นการเรียนเข้ามาหาตัวเอง เรียนตัวเอง พิจารณาให้เกิดปัญญา พิจารณาตัวเองเป็นหลัก..."
      
       ก่อนที่จะมีการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ก็มีการ สมาทานธุดงค์ (สมาทาน-การถือเอารับเอาเป็นข้อปฏิบัติ, การถือปฏิบัติ เช่น สมาทานศีล คือรับเอาศีลมาปฏิบัติ) โดยมีหลวงปู่เป็นผู้นำ ซึ่งมีรายละเอียดคือ
      
       ๑. ถือจีวร ผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร
       ๒. งดเว้นการเที่ยวโลเล เพื่อบิณฑบาตร เดินเป็นแถว
       ๓. งดเว้นภาชนะที่สอง ฉันแต่ในบาตร
       ๔. งดเว้นเสนาสนะของชาวบ้าน อยู่แต่ในป่า
       ๕. งดเว้นที่มุง ที่บัง อยู่โคนไม้เป็นวัตร
      
       จากนั้นหลวงปู่ก็พูดเสริมว่า มันเป็นภาระหน้าที่ของชาวสมณะ ตามความหมายแห่งพระอริยวินัย สิ่งที่ต้องเรียนรู้และต้องทำความเข้าใจในเรื่องผลแห่งการกระทำ กฎของกรรม เน้นเรื่องการทำดีได้ดี การจะทำดีนั้นมันต้องค่อยๆ ทำ ทำไปเรื่อยๆ ดังน้ำที่หยดลงตุ่ม สักวันหนึ่งมันก็จะเต็มตุ่มขึ้นมาเอง!
      
       จากการที่ได้มาอยู่ร่วมฝึกอบรมกับพระวิปัสสนาจารย์หลายวันนั้น พอที่จะสรุปถึงสิ่งที่ผมรับรู้ เข้าใจ สัมผัส ได้ดังนี้

        ศิลปะในการหายใจ (พื้นฐานวิชาลมเจ็ดฐาน)
      
       หลวงปู่ได้กล่าวแก่พวกเราระหว่างที่อบรมว่า ต้องพยายามหาโอกาสฝึกปรือสรรพวิชาให้แกร่งกล้า โดยการมีสติที่ตั้งมั่น เมื่อมีสติก็เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็เกิดปัญญา สติที่พูดถึงนี้คือ สติที่ไม่จำกัดเวลา และรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะจิต เป็นมหาสติคือระลึกรู้ทุกอิริยาบถว่ากายนี้มีความตั้งมั่น ที่สำคัญคือใจ เราต้องเอาชนะด้วยวิถีทางของผู้นำ ผู้กล้า
      
       เมื่อจะเริ่มต้นเจริญสติทุกครั้งนั้น ท่านจะสอนให้พวกเราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นลมหายใจไว้สักพัก แล้วปล่อย เราจะกลายเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ ไม่เหลวไหล เราต้องมีวิธีชาญฉลาดที่จะเอาชนะ ถ้าง่วงก็บิดตัว หมุนตัว จากนั้นจึงหลับตา นั่งตัวตั้งตรง โครงสร้างของกระดูกต้องไม่งอ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมออกยาวๆ หายใจเข้าทางจมูก ผ่านลำคอ อก ช่องท้อง เมื่อจะหายใจออก ก็ให้ลมนั้นผ่านมาทางกระดูกสันหลัง คือศีรษะ และพ่นออกมาทางปาก เมื่อหายใจได้อย่างนี้จนเป็นปกติแล้วจึงเอาจิตนั้นมาจับที่โครงกระดูก ที่กะโหลกศีรษะ ให้ไล่จากบนลงมาทางหน้าผาก เบ้าตา สันจมูก บริเวณปาก ฟัน คาง แล้วย้อนขึ้นทางด้านข้าง จนถึงช่องใบหูทั้งสองข้างแล้วก็ย้อนกลับมาที่กระหม่อมอีกครั้ง โดยเอามือคลำที่กะโหลกศีรษะ แล้วเอาจิตจับที่การจับกะโหลกนั้นไปด้วย
      
       หลวงปู่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าเกิดจิตฟุ้งซ่าน ให้กลั้นลมหายใจเอาไว้ การที่เราฝึกอย่างนี้บ่อยๆ พยายามที่จะข่มใจเอาไว้ เมื่อปฏิบัติได้ถึงจุดจุดหนึ่งแล้วจะสามารถสัมผัส รับรู้ รับทราบถึงสิ่งต่างๆที่ปราณีตขึ้น มีการสัมผัสที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น จะรู้รสสิ่งอันเลิศ จะมีการสัมผัสอันละเอียด แต่ถ้าไปหลงใหล ไปยึดติดกับมัน จะทำให้หลงได้
      
        อานาปานสติ
      
       อานาปานสติ คือ การพิจารณาลมหายใจเข้า-ออก รู้อารมณ์ขณะหายใจ หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ต้องรู้ว่าเราหายใจเข้าสั้นหรือยาว อย่างนี้เป็นการพิจารณาแบบอานาปานสติ การพิจารณาอานาปานสติถือได้ว่า เป็นชีวิต เป็นเครื่องอยู่ เป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นลมหายใจ ผู้ที่เจริญอานาปานสติ อย่างสม่ำเสมอ สามารถทำให้กระดูกเป็นผลึกได้ อานาปานสติเป็นการใช้สติ พิจารณาภายในลมหายใจ พิจารณาระลึกอยู่แค่ปลายจมูก ให้รู้ว่าเข้ายาว ออกยาว ให้ "รู้" อยู่แค่นั้นแต่ไม่ได้ให้ตามกองลม (ถ้าฝึกแบบลมเจ็ดฐาน ต้องตามกองลมไปตามจุดต่างๆ) ซึ่งตาม "คัมภีร์วิสุทธิมรรค" ได้บอกไว้ว่า ถ้าตามกองลมนั้น จะทำให้งานมากขึ้น ดังนั้นขอเพียงแค่มีสติ รับรู้กองลมที่เข้า-ออก
      
       แต่หลวงปู่บอกว่า ชอบที่จะทำงานมากๆ ให้กับจิต เพราะจิตมันว่องไว รวดเร็ว โดยที่เราตามรู้ลมเข้า เข้าไปตามจุดต่างๆ กระทบตรงปลายจมูก รูจมูก หลอดลม คอ หน้าอก ช่องท้อง โดยให้เป็นการหายใจเข้าที่สูดกลิ่นอาย ชีวิต พลัง ความสามารถ สิ่งดีๆ เข้าไป แล้วผ่อนลมออก ก็รู้ว่าลมออกมาไปกระทบโครงสร้างของตน โดยผ่านโครงกระดูกสันหลัง หัวไหล่ ต้นคอ ขึ้นมาถึงจอมประสาท แล้วผ่อนลมออก (เคล็ดการเดินลมแบบตัว "จ") อย่างผ่อนคลาย ยาว สบาย การที่จะกำหนดลมหายใจได้สั้นยาว แค่ไหนนั้น ต้องดูที่ศักยภาพของกายเราด้วย ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้แนะวิธีการฝึกให้เป็น ๔ ระยะคือ
      
       ระยะที่ ๑ - รับรู้ เพียงแค่ลมหายใจเข้า-ออก ให้มีแต่เพียงการรับรู้
       ระยะที่ ๒ - หายใจเข้า-ออก แล้วนับเป็นคู่ โดยนับเป็นคู่ๆ ไป
       ระยะที่ ๓ - หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว โดยต้องผ่อนคลาย
       ระยะที่ ๔ - อาสติจับอยู่แต่ที่ลมหายใจ
      
       เมื่อเราฝึกฝนไปถึงขั้นหนึ่งตามแบบอานาปานสติ ก็จะถึงขั้นปฐมฌาน จะทำให้ดูเหมือนว่า ลมหายใจนั้นหายไป แต่จริงๆ แล้วยังหายใจอยู่ แต่เบา สบาย จนไม่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้น สิ่งที่สำคัญต้องมีสติ ระลึกอยู่ว่าเรากำลังหายใจอยู่ เมื่อทำได้อย่างนี้ จะเป็นการเอาชนะตัวเอง เอาชนะความง่วงได้ ซึ่งขึ้นอยู่ที่การฝึก และสรรหาวิธีอันชาญฉลาดมาใช้ฝึกตน
      
        การโยกโคนรับรู้น้ำหนัก (พื้นฐานวิชาเท้านารี)
      
       ระหว่างที่อยู่วัดปลักไม้ลาย บางครั้งหลวงปู่ได้มาแนะนำวิธีฝึกสติแบบการโยกโคนรับรู้น้ำหนัก โดยมีวิธีการดังนี้คือ ให้ยืนอย่างผ่อนคลาย ตั้งตัวตรง เท้าห่างกันเล็กน้อยประมาณฝ่ามือหนึ่ง ปลายเท้าขนานกัน สายตาทอดลงต่ำ ขั้นแรกให้พยายามจับน้ำหนักสมดุลของร่างกาย โดยน้ำหนักทั้งหมดต้องลงมาที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างเสมอกัน เมื่อรับรู้ว่าเรากำลังยืนอยู่และน้ำหนักที่ฝ่าเท้าสมดุลแล้ว ก็ค่อยๆ ถ่ายเทน้ำหนักไปทางซ้าย โดยค่อยๆ โน้มตัวไปตามน้ำหนัก เท้าขวาลอยยกส้นเท้าขึ้นแต่ปลายเท้ายังแตะพื้น แล้วค่อยๆ ถ่ายเทน้ำหนักมาทางขวา โดยจับที่น้ำหนักของร่างกาย ความสมดุลของน้ำหนักในร่างกาย คล้ายๆ กับการเอียงถุงน้ำ ที่น้ำหนักถ่ายเทไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยเอาสติจับที่น้ำหนักทางขวา เท้าซ้ายยกส้นลอย ปลายเท้าแตะพื้น (พื้นฐานวิชาเท้านารี) จากนั้นก็ถ่ายเทน้ำหนักไปมาซ้าย ขวา โดยเอาสติจับที่น้ำหนัก รับรู้ว่าเท้าด้านหนึ่งน้ำหนักมากขึ้น เท้าอีกด้านหนึ่งน้ำหนักค่อยๆ น้อยลง ดูความเป็นไปของน้ำหนัก และความสมดุลของร่างกายไปเรื่อยๆ หากทำไปเรื่อยๆ เราจะรับรู้ถึงไออุ่นบางอย่าง เกิดที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง โดยไออุ่นชนิดนี้เป็นปราณอย่างหนึ่ง การฝึกอย่างนี้ เป็นการทำให้ลำไส้ ระบบขับถ่ายดี โดยที่หากฝึกประจำ จะทำให้การเดินรวดเร็วขึ้น เบาขึ้น ยาวขึ้น เหนื่อยน้อย เพราะเป็นการเดินตามหลักฟิสิกส์ (PHYSICS) การที่ถ่ายเทน้ำหนักไปมานั้น จะทำให้เกิดความสมดุลในการก้าวเดินได้อย่างดี
      
        อบรมพระวิปัสสนาจารย์ ณ วัดวังตะกู
      
       ประสบการณ์อันล้ำค่าที่ได้รับจากหลวงปู่อย่างหนึ่งก็คือการได้มาร่วม อบรมพระวิปัสสนาจารย์ของพระในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นการอบรมครั้งที่ ๓ ของพระรุ่นที่ ๑ จากจำนวนทั้งหมด ๗ ครั้ง ใช้เวลาอบรมทั้งหมด ๑๕ วัน หลักสูตรที่ใช้ในการอบรมพระครั้งนี้คือหลักสูตร "มหาสติปัฏฐาน" ซึ่งเรื่องราว ความรู้ วิชาต่างๆ มากมาย หลวงปู่ได้ถ่ายทอด บอกกล่าวเล่าสอนให้พระทั้งหมดได้รับรู้ ซึ่งผมขอเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในการอบรมครั้งนี้ โดยผมจะพยายามรวบรวมองค์ความรู้ หลักธรรมต่างๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ประโยชน์สูงสุด เท่าที่จะทำได้
      
        มูลกำเนิดมหาสติปัฏฐานสูตร
      
       (จาก พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ ๑๔ ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า ๒๕๘-๒๙๐)
      
       เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า
      
       "...ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นหนทางเดียว ก็เพราะชนชาวแคว้นกุรุสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งได้..."
      
       เล่ากันว่า ชาวแคว้นกุรุ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจด้วยเสพปัจจัย คือฤดูที่สบาย เพราะแคว้นนั้น สมบูรณ์ด้วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะ เป็นต้น ชาวกุรุนั้น มีกำลังปัญญา อันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อุดหนุนแล้ว จึงสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งนี้ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเห็นความเป็นผู้สามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกัมมัฏฐาน ๒๑ ฐานะ ใส่ลงในพระอรหัต ตรัสมหาสติปัฏฐานสูตร ที่มีอรรถลึกซึ้งนี้ แก่ชาวกุรุเหล่านั้น เปรียบเสมือนบุรุษได้ผอบทองแล้ว พึงบรรจงใส่ดอกไม้นานาชนิดลงในผอบทองนั้น หรือว่าบุรุษได้หีบทองแล้ว พึงใส่รัตนะ ๗ ลงฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันนั้น ทรงได้บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้แล ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงสูตรอื่นๆ อีก มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตร ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ก็คือ สติปัฏฐานสูตร รุกโขปมสูตร มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร
      
       อนึ่ง บริษัท ๔ ในแคว้นกุรุนั้น ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่โดยปกติโดยที่สุด คนรับใช้และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่เกี่ยวด้วยสติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ ที่กรอด้าย เป็นต้น ก็ไม่มีการพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า "แม่จ๊ะ แม่ใส่ใจสติปัฏฐานข้อไหน" ถ้านางไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนนางว่า "น่าตำหนิชีวิตของเจ้าจริงๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว" จากนั้นก็จะสอนว่า อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้เรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง แต่ถ้าสตรีใดพูดว่า "ฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ" ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรองว่า "สาธุ สาธุ" แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคำต่างๆ เป็นต้นว่า ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตดีสมกับที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าแท้ๆ ในข้อนี้ มิใช่ชาวกุรุที่เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยการใส่ใจสติปัฏฐานแต่พวกเดียว เท่านั้น แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่อาศัยชาวกุรุอยู่ ก็ใส่ใจเจริญสติปัฏฐานด้วยเหมือนกัน
      
       มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ เป็นหัวใจสำคัญของการเจริญกัมมัฏฐาน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
      
       - กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
       - เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
       - จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
       - ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
      
       ซึ่งจะต้องแยกในการพิจารณาทีละข้อ หัวข้อที่หลวงปู่ได้อบรมครั้งนี้เป็นเรื่องหมวด "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ซึ่งมีหัวข้อย่อยสำหรับการพิจารณา แยกย่อยออกอีก ๖ บรรพ (อ่านว่า บัพพะ , บรรพ-ข้อ, เล่ม, หมวด, ตอน, กัณฑ์) ดังนี้คือ
      
       - อานาปานบรรพ
       - อิริยาบถบรรพ
       - สัมปชัญญบรรพ
       - ปฏิกูลบรรพ
       - ธาตุบรรพ
       - นวสีวถิกาบรรพ
      
       จากพระไตรปิฎก (ฉบับซีดีรอม มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย) เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อที่ ๒๗๓ หน้าที่ ๒๙๘ ได้บันทึกเกี่ยวกับ มหาสติปัฏฐาน หมวด กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไว้ว่า
      
        มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
      
       [๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
      
       สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า "พระพุทธเจ้าข้า" พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
       จบอุทเทสวารกถา
      
       [๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นภายในกายอยู่อย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเรา หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้า สั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอด กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกอง ลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า
      
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักยาว เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่าเราชักสั้น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่าเราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเรา จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดังพรรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายใน กายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้ง ภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็น ธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อม ในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียง สักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย อยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       จบอานาปานบรรพ
      
       [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดินก็รู้ชัดว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิด ขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่น อยู่ว่า กายมีอยู่ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อัน ตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ฯ
       จบอิริยาบถบรรพ
      
       [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัวในการ ก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ใน การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็น กายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมี อยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ ไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       จบสัมปชัญญบรรพ
      
       [๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปาก สองข้าง เต็มด้วยธัญชาติต่างชนิดคือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร บุรุษผู้มีนัยน์ตาดีแก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าว เปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือน กัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนัง เป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดังพรรรณนามา ฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภาย นอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็น ธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของ เธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       จบปฏิกูลมนสิการบรรพ
      
       [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ แหละ ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปกติ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฆ่าโค แล้ว แบ่งออกเป็นส่วน นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปกติ โดย ความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตไฟ ธาตุลม ดังพรรณนา มาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       จบธาตุมนสิการบรรพ
      
       [๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพอง มี สีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่าง นี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       [๒๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิก กินอยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มี อย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามา ฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภาย นอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็น ธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของ เธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าง นี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       [๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ ฯลฯ
       [๒๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้นเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ ฯลฯ
       [๒๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็น ผูกรัดอยู่ ฯลฯ
       [๒๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว เรี่ยรายไปใน ทิศใหญ่ทิศน้อย คือ กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้ง ไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกหลังไปทาง หนึ่ง กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทาง หนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึี่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟันไปทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง เธอ ย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คง เป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณา เห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กาย มีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและ ทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
       [๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกมีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์ ฯลฯ
       [๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป ฯลฯ
       [๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้ แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความ เป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอก บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจาณาเห็นธรรมคือความ เสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็น กายในกายอยู่ ฯ
       จบนวสีวถิกาบรรพ
      
       .................จบกายานุปัสสนา.......................

