28.04.54  หัวข้อธรรมะ “ ถอดสูท ผูกธรรมะ” โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

แสดงแก่ สมาชิกสมาคมการพิมพ์สกรีน (ประเทศไทย) ณ. โรงแรม ดิเอมเมอร์เรล 

ถนนรัชดา ( 85 นาที)
• ถ้าคุณขาดปัญญา คุณก็จะจมปลักอยู่ในงาน งานก็จะเป็นผู้ทำคุณ ไม่ใช่คุณ

เป็นผู้ทำงาน  แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมีปัญญา คุณจะเป็นผู้ทำงาน
• วิปัสสนา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ไปนั่งภาวนา หรือท่องบ่นอะไร
วิปัสสนาในที่นี้ก็คือ มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
• จำไว้ว่า ถ้าคุณมีอะไร ใครๆ คุณก็เข้าไม่ได้
• ผู้นำที่ดี ไม่ใช่แค่สั่งดี แต่ทำไม่ได้ ไม่มีใครเค้าเห็นดีของคุณหรอก
• ผู้บริหารที่ดี ผู้นำที่ดี ต้องสั่งดี ทำดี พูดดี และคิดดี และเป็นต้นแบบ

ตัวอย่างที่ดี
• หัวใจของการกระทำและมีชีวิต รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด และทำทุกอย่างให้

เรียบร้อย
• ความสุขที่แท้จริง คือ มันวางแล้วว่าง เข้าใจ รู้จัก ดับแล้วเย็น
• มันไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร แล้วมันก็สบายๆ ผ่อนคลาย นั่น

แหละ ความสุข
• ชีวิตคุณ อะไรที่คุณคิดทำ เป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่เป็นทุกข์ที่คุณสมัครใจทำ

หรือทุกข์ที่คุณทุกข์ใจทำ
• ถ้าคุณขาดปัญญา คุณก็จะจมปลักอยู่ในงาน งานก็จะเป็นผู้ทำคุณ ไม่ใช่คุณ

เป็นผู้ทำงาน
• แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมีปัญญา คุณจะเป็นผู้ทำงาน
• สาระของคน คือ ดีกับชั่ว ถ้าดี ก็มีสาระ ถ้าชั่ว ก็ไร้สาระ
• ทำอะไรก็แล้วแต่ มนุษย์ไม่ควรปฏิเสธ 4 คุณ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนทำงานและนักบริหารทุกท่าน
วันนี้มาแสดงธรรมในบรรยากาศซี่โครงหมูน้ำแดงกับอาหารอีกหลายอย่างวางอยู่ข้างหน้า
ไม่แน่ใจว่า เค้าจะถวายพระ หรือให้คน
แต่ว่ามาวันนี้น่าจะขาดทุน ไม่ได้กำไร เหตุผลว่า ฉันได้แต่น้ำ เนื้อไม่ได้ฉัน เพราะเลยเวลา
สิ่งหนึ่งที่อยากจะพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ก่อนที่พูด อยากจะทำความเข้าใจตรงกันว่า นี่มัน

เป็นเรื่องของใคร อะไร
ไม่มีใครแจ้งให้ทราบว่า มาเนื่องในงานอะไร สืบเนื่องเรื่องมาอย่างไร หรืออยากฟังธรรม

กินอาหาร จบ
ใครเป็นเจ้าของงาน
เอ้า ช่วยอธิบาย บรรยายให้ฟังหน่อยว่า สืบเนื่องเรื่องมาจากงานอะไร
ต้องรู้ที่มาที่ไป ไม่งั้นเดี๋ยวพูดไม่ถูก ชั้นเป็นคนหาข้อมูลเอาข้างหน้า ไม่ได้เตรียมข้อมูลมา
กราบนมัสการองค์หลวงปู่พุทธะอิสระครับ
วันนี้ กระผมในนามนายกสมาคมการพิมพ์สกรีน ประเทศไทย วันนี้ ทางสมาคมฯ มีวาระ

โอกาส
จัดประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมฯ ซึ่งจะจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีทุกปี และมีการ

เลือก
กรรมการบริหารชุดใหม่
อ๋อ วันนี้ก็คือ นิมนต์พระมาขับไล่

เออ ก็ขอบคุณมากที่ให้ความไว้วางใจ นิมนต์มาแสดงปาฐกถาธรรม ปกิณกะธรรม
สิ่งหนึ่งที่อยากฝากบอกว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน ผลของงานมันอยู่ที่การกระทำ มนุษย์ไม่
ควรปฏิเสธ 4 คุณ
เพราะเรามีคุณธรรม มันทำให้เราทำคุณประโยชน์
คุณธรรมที่เรามีอยู่ในหัวใจเราเต็มเปี่ยมเนี่ย
มันจะทำให้เราทำคุณประโยชน์ให้กับสาธารณะชน ปวงชน สังคมรอบข้าง สิ่งแวดล้อม

รอบกายเรา
และสุดท้ายก็มันจะย้อนกลับมาหาตัวเรา นี่คือ คุณลักษณะอันพิเศษของคนที่มีคุณธรรม

เพราะงั้น คนมีคุณธรรมก็จะทำคุณประโยชน์
แล้วชีวิตก็จะเกิดคุณค่า
สังคมก็จะมีคุณภาพ
ไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมใดๆ มันก็ต้องขึ้นต้นจากการต้องมีคุณธรรมในหัวใจอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมทั้งภายในแล้วก็ภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นการงานทั้งภายในแล้วก็ภายนอก
การงานที่เลี้ยงดูตัวเอง ครอบครัว
การงานที่เลี้ยงดูหน่วยงาน
แม้ที่สุด การงานที่เอื้อประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมรอบข้าง สิ่งแวดล้อมรอบตัว
ทั้งหมดมันเป็นการงานที่ต้องออกมาจากคนที่มีคุณธรรม
คนไม่มีคุณธรรมก็จะไม่ค่อยชอบทำการงานอย่างเช่น
คนไม่มีคุณธรรม เรื่องวิริยะ คือ ความเพียร ความขยัน ก็จะขี้เกียจ สันหลังยาว ไม่ทำการ

งาน
คนไม่มีคุณธรรม เรื่องมีน้ำใจ เสียสละแบ่งปัน ก็จะไม่คิดทำอะไรเพื่อใคร แต่จะทำอะไร

เพื่อตัวเอง
ก็เป็นการทำอย่างคับแคบ อย่างเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว
คนไม่มีคุณธรรม หรือขาดคุณธรรมที่ชื่อว่า ความมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ก็จะเป็นคนที่ทำ

อะไรแบบคับ
แคบ เป็นคนที่ทำอะไรแบบไม่เสียสละ ไม่แบ่งปัน ไม่เอื้ออาทร ไม่การุณ ไม่อุปถัมภ์บำรุง

ใคร
เอาแต่ตัวเองรอด ใครไม่รอด ชั่งหัวมัน
เพราะงั้น การงานมันทำให้ชีวิตเรามีคุณค่าได้
การงานเป็นเครื่องทดสอบสมรรถนะชีวิตของเราได้
การงานเป็นเครื่องบ่งบอกว่า ชีวิตเรามีศักยภาพ ความรู้ ความสามารถแค่ไหน
จากการทำงานนั้น เมื่อมันสำเร็จลุล่วงและเป็นผลออกมา จนคนทั้งหลายได้รับประโยชน์

ของมันได้
อย่างสมบูรณ์ แล้วตัวการงานก็สำเร็จได้อย่างไม่มีที่ติ หรือไม่มีปัญหาตกค้างใดๆ ก็เป็น

เครื่องบอก
ได้ว่า ผู้ทำการงานนั้น มีชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งหมดนี่มันมาจากคุณธรรมภายในของผู้ทำการงาน

เออ ได้ยินว่า ท่านนายกสมาคมฯ จะต้องพ้นวาระ ชั้นก็มีงานให้เค้าทำต่อจากสมาคมนี้ใน

ระดับที่สูง
กว่า นั่นก็คือ เป็นเลขาฯ ไม่ใช่เลขาฯรัฐมนตรีนะ เลขาฯ มูลนิธิธรรมะอิสระ ซึ่งใครคงได้

เคยยินชื่อ
มาบ้างแล้วว่า มูลนิธิธรรมะอิสระ เป็นองค์กรที่ใหญ่พอสมควร ถามว่าใหญ่ระดับไหน ก็

ใหญ่
ระดับชาติ เพราะสามารถขอพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช

ไปแจก
ให้วัดทั่วประเทศทั้งแผ่นดิน รูปใหญ่ประมาณ 30” x 28” ส่งไปทั่วประเทศโดย

ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ

นั่นก็คือ งานหนึ่งในหลายๆ ร้อยหลายๆ พันงาน ที่มูลนิธิฯ ได้ทำขึ้น
แล้วก็เมื่อไม่นานมานี้ ก็เพิ่งจะส่งครัวเคลื่อนที่ ไปช่วยพี่น้องทางใต้ที่ประสบอุทกภัย ต้อง

ทำครัว
มื้อนึง 2500 กล่อง ที่จะแจกผู้ประสบอุกภัย อยู่ประมาณร่วมๆ สัก 2 สัปดาห์ แล้วก็

กลับเมื่อทุกอย่าง
มันเข้าที่เข้าทาง

นี่ เมื่อวานนี้ ท่านผู้พัน ชาคริต เป็นผู้บังคับกองพัน อยู่หน่วยกองกำลังทางอีสาน ได้มาหา

มาเยี่ยม
แล้วก็มาแจ้งถึงความจำเป็นว่า พี่น้องทางสุรินทร์ ศรีสะเกษ ก็มีปัญหาเรื่องการอพยพหนี

ปืนใหญ่ มา
รวมกันอยู่จำนวนประมาณ 4-5 ศูนย์ ประมาณซัก 40000 กว่าคน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่

ทีนี้ ก็ไม่พอกับการจะกินจะอยู่ เพราะศูนย์แต่ละศูนย์ก็มีคนจำนวนมาก แล้วแถมบางที่

โรงพยาบาล
หรือหน่วยงานที่รักษาโรค เช่น อนามัยก็ต้องอพยพหนีออกมาจากพิ้นที่ด้วย แล้วก็มารวม

กันอยู่ที่วัด
รวมกันอยู่ที่โรงเรียน เพราะว่า ถ้าจะย้ายไปไกลกว่านั้น ก็จะยิ่งยากที่จะดูแลเอาใจใส่ มันก็

เลย
กลายเป็นภาระของหน่วยงานราชการมากพอสมควร เค้าก็เลยแจ้งขอความช่วยเหลือมา

ชั้นก็เลยรับปากว่า จะให้มูลนิธิธรรมะอิสระจัดส่งกองกำลังหน่วยสนับสนุนอาหารไปทำโรง

ครัว
เลี้ยง ทุกครั้งเราก็จะส่งกองกำลังเคลื่อนที่ คือ รถ 10 ล้อใส่ข้าวสาร รถ 6 ล้อใส่แม่ครัว

ใส่เครื่องไม้
เครื่องมือสำหรับทำครัวเคลื่อนที่ออกไป ที่ไหนน้ำมี เราก็ใส่เรือบรรทุกไป ที่ไหนไม่มีน้ำ

เราก็ไป
เป็นกองกำลัง

นั่นคือ งานที่มูลนิธิฯ จะต้องทำ แล้วก็ยังมีงานอีกเยอะแยะมากมายที่มูลนิธิธรรมะอิสระจะ

ต้องทำ
แต่ทั้งหมดเนี่ย มันไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง ชั้นไม่แน่ใจว่า แบ็คกราวของชมรมพวกคุณทำงาน

อะไร
เพื่อตัวเอง หรือเพื่อสังคม ครอบครัว หรือว่าเพื่ออาชีพสาขาของตนมากน้อยแค่ไหนอย่างไร

ก็
เพราะว่า ไม่ทราบแบ็คกราว

แต่ก็เล่าให้ฟังว่า ท่านประธานของชมรมเราก็ไม่ได้ตกงาน แต่จะมีงานต่อจากงานนี้ต่อไป

เป็นงาน
ใหญ่มากขึ้น  แต่เป็นงานที่ต้องมีอุดมการณ์ มีคุณธรรมในหัวใจที่จะต้องเป็นผู้ให้ มีจิต

