เพื่อนสหธรรมิก ก็คือ เพื่อนปฏิบัติธรรมร่วมกัน ยังให้เกิดความแช่มชื่น ความศรัทธา พูดให้เกิดสัจธรรม พูดให้จริง พูดให้ผู้ฟังปลงให้ตก ไม่ฟุ้งไม่ฟู ทำให้จิตใจซาบซ่าน ดื่มด่ำ และดิ่งลงในคำว่าสงบ สันติ เหล่านี้คือ คุณสมบัติของคำว่า เพื่อน สหธรรมิก
      
       แต่ถ้าเรามีเพื่อนแล้ว เพื่อนมีคำพูด มีกิริยาที่แสดง มีวิธีการที่บอกไปในทางที่หูฟังแล้วจิตใจเราไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เหล่านี้ไม่ใช่เพื่อนสหธรรมิกไม่ใช่บุคคลผู้ให้ความสันติสุขร่มเย็น ไม่ใช่คนที่แนะนำประโยชน์สุข แลเพื่อนสห-ธรรมิกที่ดูว่าจะดีและใกล้ชิดกับเรามากที่สุดคือตัวเราเอง ระหว่างเพื่อนหลวงปู่กับตัวหลวงปู่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันนัก แต่ถามว่า เราเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรก็เป็นเพื่อนกันโดยการปฏิบัติธรรม รู้ธรรม สอบถามธรรม และชี้แจงการปฏิบัติธรรม เมื่อเรารู้จักคำว่าพระธรรม ปฏิบัติธรรม สอบถามธรรม ชี้แจงในอรรถในธรรม ก็ถือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้บอกธรรมเป็นสหธรรมิกต่อเรา เป็นผู้ยังให้เกิดพรหมจรรย์อันประเสริฐ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแพร่ไม่ใช่เพื่อนคือแพร่โรคท้อแท้ถดถอย แพร่โรคหลงงมงาย กลายเป็น บุคคลที่ฟุ้งกระจาย ทำให้จิตใจเราสับสนวุ่นวาย
      
       สำหรับข้อปฏิบัติของผู้หวังความเจริญ ต้องแสวงหา สังคมสัปปายะที่อยู่สัปปายะ บรรยากาศสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ และ ก็ข้อสำคัญ อาหารสัปปายะ อิริยาบถสัปปายะ ในความสบายของ นักปฏิบัติ พระศาสดาทรงกำหนดการมีชีวิตแบบสบาย สังคม สัปปายะ ที่อยู่สัปปายะ สังคมนี้เราไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว เรารู้ เข้าใจกันอยู่แล้วว่า คำว่าสังคมสัปปายะ คือสังคมที่ยังให้เกิดความ สบาย คือเราสบายต่อการดำรงอยู่ สบายที่นี้ไม่ได้หมายถึงสบายแบบกินๆ นอนๆ แต่มันเย็นใจ สบายใจ แช่มชื่นเบิกบานใจ ที่อยู่สัปปายะ ความหมายของมัน คือ อยู่แล้วสะอาดใจ อยู่แล้วก็ สบายใจ อยู่แล้วก็สะดวกใจ อยู่แล้วได้ปัญญาญาณหยั่งรู้ใดๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ รวมทั้งอยู่แล้วไม่ทำให้ลำบากกายเกินไปนัก
      
       เหล่านี้ถือว่าเป็นที่อยู่สัปปายะ ธรรมะสัปปายะ สถานที่ที่เราอยู่มีผู้บอกธรรม เรียนรู้ธรรม ชี้แจงธรรมและแสดงธรรม เราผู้ฟังก็จะเข้าใจกระจ่างชัดในธรรม อันนี้ถือว่าเป็นธรรมะสัปปายะ นอกจากจะเป็นคำพูดเพื่อให้เราได้เข้าใจแจ้งในธรรมแล้ว ยังเป็นคำพูดที่เป็นสัจธรรมพร้อมด้วยแล้วก็อาหารสัปปายะ อาหารที่ ยังให้เกิดประโยชน์ อาหารที่ยังให้ร่างกายทรงอยู่ด้วยอัตภาพ คงไว้ซึ่งพลังกาย พร้อมที่จะนำไปใช้เป็นพลังงาน มิใช่เป็นอาหารที่บริโภคเพื่อความฟุ่มเฟือยบำรุงบำเรอกิเลสตัณหา สำหรับอิริยาบถ สัปปายะ คือการเป็นอยู่ในอิริยาบถ ที่ผ่อนคลาย เบาสบาย เป็นอิริยาบถเพื่อการปล่อยวาง
      