        นำสู่มหาสติปัฏฐาน
      
       เริ่มต้นอบรมวันแรก หลวงปู่ท่านได้ปฐมนิเทศ โดยเน้นย้ำถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมของพระ เพื่อให้ยังศรัทธาแก่ชาวบ้าน ผู้คน มหาชนทั้งหลาย โดยต้องเป็นการศรัทธาที่เกิดจากดุลยภาพของชีวิตนักบวช ไม่ใช่โดยสถานภาพของผู้ห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ในเรื่องของหลักมหาสติปัฏฐานนั้น ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั้งหมด ทุกอิริยาบถที่ทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาด โดยเรื่องสำคัญก็คือการฝึกสติ รักษาสติให้คงที่ จัดระเบียบของกายจนเป็นระบบของใจ ต้องสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖ หมั่นฝึกปรือ ฝึกหัดให้เกิดสติ และคงสติไว้กับตัวตลอดเวลา
      
       มหาสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องของการฝึกหัด ปฏิบัติ ด้วยตัวเอง เพื่อให้ตนมีสติตั้งมั่น โดยยืน เดิน นั่ง นอนจะได้ไม่ผิดพลาด มีความรู้สึกตัวอยู่ภายในกาย ไม่ส่งออกไปข้างนอก ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็เรียกว่า สมาธิ คือความตั้งมั่น ในเรื่องของมหาสติปัฏฐาน ซึ่งแบ่งได้เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น พระพุทธเจ้าบอกให้เราพิจารณาทีละข้อ ไม่ใช่พิจารณารวมกัน เฉพาะข้อ "กาย" ก็มีย่อยออกไปอีก ๖ บรรพ โดยทั้งหมดเป็นการพิจารณาอยู่ภายในกายตน ว่ากายนี้มีอะไรบ้างที่น่าศึกษา ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นการเรียนรู้เพื่อเข้ามาหาตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากวิชาการต่างๆ ทางโลกที่เป็นการเรียนรู้สิ่งข้างนอกตัวเรา
      
       แม้กระทั่งในระหว่างที่อบรมก็ต้องมีการฝึก จัดความเป็นระเบียบทั้งแถวที่นั่ง การตรงต่อเวลา การถอดรองเท้า การเดินเป็นแถว การบิณฑบาตรเป็นแถว ก่อนจะอบรมต้องมีการ "สมาทานธุดงค์" เพื่อเป็นการปลุกจิตสำนึกให้แก่พระ เป็นการสร้างมหาสติ เป็นธรรมวินัย ที่ใช้ในการปฏิบัติร่วมกัน การสมาทานธุดงค์ครั้งนี้คือ ถือครองผ้าบังสุกุล๑ ถือครองผ้าไตรจีวร๑ บิณฑบาตเป็นวัตร๑ บิณบาตเป็นแถว๑ บิณฑบาตโดยใช้ภาชนะเดียว๑ อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร๑
      
       หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเรียน "มหาสติปัฏฐานสูตร" ในการเล่าเรียนของพระพุทธศาสนานั้นจะมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ โดยที่ คันถธุระนั้น คือธุระฝ่ายคัมภีร์ ธุระก็คือการเรียนพระคัมภีร์ หรือเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาปริยัติธรรม ส่วนวิปัสสนาธุระ คือธุระฝ่ายวิปัสสนา ธุระด้านการเจริญวิปัสสนา กิจพระศาสนาในด้านการบำเพ็ญกรรมฐาน ซึ่งมีทั้ง สมถะกัมมัฏฐาน (กรรมฐานคือสมถะ, งานฝึกจิตให้สงบ) และ วิปัสสนากัมมัฏฐาน (ความเห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม, ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์อันให้ถอนความหลงผิดรู้ผิดในสังขารเสียได้, การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัด ภาวะของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันเอง)
      
       การอบรมแบบวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของ มหาสติปัฏฐานสูตรนี้ ที่ผมพอจะจำได้ในเรื่องหลักการพิจารณาแต่ละบรรพนั้น ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน ผมจึงขออนุญาตหลวงปู่เรียบเรียงจากที่ท่านสอน บอกกล่าว เล่า ถ่ายทอด วิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาแต่ละบรรพ พร้อมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจดังนี้
      
        อานาปานบรรพ
      
       ในหมวดของกายานุปัสสนากัมมัฏฐานนี้ สิ่งสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นลำดับก่อนหลัง โดยสิ่งแรกที่ทรงตรัสไว้ คือเรื่อง อานาปานะ หรืออานาปานสติ การพิจารณากายของอานาปานะ นี้ คือการพิจารณาดูลมหายใจ นั่นเอง โดยจะเห็นได้จาก คำกล่าวในพระไตรปิฎก (บางตอน) ที่ได้กล่าวไว้ว่า
      
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ดี ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ (ขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติ หายใจเข้า ย่อมมีสติ หายใจออก
      
       เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
       เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
       ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
       ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหาายใจทั้งปวง หายใจออก
       ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร (คือลมหายใจเข้าและหายใจออก) หายใจเข้า
       ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
      
       ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกบ้าง
      
       ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง
       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง
       ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง
      
       ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ ไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
      
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้...
      
       จากข้อความบางตอนที่ได้กล่าวถึงเรื่อง อานาปานะ หรือที่เราคุ้นเคยกันก็คือการฝึกอานาปานสติ เพียงแค่พิจารณาภายในลมหายใจ พิจารณาระลึกอยู่แค่ปลายจมูก ให้รู้ว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ให้ "รู้" อยู่แค่นั้น อานิสงส์ของอานาปานะนั้นมีมากมายสามารถจะทำให้กระดูกเป็นแก้ว เป็นพระธาตุก็ยังได้ ดังที่พระอริยเจ้าหลายรูปที่มีข่าวว่ามรณภาพแล้ว อัฐิกลายเป็นพระธาตุ แก้ว ผลึกใส ขุ่นบ้าง สีบ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการได้เจริญอานาปานะอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องการเจริญอานาปานะนั้น เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะง่ายๆ เพราะไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ วิธีการ หลักการที่มากมาย เยอะแยะ รู้เพียงแค่ลมหายใจอย่างเดียว ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องไม่ยาก
      
       แต่ในทางปฏิบัตินั้นผมยอมรับว่าค่อนข้างยากสำหรับตัวผม เพราะการที่เราพยายามจะเอาจิตมาจับที่ลมหายใจนั้น แรกๆ ดูสงบดี พอเจริญสติไปได้สักพัก ในธรรมชาติของจิต ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร มักคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ สารพัดที่จิตจะไปจับอยู่ภายนอกกาย ยิ่งเราบังคับจิต มันก็ยิ่งดื้อ ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยถามหลวงปู่ว่า เราจะบังคับจิตไม่ให้คิดเวลาทำสมาธิได้อย่างไร ท่านย้อนถามว่า เราบังคับลมที่พัดอยู่ในอากาศได้ไหม ผมตอบว่าไม่ได้ครับ ท่านจึงบอกว่าเช่นเดียวกัน ธรรมชาติของจิตนั้น ไม่มีทางที่เราจะบังคับมัน ตราบใดที่เรายังไม่รู้เท่าทันมัน ยิ่งเราบังคับมันก็ยิ่งกดดัน ทำให้จิตนั้นอยากหนีมากขึ้น ทางที่ดีควรจะผ่อนคลาย หากจิตมันกำลังจะคิดเรื่องไหน ก็ให้มีสติรับรู้ว่ากำลังคิด อย่าไปบังคับว่าไม่ให้คิด ขอให้มีสติรับรู้เพียงว่ามันคิด แล้วก็น้อมจิตมาจับที่ลมหายใจต่อ
      
       ในหลักของการฝึกอานาปานะนั้น ผมมิอาจมีปัญญาสูงส่งอธิบายได้หมด ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่าน และศึกษาได้จากหนังสือ คัมภีร์ต่างๆ มากมาย อีกทั้งดินแดนสยามประเทศเรามีผู้รู้เรื่องนี้อยู่มาก สามารถฝึกหัด ปฏิบัติ เรียนรู้ได้จากผู้รู้ทั้งหลายที่เชี่ยวชาญ ช่ำชอง เกี่ยวกับเรื่องของอานาปานะได้
      
       ความสำคัญของลมหายใจนี้ก่อนการเจริญสติทุกครั้งหลวงปู่มักจะบอกให้ พวกเราผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เต็มปอด นับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วพ่นลมออกแผ่วเบา นุ่มนวล สุภาพ ทำสัก ๓-๔ ครั้ง จะรู้สึกจิต สงบ ว่าง พอจิตสงบแล้วเรามากำกับดูลมหายใจต่อไป
      
       บางครั้งหากเกิดอาการง่วงนอนระหว่างที่ฝึกสติ ก็ให้กำหนด "ง่วงหนอๆ" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนงานให้แก่สภาวะ คือ เปลี่ยน สภาวธรรมไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนงานให้แก่สมอง เปลี่ยนงานให้แก่จิต คือเมื่อรู้ว่างานนี้มันเหนื่อย ก็เปลี่ยนงานให้มัน ไปทำอย่างอื่น จะบรรเทาอาการง่วงได้บ้าง ซึ่งการกำหนดง่วงหนอๆ เป็นการกำหนดให้เรารู้สึกตัว มีสติ รับรู้สิ่งที่ปรากฏ การกำหนดง่วงหนอ ยิ่งชัดเท่าไร สติก็ปรากฏชัดเท่านั้น ซึ่งในขณะที่เรามีจิตอึมครึม ง่วง มัวเมาก็จะมีอุปาทานยึดถือมาก เราจึงต้องใช้พลังอย่างแรงกล้า ที่จะเอาชนะมัน โดยการใช้ลมหายใจกำหนด เรียกให้สติกลับมา
      
       ดังนั้น อานาปานบรรพ จึงสามารถที่จะแก้ง่วงได้ โดยสูดลมเข้าไปลึกๆ กลั้นไว้แล้วนับ ๑- ๒- ๓ -๔ -๕- แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออก โดยในท่านั่งสมาธิเพชร (วัชระ)เพราะว่าสามารถนั่งแล้วแก้ง่วงได้ ท่าปางสมาธิเพชรนี้เรียกว่าปางดอกบัว หรือในธิเบตเรียกว่าท่ามุทรา
      
       อิริยาบถบรรพ
      
       เป็นการใช้สติสำรวมอยู่ใน อิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ซึ่งในระหว่างอบรมเท่าที่ผมพอจะจำได้นั้น หลวงปู่เคยสอนอิริยาบถของการยืน และการเดินแบบเท้านารี ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่าการยืน โยกโคน คือเรื่องของการฝึกในอิริยาบถบรรพ คือเป็นการทำให้สติรับรู้การยืน และการโยกโคนแห่งกาย มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการในอิริยาบถของการถ่ายเทน้ำหนัก ต้องให้น้ำหนักถ่ายเทได้อย่างสะดวก แล้วจะทำให้เดินได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างรวดเร็ว มีสุขภาพที่ดี เป็นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก รู้จักจัดกระบวนการภายในกายตน เป็นกายบริหาร หรือบริหารใช้งานร่างกาย ซึ่งมีวิธีการคือ
      
       การยืนโยกโคน
      
       ยืนท่าตรง ยืดอก โครงสร้างของร่างกายต้องตั้งตรง มือขนานข้างลำตัวอย่างผ่อนคลายสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง เท้าทั้งสองข้างห่างกันเล็กน้อย ปลายเท้าชี้ข้างหน้า ให้น้ำหนักของตัวทั้งหมดลงมาอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างเสมอกัน
      
       จากนั้นให้ส่งความรู้สึกทั้งมวล ลึกลงไปในกายตน ต้องไม่มีความคิดแตกแยกที่เป็นสอง รู้จักเพียงกายตน ขณะยืนก็ให้ส่งความรู้สึกตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้า และหยุดลงที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หนังเท้ารับน้ำหนักเต็มสมบูรณ์ รับรู้ได้เลยว่าทุกอณูของหนังเท้ามีน้ำหนักแผ่ซ่านไปทั่วเท้าเสมอกัน นั้นคือภาวะที่เรียกว่า "ตึงที่หนึ่ง"
      
       ต่อมา ให้ยกส้นเท้าขวาขึ้น ปลายเท้ายังจิกพื้นไว้ ค่อยถ่ายเทน้ำหนักมาทางซ้าย เท้าซ้ายตึง น้ำหนักส่วนใหญ่มาอยู่ที่ฝ่าเท้าทั้งหมดด้านซ้าย ด้านขวาเป็นภาวะไร้น้ำหนัก แต่ถ้าฝึกใหม่ให้ใช้ปลายเท้าจิกพื้นไว้ เพื่อประคองร่างกายให้เกิดความสมดุล เหล่านั้นคือภาวะที่เรียกว่า "ตึงที่สอง" จากนั้น ก็ถ่ายเทน้ำหนักมาอยู่ที่ ตึงที่หนึ่ง
      
       หลังจากนั้น ให้ยกส้นเท้าซ้ายขึ้น ปลายเท้าซ้ายจิกพื้นไว้ ถ่ายเทน้ำหนักมาทางขวา ให้เท้าขวาตึง น้ำหนักส่วนใหญ่มาอยู่ที่ฝ่าเท้าทั้งหมดด้านขวา ด้านซ้ายเป็นภาวะไร้น้ำหนัก เหล่านั้นคือภาวะที่เรียกว่า "ตึงที่สาม"
      
       ในภาวะตึงที่หนึ่งนั้น ตัวต้องตั้งตรง สายตาทอดลงต่ำ พลังงาน น้ำหนัก ต้องอยู่ที่ศูนย์เท้า น้ำหนักที่เท้าทั้งสองต้องเสมอกัน เท่ากัน รับรู้ได้เหมือนกัน เมื่อเราฝึกไปได้สักระยะ จะรับรู้ถึงพลังบางอย่าง เป็นพลังไออุ่นซึ่งวิ่งอยู่ที่เท้าเรา คล้ายๆ กับกระแสแม่เหล็ก หรือประจุไฟฟ้าอย่างอ่อนที่วิ่งผ่านเท้าเรา พลังชนิดนี้คือ ปราณ หรืออาจจะอธิบายว่าเป็นขบวนการเผาผลาญ ใช้พลังงานของเซลล์ต่างๆ เลยทำให้เกิดความร้อนขึ้นก็ได้
      
       การเดินแบบเท้านารี
      
       สายตาทอดลงต่ำ ขาตึงตัวตั้ง เอาความรู้สึก (สติ) ทั้งปวงจับไว้ที่ท่อนขา ฝ่าเท้า คือ ร่างกายช่วงล่าง ก่อนจะทำสูดลมหายใจเข้า (ขั้นของการเตรียมตัว) กักลมทิ้งไว้ แล้วนับ ๑- ๒ ๓ ๔ ๕ ทนได้เท่าไรแล้วผ่อนลมออก แล้วก็สูดเข้าไปให้ลึกๆ แล้วนับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ จะนับเท่าไรแล้วแต่ ทนได้เท่าไรแล้วพ่นลมออก ทำสัก ๓-๔ ครั้ง ความคิดจะไม่ปรากฏอะไร มีแต่ความว่างๆ โล่ง
      
       ส่งความรู้สึกทั้งมวลไปอยู่ที่กายท่อนล่าง เริ่มต้นจาก อานาปานะ แล้วต่อท้ายด้วย อิริยาบถบรรพ เมื่อร่างกายรู้สึก (รับรู้) ถึงท่อนล่างแล้ว ก็มาถึงสามตึง ตึงแรกคือศูนย์ตึง (ตึงที่ศูนย์กลาง) สองข้างจะต้องตึง ดุลถ่วงของร่างกายตกลงไปอยู่ที่ศูนย์ คือ เท้าสองข้าง เสร็จแล้ว โยกตัว (หลวงปู่นิยมก้าวเท้าซ้ายก่อนเสมอ) น้ำหนักเทลงมาที่ข้างขวา ยืนเท้าขวาตึง เท้าซ้ายหย่อน เปิดส้นเท้าซ้าย น้ำหนักตัวทิ้งมา เท้าซ้ายลอยแล้วก้าว เหมือน "พระพุทธรูปปางลีลา" เทน้ำหนักลงไปอีกด้าน
      