วิญญาณ
สาธารณะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ชั้นตั้งใจจะบอกคุณวันนี้ก็คือ ต้องมีปัญญา
คือคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นนักบริหารระดับไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าคุณจะมีลูกน้องกี่คน
หรือไม่มีลูกน้องเลย
ถ้าคุณขาดปัญญา คุณก็จะจมปลักอยู่ในงาน งานก็จะเป็นผู้ทำคุณ ไม่ใช่คุณเป็นผู้ทำงาน
แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมีปัญญา คุณจะเป็นผู้ทำงาน
แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณขาดปัญญา งานก็จะกระทำคุณ คุณก็จะกลายเป็นคนทุกข์ระทม
ทุรนทุราย ดิ้นจนหนังกลับ ทั้งคืนนอนไม่หลับ เพราะงานมันกระทำคุณ
คุณจะต้องวิตก กังวล กลัดกลุ้ม ว้าวุ่น ร้อนรุ่ม อึดอัด ขัดเคือง
แล้วก็ทุกข์อย่างยิ่งกับปัญหา และอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดกับการงาน และหน้าที่การงานที่

คุณทำไม่
แล้วเสร็จ หรือมันคั่งค้างคาราคาซัง
หรือไม่ก็ทำแล้ว แต่ดันมีปัญหารอบใหม่ขึ้นมา มีปัญหาเรื่องใหม่ขึ้นมา
ทั้งหมดนี่ ถ้าไม่ใช้ปัญญา คุณไม่สามารถจะหลุดร่วงออกจากพันธนาการทางอารมณ์

พันธนาการ
ทางการงานที่เกาะกินอารมณ์ และจิตใจคุณได้

งั้นไม่ว่าคุณจะทำงานระดับใด คุณต้องมีปัญญา แล้วปัญญาในที่นี้ ชั้นอยากจะนำเสนอเป็น

ปัญญา
บริสุทธิ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนพวกเราที่เรียกปัญญานั้นว่า วิปัสสนา
วิปัสสนา ก็คือ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ไปนั่งภาวนา หรือท่องบ่นอะไร
วิปัสสนาในที่นี้ก็คือ มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
รู้เห็นตามความเป็นจริงให้สอดคล้องกับสังคมรอบกายตามความเป็นจริง
มีปัญญารู้เห็นชัดตามความเป็นจริง ให้สอดคล้องกับอารมณ์รอบตัวและชีวิตรอบกายเรา
แม้ชีวิตของเรา ก็ต้องมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง

รู้เห็นชัดตามความเป็นจริง อย่างไรบ้าง ก็อยากจะบอกว่า ความเป็นจริงของโลกนี้
สรรพสิ่งมันมีลักษณะอยู่ 3 อย่าง จะมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ลักษณะ 3 อย่างที่เป็น
ปัญญาสูงสุดที่เราต้องทำความเข้าใจกับมัน แล้วก็รู้ซึ้ง รู้แจ้งกับมันในระดับที่สามารถจะ

ปลดเปลื้อง
พันธนาการทางการงาน ทางจิตวิญญาณ และทางอารมณ์ใดๆที่มันจะผูกพัน รัดรึงเราได้

ชั้นอยากจะยกตัวอย่าง ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรของใคร ก็ต้องยกตัวอย่างของตัวเองให้พวก

คุณฟังว่า
ลำพังพวกคุณมองชั้น ดูเหมือนเป็นพระธรรมดาๆ ดูก๊อกแก๊ะ กิ๊กก๊อก กระจอกงอกง่อย

หรือสูงส่ง
อะไรก็แล้วแต่ในสายตาของพวกคุณ แต่คุณรู้ไม๊ว่า เดือนหนึ่งชั้นจะต้องมีรายได้อยู่ในวัด

เนี่ยไม่ต่ำ
กว่า 10 ล้าน ทุกเดือนจะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน

ก่อนที่ชั้นจะเดินทางมาหาคุณเนี่ย ชั้นเพิ่งเซ็นต์อนุมัติการจ่ายไป 2 ล้านกว่าบาท แค่ครึ่ง

วัน แล้วช่วง
เช้าก็ได้อนุมัติการจ่ายไปประมาณ 8 แสนกว่าบาท วันเดียวเนี่ย 2 ล้านแปดแล้ว ตั้งแต่

เช้าจนถึงเย็น
เนี่ย 2 ล้าน แปด
ถามว่าทำไม ก็ที่วัดเนี่ย มันมีชีวิตหลายร้อยชีวิตที่ต้องเลี้ยงดู เฉพาะพระเณรก็ปาเข้าไป

300 
300 กว่ารวมพระเก่าด้วย แล้วยังแม่ครัว ยังคนงาน ยังตำรวจ ทหารที่อยู่ทำงานในวัด
ยังคณะทำงานทั้งหลาย และยังสงเคราะห์ต่างๆ ที่จะต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูแลคนอื่นๆ
แล้วยังไม่เกี่ยวกับค่าแรงคนงาน ยังไม่รวมกับค่าวัสดุก่อสร้าง ยังไม่รวมกับภาระที่เราต้อง

จ่าย
ประจำวัน ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และก็ค่ายารักษาโรค ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง สารพัดค่า

สรุปแล้ว เดือนหนึ่งต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน คุณคิดว่าพระอย่างชั้นนี่อยู่ได้ไม๊ ถ้า

หากว่าจะต้องจ่าย
ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านต่อเดือน ปีหนึ่งต้องจ่ายเท่าไหร่ ชั้นจะต้องหาให้ได้เท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้

อยู่รอด
แล้ว ชั้นจะหลับมันลงไม๊
ถ้าเป็นพวกคุณ คือ ไม่มีอาชีพประจำตัว ไม่มีอาชีพแน่นอน คุณจะหลับลงไม๊ คุณจะกินอิ่ม

นอน
หลับ มีความสุข อยู่กับโลกและสังคมได้อย่างเป็นปกติ สามารถแก้ปัญหา ตอบปัญหา

สามารถ
พูดคุย

เมื่อเช้าก่อนจะมา ช่วงเช้า ชั้นก็ไปสอนกรรมฐานเด็ก สอบกรรมฐานเด็ก สอบเสร็จก็มีโยม

มานั่งรอ
คอยถามปัญหา เค้ามาจากเชียงใหม่ ป่วยไม่สบาย เป็นมะเร็งในกระดูก มีปัญหาต้องให้

ช่วยแก้
ระยะสุดท้าย ก็อุตส่าห์หอบตะกายกันมา
ปกติแล้วชั้นจะรักษาโรคตอนอาทิตย์ต้นเดือน กับอาทิตย์กลางเดือน
เมื่อวานไม่ใช่อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์กลางเดือน แต่เห็นว่า คนไข้อุตส่าห์มา ก็ต้องช่วยเหลือ
ก็ต้องเกื้อกูล ก็รักษา  ช่วยจนกระทั่งบางที บางครั้งเราลืมช่วยตัวเองว่า เราเป็นโรคตับ

อักเสบเรื้อรัง
บางทีบางครั้งเราก็ลืมรู้สึกว่า เอ นี่เราปวดตับ เจ็บตับ แล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่

เพราะงั้น ก็เลยอยากจะบอกว่า ถ้าไม่ใช้ปัญญาในการที่จะตัดบ่วงแห่งการงาน คุณนอนไม่

หลับ
หรอก คุณกินไม่เข้า ถ่ายไม่ออก ถ้าคุณไม่มีสติปัญญาพอที่จะตัดบ่วงแห่งการงาน และ

มองการงาน
มองภาระกรรมหน้าที่อย่างเป็นผู้เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง แล้วดับแล้วเย็น

คุณไม่มีสิทธิ์นอนหลับ คุณนอนก็ไม่หลับ ดิ้นจนหนังกลับกว่าจะได้หลับ ให้แกะตัวที่ 1

กระโดด
ข้ามรั้ว กระโดดแล้วเป็นพันตัวก็ยังนอนไม่หลับ ให้ภาวนายังไงมันก็ไม่หลับ เพราะว่า เรา

ไม่รู้จัก
เข้าใจ วางแล้วว่างไม่เป็น ไม่รู้จักวาง ไม่รู้จักว่าง ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก วางไม่ได้ ว่างไม่เป็น

แล้วสุดท้าย เราก็จะกลายเป็นคนที่โดนงานกระทำ เราจะโดนพันธนาการด้วยการงาน ด้วย

ภาระ
กรรม ด้วยหน้าที่ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ด้วยปัญหาสารพันสารพัด ด้วยเรื่องราวมาจากร้อย

แปดพัน
เก้าที่หลั่งไหล ประดังประเด ถาโถมเข้ามาใส่หัว ใส่ตัว ใส่หัวใจ ใส่อารมณ์ ใส่หู ใส่ตา ใส่

จมูก ใส่
สำนึก ใส่ความทรงจำ
สุดท้าย มันก็มาอัดอั้นอยู่ในใจ อัดอั้นอยู่ในตัว ในตา แล้วก็ในอารมณ์ของเรา

สุดท้าย เราจะระบายกับใครก็ตาม มาถึงคนรอบข้าง คนรอบตัว คือใคร เอ้า ถ้าเป็นผู้ชาย ก็

ต้องมี
ภรรยา มีครอบครัว ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ต้องมีสามี มีลูก มีผัว แล้วถ้ายังไม่มีภรรยา ลูกผัว ทำ

อย่างไร ก็
ต้องระบายกับบริษัท บริวาร ต้องระบายกับสิ่งแวดล้อม ต้องระบายกับอะไรๆ ซึ่งมันจำเป็น

ต้อง
ระบาย เพราะถ้าไม่ระบาย มันก็จะระเบิด

แล้วถ้าไม่ระบาย แล้วปล่อยให้มันระเบิด เราจะกลายเป็นคนปกติไม๊ ไม่ปกติ มันก็ต้องผิด

ปกติ
เพราะเป็นการเสียสติ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนวิกลจริต คนบ้า คนหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ทำร้าย

ทำลายคน
รอบข้างด้วยอารมณ์ ทำร้ายทำลายคนรอบข้างด้วยกระบวนการมลภาวะทั้งหลายที่เราต้อง

ระบายมัน
ออกมา
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันมาจากคำว่า ไม่มีวิปัสสนา ไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก เลยวางไม่ได้

ว่างไม่
เป็น ถ้าเราเข้าใจ เรารู้จัก เราจะวางได้ แล้วก็ว่างเป็น
วิธีคิดของชั้น ทำอย่างไร ชั้นจะบอกกับลูกศิษย์ชั้นทั้งหมดว่า
ชีวิตชั้นไม่มีต้นทุน ทุกเรื่องเป็นกำไร
แค่ชั้นได้ลงมือทำ ก็กำไรแล้ว ส่วนจะได้ ไม่ได้ ก็ว่ากันอีกเรื่องนึง
แล้วชั้นจะสอนลูกหลานชั้นว่า
ชีวิตคือ การงาน เพื่อความเบิกบาน
เมื่อมีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรการงาน
หมดชีวิต สิ้นลมหายใจ ก็ยังดำรงผลงาน
แล้วงานทุกอย่างที่เราทำ คือ กำไร 
คนที่ไม่ทำการงาน แล้วว่างจากการงาน คือ คนที่ขาดทุน
เพราะหายใจเข้ากับหายใจออก มันก็สิ้นเปลืองออกซิเยน มันทำร้ายทรัพยากรของโลก

เพราะงั้น งานมันมีอยู่ 2 อย่างในชีวิตชั้น ก็คือ งานภายนอกกับงานภายใน
งานภายนอก เราจะบริหารจัดการมันยังไง ใช้ปัญญา
งานภายใน เราจะบริหารจัดการกับมันอย่างไร ก็ใช้ปัญญา
แล้วงานภายนอก คืออะไร ก็คือ การงานหาอยู่หากิน หาเลี้ยงครอบครัว ทำอาชีพ อยู่ใน

สังคม
นี่เรียกว่า งานภายนอก
งานภายใน ก็คือ บริหารจัดการอารมณ์ของตน ชั้นได้ไปสอนนักศึกษาปริญญาเอกใน

มหาวิทยาลัย
ขอนแก่น มีลูกศิษย์เรียนอยู่ประมาณห้องนึงก็ 20 -21 คน สอนเรื่องวิชา บริหาร

