ทำไม ถึงมีการตายกันเกิดขึ้น ณ ที่นี้ แหม ! พูดไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าว่า แต่ที่นี่เลย ที่ไหนๆ เขาก็ตายกันทั้งนั้น นับประสาอะไรกับเฉพาะตรงนี้ ในแผ่นดินนี้ทุก ตารางนิ้ว มีที่ไหนที่ไม่มีการพรากจากการตายหลวงปู่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่มีการตายเลยไม่ว่าที่นี่ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ เชื่อแน่นอนว่าพวกเราคงไม่มีที่อยู่แน่ คนที่เกิดก่อนเรามันคงไม่ยอมให้เรามาอยู่แน่ๆ เพราะเกิดแล้วมันไม่ยอม ตาย เกิดล้นโลกเยอะไปหมดแล้วต่างก็จะคอยแก่งแย่งอะไรกัน ขนาด อยู่กันอย่างนี้ เกิดๆ แก่ๆ เจ็บๆ ตายๆ มัน ยังกัดกันไม่เว้นแต่ละวันทะเลาะกันยังเบียดเบียนกัน เอารัดเอาเปรียบกัน แล้วถ้าเกิดแล้วไม่ ยอมตายเป็นยังไงกัน
เรามันเป็นลูกเป็นหลานของพระพุทธเจ้า เราเป็นพ่อเป็นแม่มันก็ต้องถือว่า เป็นคนของพระศาสนา เราก็ต้องยอมรับฟังข้อนี้ ที่จริงแล้วมันเป็น เช่นนั้น แต่สมัยโบราณเขาถือว่า คนที่มาบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดไปเลยทิ้งให้วัดได้ แต่มาสมัยนี้ทุกคนต้องมีญาติ เมื่อญาติเหล่านั้นต้องมีอันเป็นไป ความที่ตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด ก็ต้องมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ห่วงหา และความผูกพันกันเป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าบอกว่ามันธรรมดาเสีย จริงๆ เมื่อมันต้องมาเสียต้องตายไปตามหลักพระธรรมคำสั่งสอนของ พระศาสดา
เพราะฉะนั้น บางคนถือว่าความตายมันเป็นสิ่งห้ามกันได้ จึงมีการสอนกันว่าให้ไป เสริมมงคลชีวิต ต่อชะตาผูกดวง ทำให้ชีวิตยืนยาว แต่นั่นมันไม่จริง เพราะว่าดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าครั้นเมื่อสมัยพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์แก่ผู้หนึ่ง อายุท่านก็ปาเข้าไป 60 ปีแล้ว ยังไม่มีลูกหลาน สองคนผัวเมียก็เลยบนบานเทวดา ขอร้องให้ มีลูกขึ้นมาสักคน เผอิญมันฟลุ๊คยังไงก็ไม่รู้ พราหมณ์มณีผู้เฒ่าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ออกมาเป็นผู้ชายรูปร่างน่ารัก ก็ไปขอพรจากอาจารย์ที่สำนักไหน สำนักไหนก็ไม่ยอมให้พรแก่ลูกของพราหมณ์ผู้เฒ่าและ ก็บอกว่าลูกของพราหมณ์จะต้องตายภายใน 7 วัน กี่สำนักก็ต้องบอก ว่าไม่พ้น 7 วัน ปกติตามประเพณีของพราหมณ์ ก็ต้องพากันไปโกนผมไฟ เมื่อโกนเสร็จพราหมณ์ก็จะลากลับก็ต้องมีการให้พรกัน เมื่อผัวไปกราบท่านก็ให้พร ขอให้ท่านเป็นผู้มีวรรณะผ่องใส ฝ่ายสองผัวเมียก็เลยคิดว่า เราได้พรจากท่านอาจารย์แล้ว เราก็อยากจะให้ลูกเรา ได้พรบ้าง ก็พากันอุ้มลูกเข้าไปกราบขอพรจากท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ก็หยุดนิ่งเฉยๆ ไม่ยอมให้พรสองคนผัวเมียก็เลยถามว่า ทำไมท่านใจร้ายไส้ระกำ ไม่ยอมให้พรต่อลูกของข้าพเจ้า พราหมณ์ อาจารย์ก็ตอบ ว่าไม่ได้ เราจะให้พรลูกท่านไม่ได้เพราะลูกของท่านจะต้องตายภายใน 7 วันข้างหน้าถ้าเราขืนให้พรก็กลายเป็นเรื่องที่มันแปลก ให้พรไม่ได้