       เพียงแค่รับรู้สภาวะความเป็นจริง ไม่ต้องมีการภาวนาใดๆ เมื่อเทน้ำหนักลงไปหมดแล้วจึงก้าว ส่วนจะเอาส้นเท้าลงหรือจิกปลายเท้าลง (เท้าที่เรายกก้าวเดินไปข้างหน้า) หลวงปู่แนะนำว่าถ้าใช้ส้นเท้าลง และตึง ดึงน้ำหนัก มันจะทำให้โยกได้ง่าย และโยกได้อย่างเหมาะสม
      
       เท้าข้างที่ไม่มีน้ำหนักก็เป็นอิสระ ยืนได้อย่างมั่นคงแล้วเดินต่อไปอย่างช้าๆ อย่าไปเกร็ง แล้วรับรู้สภาวะความเป็นไปของพลัง ที่โยกไปโยกมา แค่นี้สติก็ปรากฏแล้ว การเดินปลายเท้าชี้ไปข้างหน้านั้น (คนที่เดินจงกรมเป็น รองเท้าจะสึกเสมอกัน) ก้าวพอประมาณ หากมีอาการตึงที่เท้าอย่ากังวล เป็นเพียงสภาวธรรม (เวทนา) ในการปฏิบัติธรรม อาการปวดเป็นการทำให้เรารู้ "เวทนา" รู้จักเวทนานุปัสสนา แต่อย่าไปใส่ใจ เพราะเรากำลังพิจารณากาย ไม่ใช่พิจารณาเวทนา
      
       สัมปชัญญบรรพ
      
       การกำหนดพิจารณาในสัมปชัญญบรรพนั้น คือการกำหนด สำรวมรู้อยู่ในอิริยาบถ แต่เป็นการกำหนดรู้ในส่วนที่เป็น อิริยาบถย่อย ที่มากกว่าการยืน เดิน นั่ง นอน หรือก็คือ การกำหนดรู้ในทุกอิริยาบถ นั่นเอง
      
       เรื่องของการกำหนดรู้ในอิริยาบถ การฝึกฝนเจริญสตินั้น หลวงปู่เคยพูดไว้ว่ามันต้องทำควบคู่กับบารมีด้วย คือไม่ใช่ทำดีครั้งเดียวแล้วจบลงไป แล้วไปรอว่าเราจะได้ประโยชน์จากครั้งเดียวนั้น หรือมารอว่าเราตายแล้วจะนึกถึงความดีครั้งนั้น ท่านบอกว่ามันเสียเวลา เพราะว่าเราจะกำหนดเวลาตายไม่ได้ กำหนดอาการตายไม่ได้ กำหนดลักษณะตายไม่ได้ และกำหนดที่ตายไม่ได้ เมื่อกำหนดไม่ได้ เราก็ไม่ทางรู้ว่า จิตเกิดดับ หรือขณะที่ตายลง เราจะไม่มีเวทนากล้า เราอาจจะตายเพราะอุบัติเหตุก็ได้ ถ้าชั่วชีวิตเราทำไม่ดีมาตลอด และทำดีก่อนตายครั้งเดียว แล้วรอที่จะรับผลดีอันนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
      
       ดังนั้นพระพุทธองค์ จึงคอยเตือน บอกเรา แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงดับขันธปรินิพพาน ก็ยังทรงบอกว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมเถิด ด้วยความไม่ประมาท" คำว่า ด้วยความไม่ประมาท คือ มันต้องทำทุกขณะจิต เมื่อเราทำอะไรด้วยความไม่ประมาทแล้ว เราก็พร้อมที่จะเผชิญกับความตาย อย่างองอาจ สง่างาม ไม่หวาดหวั่น ไม่พรั่นพรึง ไม่สะดุ้งผวา
      
       น้ำร้อน
      
       การที่ไม่ประมาท มีสติ สัมปชัญญะพร้อม มันก็ต้องฝึกฝน หมั่นพิจารณา รู้ทั่วในทุกอิริยาบถ หลวงปู่เคยบอกว่า ในบรรพทั้ง ๖ นั้น ข้อที่พิจารณา "สัมปชัญญบรรพ" นั้นเป็นบรรพที่ยากที่สุด เพราะต้องมีสติ สัมปชัญญะ ในทุกอิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) และอิริยาบถย่อยทั้งหมด ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยฝึกฝน ทดลองตัวเองเพื่อให้ตามระลึกรู้ รับทราบสัมผัส ในทุกกระบวนการในอิริยาบถย่อยนั้นๆ ถึงขนาดยอมทดลองดื่มน้ำที่ต้มร้อนๆ เทออกมาใส่แก้ว ปล่อยให้ควันขึ้นสักนิด นับหนึ่งถึงสิบ แล้วจับมันกรอกเข้าปาก ค่อยๆ กลืนเข้าไป ท่านบอกว่าเราเคยดื่มน้ำเย็นมาจนชินแล้วตามรับรู้มันไม่ได้หมด เลยต้องทดลองดื่มน้ำร้อนเข้าไป ว่ามันเข้ามาและไปที่ลิ้นชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ผ่านลำคอ กระเดือก ผ่านเข้ามาที่ต่อมน้ำลาย (ลำคอเราจะมีต่อมน้ำลายสำหรับป้องกันของเสียภายในที่จะกำเริบออกมา) ผ่านเข้ามาที่ลำไส้ ผ่านเข้าไปจนกระทั่งถึงกระเพาะ ก็เพื่อจะตามรู้มันในทุกอิริยาบถ (สัมปชัญญบรรพ) การที่สามารถตามระลึกรู้ได้ในทุกอิริยาบถนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
      
       หรือแม้กระทั่งการถ่ายอุจจาระ ท่านก็เคยบอกไว้ว่าต้องระลึกรู้ถึงกระบวนการว่า เราเตรียมตัวที่จะสร้างกำลังในกระบังลมในทวารหนัก เริ่มทำให้เกิดการบีบคั้นในลำไส้ใหญ่ของเรา ทำให้เกิดการหดตัว ทำให้เกิดการขับถ่าย กว่าที่ขบวนการของอุจจาระจะถ่ายออกมาจากลำไส้ใหญ่ได้ เราต้องรู้สึกได้ถึงความไหลลื่นในกระบวนการทำงานทั้งหมด วิธีที่ว่านี้ท่านต้องยอมกินยอดผักขมอยู่ครึ่งเดือน เพื่อจะสัมผัสมันให้ได้ว่า ระบบขับถ่ายมันไหลลื่นอย่างไร ในสำไส้ใหญ่มันทำงานอย่างไรบ้าง
      
       แต่โดยเบื้องต้นในการพิจารณาอิริยาบถย่อยนั้น ให้เรารับรู้เพียงว่า เราเหยียด คู้ ยืน เหยียดขา หดแขน หดขา กระดิกนิ้ว ขยับริมฝีปาก หรือไม่ก็กะพริบหนังตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการของอิริยาบถ ในสัมปชัญญบรรพทั้งหมด หรือแม้กระทั่ง เรารับรู้ ลมที่มาเข้าหู จากหูซ้ายทะลุหูขวา ปิดจมูกหมด ลมจะออกจากทางไหนได้อีก หากฝึกได้ถึงขั้นที่มันละเอียดเมื่อปิดปาก ปิดหู ปิดจมูก จะรู้ว่ามีอะไรออกจากผิวหนังได้บ้าง
      
       กัสสปะมุนี
      
       เกี่ยวกับการฝึกฝนอย่างถึงขั้นนี้ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่ามีพวกโยคีเคยแพ้ลูกศิษย์ของท่านคือ "หลวงพ่อกัสสปะมุนี" ซึ่งท่าน กัสสปะมุนี (อยู่ที่ระยอง) นั้นเคยสมัครเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สมัยที่หลวงปู่อยู่ที่เทือกเขาภูพาน ตอนนั้นท่านกัสสปะมุนีเพิ่งบวชใหม่ คือบวชตอนปลดเกษียณ โดยสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นอุปัชฌาย์ให้ บวชแล้วออกธุดงค์ ไปเจอหลวงปู่ที่เทือกเขาภูพาน จึงมาขอเรียนอิริยาบถ กัมมัฏฐาน มหาสติปัฏฐาน หลวงปู่จึงสอนให้ประมาณเดือนครึ่ง
      
       หลังจากนั้นท่านกัสสปะมุนีก็หายไป ๓ ปี มีข่าวอีกที ก็โด่งดัง ไปอยู่วัด ที่เมืองเดลลี ประเทศอินเดีย แล้วมีข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งว่า พระไทยชนะโยคีของอินเดีย โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท่านเคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นเวลาที่ท่านบวชแล้วไปอยู่เมืองนอก พวกลูกน้องที่อยู่กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งคนต่างประเทศ ซึ่งรู้จักท่าน ก็พากันมาถวายอาหารคาว หวาน ปัจจัยลาภ แก่ท่านมากมาย เลยทำให้พวกโยคีเกิดความอิจฉา เนื่องด้วยเป็นเจ้าลัทธิเก่าอยู่ก่อนแล้ว จึงหาวิธีกลั่นแกล้งโดย เมื่อพระองค์นี้เดินมาก็จะทำให้พื้นเป็นไฟ ดังนั้นขณะที่ท่านกัสสปะมุนีเดินบิณบาตมา อยู่ดีๆก็มีไฟลุกขึ้นมากลางถนน แต่ท่านก็เดินผ่านเปลวไฟโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน และไฟนั้นก็วิ่งย้อนเข้าหาโยคี ทำให้โยคียอมรับในกฤษดาภินิหารของท่านกัสสปะมุนี ยอมย้ายสำนักของตัวเองออกไปจากที่ใกล้ๆวัด ซึ่งท่านกัสสปะมุนีพำนักอยู่
      
       นี่เป็นตัวอย่างลักษณะของการใช้ "มหาสติปัฏฐาน" ในข้ออิริยาบถ (ทั้งอิริยาบถบรรพ และสัมปชัญญบรรพ) เพราะหลวงปู่ได้สอนอิริยาบถ (เข้าใจว่าทั้งอิริยาบถใหญ่ และอิริยาบถย่อย : ผู้เขียน) แก่ท่านกัสสปะมุนี โดยหลวงปู่ให้ท่านกัสสปะกลืนก้อนน้ำแข็ง แล้วฝึกตามรับรู้อย่างที่หลวงปู่ตามรับรู้น้ำร้อน ซึ่งเมื่อฝึกฝนใหม่ๆ อาจจะกำหนดรู้ไม่ได้ การกลืนก้อนน้ำแข็งทั้งก้อน ทำให้รู้ตามว่าก้อนน้ำแข็งมันตกอยู่ทีไหนในกายตน เพื่อให้กำหนดรู้ตามช่วง ตามลักษณะ รู้ตามจุดมุ่งหมาย รู้ตามความเหมาะสม รู้ที่มันผ่านไปแล้วก็โคจร แล้วก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ฝึกจนกระทั่งท่านกัสสปะมุนีเป็นปอดชื้น ถึงแม้มันยาก แต่ไม่ลำบากจนไปนักที่เราจะฝึกมัน
      
       ดังนั้นคนที่จะเรียนรู้อิริยาบถย่อยได้ดีนั้น หลวงปู่บอกเคล็ดไว้ว่าอย่างน้อยต้อง ผ่านการฝึกกสิณ ต้องมีสมถะอย่างน้อยต้องฝึกจนได้องค์ฌาน หรือไม่ก็ผ่านอานาปานบรรพ ต้องผ่านอสุภกัมมัฏฐาน หรือไม่ก็ผ่านนวสี (พิจารณาศพป่าช้าทั้ง ๙ ) แล้วถึงมาเข้าใจในอิริยาบถ หรือสัมปชัญญบรรพ และจับมันจนกระทั่งละเอียดรอบคอบถึงขนาดที่ต้องรู้ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งต่อ นาที ต้องรู้ว่าเลือดลมที่สูบฉีดไปในกายไปติดขัดตรงไหนบ้าง นั่นคือมีสติ พิจารณากายในกายและกายนอกกาย นี่คือที่มาของกำหนดรู้ในอิริยาบถของสัมปชัญญบรรพ สัมปชัญญะที่จะรู้ กำหนดอิริยาบถย่อย ที่ค่อนข้างต้องใช้สติที่ละเอียดลึก
      
        ปฏิกูลบรรพ
      
       การกำหนดพิจารณาในปฏิกูลบรรพนั้น คือการกำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ ในร่างกาย (ดังบทสวดใน วิธีเจริญกายคตานุสติกัมมัฏฐาน) เพื่อแยกสัตว์ ตัวตน ตัวเขา ตัวเรา ออกจากอาการ ๓๒ ให้ได้ ส่วนหลักในการพิจารณานั้น คือพิจารณาโดยสถานที่เกิด เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง โดยสี โดยกลิ่น โดยการรวมกัน โดยการแตกสลาย ถ้าพิจารณาได้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการพิจารณาในปฏิกูลบรรพ ซึ่งต้องพิจารณาให้ได้ว่า ความปฏิกูลโดยที่เกิด ความปฏิกูลโดยที่ตั้ง ความปฏิกูลโดยสี ความปฏิกูลโดยกลิ่น ความปฏิกูลโดยภาพรวม และความปฏิกูลโดยย่อยสลาย ซึ่งเราจะพิจารณาสิ่งปฏิกูลอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นร่างกาย จะเป็นวัตถุธาตุใดๆ ก็ได้ หากเข้าหลักวิธีนี้ถือว่าเป็นการพิจารณาโดยปฏิกูลบรรพ การพิจารณาได้อย่างนี้จะทำให้เราสลดสังเวช ทำให้เราปล่อยวาง และคลายกำหนัดลงไป ปฏิกูลจึงพิจารณาสิ่งที่สกปรก ตรงกันข้ามกับความสวยงาม

       อุดมการณ์แห่งวิถีพุทธะ
      
       คนที่ฝึกมหาสติปัฏฐานนั้น จะต้องมีอาการหรือความรู้ ๔ อย่าง คือ รู้รอบ รู้ละเอียด รู้แจ้ง รู้ลึก และต้องรับรู้ถึงความถูก ความผิด ยอมรับและปฏิเสธ ต้องรับได้ทุกสภาวะ และต้องตั้งมั่นได้อย่างไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในระหว่างการอบรมพระวิปัสสนาจารย์นั้น หลวงปู่ได้รับแรงกดดันต่างๆ รอบด้าน แต่ด้วยอุดมการณ์ของท่านที่คิดจะนำพาศาสนาไปสู่จุดหมายแห่งความเจริญ วันที่มีพระออกมายอมรับ ท่านได้ร้องออกมาอย่างโล่งอก และน้ำตาไหลซึมว่า "ชิตังเม" ซึ่งแปลว่า "ข้าชนะแล้ว"
      
       เพราะว่าที่ผ่านมานั้นในจังหวัดนครปฐม ไม่เคยมีการปฏิบัติธรรมแบบนี้มาก่อนเลย หลวงปู่บอกว่าเมื่อศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนนครปฐมนี้ มีแต่ความเจริญทางด้านการก่อสร้างเท่านั้น ส่วนคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม มีอยู่แต่เฉพาะในตำรา และห้องเรียน ไม่เคยออกมาอยู่ชนบท ออกมาสู่สังคมหมู่บ้าน ในเมือง หรือแม้แต่สังคมของวัดด้วยกันเลย สิ่งที่ท่านหวังอยากได้รับมีเพียงคำว่าบุญ อยากให้พระศาสนาเจริญ ให้สังฆมณฑลในประเทศนี้รุ่งเรือง และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของสังคมได้ ผู้ที่รักหลวงปู่จะตอบแทนท่านได้ก็ต้องซื่อสัตย์ ยุติธรรม ตรงแนว ถูกต้องและบริสุทธิ์ กับอุดมการณ์ของพระพุทธะพระองค์นั้น ท่านจึงทำหน้าที่เป็นครู เป็นผู้นำ คอยทำหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิด ท่านบอกว่ารักทุกคนเหมือนดังอวัยวะของท่านเอง (คำพูดนี้ซาบซึ้งใจมาก ใครจะรู้บ้าง : ผู้เขียน)
      
       หลวงปู่ได้เล่าวิถีชีวิตของท่านสมัยที่บวชใหม่ๆ ว่าวัดที่ท่านอยู่เป็นวัดในกรุงเทพ (ท่านมักพูดเสมอว่ามีแต่นักบวชที่กินๆ นอนๆ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด ดึกๆ ดูโทรทัศน์ ค่ำลงซัดมาม่า) พระบางรูปนุ่งกางเกง ออกเที่ยวกลางคืน เป็นเจ้ามือแชร์ หวย มีแต่ท่านที่ทำอะไรไม่ค่อยเหมือนใคร เพราะท่านถือว่าพระเหล่านั้นคือครูของท่าน ที่ทำให้ท่านเห็นข้อแตกต่างระหว่างพระธรรมวินัย
      