จัดการขั้นสูง

ชั้นสอนกับพวกคนที่จะเป็นดอกเตอร์ทั้งหลายว่า วิชาบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่และสูงสุด คือ

ต้อง
บริหาร 2 สิ่งให้ได้กำไร บริหาร 2 สิ่งนั้นคือ อะไร
1 บริหารอารมณ์ กับ
2 บริหารเวลา
อารมณ์ ก็คือ ชีวิต และเวลา คือสิ่งที่มันมีเท่ากันทุกคน
คนมีสาระก็ 24 ชั่วโมง คนไร้สาระก็ 24 ชั่วโมง คนกำไรก็ 24 ชั่วโมง คนขาดทุนก็

24 ชั่วโมง
คนดีก็ 24 ชั่วโมง คนชั่วก็ 24 ชั่วโมง
ทำยังไงให้ 24 ชั่วโมงของเรา มีสาระ ได้กำไร  ไม่ขาดทุน และกลายเป็นคนดี
มันก็ย้อนกลับมาว่า เราจะบริหารอารมณ์อย่างไรให้ได้กำไรภายใน 24 ชั่วโมง
ให้ไม่ขาดทุนใน 24 ชั่วโมง แล้วกลายเป็นคนดีภายใน 24 ชั่วโมง
มันก็ย้อนกลับมาว่า เราจะบริหารอารมณ์กับชีวิตอย่างไร

ชั้นจะสอนลูกหลานและลูกศิษย์ชั้นในห้องเรียนว่า คุณให้กำไรตัวเลขมากมายมหาศาล
มีหลายหมื่นล้านวางอยู่ข้างหน้า มีอาหารอยู่เต็มโต๊ะ ถ้าคุณขาดทุนอารมณ์ มันก็ไม่ทำให้

คุณมี
ความสุข มันทำให้ชีวิตคุณจะขาดอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถจะเติมเต็มอะไรแก่ชีวิตเราได้

แต่ถ้าเมื่อใดที่เรากำไรอารมณ์ แม้ไม่มีซักหลึง คุณก็กำไรความสุข คุณจะกำไรตัวเลข
ตัวเลขมันจะเกิดขึ้นจากความสุขมวลรวมที่อยู่ในหัวใจของเรา ในอารมณ์ของเรา

แล้วความสุขเกิดจากอะไร
รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีเบื้องต้น
รู้จักพอดีในสิ่งที่ตัวเองได้เบื้องต้น
พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีเบื้องต้น แล้วพอดีในสิ่งที่ตัวเองได้เบื้องต้น
แล้วก็ถามตัวเองว่า เหมาะสมไม๊ พอหรือยัง ยังมีเหลือไม๊ ยังพัฒนาได้อีกหรือเปล่า
ถ้ายังมีเหลือ ยังพัฒนาได้อยู่
ถ้าอย่างนั้น ก็พัฒนาความพอดี และพอใจให้มันมากขึ้น ให้มันเพิ่มพูนขึ้น ให้มันสามารถที่

จะดำรง
และรักษา และทำมันให้เยอะขึ้น
ขณะเดียวกัน ถามตัวเองก่อนด้วยว่า มีความสุขไม๊
ถ้ามีความสุข ทำ
แต่ถ้าไม่มีความสุข แล้วมี แม้ความทุกข์ ให้ตะกายและทะยานอยาก อย่าทำ
เพราะถ้าทำแล้ว มันจะทำให้เพิ่มทุกข์ เป็นภาระ แล้วเราจะกลายเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดในโลก

เมื่อครู่นี้ ชั้นคุยกันอยู่ข้างนอกรอบ ก็พอดีชั้นจะทำถนนหน้าวัด คนเค้าก็มาสัมอ้าง บอกว่า

จะช่วย
ชั้นทำ พอดูไปดูมา มันก็ตัวเลขเยอะมาก เพราะมันต้อง 8 ล้าน ชั้นก็เห็นใจเค้า ก็บอกว่า

ไม่ต้อง
คุณมีเท่าไหร่ ก็ทำแค่นั้น ที่เหลือชั้นทำเอง
เค้าก็บอกว่า เห็นใจชั้น ชั้นอุตส่าห์จะทำเพื่อประโยชน์สาธารณะแล้ว ทำไมจะต้องมาลำบาก
เดี๋ยวเค้าจะไปจัดผ้าป่า กฐินอะไรของเค้า ไปหาเรี่ยไร
ชั้นก็บอกกับเค้าว่า อย่าไปเรี่ยไรคนอื่น
อย่าไปทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน
เราอยากทำเอง
เราก็ต้องทำความอยากของเราด้วยความสามารถของเรา
อย่าไปทำให้ความอยากของเรา ทำให้คนอื่นเค้ามีความทุกข์
อย่าไปเอาความอยากของเรา ทำให้คนอื่นเค้าทุรนทุราย
ถ้าเค้าพอใจทำแค่ไหน แค่นั้นพอ
ให้เค้ามีศรัทธาแค่ไหน แค่นั้น
อย่าไปเอาความอยากไปเรี่ยไร จะทำให้คนอื่นเค้าทุรนทุรายไปกับเราด้วย
แล้วถามว่าชั้น ทุรนทุรายไม๊
ในขณะเดียวกับที่ชั้นสั่งทำถนน ชั้นก็สั่งให้ทำตึกอีกชั้นนึง อ้ายตึกอีกหลังนึง อ้ายคนที่โดน

สั่งก็ยก
มือไหว้ บอก ขอนิมนต์เถอะครับ หยุดบ้าง พอบ้าง
ถามว่า ชั้นรู้สึกเป็นทุกข์ไม๊กับสิ่งที่ชั้นทำ  ไม่
เพราะชั้นไม่มีทุนไง
ชั้นมาจากคำว่า ไม่มีอะไร แม้ปัจจุบัน ชั้นทำตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ชั้นไม่ได้พกตังค์
ชั่วชีวิตชั้นไม่เคยพกตังค์ ไม่เคยมีตังค์
ตอนชั้นสร้างวัด ชั้นก็มีตังค์ไม่ถึง 3 บาท
ถึงวันนี้ มันก็ขาดไป เหลือแค่ 2 บาท ให้ใครไม่รู้ จำไม่ได้ยืมไปเป็นทุนไม่รู้ บาทนึง
แล้วชั้นก็มีอยู่แค่นั้น แล้วชีวิตชั้นก็มีอยู่แค่นั้น ชั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
แล้วมันก็มีความรู้สึกเสมอว่า ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เป็นกำไรทั้งหมด
แม้สิ่งที่เราทำอย่างชนิดที่เราไม่รู้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา หรือใครมาสร้างปัญหาให้เรา
แล้วเราเข้าไปเรียนรู้ศึกษามัน นั่นคือกำไรของเรา

แล้วชั้นก็จะบอกพนักงานในมูลนิธิฯชั้น ในโรงงานชั้น มีโรงงานทำยา โรงงานทำสมุนไพร

โรงงาน
ทำเซรามิค สารพัดโรงงาน ซึ่งทำแล้วมันใช้อยู่ในวัดเนี่ยนะ เยอะแยะมากมาย
ชั้นจะบอกกะเค้าว่า ชั้นรับคุณมาทำงาน มาช่วยแก้ปัญหา ไม่ใช่เอามาช่วยชั้นสร้างปัญหา
ถ้าคุณคิดว่า คุณมาแก้ปัญหาได้ ชั้นก็จ้างคุณได้  แล้วคนงานของชั้น ไม่ใช่จ้างถูกๆ นะ
ช่างแกะที่สั่งมาจากจีน คนนึง 2000 บาทต่อวันต่อหัว กินอยู่เสร็จพร้อมมูล
นี่มันจะขอเงินเดือนเพิ่มอีกแล้ว อ้างว่าแรงงานจีนเค้าจ้างแพงขึ้น
มาเมืองไทย มันน่าจะได้มากกว่าที่จีน จะขออีกซักประมาณวันนึง 2500 บาท
เราก็บอกว่า ได้  ถ้าคุณทำงานให้ชั้นได้ ไม่มีปัญหา
ถ้าทำให้ได้ สามารถทำให้คุ้มกับแรงงาน ค่าแรงที่จ่าย คือ ผลงานให้ออกมาดี เท่าไหร่ก็ได้
ปัญหามันมีอยู่ว่า อ้าว แล้วเราเอาตังค์ที่ไหนมาจ่าย
นั่นสิ ชั้นก็อยากจะถามพวกคุณว่า ชั้นเอาตังค์ที่ไหนมาจ่าย ตังค์ที่ชั้นไม่มีอะไรไง คนเค้า

ถวายชั้นมา

ปกติแล้ว สมภารวัดอื่นๆ หรือใครที่เป็นผู้สร้างวัดนี่ เค้าจะมีบัญชี 1 บัญชี 2 คือ บัญชี

สมภารกับ
บัญชีวัด แต่ชั้นนี่ ชั่วชีวิตชั้นมีบัญชีเดียว คือบัญชีวัด
ทุกบาททุกสตางค์ที่ชาวบ้านเค้าให้ ทั้งหมดเป็นของศาสนา
ไม่ใช่เฉพาะวัดอ้อน้อยนะ ชั้นยังมีเผื่อแผ่ไปวัดอื่นด้วย ถ้าวัดอื่นล่มสลาย น้ำท่วม ไฟไหม้

เกิด
อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินถล่ม พระไม่มีข้าวฉัน ผ้าผ่อนไม่มีนุ่ง ผ้าป่าไม่มี กฐินไม่ไปจอง

เราก็จะไป
ช่วย เราก็จะไปสนับสนุน เพราะเรารู้สึกว่า เราไม่มีสมบัติอะไร ทุกอย่างรอบๆ ตัวเรา เป็น

สมบัติ
ของเรา เราบริหารจัดการให้มันคุ้มค่า

ขออภัยพูดแบบไม่หยาบ ชั้นว่ามันคงไม่หยาบ เพราะเป็นความจริง
ขี้ในวัดชั้นก็เป็นทอง มันมีคุณค่า
ต้นไม้ทุกต้นไม่เคยไปซื้อปุ๋ยข้างนอก ชั้นใช้ขี้ที่ชาวบ้านมาช่วยขี้ให้ มารดต้นไม้
แล้วใครเป็นคนตัก ชั้นกับพระช่วยตักขี้
เมื่อเช้ายังตัก เณรสอบกรรมฐานไม่ผ่าน ยังไล่ไปตักขี้รดต้นไม้ แรกๆ ก็รังเกียจ ซัก

กระป๋องสอง
กระป๋อง เริ่มมีความสุขและสนุก เริ่มเข้าแถว คนไม่โดนทำโทษก็มายืนเข้าแถว เออ มัน

สนุกดี
มีก้อนกลมๆ ก้อนเหลืองๆ อะไรก็ว่ากันไป มีความสุข แล้วต้นไม้ก็เจริญเติบโต
มะม่วงที่วัดชั้นอร่อยมาก ถ้าใครได้ไปกินมะม่วงวัดชั้น หวานมาก อร่อยมาก เพราะใส่ปุ๋ย

อย่างดี

คือวัดชั้น ชั้นจะเป็นผู้ดูทุกอย่างด้วยความรู้สึกว่า มันมีคุณค่า
นี่คือ กำไร นี่คือการบริหารชีวิตและอารมณ์
คุณต้องรู้จักกำไรในอารมณ์ก่อน แล้วคุณจะเห็นกำไร แม้เศษกระดาษและขยะ
แต่ถ้าคุณขาดทุนในอารมณ์ ทองคำที่วางข้างหน้าคุณ ก็เป็นขี้ เป็นของไร้ค่า
แต่ถ้าคุณมีกำไรในอารมณ์ มองทุกเรื่องที่อยู่รอบตัวคุณ เป็นเงินเป็นทองไปหมด

ที่วัดชั้น จากเดิม คนเค้าถวาย มีศรัทธาสร้างวัด เค้าถวายที่ 9 ไร่
แล้วที่ๆ เค้าถวายก็ต้องไปดำน้ำหาหลักหิน เพราะว่า ถวายที่น้ำท่วม มันไม่มีหลักหินให้เห็น
ต้องไปค้นหาใต้น้ำ
ทำไปทำมา จนสามารถ เวลานี้ในระยะเวลา กี่ปีวะ พงษ์ศักดิ์ 22 ปี ต้องถามพงษ์ศักดิ์
ถามว่าทำไม เค้าอยู่กับชั้นมาเกือบ 30 ปีแล้ว เค้าเป็นบิดาของท่านประธานชมรมของ