       พระศาสดาทรงแสดงเรื่องอาหาร มันเป็นเรื่องที่เราไม่ได้ยึดถือว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ มันเป็นแต่เครื่องให้ชีวิตและสุขภาพคงอยู่ เพื่อยังให้เกิดสาระในการดำรงชีวิตสัปปายะทั้งหลาย พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในธรรมวินัย จากสังคมสัปปายะ สถานที่สัปปายะ ธรรมะสัปปายะ อาหารสัป-ปายะอากาศสัปปายะ อิริยาบถ สัปปายะ คำว่าสัปปายะ คือ ที่ยังให้เกิดความสบาย ภิกษุทั้งหลาย เธอจงไปในที่ที่ยังให้เกิดความสบาย นั่นก็คือ เธอจงไปในที่ที่เป็นสัปปายะ
      
       สหธรรมิกไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรม การทำหน้าที่ที่ถูกต้องสมบูรณ์ถือว่าเป็นสหธรรมิก สร้างให้เกิดความสัปปายะ สร้างให้เกิดสถานที่สัปปายะ สร้างให้เกิดสังคมสัปปายะ สร้างให้เกิดธรรมะสัปปายะและก็สร้างให้เกิดสภาวะสัปปายะได้
      
       พระนักบวชยุคก่อนๆ เขาแสวงหาสถานที่สัปปายะ ตัวอย่าง เช่น เวลารู้ว่าที่ใดมีที่สัปปายะเขาก็จะพาไปอยู่ที่ตรงนั้น เราจะศึกษาได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎกมีบางที่ ที่เป็นสัปปายะ มีพระเณร จำนวนมากถึง ๕๐๐ รูป ๑,๐๐๐รูป ขึ้นไป เพราะเป็นสถานที่ สัปปายะ เป็นที่ยังให้เกิดความสงบและสันติ คนเข้าไปแล้วอยู่สุขสบาย คำว่าสุขสบายนี้ไม่ได้หมายถึงว่า กินจนอ้วนพี หัวหลิม นอนหลับ พุงพลุ้ยเดินพุงกระเพื่อม ไขมันกระเพื่อม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่าสบายในที่นี้คือ พอยังให้เกิดความสบาย เหมือนกับเราร้อนแล้ว มีลมพัดต้องกายพอรู้สึกสบาย ลักษณะเช่นนั้นก็เรียกว่าสัปปายะ แต่ถ้าร้อนแล้ววิ่งเข้าห้องแอร์ นอนหลับในห้องแอร์ นั่นเกินสัปปายะ เขาเรียกว่าที่ที่สัตว์ตายเป็นระยะ
      
       พูดเรื่องสัปปายะและสหธรรมิก เพื่อให้รู้ว่า เราหาไม่ได้เยอะนักสำหรับสังคมสัปปายะ เราหาไม่ได้มากนักสำหรับสถานที่สัปปายะเราหาไม่ได้ง่ายนักสำหรับอากาศสัปปา ยะ แล้วเราก็หาไม่ได้ง่ายนักกับผู้ที่มีธรรมสัปปายะ ข้อนี้ต้องอธิบายคำว่า ธรรมสัปปายะ คือธรรมที่ยังให้เกิดความสบาย ผู้พูดพูดออกไปแล้วด้วยความรู้สึกสบาย ผู้ฟังรับฟังด้วยความรู้สึกว่าจิตใจสบาย ผ่อนคลายความตึงเครียด ธรรมที่ยังให้เกิดความสบายมันต้องก้ำกึ่ง อยู่ในวงเล็บของคำว่าฉลาดและก็สงบ นี้คือคำจำกัดความของคำว่าธรรม สัปปายะ แต่ถ้าธรรมะอันใดที่ทำให้เราโง่ ฟังเขาพูดแล้วเราโง่กว่าเก่า เราเป็นคนโง่ที่ฟังคนโง่พูดจนหัวมึน จบแล้วยังไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ถือว่าธรรมอันนั้นไม่สัปปายะ เราไม่ได้สบายจากการฟังธรรม เราไม่ได้ฉลาดขึ้น เราไม่ได้สงบขึ้น นั่นมันไม่ใช่ธรรมะมันเป็นธรรมเมา ผู้ที่ยังให้เกิดธรรมสัปปายะ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนถึงคำว่าสบาย เมื่อปฏิบัติธรรมจนถึงคำว่าสบาย เวลาแสดงธรรม ผู้ฟังก็จะสบายตามแต่ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่ถึงคำว่าสบาย เพียงแค่จำเอามางูๆปลาๆ จำตำราหรือขี้ปากชาวบ้านมา ลอกเลียน แบบคนอื่นเขามาแล้วก็มาถ่ายทอดกันฟัง มาเล่าสู่กันฟัง มาพูดให้ฟัง คนฟังก็จะอึ้งงง ปวดหัว เครียด ถือว่าไม่สบายถึงจะเป็นคำที่เป็นบทพระพุทธพจน์ที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธเจ้า ซึ่งผู้พูดพูดได้เพราะจำพระองค์มาก็ไม่ยังให้เกิดคำว่า ธรรมสัปปายะได้ เพราะผู้ฟังฟังแล้วมึนงงไม่เข้าใจ เหตุเพราะผู้พูด มิได้พูดจากใจ มิได้พูดด้วยความเข้าใจ เลยมิได้ซึ้ง ว่า พระศาสดาทรงต้องการอะไรในประโยคของการสอนเช่นนั้น เมื่อผู้จำมาพูดไม่เข้าใจ ผู้ฟังก็ฟังแบบจำใจ เพราะไม่รู้จะตีความอย่างไร
      