       ท่านมักเข้าไปสอนนักเรียนในสลัม ในคลองเตย (ท่านทำมาก่อนมูลนิธิดวงประทีป) สตังค์ที่ท่านบิณฑบาตมาได้ จากชาวบ้านที่ใส่มาในบาตร ท่านก็เก็บเอาไว้ พอสิ้นเดือนก็ไปซื้อถังสังฆทานมาถวายพระ แล้วปล่อยปลา ปล่อยนก พอถึงวันเด็กท่านจะไปซื้อขนมปังกระป๋อง ที่เป็นตัวการ์ตูนทีละหลายสิบปี๊บ เอามานั่งกรอกใส่ถุงเป็นพันๆ ถุง ตั้งแต่หกโมงเย็น ยันสว่าง เสร็จแล้วท่านจึงห่อด้วยจีวร แบกไปแจกให้เด็กนักเรียน ท่านบอกว่าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เด็กเขาเห็นว่า พระศาสนายังมีสังคมดีๆ อยู่ พระศาสนายังมีคนที่คิดจะให้ ยังเป็นที่พึ่งของสังคมได้ เพราะว่าสังคมในยุคนั้นเป็นสังคมที่เละเทะ
      
       แต่การที่ท่านไปสอนมันยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นท่านจึงคิดจะสอนที่ต้นเหตุ คือ มาอบรมสอน ผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอด ศีลธรรม จริยธรรม ซึ่งก็คือพระ คือนักบวชในศาสนา ให้มีจิตสำนึก ที่ประกอบไปด้วยสติ และความรับผิดชอบ ต่อสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ท่านจึงคิดว่าต้องสอนพระ ให้พระในพระพุทธศาสนามีจิตสำนึก ว่าจะรับผิดชอบสังคมได้อย่างไร
      
       ต่อมาท่านจึงเพียรพยายาม ขวนขวาย ปฏิบัติธรรม ทดลอง ทดสอบ ฝึกฝนตัวเอง ท่านยอมแม้กระทั่งลงไปแช่ในหลุมขี้ พอขึ้นมาจากหลุมขี้ อีกหนึ่งเดือนต่อมาลงไปนอนกับศพที่ขึ้นอืด หลังจากนั้นก็ไปขังตัวเองในถ้ำที่มีงูพิษ พอออกจากถ้ำท่านบอกว่าได้มาโผล่ที่หลี่ผี ประเทศลาว และได้เข้าไปอยู่ในถ้ำพระโพธิสัตว์
      
       ในถ้ำพระโพธิสัตว์ที่หลวงปู่ไปอยู่นั้น ท่านเล่าว่าข้างนอกจะมืด แต่พอเข้าไปข้างในแล้ว จะโปร่ง โล่ง สบาย มันเหมือนเมืองอีกเมืองหนึ่ง มีพระ (พระโพธิสัตว์) ออกมาแสดงความรู้ความสามารถ ปุจฉา วิสัชนา ท่านได้นั่งดูเหมือนดูหนัง ดูละคร ท่านบอกว่าไม่รู้ว่าอยู่ในถ้ำนานแค่ไหน แต่รู้ว่าเมื่อออกจากถ้ำ มะม่วงได้ออกลูกแล้ว!! เพราะมะม่วงต้นนั้นท่านปลูกมันด้วยเม็ด! (หลวงปู่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ แล้วท่านก็หัวเราะ...) นี่มันเป็นความพิสดารของหลวงปู่ เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณที่ผู้ปฏิบัติจริงจะเห็นได้
      
       หลังจากท่านออกมาจากถ้ำ จึงเดินธุดงค์ต่อไป เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็เจอคนฉายหนังเร่ (การแสดงคล้ายการชักหุ่นละครโรงเล็ก) การฉายหนังเร่นี้ตามชนบทเขาจะมีวิธีการจ่ายค่าดูหนังที่ไม่เหมือนใครคือ คนที่มาดูหนังเร่เอาข้าวเปลือกมาเป็นค่าดู หรือใช้อาหารพวก ปลาร้า ปลาเค็ม ก็ได้ แล้วพ่อค้าหนังเร่จะเอาของเหล่านี้ไปขาย
      
       พอฉายหนังเสร็จ คนฉายหนังเร่เดินมาหาหลวงปู่ บอกว่า "หลวงพ่อครับ ...เมื่อคืนมีคนมาติดต่อผมให้มาฉายหนังเร่ ผมได้มาฉายให้ดูแล้ว ผู้คนเยอะแยะดี แต่ทีนี้ผมลืมหุ่น (หุ่นกระบอกสำหรับชักในการแสดง) ตัวละครไว้ตัวหนึ่งผมจะกลับมาเอา แต่คนในหมู่บ้านนี้หายไปหมดเลยครับ"
      
       หลวงปู่เลยถามว่า "ตอนเรามา...ขึ้นกี่ค่ำ"
      
       "ผมไม่ทราบครับ รู้แต่ว่าพระจันทร์มันมืด" คนฉายหนังเร่ตอบ "แต่ที่ผมเข้าไปมันสว่างนะครับ"
      
       หลวงปู่จึงบอกว่า "งั้นรอไปอีก วันแรม ๑๔ ค่ำ ค่อยมาใหม่"
      
       คนฉายหนังเร่จึงกลับไปแล้วก็กลับมาใหม่ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เขาถึงได้เจอหมู่บ้านนั้น แล้วเข้าไปเอาตัวหุ่นกระบอก เจ้าของหมู่บ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้าน บอกเขาว่า "ผ ม เ ก็ บ...ไ ว้ ใ ห้... "
      
       เมื่อคนฉายหนังเร่ได้หุ่นกระบอกคืนมาแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากหมู่บ้าน แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไปดูอีกครั้ง ปรากฏว่าหมู่บ้านนั้นหายไป ไม่เห็นบ้านเรือน หรือผู้คนเลย คนฉายหนังเร่ก็มาบรรยายให้หลวงปู่ฟังว่า บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านนั้นไม่มีประตู เงินทองก็วางอยู่ตามกะได (บันได) ตามข้างทาง แต่ไม่มีใครเก็บ ไม่มีใครขโมย!!
      
        ครูที่เฝ้าดูศิษย์
      
       หลวงปู่จึงบอกว่า ถ้าพระหรือนักบวชในศาสนา มีประสบการณ์อะไรแปลกๆ บ้าง บางครั้งอาจทำให้เขาศรัทธาต่อการปฏิบัติงาน ปฏิบัติธรรม แล้วท่านก็เริ่มที่จะสอนพระ เริ่มที่จะถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์ทางวิญญาณของท่านที่ไม่เกี่ยวกับตำรา มากนัก ท่านจะไม่สอนด้วยภาษาทางตำราเลย มีแต่จิต ที่พูดภาษาใจกับใจเท่านั้น แต่ว่าพระจะสอนยาก เพราะว่าทิฐิพระ มานะครู หรือทิฐิพระ มานะกษัตริย์ นั้นมีมาก ท่านจึงต้องหากระบวนการว่า ทำอย่างไรที่จะให้พระสอนกันเอง จึงเป็นที่มาของกระบวนการในการอบรมพระในหลักสูตรมหาสติปัฏฐานนี้ และด้วยความที่พระเป็นบุคคลที่สอนยาก หลวงปู่จึงริเริ่มให้มีการเขียนคำตำหนิคำสอน ว่ากล่าวกันเองได้ ซึ่งเราจะพบว่าไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมที่ไหนในโลกที่ ครูโดนศิษย์ตำหนิ ที่อื่นเราเข้าไปต้องกราบ เพราะเขาถือว่าธรรมะเป็นของสูง ผู้บอกธรรมะคือ คุรุผู้เจริญ สำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายเป็นอย่างนี้
      
       แต่หลวงปู่คิดว่า การที่ท่านให้ทรัพย์ หรือการที่ครูทั้งหลายมาให้ทรัพย์ ทรัพย์นั้นมันจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อพระศาสนา ไม่ใช่เฉพาะส่วนตัวใคร ไม่ได้คิดว่าพระได้ประโยชน์ แต่คิดว่าพระศาสนาได้ประโยชน์ ท่านจึงบอกว่าท่านทำโดยสำนึกว่า ต้องทำหน้าที่ เป็นศากยบุตร เป็นพุทธะชิโนรส ลูกหลานของพระพุทธเจ้า ทำอย่างไร จึงจะให้พระพุทธะพระองค์นั้น ทรงชื่นชม โสมนัส ต่อกิจการ การงานของลูกหลานของพระองค์ การที่ครูบอกธรรมะแล้วเดินหนีนั้นยังไม่พอ ครูต้องเฝ้าดูศิษย์อย่างที่หลวงปู่ทำ คือ ต้องควบคุม ทำให้ธรรมะนั้น มันเจริญและเติบโตขึ้นอย่างไม่ตาย จิตวิญญาณของพระพุทธะต้องโตขึ้น
      
       เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีกำลังใจ ไม่มีศรัทธา เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรมที่ (หลวงปู่) ปฏิบัติได้แล้ว เชื่อสิ่งที่พระพุทธะสอน ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีกำลังใจ ก็ไม่มีใครมาให้เรา นอกจากเราให้ตัวเราเอง หลวงปู่บอกเสมอว่าไม่มีใครให้กำลังใจท่าน ท่านสร้างกำลังใจด้วยตัวเอง ตั้งแต่บวชมายี่สิบกว่าพรรษา ท่านไม่เคยเหยียบเข้าบ้าน ไม่เคยเยี่ยมญาติ ท่านจะบอกกับลูกศิษย์เสมอว่า เราเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว เราต้องซื่อสัตย์ กับสกุลศากยะ ไม่ทำตัวเป็นคฤหัสถ์บ้าง ศากยะบ้าง จึงไม่ต้องขวนขวาย หาเงิน หาลาภใดๆ
      
       ดังนั้นครูที่ดี จึงต้องไม่เบื่อที่จะบอก และจ้ำจี้จ้ำไชต่อการสอน หัวใจของครูที่ดีต้องไม่มองว่าศิษย์ดีหรือเลว หัวใจของครูที่ดีมีแต่คำว่าโง่กับฉลาด หน้าที่ของภิกษุ นักบวช พระในศาสนา ก็คือปลดจากความเป็นทาสของประชาชาติและสัตว์โลก
      
        ธาตุบรรพ
      
       ตอนเช้าของวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๓ หลวงปู่ได้สอนวิธีการพิจารณาจตุธาตุวัฏฐาน ๔ ดังนี้
      
       วิธีการพิจารณาจตุธาติวัฏฐาน ๔
      
       ยืดอกขึ้น นั่งตัวตรง ดำรงสติให้มั่น ผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เต็มปอด นับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วพ่นลมออก แผ่วเบา นุ่มนวล สุภาพ (ตอนหลวงปู่หายใจออก เท่าที่จับเวลาดู หายใจเข้า ๒๕ วินาที หายใจเข้าและออกเกือบ ๕๐ วินาที ต่อครั้งหนึ่ง) การผ่อนลมออกต้องค่อยๆ เป่าลมออก ทางปาก เหมือนกับการปล่อยลมออกจากลูกโป่ง แล้วก็สูดลมเข้าไปในลูกโป่ง เมื่อสูดเข้าเต็มที่ ก็หยุดนิ่งไว้นิดหนึ่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยออก ทำสัก ๓-๔ ครั้ง จะรู้สึกจิต สงบ ว่าง
      
       พอจิตสงบแล้วเรามากำกับดูลมหายใจก็ได้(อานาปานบรรพ) ดูโครงสร้างกระดูกภายในกายก็ได้ หรือจะมาพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกายก็ได้
      
       เมื่อสูดเข้าไปเต็มปอด ให้หยุดกลั้นไว้นิดหนึ่ง ปิดลมไม่ให้ออก ให้มันเข้าไปพลุ่งพล่านอยู่ภายใน มันจะไปกระตุ้นเตือน ต่อมหมวกไตทั้งหลายให้ตื่นตัว จะเกิดร้อนที่หน้าอก จากนั้นก็พ่นเอาความร้อน (ของเสีย) ภายในร่างกายออกมา เมื่อเราทำสัก ๓-๔ ครั้ง จะมีสติปรากฏ ใช้สตินั้นพิจารณาสภาวธรรมที่เป็นจริงภายในร่างกายเราว่า
      
       "โอ้หนอ...ร่างกายเราประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุทั้งสี่ต้องมีกรรมเป็นผู้ควบคุม เราตาย เราเกิด สัตว์ตาย สัตว์เกิด เพราะมีอวิชชา ที่มีอวิชชา เพราะเราทำกรรม เพราะมีความโง่ เราจึงทำผิดทำถูก ปัจจุบันนี้เราจะมาทำให้เกิดความฉลาด เราจะได้ไม่โง่ จะได้ไม่เกิดกรรม ที่เป็นเรื่องเป็นเหตุ ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย... "
      
       ร่างกายขันธ์ ๕ สังขารเรานี้ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลมไฟ มีผู้ควบคุม คือวิญญาณ มีจิตวิญญาณเป็นผู้ควบคุมธาตุลม คนหรือสัตว์ที่ตายไปแล้ว ลมไม่มีในกาย เพราะไม่มีผู้ควบคุม เมื่อลมในร่างกายไม่มี ปกติมีลมจึงมีไฟ ไฟคือสิ่งที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร เมื่อไฟดับ น้ำที่มีในร่างกายก็จะเอิบอาบ ซึมซาบ และทำการละลายดิน คนที่ตายหลายๆ วันจึงมีน้ำเหลืองไหลออกมา มีกลิ่นเหม็น ตาปลิ้นออกมาจากเบ้าตา ลิ้นจุกปาก ผมหลุดร่วง เนื้อตัวสีเขียวคล้ำ ส่งกลิ่นเหม็นเน่า...
      
       การพิจารณาอย่างนี้เป็นการพิจารณา ให้เห็นเป็นปฏิกูลภายในกายเรา
      
       อนัตตลักษณะ
      
       ธาตุนี้ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ หลักการพิจารณาในธาตุก็คือ ต้องอยู่ในลักษณะสามัญ ลักษณะ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป คือ การรับรู้ตามความเป็นจริงของกายนี้ ว่ากายนี้ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง
      
       ธาตุ "น้ำ" คืออิ่มเอิบ ซึมซาบ ไปทั่วสรรพางค์กาย
       ธาตุ "ลม" คือลมที่กระทบรับรู้ รู้สึกได้ โยกโคนไปมา ลมที่ทำให้ร่างกายไหวติง
       ธาตุ "ไฟ" คือมีทั้งความเย็นแล้วก็ความร้อน ไฟมีทั้งไฟเย็น และไฟร้อน มีอานุภาพ อุณภูมิสูงกว่าไฟที่ร้อน
       ธาตุ "ดิน"ลักษณะอาการ คือ แข็ง แล้วก็ยืดหยุ่นได้
      
       ในธาตุดินก็ตาม น้ำก็ตาม ลมก็ตาม ไฟก็ตาม ก็ยังประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่อีก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้เราพิจารณากายในกาย แค่รับรู้ว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตามหลักของอนัตตลักษณะสูตร (อนัตตลักษณะ - ลักษณะที่เป็นอนัตตา, ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน ได้แก่ ๑. เป็นของสูญ คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลาย ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ ๒. เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง ๓. ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆ ๔. เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ ๕. โดยสภาวะของมันเองก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา)
      
       หรือหลักการสุญญตา คือยังไม่ถือว่าเป็นดินแท้ ยังไม่ถือว่าดินนั้นเป็นดินแท้ เหตุผลก็เพราะว่า ดินนั้นยังประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่อีก คือดินยังมีความชื้น (ธาตุน้ำ) มีความอุ่น(ธาตุไฟ)อยู่ แล้วยังมีฟองอากาศ(ธาตุลม)อยู่ในดินนั้น ในดินหนึ่งก้อนก็ยังมีดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ แต่ว่าในดินนั้นมีธาตุดินที่มากกว่าธาตุน้ำ มากกว่าธาตุลม ธาตุไฟ เขาก็เลยเรียกว่าดิน
      
       ในน้ำมีอุณหภูมิ ก็ยังมีความอุ่น (ธาตุไฟ) ในน้ำยังมีดินตะกอน (ธาตุดิน) ในน้ำมีอากาศ (ธาตุลม) เมื่อน้ำมีดิน ลม ไฟ แต่ในน้ำนั้นมีธาตุน้ำมากกว่า ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุดิน เขาจึงเรียกว่า ธาตุน้ำ
      
       ในกระบวนการของดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ไม่มีตัวตน นี่คือลักษณะการพิจารณา "ธาตุ" พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ได้พิจารณาว่า ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ไฟเป็นไฟ ลมเป็นลม ถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็เป็นลักษณะมองให้เห็นว่าเป็นของเที่ยง มองให้เห็นว่ามีตัวตน ซึ่งผิดหลักของวิปัสสนา และผิดหลักการของมหาสติปัฏฐาน แล้วผิดตามหลักของคำสอน มันก็จะกลายเป็นคำสอนของศาสนาฮินดู พราหมณ์ ที่เป็นปรมัน อาตมัน เป็นเรื่องมีตัวตน มีสัญลักษณ์ ที่จับต้องลูบคลำได้
      
       แต่หลักการพิจารณาในจตุธาตุวัฏฐาน ในธาตุบรรพ ต้องพิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าพิจารณาถึงหลักลักษณะนี้ได้ ก็จะสามารถเข้าใจ และซึมซาบถึงหัวใจของการพิจารณาจตุธาตุวัฏฐาน ๔
      