พวกคุณ
อยู่ตั้งแต่ประธานชมรมคุณยังเรียนไม่จบ แล้วก็ยังไม่มีลูก
เดี๋ยวนี้วันนี้ ประธานชมรม ลูกจะเป็นสาวเป็นหนุ่มอยู่แล้ว
คือ เค้ารู้ว่าชั้นทำอะไร อยู่ตั้งแต่วัดมีที่ 9 ไร่ แล้วต้องไปดำน้ำหาหลักหิน
เวลานี้ วัดมีที่ 200 กว่าไร่ จากที่ชั้นไม่มีอะไร ถึงวันนี้ ชั้นก็ยังไม่มีอะไร
คุณต้องทำให้ได้อย่างนี้ แล้วชีวิตคุณจะเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น

แต่ถ้าคุณยิ่งทำแล้ว ยิ่งมีอะไร ยิ่งทำแล้วยิ่งมีอะไร สุดท้ายคุณจะโดนพันธนาการด้วยอะไรๆ
แล้วมันจะกลายเป็นอารมณ์ ทีนี้คุณจะทุกข์ระทม เพราะอารมณ์ที่เกิดจากอาลัยๆ

เพราะงั้น ทำอย่างไรก็ได้ ที่ทำแล้วมันจะไม่มีอะไร ทำแล้วด้วยความรู้สึกว่า เราปลดเปลื้อง
ปลดปล่อย ทำแล้วพัฒนาศักยภาพ สมรรถนะของชีวิต ทำแล้วทำให้ชีวิตเข้าไปถึงเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ที่เราคิดว่า นี่คือ สาระที่ได้จากการมีชีวิตอยู่ สาระที่ได้จากการมีชีวิต
ไม่ใช่กำไรตัวเลข หลายคนคงจะคิดว่า บริษัทชั้นต้องมีกำไรเยอะๆ

มันเป็นกำไรความสุข กำไรอารมณ์ ไม่ใช่กำไรตัวเลข
ถ้าคุณคิดว่า ตัวเลขเป็นใหญ่ นั่นคือสาระของชีวิต ชาตินี้คุณจะไม่รู้จักความสุข
คุณจะไม่เคยเห็นความสุข มีแต่คำว่า เพลิน
แล้วชีวิตคุณก็จะแสวงหาความเพลินไปวันๆ แต่จะไม่รู้จัก คำว่า สุข
คุณจะไม่เข้าใจ แล้วไม่รู้จักวางแล้วว่าง ถึงสุดท้ายก็ดับแล้วเย็นไม่ได้

หลายคนถามชั้นว่า ชั้นนอนได้ยังไง ชั้นกินได้ยังไง ชั้นคุยกับเณร เล่นกับหมา ตัดต้นไม้ 
ที่วัดชั้นมีสารพัด ทำทุกอย่าง ยาก็รักษาโรคได้ ทำยารักษาโรค
จะว่ากันแล้ว หมอในโลกนี้ คือ หมอเค้าแบ่งเป็นหมอยา หมอรักษาโรค 
หมอยา เค้าเรียกอีกอย่างนึง คือชั้นเป็นแพทย์แผนไทย
หมอยา ก็เป็นพวกอายุรเวท เรียนเรื่องอายุรเวท พวกอายุรเวท ก็จะทำหน้าที่ตรวจวิเคราะห์

โรค
แต่ผลิตยาไม่ได้ ทำยาไม่ได้ หมอยา หมอว่าน หมอพระเวท ก็อีกชนิดหนึ่ง แตกต่างกันไป
แต่เผอิญ หมอยาก็ชั้น หมอว่านก็ชั้น หมอพระเวทก็ชั้น อายุรเวท ก็คือ ตัวชั้น

ชั้นก็เลยต้องทำยาได้ ไม่ใช่ต้อง มันจำเป็นต้องทำ อ้ายที่ตับชั้นอักเสบ ก็เพราะอ้ายฤทธิ์ที่

ทดลองยา
ทั้ง 81 โรค 81 พิกัด 82 โรค ชั้นมีตั้งแต่ยาแก้โรคสมองอักเสบ ปลายประสาท

อักเสบ โรคพากินสัน
สมองเสื่อม แม้กระทั่งโรคมะเร็ง โรคต่อมลูกหมาก โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ มีสารพัด

โรค
จนกระทั่งหมอปัจจุบันยังต้องขอมาเรียน
ทุกวันนี้ หมอโรงพยาบาลศิริราช กับมหิดล ก็มาฝึก มาศึกษาเรียนรู้
วันนี้ เค้าก็ส่งนักศึกษาแพทย์ มาเรียนวิชาประกอบยาจากศิริราช 3 คน
ก่อนที่ชั้นจะมา นักศึกษาแพทย์หอบเต็นท์ หอบที่นอนมา บอกให้ไปฝึกงานในโรงยา
ถามว่า ชั้นมีอะไร ชั้นมีครีม มีอะไรนะ สินค้าคอสเมติค มีสารพัด ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ
สบู่ ยาสีฟัน แชมพู น้ำยาดับกลิ่น น้ำยาบ้วนปาก ทำทั้งหมดด้วยสมุนไพร ไม่มีสารเคมีเจือ

ปน
น้ำหอมก็สกัดจากดอกไม้ และก็พืชพันธุ์ธรรมชาติ
สบู่ชั้นเนี่ย ล้างหน้าแล้ว ฝ้าไม่ขึ้น สระหัวก็ได้ อาบน้ำก็ได้
อาบน้ำหมานี่ หมัดไม่มีนะ จนคนเค้าถามว่า สรุปแล้วจะให้อาบน้ำคน หรืออาบน้ำหมา
มันใช้ได้ตั้งแต่คนยันหมา
ถามว่าได้เพราะอะไร
ก็เพราะว่า เราไม่มีอะไรไง พอเราไม่มีอะไร เราก็จะรู้ เข้าใจอะไรได้เยอะขึ้น
แต่พอเรามีอะไร เราจะใหญ่มาก เราจะไม่เข้าใกล้อะไร
เราจะไม่ยอมรู้จักอะไร เพราะเราเป็นคนมีอะไรเยอะมาก
แต่พอเราคิดว่า เราไม่มีอะไร เราก็จะแสวงหาสิ่งที่มันอยู่รอบกายเรา ด้วยความรู้สึกว่า
เออ เราไม่มีอะไรนะ
เหมือนกับคนตัวใหญ่ๆ มากๆ เนี่ย จะไม่ยอมให้ใครมาอยู่ใกล้
แต่ถ้าคนตัวเล็กๆ  แม้กระทั่งจุลทรีย์ มันจะอยู่กับอะไรได้ทั้งหมด

คุณเข้าใจความหมายของคำว่า เราไม่มีอะไรไม๊
ถ้าเราไม่มีอะไร เหมือนที่ชั้นเขียนบทโศลกเอาไว้
บทโศลกที่ชั้นเขียนสอนลูกหลานประมาณ 1800 กว่าบท 1 ใน 1800 บทเขียนไว้

ว่า
ลูกรัก ระหว่างต้นหญ้า กับภูเขา พ่อไม่บ้า อยากเป็นภูเขา แต่พ่อชอบเป็นหญ้า ถามว่า

เพราะอะไร
เพราะชั่วชีวิตพ่อ ไม่เคยเห็นภูเขาขึ้นยอดหญ้า มีแต่หญ้าขึ้นยอดเขา
ในขณะเดียวกัน เวลาลมพัดมา ภูเขามันรับเต็มๆ ฟ้าผ่าก็โดนเขาก่อน เพราะมันใหญ่ไง
ฝนตก พายุพัด ภูเขารับเต็มๆ
แต่หญ้าก็เพียงแค่โอนตามลม พอลมหาย มันก็ตั้งตรง
นั่นคือ ชีวิตพ่อ
แล้วต้นยางกับต้นหญ้า
พ่อไม่บ้า เลือกเป็นต้นยาง แต่ชอบที่จะเป็นต้นหญ้า
เพราะต้นยาง เดี๋ยวลมพัด ก็หัก เดี๋ยวฟ้าผ่า ก็ตาย
แต่ต้นหญ้าไม่เคยโดนฟ้าผ่า แม้ลมพัดกระหน่ำ มันก็แค่ลู่ตามลม
สุดท้ายมันก็กลับมาตรงเหมือนเดิม
ระหว่างภูเขากับน้ำใต้เขา น้ำตีนเขา แม้มันเล็ก แค่รอยตีนควาย
คนก็ชอบ สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากอยู่ใกล้แอ่งน้ำรอยตีนควาย แต่ไม่ชอบตะกายขึ้นยอดเขา

เพราะงั้น คุณจะทำอย่างไรให้ชีวิตคุณเหมือนกับต้นหญ้า แต่ไม่ใหญ่เท่าต้นยาง
เหมือนกับน้ำตีนเขา แต่ไม่สูงยิ่งใหญ่เท่ายอดเขา
นั่นแหละ คุณจะอยู่กับทุกสิ่งได้อย่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสมอ
คุณใหญ่ในตัวคุณ
อย่าไปใหญ่กับคนอื่น แล้วคุณก็จะมีความรู้สึกว่า คุณจะเข้ากับทุกสิ่งได้
คุณจะมองเห็นประโยชน์ของทุกสิ่ง อย่างเป็นผู้รู้คุณค่าของสรรพสิ่ง

แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณบริหารชีวิตคุณไม่ได้แบบนี้
คุณยิ่งมี ยิ่งใหญ่   ยิ่งมี ยิ่งโต   ยิ่งมี ยิ่งรวย   ยิ่งมี ยิ่งได้   ยิ่งมี ยิ่งหรู  ยิ่งมี ยิ่งหน้ากากสูง
ยิ่งมี ยิ่งเน็คไทหลายเส้น ทั้งๆ ที่ใส่เส้นเดียวก็พอแล้ว แต่ต้องใส่หลายเส้น เพราะไม่รู้ว่า

เหตุอะไร
ยิ่งมี ยิ่งต้องใส่อะไรเยอะแยะมากมาย
แล้วสุดท้าย มันจบลงตรงคำว่า แล้วตัวเราแท้ๆ มันอยู่ตรงไหน
ความสุขของคุณ มันอยู่ที่คุณมีอะไรเยอะๆ
หรือว่า ความสุขของคุณ มันอยู่กับความพึงพอใจในสิ่งที่คุณมี
หรือที่สุด มันไม่ต้องมีอะไรเยอะ แค่รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
และไม่มีภาระอะไรต้องทำอีกแล้ว นั่นคือความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า
หรือจะต้องมาอยู่กับอ้ายภาระเยอะๆ มากมายมหาศาล
และขณะที่อยู่กับมัน ก็ไม่รู้จักวางแล้วว่างไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก วางไม่เป็น ว่างไม่ได้
แล้วสุดท้ายกลายเป็นโดนมันพันธนาการ
เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณไม่ได้ใหญ่จริงหรอก
เพราะที่ดูเหมือนใหญ่น่ะ ของพันคุณให้ดูใหญ่
แต่จริงๆ แล้ว คุณจ้อยมาก คุณใหญ่เพราะงวงใหญ่ เพราะงาใหญ่
เหมือนกับอึ่งอ่างเบ่งตัว อึ่งอ่างพองลม แล้วสุดท้ายพอลมหาย ตัวจ้อยนิดเดียว
แล้วอึ่งอ่างเนี่ย เวลามันเป่าลมใส่ตัว มันสุขหรือทุกข์
มันเป็นทุกข์ มันกลัวตาย มันก็เลยอยากจะเบ่งตัวเอง ให้ศัตรูดู เห็นว่า มันใหญ่ อย่าทำ

อะไรข้านะ

เพราะงั้น ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่เป็นทุกข์ ไม่กลัวตาย
ชั้นรู้สึกเฉยๆ มาก  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชั้นไปที่ทองผาภูมิ แล้วเผอิญที่วัดมันกำลังก่อสร้าง ชั้น