ฝ่ายพราหมณ์ผู้เฒ่าก็เสียใจก็ถามว่า แล้วจะทำยังไงถึงจะช่วยลูกเราได้ในโลกนี้มีอยู่คนเดียวที่ช่วยท่านได้คือ พระศาสดานั่นคือพระพุทธเจ้า ถ้าท่านอยากจะรู้ว่า จะทำอย่างไรให้ลูกท่านอายุยืนยาวจงไปเฝ้าพระศาสดาขอให้พระองค์ทรงช่วย สองคนผัวเมียก็ดีใจว่าจะ มีคนช่วยชีวิตลูกเรา เพราะก็ใกล้จะครบ 7 วันแล้ว
เมื่อไปหาพระพุทธเจ้า ก็สนทนาพอควร แล้วพราหมณ์ผู้เฒ่าก็กราบลาขอให้พระองค์ จงให้พรต่อข้าพเจ้า พระสมณโคดม ก็ให้พร ขอท่านจงเป็นผู้มีวรรณะผ่องใส สองคนผัวเมียได้ยินพระพุทธเจ้าให้พรก็ดีใจคิดว่าจะพาลูกเราไปรับพรจากศาสดา สมณโคดม เพราะเขาว่ากันว่า พระของพระพุทธเจ้าเป็นพรที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าให้ใครแล้วคนนั้น จะต้องได้รับผลสมความปรารถนาก็เลยอุ้มลูกของตัวเองเข้าไปกราบ พระพุทธเจ้าเพื่อหวังจะให้ลูกได้รับพร
พระองค์ทรงเห็นทารก ก็ทรงนิ่งไม่ยอมให้พร พราหมณ์ทั้งสอง เมื่อเห็นพระองค์นิ่งก็แกล้งกระแอมให้สัญญาณว่า ตอนนี้เด็กอยู่ตรง หน้าท่านนะ ครั้งที่ 1 ก็แล้ว ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็แล้ว พระองค์ก็ยังทรงนิ่ง สาเหตุที่พระองค์ทรงนิ่งก็เพราะ พระองค์ทรงรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องตายภายใน 7 วันนี้ ถ้าขืนให้พรก็กลายเป็นเรื่องที่พระองค์จะต้องโกหกแน่ๆ ก็เลยนิ่ง ไม่ยอมให้พร ทำไปทำมาผัวเมียก็ปล่อยโฮออกมา แล้ว ก็พูดว่า โอ๊ย ! ตายแล้วพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่าเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อโลก ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นภัย แต่เด็กคนเดียวช่วยไม่ได้แล้วอย่างนี้จะไปช่วยใคร พราหมณ์ทั้งสองหาอุบายต่อว่าพระองค์เพื่อให้พระองค์ทรงให้พร
ดูมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย สำหรับชีวิตอุตส่าห์ดิ้นรน ขวนขวายดูมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย สำหรับชีวิตที่เหนื่อยมา ตลอดเพื่อผู้อื่นต้องบอกว่าเหนื่อยเพื่อผู้อื่น เพราะเราไม่เคยทำอะไร ให้ตัวเองจริงๆ ตลอดเวลาเราได้ทำงาน ทำหน้าที่ให้แก่คนอื่นตลอดมา ตัวอย่าง เช่น แม้แต่เราจะประกอบอาชีพ เราก็ต้องบอกว่าทำเพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ ไม่มีใครทำอะไรให้ แก่ตัวเองจริงๆ สิ่งที่ตัวเราเองบอกว่า เราประกอบอาชีพนี้ทำไมจะไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะถ้าผมไม่ประกอบอาชีพผมจะไม่มีกิน แล้วผมจะอยู่รอดได้อย่างไร หลวงปู่ก็เลยถามเขาว่า แน่ใจแล้วหรือว่าอยู่รอด คำว่าอยู่รอดตัวนี้แสดงว่าไม่ตายสิ! คำว่ารอดตัวนี้มันต้องรอดตลอดไปสิอย่างนั้นจึงเรียกว่าอยู่รอด แต่ถ้าเราต้อง ตายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องทรมาน