       พระพุทธเจ้าบอกว่า เราต้องมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม พิจารณากายในกาย ทั้งภายในและภายนอก ว่าประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่ "จิต"เป็นผู้ควบคุมธาตุทั้งสี่ "อวิชชา"ทำให้คนเรามาเกิด อวิชชามีกรรม (เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นที่มาที่ไป) "กรรม" เป็นผู้ควบคุมจิต (กรรมนำจิตมาจุติ ก่อนที่จะปฏิสนธิ) "จิต" เป็นผู้ควบคุมธาตุลม (ไฟจะไม่ลุก ไม่ติดในที่เป็นสุญญากาศ) เมื่อลมหายไฟก็ดับ (คนตายแล้วจึงตัวเย็น) "ไฟ" ควบคุมธาตุน้ำ เมื่อน้ำในคนที่ตายไม่มีผู้ควบคุม คนตายจึงมีลักษณะอืด เขียว พอง เพราะน้ำไม่มีที่จะออก เพราะน้ำไม่ได้ถูกไฟเผาผลาญให้ออกมาทาง น้ำเหงื่อ น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำมูตร น้ำคูถ น้ำเยี่ยว มันก็จะอืด เมื่อน้ำไม่หาย ไม่ถูกไฟเผาผลาญ ก็จะทำการละลายดิน คนที่ตายแล้ว ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน ผิวหนัง เส้นเอ็น ผม ขน เล็บ ในร่างกาย ส่วนที่บางก็จะถูกน้ำทะลุทะลวงออกมา คนที่ตาย น้ำเหลืองจึงทะลุออกมา ธาตุดินก็ปฏิเสธน้ำไม่ได้ เพราะถ้าปฏิเสธน้ำ ก็จะกลายเป็นหินและทราย ส่วนธาตุดินจริงๆ นั้น ก็ควบคุมธาตุน้ำอีกที
      
       การพิจารณาอย่างนี้ทำให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ จึงเป็นลักษณะ สมมติบัญญัติ ซึ่งหลักการพิจารณาธาตุทั้งสี่ มีหลักการพิจารณาอยู่ ๒ หลักการ คือ สมมติบัญญัติ กับ ปรมัตถ์บัญญัติ การพิจารณาในหลักของสมมติบัญญัติ คือ เห็นในรูปตา
      
       อวิชชา ทำให้เกิด จุติ ปฏิสนธิ แล้วก็ต้องทำกรรม กรรมทำหน้าที่ ควบคุมจิต ที่ปฏิสนธินั้น จิตควบคุมธาตุลม ลมควบคุมธาตุไฟ ไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำควบคุมดิน ดินควบคุมน้ำ นี่เป็นสมมติสัจจะ
      
       ในร่างกายเรา (ในอาการ ๓๒) ว่าส่วนที่เป็นดิน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นน้อยใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า ลำไส้ ตับไต ม้าม หัวใจ ฯ ส่วนธาตุน้ำ คือ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำดี น้ำลาย น้ำมูตร น้ำคูถ น้ำเหงื่อ ฯ ธาตุไฟ คือ ไฟธาตุที่ใช้ย่อยอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไฟที่ช่วยระบบขับถ่าย แล้วก็ไฟที่กำเริบขึ้นบน ลงล่าง เช่น อาการไข้ ธาตุลม คือ ลมที่พัดพาอยู่รอบๆ ตัวเรา ลมในลำไส้ ลมในกระเพาะในไขกระดูก ในสมอง ฯ และลมนอกกายที่ทำให้โยกโคน อ่อนไหว
      
       ทั้งหมดนี้เป็นสมมติสัจจะ ที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาเบื้องต้น
      
       ปรมัตถ์สัจจะ
      
       ส่วนการพิจารณาในหลักของ "ปรมัตถ์บัญญัติ" ก็ต้องพิจารณาในกระบวนการของน้ำ ว่ามีอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบ ดินนั้นมีธาตุอะไรบ้าง (วิทยาศาสตร์) แล้วก็เป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ได้
      
       ในหลักปรมัตถ์สัจจะ ตามความหมายของ ดูกายในกาย ให้ดูว่าดินนั้นมันมีอะไรด้วย ให้ดูละเอียดเป็นปรมาณู เป็นโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน ให้มันละเอียด ลึกเข้าไป พิจารณาจนไม่มีอะไร สุดท้ายมันก็เกิดความว่าง แล้วก็สุญญตา การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่าเป็น ปรมัตถ์สัจจะ เพื่อให้เข้าถึง สามัญลักษณะ ด้วยปัญญา อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา (ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ แล้วก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) การพิจารณาเพื่อความหลุดพ้น เพื่อความสลัดหลุดจากอุปกิเลสทั้งปวง ต้องพิจารณาให้เป็นลักษณะ ปรมัตถ์สัจจะ นี่คือความหมายของ กายในกาย
      
       อย่างที่นิกายเซนพูดว่า "หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง หนึ่งสิ่งแตกออกเป็นหลายสิ่ง หลายสิ่งไม่มีสักสรรพสิ่ง" หลายสิ่งก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อพิจารณาเข้าไปทีละชั้น ก็จะรู้ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีตัวตน เพราะประกอบด้วยธาตุมากมายมหาศาลในธาตุเหล่านั้น ธาตุแต่ละอย่างก็มีองค์ประกอบเป็นอณู แยกออกไปอีก
      
        วิชาแพทย์
      
       ประโยชน์ของการศึกษา จตุธาตุวัฏฐาน ทำให้เรารู้และใช้ประโยชน์จากเรื่องของ "การคุมธาตุ" ซึ่งสมัยโบราณเขามีวิชาแพทย์วิชาหนึ่งที่เรียกว่า วิชาคำนวณธาตุกับคุมธาตุ ซึ่งหลวงปู่มีความรู้ ศึกษาในเรื่องนี้มามาก ในเรื่องการตรวจธาตุ อย่างเช่น โบราณคนจีน เวลาป่วย ถ้าไปหาซินแส ที่เรียกว่า หมอแมะ เขาจะใช้วิธีการตรวจรักษาโดยการ "แมะ" คือจับชีพจร
      
       และประโยชน์อีกอย่างคือ ทำให้เรารอบรู้ถึงกระบวนการธาตุทั้งสี่ ภายในของวัตถุ โลหะ พืชพันธุ์ธัญญาชาติ รวมทั้งยารักษาโรค หมอโบราณเขาเชื่อว่าการที่เราป่วย มนุษย์ป่วย สัตว์ป่วย เพราะธาตุทั้งสี่ไม่สมดุล เพราะฉะนั้น เขาต้องจะตรวจดูว่า ป่วยเพราะขาดธาตุลม หรือขาดธาตุไฟ
      
       หลวงปู่บอกว่า ถ้าคนป่วยขาดธาตุลม (ต้องวิเคราะห์ธาตุให้ได้ก่อน) ต้องหาพืชพันธุ์ธัญญาชาติที่ทำให้เกิดลม เช่น ลูกตำลึง อ่อน รากตำลึงอ่อน ใบตำลึง เถาตำลึงมาทาน ลูกตำลึง รากตำลึง หรือใบตำลึงต้มน้ำ นำมาดื่มแก้วเดียว จะมีอาการเรอขึ้นมาทันที ลมจะมากไปจนบางครั้งอาจจะทำให้คนแก่ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นคนแก่ที่อายุตั้งแต่ ๔๐ ขึ้นไปจะชอบธาตุไฟนำหน้า ถ้าอายุต่ำกว่า ๔๐ ลงมาก็จะชอบธาตุน้ำกับธาตุลม ถ้าเกินกว่า ๖๐ ขึ้นไปจะชอบธาตุดินนำหน้า ดังนั้นขบวนการรักษาโรคทั้งหลาย ที่หมอโบราณเขาใช้ก็มาจากจตุธาตุวัฏฐาน ๔
      
       ตัวย่างในการวิเคราะห์โรค เช่น มองสีหน้า มองแววตา มองสีผม แล้วก็ดมกลิ่นตัว เป็นเครื่องบอกให้เรารู้ว่าใครเป็นโรคอะไรและขาดธาตุอะไร และในธาตุทั้งสี่ไม่ได้มีเฉพาะในกายเรา ในพืชบางชนิดกินแล้วจะร้อนใน พืชบางชนิดกินเข้าไปแล้วจะรู้สึกเจ็บหน้าอก เพราะมีธาตุลมหรือธาตุน้ำมาก พืชบางชนิดกินเข้าไปแล้วรู้สึกอิ่มแน่น แล้วขับถ่ายไม่ออก นั่นแสดงว่ามีธาตุดินมาก เพราะฉะนั้นขบวนการวิเคราะห์าจตุธาตุวัฏฐาน ๔ เป็นพื้นฐานของแพทย์
      
       หรือแม้แต่หมอชีวกโกมารภัจจ์ (หมอประจำพระองค์พระศาสดา) ถ้าไปศึกษาประวัติของท่าน จะพบว่า กัมมัฏฐานที่ท่านชอบเจริญมากที่สุดคือ จตุธาตุวัฏฐาน ๔ เป็นพื้นฐานของแพทย์
      
       (ในจตุธาตุวัฏฐาน ๔ สามารถพิจารณาให้เป็นอสุภกัมมัฏฐานได้ พิจารณาให้เป็นปฏิกูลก็ได้ เป็นจตุธาตุวัฏฐาน ๔ ก็ได้ เป็นนวสีกถาบรรพก็ได้ ขึ้นอยู่ว่าเราเข้าใจ เชี่ยวชาญจะนำเอากัมมัฏฐานกองใดกองหนึ่งสืบยอด ต่อยอดไปให้ถึงกัมมัฏฐานทั้งหมดได้ไหม อยู่ที่เทคนิค กระบวนการ ความช่ำชอง เชี่ยวชาญ)
      
        นวสีวถิกาบรรพ
      
       การกำหนดพิจารณาในนวสีวถิกาบรรพนั้น ก็คือการกำหนดพิจารณาดูจากซากศพที่ตายแล้ว เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ สภาวะที่สามารถแบ่งออกได้เป็น ๙ สภาวะ หรือที่เรียกว่า ๙ ป่าช้าก็คือ
      
       ๑. ศพที่ตายแล้วหนึ่งวัน สองวัน สามวัน ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองหไหลน่าเกลียด
       ๒. ศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้าที่ฝูงกา งู นก ฝูงแร้งจิกกิน สุนัขกัดกิน หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกิน
       ๓. เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
       ๔. เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
       ๕. เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ้นผูกรัดอยู่
       ๖. เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว แล้วเรี่ยราด กระจัดกระจายไปในทิศต่างๆ
       ๗. เป็นกระดูกมีสีขาว ดังสีสังข์
       ๘. เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป
       ๙. เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว
      
       ซึ่งการพิจารณาในนวสีวถิกานี้ สามารถที่จะแยกการพิจารณาในซากศพแต่ละป่าช้าได้ โดยจะมีการพิจารณาอสุภที่พิจารณาสิ่งที่มีสภาพ สภาวะของสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ตายไปแล้ว มีการแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะ นวสีวถิกาบรรพ ที่เรียกว่า อสุภกัมมัฏฐาน (อสุภ, อสุภะ-สภาพที่ไม่งาม, พิจารณาร่างกาายของตนและผู้อื่นให้เห็นสภาพที่ไม่งาม; ในความหมายเฉพาะ หมายถึง ซากศพในสภาพต่างๆ ซึ่งใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน รวม ๑๐ อย่าง คือ ๑. อุทธุมาตกะ ซากศพที่เน่าพอง ๒. วินีลกะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ ๓. วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่ ๔. วิจฉิททกะ ซากศพที่ขาดกลางตัว ๕. วิกขายิตกะ ซากศพที่สัตว์กัดกินแล้ว ๖. วิกขิตตกะ ซากศพที่มีมือ เท้า ศีรษะขาด ๗. หตวิกขิตตกะ ซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกกัน สับฟันเป็นท่อนๆ ๘. โลหิตกะ ซากศพที่ถูกประหารด้วยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู่ ๙. ปุฬุวกะ ซากศพที่มีตัวหนอนคลาคล่ำไปอยู่ ๑๐. อัฏฐิกะ ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่ร่างกระดูก)
      
        ว่าด้วยวิชากระดูก
      
       การพิจารณาในนวสีวถิกาบรรพนี้ หลวงปู่ได้สอนหลักวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกเอาไว้ ซึ่งผมพอที่จะจดจำ นำมาบอกกล่าวได้บ้าง โดยเริ่มจาก วิชาคลำกะโหลก ซึ่งหลวงปู่ได้สอนไว้เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๓ แต่ก่อนจะถึงวิชาคลำกะโหลก หลวงปู่ได้เล่าเรื่องนกแขกเต้าให้ฟังว่า
      
       ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองกุรุ มีพระภิกษุณีเลี้ยงนกแขกเต้าเอาไว้ แล้วสอนนกเแขกเต้าว่า เจ้ามีวาสนามาอยู่ในพระศาสนา ก็ควรจะมีปัญญาเห็นรู้ตามความเป็นจริง แล้วก็สอนคาถาให้นกแขกเต้า โดยให้ท่องว่า "อัฏฐิมิชชัง" อยู่มาวันหนึ่ง มีเหยี่ยวใหญ่กำลังบินอยู่ พอเห็นนกแขกเต้า เหยี่ยวใหญ่ก็บินโฉบลงมานำนกแขกเต้าขึ้นไปในอากาศ นกแขกเต้ากำลังภาวนาอยู่จึงร้อง อัฏฐิมิชชัง!! ขึ้นดังๆ จนไปถึงหูนางภิกษุณี นางภิกษุณีจึงโบกผ้าไล่นกเหยี่ยว ทำให้นกแขกเต้ารอดพ้นจากกรงเล็บเหยี่ยว นางภิกษุณีจึงนำผ้ามารองรับนกแขกเต้า พร้อมกับถามว่า "เดรัจฉาน...ขณะเหยี่ยวใหญ่โฉบลงมา เจ้าคิดอะไรอยู่" นกแขกเต้าจึงบอกว่า "เกล้าหม่อมฉันพิจารณาว่า กระดูกกลุ่มใหญ่ร่อนลงมาโฉบเอากระดูกกลุ่มเล็กขึ้นไปบนอากาศ" นางภิกษุณีจึงถามต่อว่า "แล้วในขณะที่เหยี่ยวปล่อยเจ้าคิดอะไร" นกแขกเต้าจึงบอกว่า "กระดูกกลุ่มใหญ่ปล่อยกระดูกกลุ่มเล็กให้หลุดลงมาจากอากาศ"
      
       นางภิกษุณีจึงสรรเสริญนกแขกเต้าว่า เจ้าเป็นสัตว์ประเสริฐ รู้จักที่เจริญ อัฏฐิสัญญา ซึ่งหลวงปู่บอกว่าอัฏฐิสัญญานี้อยู่ในข้อของ นวสีวถิกาบรรพ ยังไม่เรียกว่า อสุภะ เพราะอสุภะต้องอธิบายในลักษณะมีของสดติดอยู่ ถ้าดูโครงกระดูกไม่จัดว่าเป็น อสุภะ จัดได้เป็นเพียงการพิจารณา ๙ ป่าช้า เรียกว่า พิจารณาป่าช้าทั้ง ๙ อยู่ในลักษณะป่าช้าที่ ๓ ที่เนื้อหนังหมดแล้ว เหลือแต่โครงกระดูกมีเส้นเอ็นร้อยรัดมองเห็นอยู่
      
       วิชาคลำกะโหลก
      
       สิ่งที่ต้องทำคือ ผ่อนคลาย มองที่รูปโครงกระดูก (รูปโครงกระดูก ปกหลังหนังสือ"วิถีแห่งพุทธะ" ที่หลวงปู่เป็นผู้เขียน)มองมันให้ติดตา มองด้วยความว่างๆ ถ้ายังไม่ติดตาและมีอารมณ์ปรากฏ ก็สูดหายใจเข้า ยกอกขึ้น ผ่อนลมยาวๆ แล้วก็สูดเข้าไปใหม่ แล้วก็ผ่อนลมออกมาด้วยความนุ่นวล สุภาพ ขณะที่สูดลมหายใจเข้าก็หลับตา ผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อมีสติตั้งมั่นแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นมองที่โครงกระดูกครูนี้ มองแล้วค่อยจดจำไว้ เสร็จแล้วหลับตา น้อมเอากระดูกนี้เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา
      
       เริ่มต้นจากหัวกะโหลก หลับตาคิดว่าที่หัวกะโหลกมีสภาพเช่นไร ถ้านึกไม่ออกก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ ถ้าลืมตาและจำได้แล้วก็หลับตา น้อมเอากะโหลกนั้นเข้ามาในกะโหลกเรา ดึงเนื้อดึงหนังให้เหลือแต่กะโหลกของเรา ดูเบ้าตา โหนกคิ้ว โหนกแก้ม ดูทีละจุด ดูให้ชัด เห็นให้ชัด มองให้ชัด ไม่ต้องใส่ใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะลมหายใจ หรือพิจารณาอะไร เอาแค่จับให้ชัดในโครงสร้างของกะโหลกศีรษะ มองให้ชัดเห็นจนกระทั่งติดใจ
      