ให้มูลนิธิฯซื้อที่ไว้แปลงนึง ที่พระเณรไปปักกลด อยู่ริมแม่น้ำแควน้อย
เผอิญแม่น้ำ มันมีไม้ที่เค้าล้ม ไม้เก่าๆ โบราณ ต้นตะเคียน ต้นใหญ่มาก สูงมาก ขนาดมัน

นอนลงไปแล้ว รถปิ๊กอับจอดอยู่ข้างๆ มองไม่เห็นหลังคา แล้วมันฝังอยู่ในน้ำนานมาก ไม่รู้

กี่ร้อยกี่สิบปีแล้ว
ชั้นก็เผอิญได้ไปเห็นมันเข้าตอนน้ำมันลด เราก็ไปหากรรมวิธี
คุณคิดว่า ชั้นจะทำยังไง เอาไม้ใหญ่ขนาดนั้น ชาวบ้านบอก เอาช้างมาลาก
ชั้นบอกไม่ยาก มีปัญญาอยู่กับตัว จะไปกลัวอะไร
ก็ไปหาซื้อถัง 200 ลิตร ซัก 50-60 ใบ
คุณว่าชั้นเอามาทำอะไร
ก็เอาเชือกมาผูกถัง แล้วก็พันกับต้นไม้ให้ติดถัง พอน้ำขึ้น ไม้มันก็ลอยตามถัง เท่านั้นก็จบ
ไม่เห็นจะยากอะไร แล้วก็ลากมันมา
เพราะน้ำแม่น้ำแควน้อย มันมีขึ้น มีลง พอน้ำลง มันก็ลด มันก็เห็นตอ พอน้ำขึ้น มันก็ท่วม

ตอ
พอน้ำลด เราก็เอาถังมาผูก ไม้มันโดนถัง ซึ่งมันมีลมอยู่ข้างใน น้ำมันไม่เข้าถัง มันก็พาเอา

ไม้ลอยขึ้น
ทีนี้พอเอาไม้ลอยขึ้น เราก็เห็นทหาร 10 กว่าคนลาก หนักมาก
เราสงสารเค้า เราอยู่บนแพ เราก็เลยลงน้ำไปช่วยเค้า
ทีนี้น้ำมันเย็นมาก พอลงไปซักพัก เรารู้สึกตะคิวกิน ครึ่งตัวนี่ เราขยับเขยื่อนไม่ได้
เราก็ว่ายไม่ได้ตีนมันตีไม่ได้ ก็ชะเง้อตามองอ้ายอีกฝั่งนึง เพราะขอนไม้มันอยู่ฝั่งโน้น
เราไปอยู่กลางแม่น้ำแล้วแล้วก็มองไปอีกฝั่ง ก็เป็นแพ
ตำรวจที่ขับรถให้ชั้น ลูกศิษย์ชั้น มันก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
แล้วมันก็หันมามองชั้น ชั้นก็หันไปมองมัน
แล้วชั้นก็หันไปมองอีกข้างนึง
เมื่อทุกคนมองชั้น แล้วไม่สนใจ ก็ทำงานต่อ
ชั้นก็เลยบอก เอ้า เราก็ทำงานมาเยอะแล้ว ชีวิตที่ผ่านมา ก็ทำแต่ประโยชน์
เมื่อวันนี้ ข้างล่างเราเคลื่อนไหวไม่ได้ แล้วน้ำมันดูดชั้นลงข้างล่าง
อย่างนั้น ก็ไป
ชั้นไม่ร้องเรียกคนสักแอะ ให้ช่วย ไม่กวักมือ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ต้องวักน้ำ
ไปแล้วเหรอ เอ้า ไปก็ไป หลับตา เตรียมตัวตาย
ถามว่าอะไร มันง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ
จริงๆ มันง่ายขนาดนี้ ถ้าเรามั่นใจว่า ชีวิตที่ผ่านมา เราพบแล้ว เรามีความสุขแล้ว
เราเผชิญต่อความตายได้อย่างไม่หวาดผวา
ถ้าไม่มั่นใจ เรายังไม่พอ อ้ายนั่นก็ยังค้าง อ้ายนี่ก็ยังคาราคาซัง อ้ายโน้นก็ยังเยอะ อ้ายนี่ก็

ยังไม่ได้ทำ
ดี ก็ยังไม่มาก ชั่ว ก็ยังมี ยังมีภาระปัญหากังวล วุ่นวายเยอะแยะ
คือ คุณไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก ว่งไม่ได้ ว่างไม่เป็น
แม้ที่สุด นาทีสุดท้ายของความตาย คุณก็ตายไม่เป็น
แล้วทีนี้ เมื่อคุณตายไม่เป็น แล้วเป็นอะไร
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า
จิตเต สังคะลิกเข ทุกคติ ปาติกังขา ก่อนตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ไปสู่ทุกข์คติ
จิตเต สังคะลิกเข สุขคติ ปาติกังขา ก่อนตาย ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสู่สุขคติ

ชั้นเขียนบทโศลกเอาไว้แล้ว ก็ให้เค้าพิมพ์ใส่เสื้อ
ทีแรกก็แจก ต่อมาก็ขาย หลังเสื้อเขียนไว้ว่า
ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร สุดท้าย กูตายแน่
ทีแรกก็ไม่นึกว่า ใครจะกล้าใส่
 แล้วข้างหน้าเสื้อก็เขียนว่า
มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก
มีสติในวาจา วาจานี้ไม่ลำบาก
มีสติในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบาก
เขียนใส่เสื้อ ชั้นไม่แน่ใจว่า เค้าเอามาหรือเปล่า
คงไม่ได้มาแจกพวกคุณหรอก คงมาขาย
เพราะว่า แจกมาเยอะแล้ว
สรุปรวมๆ ก็คือ ถ้าคุณรู้จักบริหารอารมณ์
ถามว่า ชั้นทำงานเยอะขนาดนี้ ชั้นอยู่ได้อย่างไร
ทำยาเช้า บ่ายสอนพระเณร เย็นตอบปัญหา
เมื่อเช้า ตี 4 กว่า ต้องตื่นมาเขียนคำตอบปัญหาอินเทอร์เนท
ปกติ ถ้าเป็นวันอังคาร วันศุกร์ ก็ต้องตื่นแต่เช้า ตี 3 เพื่อจะมาจัดรายการวิทยุตอนเช้า
เพื่อเตรียมจัดรายการวิทยุ หาข้อมูล เป็นรายการสด
แล้วก็วันธรรมดา ก็อย่างนี้แหละ ถ้ามีคนนิมนต์ ถ้าเราไม่เหนื่อยมาก
เพราะพักหลังนี่ ชั้นไม่ค่อยชอบเข้ากรุงเทพฯ
เพราะเข้าทีไร มันก็จะป่วย
เราก็จะไปทำงานที่วัดเนี่ย จะพักฟื้น
อีกนานกว่าจะเข้าที่เข้าทาง ก็อีกเป็นสัปดาห์
เพราะว่า อากาศกรุงเทพฯ กับอากาศที่วัดชั้น มันคนละอากาศ
แล้วเราก็ไม่ค่อยชอบนั่งรถนานๆ ทั้งๆ ที่มีคนนิมนต์เยอะมาก ไปเชียงใหม่ ไปบุรีรัมย์
แต่ว่าเที่ยวนี้ คงจะต้องไปสุรินทร์ ถามว่าทำไมต้องไป
ก็ไปให้กำลังใจ ทหารตำรวจ แล้วก็ไปให้กำลังใจพี่น้องที่เค้าประสบเภทภัยสงคราม
คือ ครั้งหนึ่ง ชั้นเคยไปแจกของน้ำท่วมที่ปัตตานี
แล้วก็ไปในหมู่บ้านของมุสลิม ซึ่งทหารนี่จะต้องยกไปเป็นกองร้อย 2 กองร้อย เพื่อจะไป

รักษาอารักขา
ชั้นไปกับเด็กๆ อีก 2-3 คน แล้วก็เอาของไปแจก ไปให้
โต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามอายุ 80 กว่า 90 เค้าเข้ามากอดแล้วบอกว่า
ท่านไม่ต้องเอาของมาเยอะขนาดนี้ก็ได้
ชั่วชีวิตนี้ ผมไม่เคยเห็นมีพระไทยเอาของมาแจกมุสลิม เหมือนกับท่าน
แค่ท่านมาหา ผมก็สบายใจแล้ว
มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่า โอ้ คนที่เค้าเป็นทุกข์เนี่ย เค้าไม่อยากได้อะไรของเรามากหรอก
แค่เค้าได้เห็นหน้าเรา เค้าก็มีความรู้สึกภูมิใจ พอใจ สบายใจที่จะอยู่ต่อ
มันทำให้ชั้นจำได้ตั้งแต่นั้นมาว่า ต่อไปนี้ เราจะต้อง
มูลนิธิธรรมะอิสระเคยร่วมกับโรงแรมทวินโลตัส จัดอบรมโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม 3 จังหวัด

ชายแดน 1700 คน ใช้เวลา 2 วัน กับอีก 1 คืน
นี่คืองานของมูลนิธิธรรมะอิสระ อบรมเรื่องอะไร
จับเข่ามานั่งคุยกันระหว่างโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ว่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรโดยที่ไม่ต้องมา

ฆ่ากัน ไทยพุทธ กับมุสลิม
ชั้นไม่กลัว แล้วก็ไปจัดเสวนาในปัตตานี ในนราธิวาส โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม
ตอนนั้นรัฐบาลยังไม่ทำอะไร ปลายๆ รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ
ชั้นทำโครงการนี้กับเจ้าของบริษัทดอกบัวคู่ เค้าเป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารและให้ที่พัก
เพราะเค้ามีโรงแรม ก็ให้ใช้โรงแรมเค้า
เราก็จัดกระบวนการ กิจกรรมเรื่องราวจะพูดคุยบทเสวนา แล้วก็ตกลงปัญหา
ทุกคนพอเสวนาจบ ทุกคนมากอดชั้น เลยก็ภูมิใจมาก ชวนชั้น
อยากจะไปสร้างวัดทางใต้ เค้าจะรับรองความปลอดภัย แต่ถ้าองค์อื่น ไม่รับรอง
ด้วยเหตุผลอะไร ก็เพราะเราไม่มีอะไรไง
เวลาสึนามิเกิดขึ้น ชั้นไปปลูกบ้านสร้างเรือน ไปทำบ้านให้กับคนอิสลามเนี่ยนะ พระเนี่ยนะ
ชั้นบอกว่า ชั้นมานี่ในฐานะไม่ใช่พระ แต่ในฐานะคนไทยที่เห็นคนไทยลำบาก
พระยกเอาไว้เหนือหัวก่อน ศาสนายังไม่ต้องพูดถึง
สัปดาห์สองสัปดาห์แรกเนี่ย ชั้นสร้างบ้านให้เค้านี่ เค้าไม่มาช่วยเลยนะ
เราก็ไปกับทหารช่าง 18 คน กับเรา กับเด็กวัดอีกประมาณซัก 7 คน ทหารช่าง 18

คน
เราต้องไปนั่งเลื่อยไม้ ขึ้นหลังคา ตอกตะปู
สองสัปดาห์แรกนี่ มันไม่สนใจเลย แค่ไปยืนดูเฉยๆ
คุณคิดดูแล้วกัน ชั้นนั่งเลื่อยไม้ ถอนตะปูอยู่เนี่ย
มันขากมาตั้งไกล แต่มาถุยอยู่ข้างหลังเรา
อ้ายรถมอเตอร์ไซ มันเข็นมาตั้งไกล มันไม่ติด
มันดันมาจอดอยู่ข้างหลัง แล้วมาติด แล้วก็หันอ้ายท่อไอเสีย เบิ้มใส่เรา
คุณว่าชั้นทำไง 
ยิ้ม
ชั้นไปกับหลวงพ่อยิ้ม ยิ้มอย่างเดียว
มันขากมา ชั้นก็ยิ้มใส่มัน
มันถุย มันเบิ้มรถมอเตอร์ไซใส่ชั้น ชั้นก็หันไปยิ้มให้กับมัน
สัปดาห์ที่ 3 ชั้นเริ่มได้น้ำปานะฉันตอนเย็น
ทีแรกเค้าชวนไปกินข้าวเย็น บอก  พระไม่หิวเหรอ
เค้าเรียกชั้น พระ
หิวแต่กินไม่ได้
บอกเค้าว่า หิว
เห็นทำงานทั้งวัน ไม่หิวเหรอ ไปกินข้าวกันไป๊  วันนี้แกงแพะ เลี้ยงพระ
เราบอก ไม่ได้ มื้อเย็นกินไม่ได้
เค้าก็ไปหาน้ำมาถวาย เอาน้ำ มาถึงแล้วก็เปิด แล้วก็ส่งให้
สัปดาห์ที่ 4 ชั้นได้ปิ่นโตตอนเย็น
สัปดาห์ที่ 5 พอตกเย็น ก็มานั่งล้อมวง โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม มีปัญหา มาช่วย มานั่งคุย