ด้วยการกระทำ ของเรานี้ จะเรียกว่าอยู่รอดได้อย่างไร ที่ถูกแล้วมันจะต้องพูดว่า อยู่ไปวันๆ หนึ่งเพื่อเป็นขี้ข้าเขา ขี้ข้ากิเลส ขี้ข้าตัวเราเอง ขี้ข้าลูกเมีย อยู่ไปเพื่อจะเลี้ยงกิเลสให้เติบโตขึ้น เพื่อให้มีความทะยานอยากมากขึ้น ประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเราเองที่ถือว่ากำเนิดถือเป็นชีวิต ก็คือการทำของตัวเราเองที่ถือกำเนิดถือเป็นชีวิต ก็คือการทำความสงบและสันติสุข ความดีอย่างสุดยอดให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง นี่ถือว่าเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเราจะสังเกตได้ว่าคนที่ทำดีมาตลอด เวลาที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเราตายไป สมบัติก็เอาไปไม่ได้ ลูกก็เอาไปไม่ได้ เมียก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่เงินใส่ปากสัปเหร่อมันยังงัดเอาไปกินเลย แล้วสิ่งที่เอาไปก็คือ ความดี คุณธรรมความดีที่เขาบำเพ็ญมาชั่วชีวิต
เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าและบุคคลสำคัญๆ ที่ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่งและสังคมให้ ได้ร่วมกันอยู่เป็นสุข เมื่อท่านตาย ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าตาย ไปแล้วตั้งแต่ 2,000 กว่าปี แต่ความดีของท่านยังคงไม่มีเสื่อมคลาย ต้องบอกว่า พระพุทธเจ้าฉลาดรู้จักทำประโยชน์ให้แก่พระ องค์เองจริงๆ แล้วการกระทำของพระองค์นั้นไม่ได้มุ่งหมายที่จะ ให้พระองค์ ได้รับประโยชน์ แต่ตลอดเวลาที่พระองค์ทำให้ผู้อื่น ด้วยความจริงใจคือสอนให้คนอื่นรู้จักโลกและสังคม ว่าทุกสรรพ สิ่งในโลก เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลางแล้วก็แตกสลาย ในที่สุด อย่าไปยึดถือ และตกเป็นทาสของมัน เราจะได้ไม่คิดเบียดเบียนเขาไม่คิดจะขโมยของของเขา ไม่คิดจะฆ่าเขา ไม่คิด จะโกงเขา เพราะสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นชั่วคราวและก็หมดไปใน ที่สุด ไม่มีอะไรคงที่
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย อย่ามัวแต่มาประมาท หลงงมงายกันอยู่เลย จงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมเถิด ประโยชน์ตนก็คือ ทำส่วนที่ดีให้แก่ตนเองบ้าง ทำ ให้ตัวเองรู้จักสงบ สันติสุข ที่เกิดจากความสงบ ส่วนประโยชน์ท่านก็คือการทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่องเป็นผัวก็ทำหน้าที่ผัวให้ ดี เป็นพ่อก็ทำหน้าที่ให้ดี เป็นเมียก็ทำหน้าที่ให้ดี เป็นแม่ก็สมหน้า ที่ของแม่ที่ดีของลูก เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เชื่อถ้อยฟังคำซื่อสัตย์กตัญญู รู้คุณ และตอบแทนคุณของบิดามารดา
ฝากไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้ทำดี ถ้าจะรอเมื่อแก่ก่อน จึงทำดี เราอาจจะไม่มีโอกาส ทำดีก็ได้ เพราะเด็กรุ่นลูก รุ่นหลาน ของเรายังตาย ในโอกาสต่อไปนี้ก็อย่าเมาในชีวิตอย่าปล่อยให้ชีวิตยึดติดในความเมาจนลืมทำดี ถ้าคิดว่ายังหนุ่ม ยังสาว ยังเด็กอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ยังปราดเปรียวอยู่ ยังเฉลียวฉลาดอยู่ ยัง น่ารักอยู่ แต่เขาก็ตายให้เราดูแล้ว ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้เรื่องที่เรา คิดจะทำผิดๆ เป็นเรื่องชั่วช้า เราก็จะไม่คิดและแม้กระทั่งทำ
เรามันเป็นลูกเป็นหลานของพระพุทธเจ้า เราเป็นพ่อเป็นแม่มันก็ต้องถือว่า เป็นคนของพระศาสนา เราก็ต้องยอมรับฟังข้อนี้ ที่จริงแล้วมันเป็น เช่นนั้น แต่สมัยโบราณเขาถือว่า คนที่มาบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดไปเลยทิ้งให้วัดได้ แต่มาสมัยนี้ทุกคนต้องมีญาติ เมื่อญาติเหล่านั้นต้องมีอันเป็นไป ความที่ตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด ก็ต้องมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ห่วงหา และความผูกพันกันเป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าบอกว่ามันธรรมดาเสีย จริงๆ เมื่อมันต้องมาเสียต้องตายไปตามหลักพระธรรมคำสั่งสอนของ พระศาสดา
เพราะฉะนั้น บางคนถือว่าความตายมันเป็นสิ่งห้ามกันได้ จึงมีการสอนกันว่าให้ไป เสริมมงคลชีวิต ต่อชะตาผูกดวง ทำให้ชีวิตยืนยาว แต่นั่นมันไม่จริง เพราะว่าดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าครั้นเมื่อสมัยพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์แก่ผู้หนึ่ง อายุท่านก็ปาเข้าไป 60 ปีแล้ว ยังไม่มีลูกหลาน สองคนผัวเมียก็เลยบนบานเทวดา ขอร้องให้ มีลูกขึ้นมาสักคน เผอิญมันฟลุ๊คยังไงก็ไม่รู้ พราหมณ์มณีผู้เฒ่าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ออกมาเป็นผู้ชายรูปร่างน่ารัก ก็ไปขอพรจากอาจารย์ที่สำนักไหน สำนักไหนก็ไม่ยอมให้พรแก่ลูกของพราหมณ์ผู้เฒ่าและ ก็บอกว่าลูกของพราหมณ์จะต้องตายภายใน 7 วัน กี่สำนักก็ต้องบอก ว่าไม่พ้น 7 วัน ปกติตามประเพณีของพราหมณ์ ก็ต้องพากันไปโกนผมไฟ เมื่อโกนเสร็จพราหมณ์ก็จะลากลับก็ต้องมีการให้พรกัน เมื่อผัวไปกราบท่านก็ให้พร ขอให้ท่านเป็นผู้มีวรรณะผ่องใส ฝ่ายสองผัวเมียก็เลยคิดว่า เราได้พรจากท่านอาจารย์แล้ว เราก็อยากจะให้ลูกเรา ได้พรบ้าง ก็พากันอุ้มลูกเข้าไปกราบขอพรจากท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ก็หยุดนิ่งเฉยๆ ไม่ยอมให้พรสองคนผัวเมียก็เลยถามว่า ทำไมท่านใจร้ายไส้ระกำ ไม่ยอมให้พรต่อลูกของข้าพเจ้า พราหมณ์ อาจารย์ก็ตอบ ว่าไม่ได้ เราจะให้พรลูกท่านไม่ได้เพราะลูกของท่านจะต้องตายภายใน 7 วันข้างหน้าถ้าเราขืนให้พรก็กลายเป็นเรื่องที่มันแปลก ให้พรไม่ได้
ฝ่ายพราหมณ์ผู้เฒ่าก็เสียใจก็ถามว่า แล้วจะทำยังไงถึงจะช่วยลูกเราได้ในโลกนี้มีอยู่คนเดียวที่ช่วยท่านได้คือ พระศาสดานั่นคือพระพุทธเจ้า ถ้าท่านอยากจะรู้ว่า จะทำอย่างไรให้ลูกท่านอายุยืนยาวจงไปเฝ้าพระศาสดาขอให้พระองค์ทรงช่วย สองคนผัวเมียก็ดีใจว่าจะ มีคนช่วยชีวิตลูกเรา เพราะก็ใกล้จะครบ 7 วันแล้ว