       หลับตาเอามือคลำกะโหลก หรือไม่ก็เอาจิตสัมผัส ถ้าคลำแล้วไม่รู้สึกอะไรคือไม่รู้ว่ามันรูปร่างอย่างไร ก็ลืมตามาดูแล้วคลำไปด้วย อย่าไปคลำเนื้อ หนัง เอานิ้วกดลงไปที่กะโหลก เหมือนกับคนนวดศีรษะ คลำให้หนัก บอกตัวเองว่า กะโหลกเราเป็นอย่างนี้นะ ลืมตามาดูให้มันชัด แล้วหลับตาไป การที่มีโอกาสได้ลูบและนวดไปบนกะโหลก จะทำให้เราคลายเครียด คนเป็นโรคไมเกรน ปวดหัว เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง จะหายสนิท ถ้าไม่ชัดก็มาที่หน้าผาก ให้ใช้แทนตาเรา เอาสติจับไว้ที่นิ้ว นิ้วเป็นตา (ใน) แล้วก็คลำมาที่โหนกคิ้ว เอาแค่ความรู้สึกว่าเป็นรูปร่างอย่างไร ลงมาที่เบ้าตา(ไม่ใช่กดที่ตา) คลำที่กระบังตาด้านในด้านล่าง กระบอกตาด้านล่าง ลงไปถึงโหนกแก้ม จมูก ดูให้ชัด ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องภาวนาอะไร อย่านั่งหลังงอ จะทำให้โครงสร้างผิดรูปแบบ
      
       น้อมเข้ามาอยู่ในตัวเรา กะโหลกหน้า เบ้าตาของเรา ฟันเรา คางเรา นี่คือแกนกลางของกาย ที่เรารัก ทะนุถนอม เรายื้อแย่ง เราฆ่ากัน เพื่อให้ได้มาซึ่งแค่นี้ เราเอารัดเอาเปรียบ อิจฉาริษยากัน เห็นแก่ตัว สุดท้ายก็เหลือแค่นี้ มองให้ชัด มันอยู่ในตัวเรา เราก็อยู่ในตัวมัน วันนี้เราไม่เห็นมัน (กระดูก) ก็เพราะมีหนังหุ้มอยู่ มีเนื้อ หนัง ปิดอยู่ เส้นเอ็นใหญ่น้อย ร้อยรัดอยู่ มีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ไม่เห็นความเศร้าหมองของมัน ไม่เห็นข้อเท็จจริงในกายนี้แห่งมัน
      
       แต่ถ้าเราดึงหนังออก ถลกหนังทิ้ง ล้างเลือดออก ดึงเอ็นหลุด เราก็เห็นสภาพความเป็นจริง ตามความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเรา ถ้ายังไม่เห็นด้วยตาใน ก็ให้ลืมตา (นอก) มาพิจารณามองมันอีก แล้วน้อมเข้ามาสู่กะโหลกศีรษะเรา เอาเฉพาะหัวก่อนอย่าไปดูที่อื่น ให้ชัดเป็นจุดๆ มองให้ดี มองจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า (เกิดความรู้สึกเอง) สลด สังเวช เกิดนิพพิทาญาณ (ความรู้ที่ทำให้เบื่อหน่ายในกองทุกข์, ปรีชาหยั่งเห็นสังขารด้วยความหน่าย) คือความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด คลายความทะยานอยาก เราจะรู้สึกว่า
      
       โอ้หนอ...กายนี้มีสภาพความเป็นจริงปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ด้วยมหาสติ ที่รู้เท่าทันมัน เป็นจริง ดั่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ ตาใน อย่างนี้ กายนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสาระ ร่างนี้มีสภาพเป็นปฏิกูล พึงรังเกียจ เป็นกระดูกที่ขาวโพลน มีเนื้อ และหนัง ห่อหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบอยู่เท่านั้น ข้างในยังประกอบไปด้วยอะไรเยอะแยะ มากมาย หมักหมม
      
       แต่ไม่ต้องคิดยาวไปอย่างนั้นก็ได้ เอาแค่กะโหลกขาวๆ ในกายเราให้ช่ำชอง จับภาพไปที่กะโหลกศีรษะ ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไรก็นำจิตทั้งหมดมาจับภาพที่กะโหลก ถ้าส่งจิตมาแล้วไม่วอกแวกไปไหน ถือว่าเป็นสมถะ จัดได้ว่าเป็นกสิณสีขาวได้เหมือนกัน ถ้าพิจารณาให้เป็นวิปัสสนา
      
       ดูแล้วให้เกิดความสงบ รักษาความสงบไว้ให้นาน ไม่ให้กระเพื่อม เหมือนน้ำที่อยู่ในแก้วไม่ทำให้กระฉอก ไม่ทำให้หก ความสงบปรากฏ ก็คือสติตั้งมั่น รักษาสติให้เจริญอยู่อย่างนั้น จิตทุกดวงที่เกิดดับ ก็จะเกิดแต่กุศลแห่งจิต หรือสติที่เป็นกุศล มันจะไม่เป็นมลภาวะเป็นสภาวะแห่งจิต เป็นสภาวะธรรมชาติแห่งความเป็นจริง เป็นส่วนกุศลมูลจิต ที่ควรจะทำให้เจริญขึ้นในปัจจุบันนี้...

       การพิจารณาโครงกระดูก
      
       นั่งดูโครงกระดูก เมื่อดูแล้ว จะติดในสัญญา สัญญาจะทำหน้าที่เก็บมันเอาไว้ สงบด้วย ไม่ต้องมีความคิดใดปรากฏ ว่างๆ เงียบๆ
      
       นั่งแล้วจัดโครงสร้างให้ตรง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมออกยาวๆ ตามสภาพของตัวเอง ทิ้งไว้นิดแล้วสูดเข้าไปใหม่ แล้วก็พ่นลมออกอย่างนิ่มนวล สุภาพ ทิ้งไว้นิดหนึ่ง แล้วสูดเข้าไปใหม่ แล้วพ่นลมออก ทีนี้มองไปที่ภาพโครงกระดูก หัว คอ หน้าอก ซี่โครง แขน ท่อนล่าง ท่อนบน กระดูกมือ นิ้ว หลวงปู่กำลังแนะนำญาณ (ปัญญา) ไม่ได้แนะนำแบบสมถะ คือให้มองเฉยๆ (ไม่มีภาวนา) ให้รู้ว่านี่คือสภาพความเป็นจริงในกายตน กายเขา หรือกายใครๆ แล้วก็หลับตามาค้นหาความเป็นจริงในตัวเรา โดยไล่ไปทีละจุด
      
       (รายละเอียดการไล่ไปตามจุดต่างๆ มีในเทปที่ทางมูลนิธิธรรมอิสระจัดทำขึ้น)
      
       เมื่อไล่ท่อนต่างๆ เสร็จ ก็ให้กลับมาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ทำให้เป็นวิปัสสนาได้ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน แล้วก็แตกสลาย
      
       ไม่ต้องดึงเข้ามาในตัวเรา ให้ค้นหาภายในตัวเราให้ชัด ดูเพียงแค่รู้ความเป็นเช่นไร แล้วมาค้นหาความเป็นจริงที่อยู่ข้างในตัวเรานี้ (หลวงปู่สอนตามหลักวิปัสสนาใช้ปัญญาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง) ใช้ตาในค้นหาตัวเรา (อย่าจ้องจนเป็นนิมิต เป็นอุคหนิมิต ถ้าคุมอารมณ์ไม่ได้ จะหวาดกลัว จิตจะวิกลจริต)
      
       แต่ถ้าอยากให้เป็นสมถะ ให้เป็นฌาน สมาธิ ก็คือ ดูจนจำได้ เพ่งมัน แล้วหลับตา แล้วเพ่งมันอยู่อย่างนั้น จนปรากฏชัด แล้วใช้จิตดูจนให้สามารถพลิกหน้า พลิกหลัง หันซ้าย ขวาได้ จนโครงกระดูกเปลี่ยนจากสีขาวเข้ม เป็นสีขาวงาช้าง ใสขึ้น จนกลายเป็นแก้วผลึก แล้วกระจายออกเป็นท่อน (สมัยก่อนหลวงปู่ทำแล้วเป็นอย่างนี้) เมื่อกระจายออกเป็นท่อนก็จะยุ่ยออกเป็นผุยผง
      
       ในระหว่างที่หลวงปู่นำพิจารณาโครงกระดูกนั้น ท่านได้กล่าวหลักการที่มีคุณค่าว่า
      
       ...กระดูกท่อนหนึ่งยืนอยู่ กระดูกกองหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อเป็นกระดูกแล้วฟุ้งซ่านได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วหงุดหงิดรำคาญได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วเจ็บปวดได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วชอบใจ ไม่ชอบใจได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วตัวเราอยู่ที่ไหน ที่ฟุ้งซ่าน ชอบใจ ไม่ชอบใจ กลัดกลุ้ม หงุดหงิด รำคาญ สุขและทุกข์ เพราะคิดว่า เราไม่มีกระดูก
      
       กระดูกไม่มีง่วง กระดูกไม่มีเมื่อย กระดูกไม่มีเครียด กระดูกไม่มีฟุ้งซ่าน...
      
        ครูกัมมัฏฐาน
      
       เวลาเรียนรู้ดูโครงกระดูกแล้ว หลวงปู่จะนำพวกเราแผ่เมตตา ให้แก่เจ้าของโครงกระดูกเป็นการจ่าย "ค่าครู" โดยมีที่มาจากการที่ท่านไปธุดงค์ ท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านไปธุดงค์อยู่แถวย่างกุ้ง พม่า ในหมู่บ้านกุโสดอ มีเรื่องเล่าว่า มีพระเถระรูปหนึ่ง นำเอากระดูกของชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่เก็บได้จากป่าช้า แล้วมาล้างทำความสะอาด นำมาเพ่งพิจารณาอสุภกัมมัฏฐาน จนพระเถระรูปนั้นได้ปัญญาหยั่งรู้ บรรลุอริยมรรค เข้าถึงความหมายของคำว่า อริยผล เป็นพระอริยบุคคล
      
       ต่อมาบุรุษ (เจ้าของโครงกระดูก) ได้ไปเกิดเป็นลูกของยาจก ยากจน ส่วนพระอริยเจ้ารูปนั้น เมื่อได้สภาวะความเป็นไปของสรรพสัตว์ ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แค่เพียงมีดวงตาที่เรียนรู้พระธรรม สามารถรับรู้ถึงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้แล้วก็ตาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี ส่วนเจ้าของกระดูกไปเกิดเป็นลูกของคนขอทาน อนาถา ยากจน ด้วยผลกรรมที่ทำร่วมกันมา เด็กยากจนที่เป็นเจ้าของโครงกระดูกนั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่ดีนัก สุดท้ายกลายเป็นโจรป่า ซ่องสุมผู้คนได้ร่วมห้าร้อยกว่าคน ออกปล้นสดมภ์ไปทั่วทุกทิศ และสุดท้ายก็มาปล้นบ้านของเศรษฐี ซึ่งพระเถระรูปนั้นมาเกิดเป็นลูกเศรษฐี เมื่อโจรป่ามาเจอเด็กน้อยซึ่งเป็นลูกของเศรษฐี ก็รู้สึกเหมือนว่ามีความสนิทสนม เกิดความปฏิพัทธ์รักใคร่เด็กน้อย ฝ่ายเด็กน้อยที่เป็นลูกเศรษฐี ก็มีความรู้สึกเคารพศรัทธา โจรป่าห้าร้อยเป็นอาจารย์ เพราะจิตผูกพันกันตั้งแต่ที่เอากระดูกนั้นมาเป็นครู
      
       โจรป่าห้าร้อยจึงพูดกับลูกเศรษฐีว่าเราจะไม่ฆ่าญาติของเจ้า จะไม่ทำร้าย ทำลายเจ้า เรามาขอปันทรัพย์จากเจ้า ลูกเศรษฐีก็บอกว่า ท่านผู้เจริญ ข้าคิดว่าท่านเป็นผู้เจริญและประเสริฐแห่งข้า ทรัพย์ในส่วนของข้าที่บิดามารดาแบ่งให้ ท่านจงนำเอากลับไป แต่เรื่องไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ความรู้สึกที่ว่าตัวเองติดหนี้ พระเถระที่เกิดเป็นลูกเศรษฐีจึงขอบวช เมื่อได้บวชในพระศาสนา เจริญธรรมจนบรรลุมรรคผล มี อาสวักขยญาณ ( ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย) คือมีดวงตาเห็นธรรม รู้จัก อดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงได้รู้ว่า โจรผู้นี้เคยเป็นครูของเรา ดังนั้น ทุกครั้งที่โจรป่าจะโดนชาวบ้านฆ่าตาย หรือโดนทหารจะจับ พระอริยเจ้าก็ต้องอุบัติขึ้นเฉพาะหน้า ช่วยโจรป่านั้นจนกระทั่งเห็นว่าหมดอายุขัย แล้วจึงปล่อยให้ตายโดยหมดอายุขัย ที่ทำเช่นนี้เพราะว่าติดหนี้กันมาแต่เก่าก่อน
      
       เหตุเพราะพระอริยเจ้านำกระดูกมากราบเป็นครู และบอกว่าขอครูผู้ประเสริฐจงให้คำสั่ง และคำสอนอันประเสริฐแก่ข้า โทษทัณฑ์อันใดที่ข้าได้ทำต่อครู ข้าขอชดใช้ทั้งหมด คุณอันดีที่ครูมี ข้าจะขอตอบแทนไปทุกภพทุกชาติ นั่นแหละจึงเป็นที่มา ดังนั้นหลวงปู่จึงไม่อยากให้พวกเราไปตามใช้หนี้เจ้าของกระดูก โดยท่านได้แนะวิธีที่เลิศ และเป็นการแผ่ความดี ความเมตตาปราณี ให้แก่สรรพสัตว์ ท่านเลยให้พวกเราจ่ายค่าครู โดยการสวดสาธยายพุทธมนต์ และบังสุกุลให้แก่เขา
      
        สำนึกในหน้าที่
      
       ครูที่ดีต้องไม่เบื่อที่จะบอก และจ้ำจี้จ้ำไชต่อการสอน หัวใจของครูที่ดีต้องไม่มองว่าศิษย์ดีหรือเลว หัวใจของครูที่ดีมีแต่คำว่าโง่กับฉลาด เพราะในโลกนี้ไม่มีคนชั่ว แล้วก็ไม่มีคนดี มีแต่คน ๒ ประเภทเท่านั้น คือ โง่กับฉลาด คนที่เป็นคนดีคือ คนที่เป็นคนฉลาด ฉลาดที่จะนำสิ่งดีออกอวด นี่คือสิ่งที่หลวงปู่ท่านได้สอนไว้ว่าหัวใจของการเป็นครูนั้นเป็นอย่างไร และท่านได้พูดถึงสำนึกและหน้าที่ของภิกษุ สมณะ นักบวช พระในศาสนา ว่าให้ปลดจากความเป็นทาสของประชาชาติและสัตว์โลก เพียงแค่เราสำนึกและรู้สึกและสัมผัสมันได้ ธรรมะก็จะปรากฏอยู่กับเรา
      
       สิ่งที่หลวงปู่หวังในการอบรมพระ คือ เห็นพระมีสำนึกในหน้าที่ของตน ในสถานภาพของตนที่นุ่งห่มธงชัยของพระอรหันต์ ท่านบอกว่าแม้ตอนนี้พระเหล่านี้จะยังไม่ยอมรับท่าน แต่วันหน้า ปีหน้า ชาติหน้า ก็ต้องยอมรับ เพราะอย่างน้อยได้มาร่วมฟังธรรม เรียนรู้ธรรมจากท่าน ท่านรอคอย (พระเหล่านี้)ได้- จะกี่วัน กี่ปี กี่ชาติ ท่านรอได้เสมอ ท่านจะมีความรู้สึกที่ไวต่อความรู้สึกของผู้คนมาก แต่ก็เฉยต่อความรู้สึกนั้น
      
       หลวงปู่แสดงความห่วงใยต่อพระศาสนาว่า เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วมีพระอรหันต์เกลื่อนกลาด สองพันปีต่อมาก็มีผู้บรรลุธรรม เข้าใจธรรมเยอะแยะ มีผู้เจริญในมหาสติปัฏฐานมากมาย หลังจาก ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว เหมือนกับว่าขาดสูญหายไป เหมือนว่าอะไรๆ มันไม่ปรากฏ พระศาสนาก็มาเจริญในประเทศไทย และเจริญถึงขีดสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ต่อมาพระศาสนาได้เสื่อมโทรมถึงขีดสุด จนต้องรื้อฟื้นกันใหม่ แต่สิ่งที่รื้อฟื้นกลับกลายเป็นวัตถุ ไม่ใช่พระธรรม
      