มาบอก
สัปดาห์ที่ 6 ลูกออก ให้ชั้นไปตัด ผูกผมรับขวัญ
บ้านไหนปลูก ให้ไปยกเสาเอกให้ ใครป่วยก็เรียกไปช่วยรักษา
นี่คือ ชีวิตชั้น จากที่ไม่มีอะไร แล้วคุณจะเข้ากับอะไรๆ
แต่ถ้าคุณมีอะไร อะไรๆ คุณก็เข้ากับใครไม่ได้
เข้าใจความหมายนี้ไม๊
นี่แหละ คือ วิธีบริหารจัดการชีวิต
จำไว้ว่า ถ้าคุณมีอะไร ใครๆ คุณก็เข้าไม่ได้
แต่ถ้าคุณไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร แล้วคิดเสมอว่า กูต้องตายแน่ๆ
อะไรๆ คุณก็เข้ากับมันได้ แม้ที่สุด นอนเล่นอยู่กับเณร กับเด็ก หรือว่า อยู่กับใครก็ได้
ไม่จำเป็นว่า เราจะต้องมีอะไร
ถ้าเราเป็นคนมีอะไร คิดดูระดับชั้น ไปนั่งตักส้วม รดน้ำต้นไม้ ขุดหลุม
เช้าขึ้นมานี่ ชั้นจะต้องออกสั่งงาน
พอเห็นว่ามันไม่ดี ไม่ได้เรื่อง เราก็ต้องเข้าไปทำเอง
เพื่อให้ได้ดี ได้เรื่อง แล้วก็เป็นตัวอย่าง
ทำดีให้เค้าดู และเป็นครูให้เค้าเห็น
ชั้นไม่ชอบที่จะสอนด้วยปากอย่างเดียว แต่ทำให้เค้าดูด้วย
เพราะงั้น ผู้นำที่ดี ไม่ใช่แค่สั่งดี แต่ทำไม่ได้ ไม่มีใครเค้าเห็นดีของคุณหรอก
ผู้บริหารที่ดี ผู้นำที่ดี ต้องสั่งดี ทำดี พูดดี และคิดดี และเป็นต้นแบบตัวอย่างที่ดี
เพราะงั้น ที่วัดชั้นก็เลยกลายเป็นว่า พระในวัดชั้นไม่ว่าจะอยู่กันอย่างไร กี่สิบรูปก็แล้วแต่
วัดชั้นในจังหวัดนครปฐม มีพระมากที่สุดในจังหวัด ทั้งๆ ที่ไม่เคยออกรับกิจนิมนต์วัตรเลย
ไม่เหมือนวัดอื่น วัดอื่นเค้ารับนิมนต์ สวดมนต์ ฉันเพล สวดผี อะไรสารพัด
วัดชั้น ไม่มีนะ นานๆ ที ลูกศิษย์สนิทๆ เค้านิมนต์ แล้วเสียไม่ได้
เอ้า ไปกับมันหน่อยวะ ก็ไป
ไม่มี  แต่พระก็มาก แล้วพระวัดชั้นทำงานทุกคน เพราะอะไร
เพราะชั้นไม่หยุดไง
ผู้นำเป็นอย่างไร ผู้ตามต้องเป็นอย่างนั้น มีแต่ว่าตามไม่ทันชั้นเท่านั้น
นี่สมภารก็โดนเนรเทศไปอยู่ป่า เพราะตามไม่ทัน ด้วยสาเหตุที่ตามชั้นไม่ทัน
ชั้นไม่ใช่สมภาร ชั้นเป็นคนสร้างวัด แต่ไม่ชอบเป็นสมภาร เพราะชั้นไม่มีอะไร แล้วไม่

ชอบได้อะไร แล้วไม่อยากมีอะไร
เพราะงั้น ปัญหาของการบริหาร นักบริหารที่ดี นอกจากบริหารเวลาให้เกิดกำไรและคุ้มค่า
อย่างที่ชั้นบอกว่า 24 ชั่วโมงมีเท่ากันสำหรับคนดีกับคนชั่ว คนกำไรและคนขาดทุน คนมี

สาระและคนไร้สาระ
ปัญหาอยู่ที่ว่า จะบริหารชีวิตเรา ให้ใช้ 24 ชั่วโมงอย่างมีค่า และได้กำไรคุ้มทุนมากแค่

ไหน

ตอนชั้นสร้างวัดใหม่ๆ คุณ เค้าถวายที่ ก็อย่างที่บอก ต้องดำน้ำหาหลักหิน 9 ไร่
ชั้นทำยังไง ไปยืนๆ ดู แล้วก็บอก กูจะทำยังไงวะเนี่ย มันมีแต่น้ำทั้งหมด
ก็นึกว่า อ้าว ถ้าอย่างนั้น เราต้องขุดในที่หนึ่ง มาถมอีกที่หนึ่ง เพื่อให้น้ำไปอยู่ที่ และที่ดอน

ไปอยู่ที่
คุณก็หลับตานึกดูว่า ดินที่ขุดมาใหม่ๆ มันแข็งและเหนียว
ยิ่งขุดลงไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งและเหนียว
จอบฟันไม่เข้า ชั้นจะต้องใช้ชแลงงัดออกมา งัดดิน
ตอนนั้น ชั้นมีพระติดตามอยู่ประมาณ 60 กว่ารูป 
พอไปเจอชั้นทำงาน เค้าเหลือ 3 รูป แล้วเณรอีก 2 รูป
ที่เหลือไปหมด
แล้วเค้าบอกว่า ไม่เห็นแววว่า จะเป็นวัด
ชั้นบอกกับเค้าว่า แล้วพวกท่านคอยดูว่า ที่นี่ผมจะทำให้เป็นวัดได้อย่างไร
ตี 1 ชั้นยังไม่นอนเลย คุณ บางทีนอนไปหัวค่ำ ตี 1 ลุกเพราะมันสว่างๆ พระจันทร์

สว่างๆ
ลุกขึ้นมาขุดหลุมปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้ไม่ได้ เพราะว่า ดินมันแข็ง ก็ปลูกต้นกล้วยไปก่อน
ให้ดินร่วนซุย แล้วจึงปลูกต้นไม้โคนต้นกล้วย

ทำอย่างนี้ ทำจนเวลานี้ วัดจะครบรอบ 24 ปี ในปีหน้า เดือนมิถุนาฯ เนี่ย
วัดชั้นเนี่ย มีรากฐานแค่ 24 ปี แต่ใหญ่กว่าวัดในจังหวัดนครปฐมทุกวัด ยกเว้นวัดพระ

ปฐมเจดีย์
ซึ่งเป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดินก่อร่างสร้างขึ้น
ถามว่า เพราะอะไร เพราะชั้นบริหารชีวิตเป็น ก็เลยบริหารเวลาให้ถูกต้อง
แล้วชั้นจะสอนพระ สอนเณร มีหัวใจของการกระทำและมีชีวิตอยู่ 
รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด และทำทุกอย่างให้เรียบร้อย
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร แม้แต่ตักข้าว ที่วัดชั้น เวลานี้ ถ้าคุณไปเวลาเพลกับเช้า คุณจะได้เห็น

เณรนั่งฉันข้าวในบาตร บางที บ่าย 2 โมงยังไม่เลิกฉัน ถามว่าเพราะอะไร
เพราะของที่ตักมา จะต้องประมาณการได้เหมาะสม เฉพาะตน
ถ้าโลภตะกละ ตักด้วยความอยาก อย่างนี้ต้องกินให้หมด ห้ามทิ้งแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว
ชั้นจะสอนเณรที่บวชอยู่ที่วัด ชั้นห้าม แล้วจะสอนให้รู้คุณค่าของสรรพสิ่ง
แล้วสำคัญอีกเรื่อง เวลา
ชั้นจะกำหนดเวลาให้ทำกิจกรรมการงานทุกเรื่อง ด้วยความรู้สึกถึงคุณค่าของเวลาว่า มัน

เป็นสิ่งที่หายแล้ว หาไม่ได้
แก้วแหวน เงินทอง ตกหายยังหาได้ ทรัพย์สินหาย ก็ยังแสวงหา ทำขึ้นมาได้
แต่เวลาที่เสียไปน่ะ มันหายแล้ว หาไม่ได้
มีแต่คนโง่ที่บอกว่า เรามาฆ่าเวลากันเถอะ  เวลาน่ะ ไม่ต้องฆ่ามัน มีแต่มันฆ่าเรา
เวลากลืนกินสรรพสิ่งและกัดกินชีวิตเรา
ทุกวันนี้ เราใช้เวลาคุ้มค่าหรือยัง
ดูหนังฆ่าเวลา ฟังเพลงฆ่าเวลา เราก็บอกว่า นี่คือ ความสุข
นั่นไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความเพลิน ความเพลิน ความเมา และความมัน
ความสุขที่แท้จริง คือ มันวางแล้วว่าง เข้าใจ รู้จัก ดับแล้วเย็น
มันไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร แล้วมันก็สบายๆ ผ่อนคลาย นั่นแหละ ความสุข
ถ้าคุณยังต้องแบกอะไรเยอะๆ แยะๆ นั่นไม่ใช่สุข
และถ้าแบกแบบไม่รู้จักแบก ก็คือ แบกแบบชนิดวางไม่เป็น นั่นแหละ ทุกข์
ชีวิตคุณน่ะ อะไรที่คุณคิดทำน่ะ เป็นทุกข์ทั้งนั้น
แต่เป็นทุกข์ที่คุณสมัครใจทำ หรือทุกข์ที่คุณทุกข์ใจทำ
ทุกข์ที่ทำแล้วมีความสุข หรือทุกข์ที่คุณทำแล้ว มันมีความทุกข์
ฟังอย่างนี้ เข้าใจไม๊
อะไรก็ได้ ถ้าคุณสมัครใจทำน่ะ มันมีความสุข
แต่อะไรที่มันทุกข์ใจที่จะทำ แม้นับเงินก็เป็นทุกข์ กินข้าวก็เป็นทุกข์

เพราะงั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนพวกเราว่า เวลาจะทำอะไร พระพุทธเจ้าสอนว่า
หลักของการทำทุกอย่างให้สำเร็จประโยชน์ คือ
ฉันทะ  ความพึงพอใจ
วิริยะ   ความเพียร
จิตตะ   เอาใจจดจ่อ
วิมังสา  ใช้ปัญญาใคร่ครวญ
ทั้งหมดนี่คือ กระบวนการที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ แล้วก็มีความสุขในสิ่งที่ตัว

เองทำ
แล้วจำไว้อย่างหนึ่งว่า ชั่วชีวิตชั้น
ชีวิต คือการต่อสู้ ปัญหาคือ การเรียนรู้ ศัตรูไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องหนี แต่ต้อง

เข้าไป
นั่นคือ ครูของเราที่ทำให้เราไม่ขาดตัวเอง ไม่ประมาท แล้วต้องระมัดระวังเสมอ
ตรงกันข้าม ในมุมกลับกัน ถ้าอยู่ใกล้มิตรมากเกินไป มันทำให้เราประมาท เลินเล่อ แล้ว

หลงละเมอเพ้อพก และอาจจะทำผิด พูดผิด คิดผิดมากๆ
งั้นชีวิตชั้น ชั้นเขียนบทโศลกสอนลูกหลานว่า
ลูกรัก ถ้าพ่อจะเลือกอยู่ระหว่างศัตรูกับมิตร ชั่วชีวิต ถ้าคิดจะพัฒนา พ่อเลือกที่จะอยู่กับศรัต