เมื่อไปหาพระพุทธเจ้า ก็สนทนาพอควร แล้วพราหมณ์ผู้เฒ่าก็กราบลาขอให้พระองค์ จงให้พรต่อข้าพเจ้า พระสมณโคดม ก็ให้พร ขอท่านจงเป็นผู้มีวรรณะผ่องใส สองคนผัวเมียได้ยินพระพุทธเจ้าให้พรก็ดีใจคิดว่าจะพาลูกเราไปรับพรจากศาสดา สมณโคดม เพราะเขาว่ากันว่า พระของพระพุทธเจ้าเป็นพรที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าให้ใครแล้วคนนั้น จะต้องได้รับผลสมความปรารถนาก็เลยอุ้มลูกของตัวเองเข้าไปกราบ พระพุทธเจ้าเพื่อหวังจะให้ลูกได้รับพร
พระองค์ทรงเห็นทารก ก็ทรงนิ่งไม่ยอมให้พร พราหมณ์ทั้งสอง เมื่อเห็นพระองค์นิ่งก็แกล้งกระแอมให้สัญญาณว่า ตอนนี้เด็กอยู่ตรง หน้าท่านนะ ครั้งที่ 1 ก็แล้ว ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็แล้ว พระองค์ก็ยังทรงนิ่ง สาเหตุที่พระองค์ทรงนิ่งก็เพราะ พระองค์ทรงรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องตายภายใน 7 วันนี้ ถ้าขืนให้พรก็กลายเป็นเรื่องที่พระองค์จะต้องโกหกแน่ๆ ก็เลยนิ่ง ไม่ยอมให้พร ทำไปทำมาผัวเมียก็ปล่อยโฮออกมา แล้ว ก็พูดว่า โอ๊ย ! ตายแล้วพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่าเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อโลก ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นภัย แต่เด็กคนเดียวช่วยไม่ได้แล้วอย่างนี้จะไปช่วยใคร พราหมณ์ทั้งสองหาอุบายต่อว่าพระองค์เพื่อให้พระองค์ทรงให้พร
ดูมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย สำหรับชีวิตอุตส่าห์ดิ้นรน ขวนขวายดูมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย สำหรับชีวิตที่เหนื่อยมา ตลอดเพื่อผู้อื่นต้องบอกว่าเหนื่อยเพื่อผู้อื่น เพราะเราไม่เคยทำอะไร ให้ตัวเองจริงๆ ตลอดเวลาเราได้ทำงาน ทำหน้าที่ให้แก่คนอื่นตลอดมา ตัวอย่าง เช่น แม้แต่เราจะประกอบอาชีพ เราก็ต้องบอกว่าทำเพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ ไม่มีใครทำอะไรให้ แก่ตัวเองจริงๆ สิ่งที่ตัวเราเองบอกว่า เราประกอบอาชีพนี้ทำไมจะไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะถ้าผมไม่ประกอบอาชีพผมจะไม่มีกิน แล้วผมจะอยู่รอดได้อย่างไร หลวงปู่ก็เลยถามเขาว่า แน่ใจแล้วหรือว่าอยู่รอด คำว่าอยู่รอดตัวนี้แสดงว่าไม่ตายสิ! คำว่ารอดตัวนี้มันต้องรอดตลอดไปสิอย่างนั้นจึงเรียกว่าอยู่รอด แต่ถ้าเราต้อง ตายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องทรมาน ด้วยการกระทำ ของเรานี้ จะเรียกว่าอยู่รอดได้อย่างไร ที่ถูกแล้วมันจะต้องพูดว่า อยู่ไปวันๆ หนึ่งเพื่อเป็นขี้ข้าเขา ขี้ข้ากิเลส ขี้ข้าตัวเราเอง ขี้ข้าลูกเมีย อยู่ไปเพื่อจะเลี้ยงกิเลสให้เติบโตขึ้น เพื่อให้มีความทะยานอยากมากขึ้น ประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเราเองที่ถือว่ากำเนิดถือเป็นชีวิต