       กรุงศรีอยุธยาประกอบด้วยวัตถุและพระธรรม มีนักบวชมาปุจฉา - วิสัชนา นักบวชต่างหัวเมืองจากลังกา ก็มาสอบถามปัญหาธรรมะ ถึงขนาดว่า "หลวงปู่ทวด" ต้องเดินทางมาอาสาตอบปัญหาธรรมะ เพื่อแก้ต่างกับนักบวชชาวลังกา เพราะกลัวเสียท่าเสียชื่อ ว่าเมือง "สยาม" ไม่มีคนดี คนรู้ธรรมะ
      
       เพราะฉะนั้น สมัยที่ผู้คนประมาณสามแสนถึงห้าแสนกว่าในสมัยอยุธยา ศาสนาเต็มไปทุกตำบล หมู่บ้าน ต่อมาเสื่อมทรามลงเพราะความมักมากในกามคุณ ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สุดท้ายพระสงฆ์ในศาสนาก็เปลี่ยนสภาพจากนักบวชเป็นนักรบ เป็นผู้กู้บ้าน กู้เมือง เป็นนักเศรษฐกิจ เป็นแพทย์ เป็นผู้บรรเทาความทุกข์เดือดร้อน จากภัยสงคราม ตรงนี้เป็นจุดเสื่อมของพระศาสนา สัจธรรมพื้นฐานหายไป เหลือแต่สัจธรรมปฏิรูป พระศาสนาก็ล่มจม อับเฉา เรื่อยมาในทางปฏิบัติ แต่ในทางวัตถุเจริญรุ่งเรืองมาตลอด
      
       สิ่งเหล่านี้ทำให้หลวงปู่เกิดจิตสำนึกว่าจะทำอะไรให้แก่พระศาสนาบ้าง หน้าที่ลึกๆ ของพระที่จะต้องทำอะไรดีๆให้สังคม ก็คือ หน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้คน
      
        วิถีชีวิตการปฏิบัติของหลวงปู่ (๑)
      
       หลวงปู่บอกพวกเราเสมอว่า ท่านก็คน เราก็คน ท่านก็กระดูก เราก็กระดูก ท่านมนุษย์ เราก็มนุษย์ ท่านรู้ได้ ผมต้องรู้ได้ ดังนั้นวิถีการปฏิบัติของท่านจึงมีแนวทางที่ทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนา ท่านจึงอบรมพวกเราว่า การได้มีชีวิตมาบวชในพระศาสนานั้น มิใช่ว่าใครๆก็มาบวชได้ง่ายๆ คนบวชไม่ง่าย คนตายง่าย พระสึกก็ง่าย เมื่อมาอยู่ในที่ทำได้ยากแล้ว จงทำในที่ที่มายาก ได้มายาก ให้เป็นผล สาระ อย่างน้อยได้สติสักนิดก็ยังดี เวลาสึกออกไปจะได้ทำสิ่งดีๆ ให้แก่สังคม บ้านเมือง ครอบครัว ตัวเอง และประเทศชาติ ทุกครั้งที่สวดมนต์ ท่านจะเอารูปโครงกระดูกในหนังสือวิถีแห่งพุทธะมาดู ท่านบอกว่านึกในใจว่าทำอย่างไรจะได้โครงกระดูกมาเพื่อให้พระได้เรียนรู้ ต่อมาไม่นานก็มีคนนำโครงกระดูกมาถวาย แค่หลวงปู่ท่านคิด ก็จะมีคนมาช่วย ท่านจึงบอกว่า ธรรมะนี้มีผล หมั่นทำอย่างจริงๆจังๆ ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วจะรู้ว่า สรรพสิ่งในโลกอยู่ใต้อุ้งมือเรา อย่าละโมบ อย่าตะกละ สมัยที่ท่านบวชและยังอาศัยวัดอื่นอยู่ พอมีคนมาถวายสังฆทาน ท่านจะเอาไปไว้คลังสงฆ์ แล้วเขียนหนังสือตัวโตๆประกาศ ว่า "ผมรับสังฆทานมา ขอพระคุณเจ้าโปรดพิจารณาตามอัธยาศัย" ส่วนปัจจัยจะนำไปใส่ตู้สำหรับเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ถือว่านั้นก็เป็นสังฆทาน ส่วนเงินที่ใส่บาตรโดยเฉพาะกับตัวท่านเองก็จะเก็บไว้ พอมีจำนวนมาก ท่านจะไปซื้อโลงให้กับคนอนาถาบ้าง ซื้ออุปกรณ์การเรียนให้แก่เด็กบ้าง นี่คือวิถีชีวิตของหลวงปู่
      
       ท่านบอกว่า เมื่อเราไม่ต้องการ สิ่งที่จะได้มันมากมายกว่าสิ่งที่ต้องการ แต่ถ้าเราต้องการ มันจะเหลือเนื้อที่ให้เราน้อยที่สุด แล้วสิ่งที่ได้ก็จะจนที่สุด อย่าอยากก็คือการปฏิเสธ เมื่อไม่อยากทุกอย่างจะมาหาเรา
      
       ถ้าเราถือตัวเรา หรือคิดว่าตัวเรา มีอยู่ในตัวเรา หรือตัวเราปฏิบัติ เราก็จะเป็นผู้ทำลายกติกาในการปฏิบัติ ในหลักมหาสติ ปัฏฐาน วิปลาส ๔ อย่างคือ ความเห็นว่างาม ความเห็นว่าสุข ความเห็นว่าเที่ยง ความเห็นว่ามีตัวตน นี่เป็นวิปลาสของบุคคลผู้ปฏิบัติธรรม และเมื่อใดเราถือว่ามีตัวเราปฏิบัติธรรม เมื่อนั้นเราทำลายการปฏิบัติธรรม นั่นจึงเป็นที่มาของนักปริยัติ ทำไมต้องตีกับนักปฏิบัติ เพราะว่าต่างฝ่ายต่างเอาอัตตาขึ้นมาตีกัน มาชนกัน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย และวิปลาสที่เกิดขึ้น
      
       มหาสติปัฏฐานที่ไร้รูปแบบคือ มหาสติปัฏฐานที่ไม่มีการท่องจำ ทำได้ทุกขณะ เวลา เช่น คราใดเมื่อสภาวธรรมปรากฏขึ้น เรามีสติรับรู้สภาวธรรมนั้น ไม่ปรุงสภาวธรรมนั้นให้เป็นอารมณ์ ไม่ทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วเราจะได้ไม่มีอะไรในอารมณ์นั้นๆ หลวงปู่เขียนบทโศลกบทนี้เมื่อท่านฝึกมหาสติปัฏฐานใหม่ๆ แล้วท่านรู้จักหน้าตาแท้ๆ ของมหาสติปัฏฐานแล้ว ท่านจึงเขียนบทโศลกว่า
      
       ลูกรัก...จงอย่าทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วเราจักได้ไม่มีอะไรในอารมณ์นั้นๆ
      
       ซึ่งมันตรงกับสภาวธรรมของพระที่เข้ารับการอบรม เพราะวันหนึ่งในตอนกลางวัน ขณะที่พระกำลังฉันอาหารที่ศาลา มีผู้หญิงสาว ๒ คนเดินอยู่ในบริเวณนั้น พระหนุ่มแอบเหลียวมองไปตามๆ กัน หลวงปู่จึงแซวว่ามีกระดูก ๒ กองเดินมา กระดูกหลายกองกำลังมองกระดูก ๒ กองเดินผ่านไป ท่านบอกว่าไม่ใช่พูดเพื่อสนุก เพราะท่านเอาชนะความง่วง เอาชนะความเจ็บปวด และมาทำงานได้ก็เพราะท่านคิดว่า กระดูก ๑ กองกำลังพูดให้กระดูกหลายกองฟัง สภาพของกระดูกมันไม่มีอะไร ไม่มีสภาวะ มีแต่แกนเฉยๆ เอาความรู้สึกของเราเข้าไปถึงแกนอันนั้น เท่ากับว่าเราไม่ปรากฏสภาวธรรมใดๆ สงบ สันติ มันเป็นอุเบกขารมณ์ เมื่อเกิดอุเบกขารมณ์ขึ้นไม่ว่าจะมีสภาพใดมาฉุดกระชากลากถูเราไป มันก็จะไม่ใส่ใจ เราจะตั้งมั่นได้อย่างขุนเขา ที่ตั้งตระหง่าน ต้านทานแรงลมและพายุร้ายได้
      
       ความหมายของการได้รู้ว่า นี่คือ กระดูก คลำกระดูก และดูแลกระดูกของตน ชัดเจนในกระดูก
      
       มันเป็นความหมายที่ป้องกันภัยอันตรายรอบด้านได้มหาศาล การพิจารณาเห็นกระดูกภายในกายตนอยู่เป็นนิจศีล เหมือนอย่างพระรูปหนึ่ง ก่อนที่จะไปฉันข้าวในตอนเช้าวันหนึ่งได้มานั่งมองกระดูก แล้วขณะฉันข้าวก็คงคิดว่าเมื่อมันเป็นกระดูก แล้วนำอาหารใส่ไปในกระดูก มันจะขังอยู่กับอะไร ท่านจึงอาเจียนออกมา หลวงปู่บอกว่านั่นคือลักษณะของผู้ที่เข้าถึงภูมิธรรมชั้นหนึ่งเท่านั้น คือมองข้ามเนื้อ หนัง ลึกเข้าไปถึงแกนของกายคือกระดูก เพราะฉะนั้น พระองค์นั้นเวลาฉันอะไรก็จะอ้วกออกมา เพราะตอนนั้นเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ
      
       กระดูกทำให้เราตั้งมั่น อยู่ได้อย่างไม่โยกโคน ไม่ง่อนแง่น ให้กระทบอารมณ์ต่างๆ อย่างไม่พ่ายแพ้ ทำให้มีชัยชนะต่อสภาวธรรมทั้งปวง กระดูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะแห่งจิตที่เป็นส่วนกุศล กระดูกทำให้เราเกิดสติตั้งมั่นและมีปัญญาญาณ หยั่งรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง อานิสงส์ของการมองกระดูกที่หลวงปู่ถ่ายทอด คือ เห็นกระดูกขณะเดิน เห็นกระดูกขณะยืน เห็นกระดูกขณะกิน เห็นกระดูกขณะพูด เห็นกระดูกขณะถ่าย นั่นคือมี สติ ควบคุมได้หมด รับรู้สัมผัสได้หมด ทำให้ "กายกับใจ รวมผนึกเป็นหนึ่งเดียว" ดังที่หลวงปู่เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่ต้องไม่มีห่วงโซ่ (สติขณะใดขณะหนึ่ง) ขาดหายไป พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คือขบวนการร้อยรวมกันซึ่งกัมมัฏฐานทั้งปวง สามารถตรวจสอบโดยใช้หลักโพชฌงค์ ๗ ในการตรวสอบกัมมัฏฐาน หรือธรรมะนั้นในการปฏิบัตินั้นได้
      
       หลักโพชฌงค์ คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ อย่างคือ ๑.สติ ๒.ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา ) เมื่อเรามีสติ เลือกเฟ้นภูมิธรรม ปฏิบัติธรรมนั้นด้วยความเพียร ก็เห็นผลในความเพียรนั้น นั่นคือ ปีติ เมื่อเห็นผลแล้วก็ปล่อยวาง สภาวธรรมที่เป็นมลภาวะทั้งปวง หรือสภาวธรรมที่ปรุงให้เป็นอารมณ์ เมื่อปล่อยวางได้แล้ว สติก็ตั้งมั่น เรียกว่า สัมมาสมาธิ แล้วก็ อุเบกขา ความว่างเฉย ทั้ง ๗ ประการนี้ คือการตรวจสอบธรรม ถ้าเข้ากันได้ ธรรมนั้นเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าเข้าอย่างนี้ไม่ได้ คือไม่เริ่มต้นด้วยสติ มันก็ไม่ใช่
      
       เพราะว่า สมาธิ นั้น ฝ่ายมารก็มี พวกฤาษี ชฎิล นักบวชนอกศาสนา หรือแม้กระทั่งพวกพ่อมด หมอผี ก็มีสมาธิ เรียกว่า สมาธิฝ่ายมาร เช่น พวกคุณไสย เสน่ห์ยาแฝดต่างๆ
      
       ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีไว้เพื่อลดอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฐิ ความทรนง เย่อหยิ่ง จองหอง พระธรรมคือเครื่องฟอกจิต คนที่บรรลุพระอรหันต์ ท่านไม่ได้รอบรู้สรรพสิ่ง แต่รอบรู้ตัวเอง รู้จักตัวเอง ส่วนคำว่า
      
       สัพพัญญู คือคุณสมบัติพิเศษของพระพุทธเจ้า ไม่เอาคำว่าสัพพัญญู ไปเรียกพระอรหันต์
      
       พระธรรมจึงเป็นเครื่องฟอกจิต ถ้าเรารับรู้ สัมผัส พิสูจน์ได้ ในกลิ่นอายแห่งพระธรรมนั้น เราย่อมจะรู้สึกฉลาด สะอาด สงบขึ้น สว่างขึ้น ผู้มีธรรมะทำให้เราชนะโลก อยู่บนโลกอย่างผู้ชนะ พระธรรมทำให้ตั้งมั่นได้อย่างไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา ไม่โยกโคน ไม่สั่นคลอน ผู้มีธรรมย่อมอาจหาญ และสง่างาม ย่อมทำให้เรากล้าที่จะเผชิญต่อทุกสถานการณ์ ทุกกาล ทุกสมัย ผู้ปฎิบัติธรรม เจริญธรรม และมีธรรมในหัวใจ ย่อมไม่โดนใครกระทำ พระธรรมย่อมทำให้เราเป็นสุขเสมอ พระธรรมคือกระบวนการขัดเกลาจิตวิญญาณ และกายเรา ให้กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ พระธรรมบอกสิ่งที่ดีๆ แก่เรา ในขณะที่คนอื่นโง่เขลา แลไร้ปัญญา พระธรรมให้ทุกอย่างที่เราต้องการได้
      
        วิถีชีวิตการปฏิบัติของหลวงปู่ (๒)
      
       เรื่องราวการปฏิบัติธรรมแล้วมีประสบการณ์แปลกๆที่เกี่ยวเนื่องและ เป็นผลจากการปฏิบัติ สำหรับหลวงปู่นั้นท่านมีมากมาย ซึ่งผมพอจะยกบางตอนที่ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านไปพม่ามีพระองค์หนึ่งชื่อ หลวงปู่สี จะเก่งเรื่องการจับโครงกระดูกวิชากระดูก เมื่อจับกระดูกแล้วจะรู้ว่ากระดูกท่อนนี้เป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย อายุเท่าไร ตายด้วยโรคอะไร มีลูกกี่คน (สำหรับผู้หญิง) ท่านเคยทำนายแข่งกับหลวงปู่ ในตอนกลางคืนจะนำเอากระดูก กะโหลกมาเรียงในป่าช้า (ป่าช้าพม่าเขาจะฝัง) แล้วถามกันว่าผู้หญิง ผู้ชาย แก่ เด็ก หนุ่ม ทายกัน แล้วดูว่าใครจะได้ไปบิณฑบาตร เพราะต้องมีพระเฝ้าบริขาร ไม่อย่างนั้นจะมีขโมยมาลักของเอาไป เลยต้องทายแข่งกัน ซึ่งเขาเรียกวิชานี้ว่า "วิชานรลักษณ์"
      
       ซึ่งในบทมหาสติปัฏฐาน พระศาสดาทรงสอนเราว่า... ภิกษุทั้งหลาย เธอจงไปอยู่ในเรือนว่าง ป่าช้า ป่าชัฎ อยู่ในที่ห่างไกลผู้คน นั่งคู้บัลลังค์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เฉพาะหน้า ระลึกอยู่ว่า เธอกำลังนั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่ กำลังเดินอยู่ เรียกว่า อิริยาบถบรรพ การรู้สภาวธรรมอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องท่องจำใดๆ แค่มีสติรู้อิริยาบถอย่างนั้น ตอนนั้น
      
       พื้นฐานของการรับรู้ ต้องมาจากสติตั้งมั่น หากสติตั้งมั่น การรู้ก็จะเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็อยู่ที่พื้นฐานการฝึก การศึกษา และสภาพการเรียนรู้ การที่เราเรียนรู้ หากยังมีความสงสัยว่า จะถูกต้องตามหลักหรือไม่ ขอเพียงเรามีการเรียนรู้ตัวเอง ธรรมะหรือธรรมวินัยนี้ มีไว้สำหรับสอนให้เรารู้จักตัวเอง แจ่มแจ้งในตัวเอง และถ่องแท้ในชีวิต จิตวิญญาณของตัวเอง ขอเพียงรู้จักตัวเอง โดยรู้จริง ไม่รู้จำ เป็นประโยชน์แก่ตัว ก็เป็นวิถีทางของพุทธะตรงตามคำสอนของพระศาสดา
      
       คนเรานั้นมีธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้อยู่ ๒ ชนิดคือ ธรรมชาติภายนอกกาย (สัปปายะ) กับธรรมชาติภายในกายหรือจริต ๖ มีอยู่ในตัวทุกคน แต่ใครจะมีจริตใดมากกว่า กัมมัฏฐานทุกกองจึงมีเอาไว้กำราบทุกจริต กัมมัฏฐาน ลมหายใจ กับกระดูก เป็นกัมมัฏฐานกลางๆ ที่หลวงปู่ท่านสอนเอาไว้ ที่สามารถกำราบจริตได้ทุกจริต ซึ่งในระหว่างการอบรมหลวงปู่ท่านจะบอกว่า อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเวลากับการพูดคุยสังสรรค์ ไม่เจริญสติ ถ้าปล่อยไปอย่างนี้จะไม่เจริญ
      