รูมากกว่ามิตร เพราะการอยู่กับมิตร ชีวิตจะไม่พัฒนา อาจจะพัฒนาในด้านใดด้านหนึ่ง
แต่ชั่วชีวิตของเรา ตั้งแต่หัวจรดปลายตีน ที่สุด คือสติและอารมณ์ ยังไม่ได้รับการพัฒนา
แต่ถ้าอยู่กับศัตรู เราจะระแวดระวังและระมัดระวังอย่างยิ่ง
สติเราจะกล้าแข็ง สมาธิเราจะตั้งมั่น ปัญญาเราจะสมบูรณ์ เพื่อความอยู่รอด
นี่แหละ คือ กระบวนการพัฒนาของชีวิต
ไม่ใช่พูดอย่างนี้แล้ว คุณไปทำให้มิตรกลายเป็นศัตรูทั้งหมดนะ
แล้วก็ตบหน้ามัน แกเป็นมิตรใช่ไม๊ เอาซักที อย่างนี้ไม่ใช่
แต่อยากจะให้รู้ว่า เราชอบมองปัญหาเป็นศัตรูไง ถูกไม๊
ทุกวันนี้ เราเห็นปัญหากลายเป็นศัตรูของเรา
เอาอีกแล้วเหรอ มึง สร้างปัญหาอีกแล้ว แล้วเราก็หนีไป
แต่ชั้นไม่ใช่
คนทุกคนที่มาวัดชั้นน่ะ มีปัญหาทั้งนั้น
ไม่มีใครไม่มีปัญหา แล้วมาวัด มีปัญหาทั้งนั้น
พอมีปัญหา แล้วจะเอาปัญหาไปไว้ไหน ก็มาทิ้งให้ชั้นไง พอมาทิ้งให้ชั้นแล้ว ชั้นต้องทำยังไง
ตัวอย่างเช่น  ปู่จ๋า ทำยังไงจะให้ผัวกลับบ้าน
เมื่อเช้า ชั้นตอบปัญหาอินเทอร์เนท ชั้นเล่นไม่เป็น อินเทอร์เนท เค้าลอกมาให้
พี่สาวไปวัด แรกๆ ก็ไปเพราะเพื่อนชวน ต่อไปก็ไปแล้ว ไปนอนด้วย คือไปนอนค้าง หนักๆ

เข้า
ทำไปทำมา กลายเป็นว่า พี่สาวกับสมภารเจ้าอาวาสสนิทสนมกัน คุ้นเคยกันเหมือนกับว่า พี่

สาวไม่อยากกลับบ้าน กลางคืนดึกๆ ดื่นๆ กลับบ้านแล้ว ก็โทรฯ มาคุยกัน
ท่าน ช่วยหาวิธีแนะนำให้พี่สาวกลับบ้านที
ไม่ได้บอกว่า วัดไหน คงไม่ใช่วัดอ้อน้อย เพราะวัดอ้อน้อย ไม่มีใครกล้าอยู่ขนาดนั้นหรอก
เพราะงั้น เราก็จะทำยังไง ชั้นก็ต้องหาวิธีตอบปัญหา เลยยังไม่ได้ตอบ
เผอิญจะต้องใช้หลักการทางวินัย ต้องเขียนวินัยให้ละเอียด ให้เค้ารู้ว่า พระทำอะไรผิด
ส่วนพี่สาว ต้องเขียนบอกเค้าว่า จะทำยังไง
ชั้นเขียนบอกเค้าไปแล้วว่า ถ้าเค้ามีความสุขที่จะอยู่ แล้วไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ ก็จงอยู่

เถอะ
แล้วมันเป็นบุญ เป็นคุณงามความดี เป็นกุศลของเค้า
แต่ถ้าทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ แล้วเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นเสนียด แล้วเป็นอัปรีย์ จัญไรกับ

ศาสนา
แม้ที่สุดไม่ควรอยู่
ชั้นเขียนตอบไปอย่างนี้
เพราะงั้น อยากจะบอกพวกคุณว่า ชีวิตชั้น ไม่กลัวปัญหา
ชั้นเป็นตัวของชั้นได้ เพราะชั้นอยู่กับปัญหา  ชั้นยืนหยัดด้วย 2 ขาได้ ทำทุกเรื่องด้วย 2

มือได้
คิดทุกเรื่องด้วย 1 หัวได้ ตั้งมั่นเผชิญเจอะเจอต่อทุกปัญหาได้ด้วย 1 ตัวนี่ ก็เพราะชั้น

ไม่กลัวปัญหา
ไม่เคยหวาดกลัวและสะดุ้งต่อปัญหา
มีครั้งนึง ชั้นได้รับเลือกเป็นเจ้าคณะปกครอง
พอเป็นเจ้าคณะปกครอง ชั้นก็เป็นคนทำงานอย่างที่คุณพอจะรู้แบคกราว อย่างที่เล่าให้ฟัง
ชั้นไม่เคยหยุด ชั้นทำงานช่วยเหลือ สั่งสอนอบรมกรรมฐานพระทั้ง 4 จังหวัด
 เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปที่วัด  ขอร้องให้ช่วยสอนพระ
ท่านเรียกชั้นว่า หลวงปู่หนุ่ม
บอกว่า ถ้าอยากไปอยู่ป่า
เพราะชั้นชอบอยู่ป่า ก็ปลูกป่าในวัดเยอะๆ อย่าไปอยู่ป่า
เพราะถ้าไปอยู่ป่า ก็จะไม่ได้ช่วยงานศาสนา ขอให้ช่วยงานศาสนา สอนกรรมฐานพระ
คุณรู้ไม๊ ชั้นเสียตังค์ไปเป็น 2 ล้าน 3 ล้าน กับการลงทุนสอนพระทั้ง 4 จังหวัด สอน

ครั้งนึงก็ 15 วัน 20 วัน พระครั้งนึงก็ ประมาณ 300 องค์ 200 องค์
แล้วนิสัยชั้น เป็นคนไม่เคยขอใคร ไม่ชอบขอใคร แล้วไม่เคยบอกบุญกับใคร ถ้าเค้ารู้ เค้า

มาทำเอง
นิสัยเป็นอย่างนี้ เพราะงั้น พระมาอยู่จำนวนมากๆ และใช้เวลามาอยู่กับเราเป็นเวลาหลายๆ

วัน
เราก็ต้องจ่าย ทั้งค่าอาหาร ค่าน้ำปานะ
 แม้ค่ายานพาหนะที่พระมา เราก็ต้องจ่าย สำรองจ่าย ไม่ใช่สำรองจ่าย จ่ายเลยล่ะ
สอนมาขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้ เป็นทั้งพิธีกร เป็นทั้งผู้สอน
เป็นทั้งอาจารย์กรรมฐาน เป็นทั้งผู้สอบอารมณ์
วันสุดท้าย ถามว่า พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งที่สอน
เค้าเขียนจดหมายน้อยมาบอกว่า ที่ท่านพูดมาทั้งหมด เหมือนลมตดของผม
ถ้าเป็นพวกคุณ ทำไง
ชั้นบอกกับเค้าว่า ขอบคุณครับที่ท่านเห็นผมเป็นส่วนหนึ่งของตูดท่าน
ผมขอบคุณมาก อย่างน้อยผมก็มีค่า
จนวันนั้นถึงวันนี้ คนๆ นั้นที่เขียนจดหมายมาเนี่ย มาสมัครเป็นลูกศิษย์ ช่วยชั้นทำงานในวัด
เพราะชั้นไม่มีอะไรไง
แต่ถ้าคุณมีอะไรขึ้นมาล่ะ อะไรว่ะ กูจ่ายเงินเป็นล้าน สอนมึงมาขนาดนี้
ทุกอย่างที่มึงมี และใช้ เป็นเรื่องของกูทั้งหมด เสียเวลาก็เสีย แล้วทำไมมึงยังมาด่ากู
เอาล่ะ แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ
เพราะเรามีอะไร ใครมาแตะอะไรของเราไม่ได้ไง
แต่ถ้าเราไม่มีอะไร ใครก็เหยียบอะไรเราได้ เราก็เลยอยู่กับอะไรๆ ได้
เข้าใจหรือยัง
นี่แหละ คือการบริหารชีวิต การบริหารอารมณ์
แล้วมันก็จะมาประจวบเหมาะกับเราก็รู้จักการใช้เวลาและบริหารเวลา
ชั้นเขียนหน้าวัดติดเอาไว้ แล้วมันพังไปแล้ว เพราะมันอายุยืนนานแล้ว
ก็อยากจะฝากท่านประธานมูลนิธิฯ และเลขาฯ ไปช่วยทำป้ายถาวรมาทีว่า
ผู้ที่เข้ามาที่นี่ ต้องทำสิ่งเหล่านี้
ปราบพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ดำรงสติ ดำริเป็นสัมมา
แล้วชีวิตชั้น มีสิ่งเหล่านี้ตลอด
อีกข้อนึงสำหรับผู้ที่อยู่ที่นี่ ชั้นเขียนไว้ว่า
พึ่งตัวเองให้ได้ และทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นให้ได้ จึงจะอยู่ที่นี่ได้
นั่นคือ คนที่จะอยู่ที่วัด แล้วชีวิตชั้นก็เป็นอย่างนี้
ชั้นจะสอนลูกศิษย์ชั้นเสมอ ลูกหลานชั้นเสมอว่า
อย่าเพียงแค่เอาตัวรอด ต้องทำให้คนอื่นรอดด้วย
คุณจึงจะรอดอย่างยั่งยืนและถาวร
ถ้าคุณรอด แล้วคนอื่นไม่รอด
สุดท้ายวันข้างหน้า คุณก็จะไม่รอด
เพราะคุณคือ สัตว์สังคม
เมื่อเราเป็นสัตว์สังคมชั้นสูง เราต้องเข้าสังคม สังคมรอด เราจึงรอด
ถ้าสังคมไม่รอด แล้วเราอยู่คนเดียวได้อย่างไร
แล้วชั้นก็สอนพระทุกวันนี้ เณรทุกวันนี้
เณรที่มาบวชภาคฤดูร้อน อยู่กับชั้น ชั้นไม่ได้สอนอะไร
แค่สอนว่า อย่าให้มันเป็นขี้ยา ขี้ขโมย ขี้คุย ขี้เล่น ไร้สาระ ก็หมดเวลาเกือบจะเดือนล่ะ
มาสำรอกสนิมเก่าที่เค้ามี และสั่งสมมาสมัยที่เค้าอยู่บ้าน ก็หมดเวลาแล้ว
ชั้นจะถือว่า การเรียนธรรมะ คือ เครื่องกำจัด เครื่องฟอก เครื่งชำระ
ธรรมะ มันหมายถึง คุณศัพท์ แปลว่า เครื่องฟอก เครื่องล้าง และ เครื่องชำระ
เหมือนกับแจกันข้างหน้าชั้นเนี่ย ถ้ามันมีขยะเต็ม คุณจะใส่ต้นไม้ไปได้ยังไง ใส่ดอกไม้ไป

ได้ยังไง
เพราะงั้น แจกันมันต้องว่าง จึงจะใส่ดอกไม้ไปได้
เหมือนกัน คนจะมาเรียนธรรมะ คุณต้องว่าง
ต้องสำรอกสนิมขุมออกให้ได้ก่อน คุณจึงจะรู้จัก เข้าใจธรรมะได้
เพราะฉะนั้น ความหมายของชีวิต มันคือ การบริหารจัดการ
เพราะฉะนั้น งานทุกอย่าง คือ กระบวนการพัฒนา และการบริหารจัดการ
ชั้นสอนลูกหลานว่า
ลูกรัก มีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรการงาน
หมดชีวิต สิ้นลมหายใจ ไร้พลัง แต่ยังดำรงผลงาน
แต่ถ้ามีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ไม่ทำการงาน
ก็ให้ฟังเสียงไก่ขันตอนเช้า
ไก่ขันตอนเช้า มันขันว่าไง อยู่ไปก็รกโลก โอ๊กอิโอ๊ก โอ๊
เออ อยู่ไป ก็รกโลก ชั้นจะสอนเณรชั้นอย่างนี้ อยู่ไป ก็รกโลก
เพราะชีวิตไม่มีสาระ ไร้สาระ แล้วจะมีชีวิตอยู่ทำอะไร
นี่คือ สิ่งที่ชั้นสอนลูกหลานชั้น
แล้วทุกวันนี้ ชั้นก็ยังสอนเค้าอยู่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน และ