ก็คือการทำของตัวเราเองที่ถือกำเนิดถือเป็นชีวิต ก็คือการทำความสงบและสันติสุข ความดีอย่างสุดยอดให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง นี่ถือว่าเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเราจะสังเกตได้ว่าคนที่ทำดีมาตลอด เวลาที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเราตายไป สมบัติก็เอาไปไม่ได้ ลูกก็เอาไปไม่ได้ เมียก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่เงินใส่ปากสัปเหร่อมันยังงัดเอาไปกินเลย แล้วสิ่งที่เอาไปก็คือ ความดี คุณธรรมความดีที่เขาบำเพ็ญมาชั่วชีวิต
เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าและบุคคลสำคัญๆ ที่ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่งและสังคมให้ ได้ร่วมกันอยู่เป็นสุข เมื่อท่านตาย ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าตาย ไปแล้วตั้งแต่ 2,000 กว่าปี แต่ความดีของท่านยังคงไม่มีเสื่อมคลาย ต้องบอกว่า พระพุทธเจ้าฉลาดรู้จักทำประโยชน์ให้แก่พระ องค์เองจริงๆ แล้วการกระทำของพระองค์นั้นไม่ได้มุ่งหมายที่จะ ให้พระองค์ ได้รับประโยชน์ แต่ตลอดเวลาที่พระองค์ทำให้ผู้อื่น ด้วยความจริงใจคือสอนให้คนอื่นรู้จักโลกและสังคม ว่าทุกสรรพ สิ่งในโลก เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลางแล้วก็แตกสลาย ในที่สุด อย่าไปยึดถือ และตกเป็นทาสของมัน เราจะได้ไม่คิดเบียดเบียนเขาไม่คิดจะขโมยของของเขา ไม่คิดจะฆ่าเขา ไม่คิด จะโกงเขา เพราะสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นชั่วคราวและก็หมดไปใน ที่สุด ไม่มีอะไรคงที่
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย อย่ามัวแต่มาประมาท หลงงมงายกันอยู่เลย จงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมเถิด ประโยชน์ตนก็คือ ทำส่วนที่ดีให้แก่ตนเองบ้าง ทำ ให้ตัวเองรู้จักสงบ สันติสุข ที่เกิดจากความสงบ ส่วนประโยชน์ท่านก็คือการทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่องเป็นผัวก็ทำหน้าที่ผัวให้ ดี เป็นพ่อก็ทำหน้าที่ให้ดี เป็นเมียก็ทำหน้าที่ให้ดี เป็นแม่ก็สมหน้า ที่ของแม่ที่ดีของลูก เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เชื่อถ้อยฟังคำซื่อสัตย์กตัญญู รู้คุณ และตอบแทนคุณของบิดามารดา
ฝากไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้ทำดี ถ้าจะรอเมื่อแก่ก่อน จึงทำดี เราอาจจะไม่มีโอกาส ทำดีก็ได้ เพราะเด็กรุ่นลูก รุ่นหลาน ของเรายังตาย ในโอกาสต่อไปนี้ก็อย่าเมาในชีวิตอย่าปล่อยให้ชีวิตยึดติดในความเมาจนลืมทำดี ถ้าคิดว่ายังหนุ่ม ยังสาว ยังเด็กอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ยังปราดเปรียวอยู่ ยังเฉลียวฉลาดอยู่ ยัง น่ารักอยู่ แต่เขาก็ตายให้เราดูแล้ว ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้เรื่องที่เรา คิดจะทำผิดๆ เป็นเรื่องชั่วช้า เราก็จะไม่คิดและแม้กระทั่งทำ