       การไหว้ตัวเองได้ บูชาตัวเองสนิท (กายศักดิ์สิทธิ์) เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ นั่นคือสุดยอดของการปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่ท่านสอน โดยท่านเล่าให้ฟังว่าพระอุปัชฌาย์ของท่านสอนไว้ว่า "จำไว้นะ เป็นราชสีห์ในป่า ดีกว่าเป็นหมาอยู่ในเมือง" ดังนั้นเราจึงเห็นหลวงปู่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติซึ่งเราจะหาครูที่ไหนมา สอนเราได้อย่างนี้ ท่านบอกว่า (จงคิดว่า) "งาน" คือการสร้างสมรรถนะ งานคือการเปิดประตูวิญญาณ (รับรู้) ให้กว้างขวาง งานคือเครื่องทำให้สถานะชีวิตมั่นคง งานเป็นเครื่องทำให้เราเรียนรู้สรรพวิทยา งานคือการแสดงคุณค่าของการมีชีวิต
      
       การปฏิบัติซึ่งเป็นอุบายการกำราบนิวรณ์ อุบายชำระใจ ท่านจะมีวิธีพิจารณาที่ผสมผสาน ลักษณะว่า กายนี้ ประกอบด้วย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อสติรู้อยู่เฉพาะหน้า ร่างกายนี้มีธาตุทั้งสี่เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นเครื่องควบคุม สร้างสัมพันธภาพ เพื่อให้สมดุล เมื่อใดที่มนุษย์ตาย สัตว์ตาย มันจะขาดผู้ควบคุมธาตุทั้งสี่ คนตาย ลมหายใจก็จะหาย ลมทำหน้าที่ควบคุมธาตุไฟ เมื่อลมหายไฟก็ดับ ปกติไฟควบคุมธาตุน้ำ ธาตุน้ำก็จะทำการละลายธาตุดิน เวลาคนตายหลายวันจึงมีน้ำเหลืองไหลออกมา ตาปลิ้น ลิ้นจุกปาก อาการเหล่านี้เป็นการพิจารณาอสุภะ โดยเริ่มต้นจากธาตุ แล้วต่อมาด้วยอสุภะ
      
       ถ้าจะต่อไปถึงปฏิกูลบรรพ ก็พิจารณาโดยสัณฐาน โดยที่เกิด โดยความสกปรก โดยความไม่สวยไม่งาม พิจารณาโดยความน่าขยะแขยง ไม่เป็นที่รักใคร่ ชอบใจ ส่วนนวสีวถิกาบรรพ เมื่อธาตุนั้นแยกสลาย อสุภะนั้นมันแตกกระจาย สภาวะที่มันปรากฏขึ้นมันเหลือแต่โครงสร้างของกาย
      
       ส่วนหลักการพิจารณา ธาตุกัมมัฏฐาน อสุภกัมมัฏฐาน นวสีวถิกากัมมัฏฐาน และปฏิกูลกัมมัฏฐาน ซึ่งจะอยู่ในหมวดเดียวกัน มีลักษณะที่คล้ายๆกัน สามารถที่จะพิจารณารวมๆ กันได้ ครั้งแรกให้พิจารณารวมๆ กัน ต่อมาก็แยกพิจารณาเป็นอย่างๆได้ เพื่อให้จิตมันละเอียดขึ้น สติมันละเอียดขึ้น ขบวนการรับรู้ละเอียดมากขึ้น หลักการพิจารณาให้มองว่า เรามีจริตอย่างไร จะใช้กัมมัฏฐานใดเข้ากำราบ ให้ตรงและถูกต้อง
      
       แม้แต่การเจริญกสิณของหลวงปู่นั้น ท่านก็บอกวิธีไว้ว่าทำทุกอย่าง แม้แต่ดูกระดูกของตัวเอง โดยใช้การเพ่งพิจารณาโครงกระดูกจนปรากฏเป็นนิมิต หลับตา ลืมตาเห็นได้เป็นปกติ แล้วทำให้มันใหญ่ มันเล็กได้ ตามกาลที่เราต้องการ ทำให้เกิดวิปัสสนาญาณปรากฏ "กสิณ" ในการทำก็คือ หาเครื่องผูกใจ โดยไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นอย่างนี้ แต่เพราะสมัยก่อนเขานิยมทำในรูปแบบอย่างที่เรารู้จักกันก็คือ กสิณ ๑๐ (วัตถุอันจูงใจ คือ จูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐานที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่งเพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิมี ๑๐ อย่าง) คือ
      
       ภูตกสิณ ๔ : ๑) ปฐวี - ดิน ๒) อาโป - น้ำ ๓) เตโช - ไฟ ๔) วาโย - ลม
       วรรณกสิณ ๔ : ๕) นีลํ - สีเขียว ๖) ปีตํ - สีเหลือง ๗) โลหิตํ - สีแดง ๘) โอทาตํ - สีขาว
       และ ๙) อาโลโก - แสงสว่าง ๑๐) อากาโส - ที่ว่าง
      
       วิถีชีวิตการปฏิบัติของหลวงปู่ (๓)
      
       หลวงปู่ได้เล่าถึงตอนที่ท่านโดนงูกัด แล้วไม่ตาย โดยคิดว่า มีโครงกระดูกกองหนึ่ง โดนกระดูกท่อนหนึ่งมากัด เมื่อสติฝึกและกำหนดถึงขั้นหนึ่งแล้ว จะสามารถบังคับการโคจรของเลือดลมได้ ดังนั้นท่านจึงใช้วิธีนี้เพื่อทำให้เลือดไม่สูบฉีดเร็วนัก ท่านจึงบอกว่าคนมีสตินั้น การหมุนเวียนของเลือดจะปกติ สมดุลของมันจะคงที่ หัวใจจะไม่เต้นเร็ว เลือดจะไม่สูบฉีดเร็วเกินไป จะรักษาความสมดุลไว้ ถ้าถึงขีดหนึ่งจะสามารถบังคับได้ แต่ถ้าคนไม่มีสติหัวใจจะเต้นแรง เลือดจะสูบฉีดเร็ว สมองจะพองโต กล้ามเนื้อจะขยาย ม่านตาเปิดกว้าง อวัยวะทั้งหลายจะตื่นตัว สมัยที่ท่านไปธุดงค์แถว อ.ฝาง จ. เชียงใหม่ ท่านเล่าว่าต้องเดินธุดงค์ ๑๒ ก.ม ไปกลับ สมัยนั้นมีพระชื่อดังชื่อ ตุ๊เจ้าเสือขาว เขาลือว่าเป็นพระอรหันต์ ซึ่งอยู่ใกล้กับ วัดของหลวงปู่สิม (พุทธจาโร) ตอนนั้นหลวงปู่ได้ไปเยี่ยมหลวงปู่สิม เพราะรู้จักกันดี ตอนที่หลวงปู่ไปหา พอดีหลวงปู่สิมไม่อยู่ และเป็นวันพระ เป็นงานประเพณีเดือนสิบสอง ของทางเหนือ เขาจัดแถวนั่งกัน โดยให้หลวงปู่ไปนั่งต่อท้ายเณร ท่านก็ไปนั่งตรงที่ที่เขาจัดให้ สักพักเมื่อหลวงปู่สิมกลับมา พอเห็นหลวงปู่เข้าก็เรียกเณรมาตำหนิ แล้วให้หลวงปู่นั่งในที่อันสมควร ในชั้นเดียวกับหลวงปู่สิม หลวงปู่ก็เดินบิณฑบาตร จากถ้ำเชียงดาว ที่นั่นมีพระองค์หนึ่ง ไม่ยอมเดินดินมา ๑๐ ปีแล้ว เท้าไม่ยอมแตะพื้น อยู่แต่ที่กระต๊อบบนต้นไม้ ถึงเวลาก็มีโยมที่ศรัทธานำเอาอาหารมาถวาย ใส่ตะกร้าขึ้นไป หรือเวลาพระองค์นั้นต้องการอะไร ก็จดรายการส่งลงมา เขาลือกันว่า พระองค์นั้นเป็นอรหันต์ หลวงปู่อยากรู้ว่าพระองค์นั้นเป็นอย่างไร จึงคิดอยากทดสอบ อยากรู้ว่าอรหันต์เป็นอย่างไร พอดีพระองค์นั้นต้องการน้ำ หลวงปู่เลยกรอกน้ำเยี่ยวใส่กระบอกส่งขึ้นไปแทน สักพักก็มีเสียงพระองค์นั้นตะโกนด่าลั่นมาว่า "ใครเยี่ยวใส่กระบอกน้ำกูวะ" แล้วจากพระที่ไม่เคยลงเหยียบพื้นดิน ก็รีบลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องที่หลวงปู่นี้เล่าต้องการบอกให้พวกเรารู้ว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ตามที่เขาเล่าลือ ต้องเชื่อจากการทดสอบ ลงมือพิสูจน์ทราบเสียก่อน
      
       ในช่วงการอบรมพระวิปัสสนาจารย์บางครั้ง วิทยากรที่มาอบรมใช้ศัพท์ทางอภิธรรมมากไป ฟังแล้วมึน เข้าใจยากหรืออาจทำให้ไขว้เขวได้ หรือบางครั้งทำให้พระบางรูป เกิดความคิดว่า การอบรม ทนลำบากในครั้งนี้ ไม่เห็นจะได้อะไร ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การเรียน (ปริยัติ) นั้นถือว่าสำคัญกว่า หลวงปู่จึงสอนพวกเราว่า ให้รู้จักที่จะเลือกเอาสิ่งดี จากสิ่งที่เขาสอนนั้น เพราะการศึกษาธรรมะ ต้องศึกษาได้จากทุกที่ ทุกถิ่น ทุกเวลา ขณะจิต เป็น "อกาลิโก" หรือ ธรรมที่ไม่จำกัดกาล ขอเพียงมีศรัทธา ตั้งมั่นในพระธรรม ใครจะพูดอะไร ให้เราหวั่นไหว หรือใครจะเอาคัมภีร์มาทั้งตู้ ก็ยังเชื่อไม่ได้ เราต้องลองดู ทดสอบ ทดลองดูก่อน สำคัญคือ ต้องมีสัมมาทิฐิ ศาสนานี้มีไว้เพื่อศึกษาให้ปลดปล่อยทุกข์ รู้เท่าทันทุกข์ หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ต้องไม่มีตัวกู ของกู ไปศึกษาเรียนรู้ ท่องจำ
      
        ปิดฉากโรงละครอิงประวัติศาสตร์ธรรมะ
      
       วันสุดท้ายของการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ หลวงปู่ได้พูดไว้ว่า วิธีการเหล่านี้เป็นการดัดกาย วาจาใจ ให้เป็นผู้ที่ซื่อตรง บริสุทธิ์ เป็นวิถีทางอันประเสริฐ ตามอุดมการณ์ของพระพุทธะผู้ประเสริฐและยิ่งยง ได้ดำเนินรอยตามวิถีธรรมอันประเสริฐของพระองค์ ได้ตระหนัก และสำนึก ถึงธุระ แล้วหน้าที่อันนี้ ที่พระศาสดาทรงให้แก่ มหาชน คนทั้งหลาย เราในฐานะผู้สืบทอดอุดมการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ เจริญรุ่งเรือง และประเสริฐสูงสุด ของพระพุทธะพระองค์นั้น เราก็เพียรพยายาม ทำหน้าที่ให้ซื่อตรง บริสุทธิ์ ถูกต้อง และยุติธรรม ตามอุดมการณ์ แนวทางที่พระองค์ทรงวางรากฐานเอาไว้ เราตระหนัก สำนึกถึงสกุลศากยะ ว่าความหมายแห่งศากยะ ไม่ใช่ได้มาจากการที่เราอยู่ใกล้ ต้องได้มาจากการที่เราลงไม้ลงมือกระทำ จนเป็นผู้อาจ ผู้กล้า ผู้สามารถ
      
       ด้วยความตระหนัก สำนึก คณะทำงานได้เสียสละเวลาอันมีค่า ความสุขส่วนตัว ความดีงามที่มี มาเผื่อแผ่ให้ไพศาลและไพบูลย์ ต่อจิตวิญญาณต่อพระวิปัสสนาจารย์รุ่นน้อง ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง จะยังประโยชน์สุขให้แก่สังคม แก่โลก จักรวาล ต่อผู้คน ชนทั้งหลาย สิ่งต่างๆ ทุกคนทำด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความมั่นใจ ในศรัทธาที่มีต่อพระศาสนา และทำด้วยความจริง ไม่ได้มีสิ่งใด หวาดระแวง เคลือบแคลง สงสัย การทำงานอาจจะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง คณะทำงานยินดีรับคำชี้แนะ ติ ผ่องถ่าย ความรู้สึก ปรับปรุง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสมอ
      
       หากทำแล้วทำให้เมล็ดพืชแห่งพุทธะ และโพธิจิต เจริญในจิตวิญญาณ และสันดานของสรรพสัตว์ ทุกคนก็จะพยายามทำดีกันทั้งนั้น แต่บางครั้งความดีอันนั้น อาจจะไม่ถูกใจ ไม่ตรงใจ ของทุกท่าน ขอจงมีความเมตตาต่อคณะดำเนินการ หวังว่าวิถีชีวิตอย่างนี้ วิถีคิดแบบนี้ วิถีงานที่นี้ เป็นวิถีพุทธ ตรง ถูกต้อง บริสุทธิ์ และชอบธรรม ตามครรลองของพระธรรมวินัย และพระศาสนา ที่พระศาสดาจารย์เจ้าทรงวางรากฐานไว้ดีแล้ว...
      
       "โรงละครโรงนี้กำลังจะปิดฉากลงแล้ว หลวงปู่ได้ทำกระบวนการทั้งหลายให้เกิดขึ้น ให้ได้ประโยชน์ สาระ ปราศจากโทษภัย ต่อผู้ฟัง โรงละครอิงประวัติศาสตร์ธรรมะโรงนี้ ปิดฉากด้วยความความสันติสุข และร่มเย็น ด้วยความมีไมตรี และเมตตาของเหล่าภิกษุ (พุทธบุตร) พระศาสนายังจะคงบริสุทธิ์ บริบูรณ์ได้ ปัญญาญาณหยั่งรู้ในสรรพชีวิต สรรพชีวิต ก็จะอุบัติขึ้นได้ สิ่งที่ต้องการ เพื่อจะให้พระเป็นศากยบุตรที่ดี ทำเรื่องดีๆ ให้แก่พระศาสนา เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชาติและสัตว์โลก ตามอุดมการณ์ของพระศาสดาให้แผ่ไพศาลไปสู่สังคม และมหาชนคนทั้งหลาย ทำให้พระศาสดาจารย์เจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และยิ่งยง ในหัวใจของสรรพสัตว์ ทำให้ผู้คนทั้งหลายยืนหยัดด้วยลำแข้ง และพึ่งพาตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้ ทั้งหมดเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่หลวงปู่ ต้องทำในฐานะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชาติและสัตว์โลก"
      
       สิ่งที่หลวงปู่ยังไม่ได้บอกว่า ท่านทำงานทั้งหลายทั้งปวงเพื่อพระศาสนานั้น ท่านต้องการอะไร ผมขอให้ทุกท่านพนมมือและกล่าวสาธุเมื่อหลวงปู่กล่าวเสร็จ ท่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า
      
       "ข้าแต่เทพเจ้าทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และเทพดาฟ้าดินที่สิงสถิตย์อยู่ในสากลโลก และสามโลก ประชาชนผู้คน มหาสัตว์ และสรรพสัตว์ทั้งปวง ข้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยบุญกุศลและอำนาจบารมีที่ข้าบำเพ็ญครั้งนี้ จงเป็นเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ข้าได้เข้าถึงภูมิของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ในอนาคตกาล สำเร็จสู่พระโพธิญาณ ตามมุ่งหวังด้วยเทอญ"
      
       "สา...ธุ" พระภิกษุทั้งหมดพร้อมใจกันเปล่งเสียงสาธุ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ มีพลัง ดังกระหึ่ม กึกก้อง บริสุทธิ์ แนบแน่นไปด้วยความอิ่มเอิบ ซาบซ่าน ปีติสุข สงบ เยือกเย็นสันติ
      
       "ครับ ขอบพระคุณครับ นิมนต์ให้พรครับ" สิ้นเสียงดังกังวาน แจ่มใส ของหลวงปู่ เสียงพระทุกรูปจึงพร้อมกันเปล่งคำให้พรที่สวดด้วยหัวใจ แก่ทุกคนที่มาในงานนี้ เป็นอันว่าโรงละครโรงนี้ได้ปิดฉากลงแล้วด้วยความอิ่มเอม และปีติสุขที่เกิดขึ้นในหัวใจของทุกคน
      
       จบภาค โลกุตระ ......