มาตรฐานในการกระทำ
จงมองสิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นเรื่องที่จะนำเสนอบรรทัดฐานและสร้างมาตรฐานในการ

กระทำ เพราะคุณเป็นสัตว์สังคม
ไม่ใช่คุณรอดแล้ว คนอื่นไม่รอด ไม่ได้
ไม่ใช่คุณได้แล้ว คนอื่นไม่ได้ ก็ไม่ได้
แม้ที่สุด คุณก็จะไม่ได้
แล้วชีวิตชั้นก็จะเป็นอย่างนี้
ปีหนึ่ง ชั้นให้กับสังคม ถ้านับเป็นตัวเลข 10 ล้านนี่ น้อยมากๆ
แต่ละปีที่สังคมได้จากสังคมของครอบครัวธรรมะอิสระ
ชั้นจะก่อร่างสร้างครอบครัวธรรมะอิสระ
คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวธรรมะอิสระทำในทุกเรื่อง เพราะ
ปราบพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ดำรงสติ ดำริเป็นสัมมา
ที่วัดชั้น มีที่นั่งอันเสมอกัน ปลัดกระทรวง กับ ขี้ข้า ภารโรง ก็นั่งพื้นเหมือนกัน ไม่ได้สูง

กว่ากัน
เพราะทุกคน เป็นคน สาระของคนก็คือ ดีกับชั่ว
ถ้าดี ก็มีสาระ ถ้าชั่ว ก็ไร้สาระ
 ถ้าคุณอยากให้คนเห็นสาระคุณ ก็แสดง อย่าเก็บ
ชั้นก็ตั้งชมรมคนรักในหลวง
ชั้นจะตะลอนไปทั่วแผ่นดินและบอกกับชาวบ้าน ประชาชน
ชั้นทำรูปในหลวง ล๊อกเกตเล็กๆ แจกฟรี หมดเงินเป็นล้าน หลายล้าน
แจกเด็กเยาวชน เพราะคนปัจจุบันมันไม่รู้จักคุณค่าของในหลวง
ไม่รู้จักคุณค่าของแผ่นดิน ไม่รู้ว่าบุญคุณของแผ่นดิน คืออะไร
บอกกับพวกเค้าว่า ทุกคนน่ะรักในหลวง แต่อย่าเก็บความรักลึกเกินไป
ให้ในหลวงได้พึ่งความรักของพวกคุณบ้าง
ในหลวงรักพวกเรา พระองค์ไม่เก็บความรักของพระองค์ลึกเลย
พระองค์เอาความรักมาแปลงเป็นโครงการตั้ง 4000 กว่าโครงการ
เพื่อให้คนที่ท่านรักได้รับประโยชน์
แล้วเราทุกคน 60 กว่าล้าน รักพระองค์
แต่ไม่เคยแสดงความรักให้เป็นที่พึ่งของพระองค์
ไม่ให้ความรักเป็นที่ประจักษ์ และปกป้องพระองค์
มีคนมาปรามาส เหยียดหยาม ดูถูก ทำร้าย ทำลาย ก็ทำนิ่งเฉย ทองไม่รู้ร้อน
หรือว่า ธุระไม่ใช่ ปล่อยไป
ชั้นนี่ตั้งชมรมแล้ว ก็บอกสมาชิกชมรมว่า ใครก็ตามที่บังอาจมาก้าวก่าย จาบจ้วง
ถ้าเจอแล้วเห็นไม่ต้องไปทะเลาะกับเค้า
แต่บอกให้เค้ารู้ว่า ถ้าคุณไม่พอใจ ก็อย่ามาอยู่ในแผ่นดินท่าน
แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของราชสกุลรัตนโกสินทร์ วงศ์จักรีก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จเจ้า

พระยามหา
กษัตริย์ศึก รัชกาลที่ 1 แล้วท่านก็เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต พลีเข้าแลก ไปรบทัพจับศึก

ถือดาบ นั่ง
บนหลังม้า ออกไปตะลุย พาพรรคพวก พาวีรบุรุษ วีรสตรี บรรพบุรุษของไทย ออกไป

รบราฆ่าฟัน
ปลดเปลื้องพันธนาการจากความเป็นทาสของชาติอื่น
เพราะงั้น เราจะปฏิเสธไม่ได้ เรามาอาศัยใบบุญของท่าน
สำหรับชั้น ชั้นถือว่า ฟ้าอยู่สูง ให้ถ่มน้ำลายอย่างไร เราก็รดหน้าตัวเราเอง
ไม่ควรจะเอาขี้กลากมาแปะตัว
จะดีจะชั่ว เราไม่ได้จะเสียอะไร ก็ไม่ควรจะไปปรามาส
เราไม่รู้ ไม่เห็นด้วยตา ฟังข่าวลือ เค้าเล่ามา แล้วเราก็เล่าต่อๆ กันมา
มันเป็นบาปปาก เป็นมลทินกับชีวิต เป็นอัปมงคลต่อแผ่นดิน
ชาติมีอยู่ 2 สิ่ง เอกลักษณ์ กับสัญญลักษณ์
ถ้าเราขาด 2 สิ่งนี้ เราจะเหลือความเป็นชาติได้อย่างไร
มันก็เพียงแค่มนุษย์ที่อาศัยแผ่นดิน หรือคนที่อยู่ในแผ่นดิน
เวลานี้ เราไม่มีรากเหง้า
เมื่อวานซืน ชั้นไปเผาศพ แล้วไปเจอท่านดอกเตอร์ที่เค้าเคยทำหน้าที่เป็นเลขา ฯ รัฐมนตรี
คือเวลานี้ เค้าอยู่สถาบันพระปกเกล้า
เออ วิษณุ เครืองาม นั่งคุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็บอก
คุณ ทำไมคุณไม่ใช้ความรู้ของคุณ บอกให้ประชาชนผู้คน ในฐานะที่คุณเป็นศาสตราจารย์
ให้เค้ารู้ว่า คนปัจจุบันนี่ รากเหง้าของเค้า คืออะไร
ชั้นจัดรายการวิทยุ ทำรายการเรื่อง มรดกธรรม มรดกไทย สมัยก่อน สถานีวิทยุโทรทัศน์ อ

ส ม ท
กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ชั้นจัดรายการกับเค้า ตอนหลังโดนถอดทิ้ง
สอนให้ประชาชนคนในชาติ รับรู้ว่า พื้นเพแผ่นดินไทย ในลุ่มแม่น้ำอุษาคเนย์
ที่ได้มาเป็นแผ่นดินไทยทุกวันนี้ เราต้องต่อสู้ ฝ่าฟันขนาดไหน
กว่าจะปลดเปลื้องตัวเองออกจากขอม
ตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จนมาถึงพ่อขุนรามคำแหง ราชวงค์พระร่วง ราชวงศ์อู่ทอง
จนกระทั่งถึงราชวงศ์ปัจจุบัน  เราต่อสู้ฝ่าฟันมาขนาดไหน
แต่คนไทยสมัยนี้ ไม่รู้จักรากเหง้าตัวเอง แล้วไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา
เด็กสมัยนี้ก็ไม่มีรากเหง้า ไม่มีราก ไม่มีเหง้า
ตามแต่ตูดฝรั่ง ตามแต่ตูดชาวตะวันตก
จนกระทั่งคุณวิษณุ เค้าบอกว่า สมเด็จพระเทพฯ ท่านก็ตรัสกับผมว่า
วันข้างหน้า วัยรุ่นคงไม่รู้จักคำว่า พระเทพฯ
คงรู้แต่เพียงว่า นกแก้วชนิดหนึ่ง
ไม่รู้ว่า พระเทพฯ คือ เจ้าหญิง  แล้วทำคุณาประการ และคุณประโยชน์อะไร
เพราะว่ามีนกแก้วพันธ์นึงที่เค้าถวาย พระราชสมัญญานามว่า พระเทพ  ชื่อนกแก้ว

เพราะงั้น ก็เลยอยากบอกคุณว่า คุณจะทำยังไงก็ได้ ให้ชีวิตคุณยืนอยู่บนพื้นฐานของความ

เพียงพอ
และรากเหง้าของพวกคุณก็คือ ภูมิปัญญาตะวันออก
และภูมิปัญญาตะวันออก ก็คือ ศาสนา
และศาสนาของภูมิปัญญาตะวันออก ก็คือ ศาสนาพุทธ
ศาสนาอิสลามไม่ใช่ตะวันออก ศาสนาคริสต์ก็ไม่ใช่ตะวันออก
ภูมิปัญญาตะวันออกอย่างพวกเรา ก็คือ ศาสนาพุทธ
ขงจื้อ เต๋า เป็นศาสนาที่อยู่ในภูมิปัญญาตะวันออก ในลุ่มแม่น้ำอุษาคเนย์
แม่น้ำอุษาคเนย์มาจากไหน ก็ตั้งต้นตั้งแต่แม่น้ำโขง จนไปถึงปลายแม่น้ำเหลือง แม่น้ำแดง

ใน
ประเทศเวียดนาม
พวกนี้หากิน และสืบทอดวัฒนธรรม ศิลปะ เดินทางค้าขาย และ แบ่งแยก แลกเปลี่ยน

วัฒนธรรม
กันมายาวนานเป็นหลายพันปี

สรุปรวมๆ ก็คือว่า ถ้าคุณจะอยู่รอดในสังคม และไม่เป็นทุกข์เกินไป
 และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่โดนงานทำ แล้วก็เป็นผู้ทำงานอย่างแข็งแรงและ
ยั่งยืนแล้ว คุณต้องมีความรู้สึกว่า ทำชีวิตของคุณให้
เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นเป็น
เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นให้เป็น
เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นให้ได้
เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นให้ถูก
เราต้องเป็นนักบริหารที่ดี
นักบริหารที่ดี คือต้องบริหาร 2 สิ่ง ให้เกิดกำไร คือ
1 บริหารเวลา
2    บริหารอารมณ์ หรือชีวิต
แล้วการบริหารอารมณ์หรือชีวิต
รวมไปถึงความหมายของคำว่า เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นให้เป็น นั่นเอง
เจริญธรรม

เครียดไม๊เนี่ย
รู้เรื่องหรือเปล่า
ใครอยากถามอะไร เชิญ
มีไม๊  มีใครถามอะไรไม๊
ไม่มีก็เลิกล่ะ  เดี๋ยวกลับวัด
คุณจะได้ทานข้าว เดี๋ยวอาหารเย็นหมด
อยากสรุปฝากบอกว่า
ทำอะไรก็แล้วแต่ มนุษย์ไม่ควรปฏิเสธ 4 คุณ
เพราะคุณธรรม ทำให้คุณทำคุณประโยชน์
เมื่อคุณทำคุณประโยชน์ได้แล้ว ชีวิตคุณจะมีคุณค่า
สังคมก็จะเกิดคุณภาพ
เพราะงั้น คุณธรรมอะไรบ้างที่มันจะทำให้ทำคุณประโยชน์
ในที่นี้ ก็อยากจะบอกว่า คุณธรรมแห่งความมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย แล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว
ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างมีคุณธรรมแบบนี้ คือ มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย อย่าเห็นแก่ตัว
อย่ามุ่งแต่ว่า เอาตัวรอด คนอื่นไม่รอด ชั่งมัน
สุดท้าย คุณก็จะไม่รอด
แต่ถ้าคนอื่นๆ รอด พร้อมๆ กับคุณ เป็นความรอดที่ยั่งยืน
นั่นคือ สังคมที่มีคุณค่า ชีวิตก็จะมีคุณภาพ
เพราะทั้งหมดมาจากทำคุณประโยชน์ ที่เกิดจากคุณธรรมในใจคุณ
เจริญธรรม
นี่ เค้า (ประธานสมาคมฯ) ลูกศิษย์ชั้นนะ เค้าบวชกะชั้น แต่ไปบวชที่ลพบุรี
ตั้งใจกรวดน้ำหน่อยไม๊ แล้วก็รับพร ว่าตาม