       เพราะฉะนั้นข้อนี้ก็สำคัญ เราหาไม่ได้ง่ายนักกับสถานที่ที่พร้อมองค์ประกอบทั้ง ๗ นั่นคือ สัปปายะทั้ง ๗ ประการหลวงปู่ จำไม่ได้หมดว่า สัปปายะมันมีกี่ประการแต่ในชีวิตหลวงปู่ที่มีอยู่ ทำอยู่ แสวงหา และปรากฏอยู่ มีแค่ ๗ อย่าง
      
       พระพุทธเจ้าอาจจะกำหนดสัปปายะอันวิเศษพิสดารพันลึกขึ้นไปอีกก็ได้ หลวงปู่ไม่ได้ค้นคว้า สำหรับหลวงปู่ก็ทำได้ คือสร้างสังคมสัปปายะ เป็นสังคมที่เราอยู่แล้วเราสบายใจ เป็นสังคมที่เปิดใจแก่กันฟัง เราไม่มีลับลมคมใน ไม่มีหลอกลวงกันช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละแรงละใจ สร้างสรรค์สังคมอันดีงามให้เกิดขึ้น สร้างสรรค์สถานที่อันสวยงามให้เกิดขึ้นอันเหมาะสมแก่ตน แก่จริต แก่ความต้องการของตน ถือว่าเหล่านี้เป็นการทำให้สถานที่สัปปายะ จนทำให้เกิดสังคมสัปปายะ
      
       การเข้าสังคมดี ก็ทำให้ดีตามสังคม เมื่อสถานที่ได้รับการอนุเคราะห์พัฒนาจากสังคมที่ดี เป็นสังคมที่ร่วมไม้ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ทุกคนก็จะช่วยกันทำความสะอาดจะช่วยกันจัดระเบียบ และช่วยกันชำระล้างจัดทำกิจกรรม จะช่วยกันแก้ไขปัญหา จะช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม สถานที่ซึ่งเป็นสิ่งที่สบาย และที่จะละเลยเสียไม่ได้กับการที่เรามีสังคมอันดี สถานที่อันสะอาด ก็เพราะเรามีธรรมะอันประเสริฐเราเป็นผู้มีธรรมะอันยังให้เกิดความสบาย
      
       พระพุทธเจ้ามักชี้ให้พระภิกษุผู้บวชใหม่ เธอทั้งหลายจงไปสู่ที่สัปปายะ ภิกษุทั้งหลายนั่นคือสัปปายะ เธอจงไป ก็แสดงว่าพระองค์ทรงเห็นว่าผู้บวชใหม่ยังจำเป็นต้องอาศัยสถานที่ สังคมธรรมะ และอาหาร อากาศ อิริยาบถที่สบายอยู่ เหมือนกับเด็กอ่อน ที่ออกจากท้องแม่ จำเป็นต้องอาศัยแม่นม หรือมารดาเกิดหล่อเลี้ยงให้นม ป้อนข้าวป้อนน้ำอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูจนสามารถมีกำลังชีวิตปีกกล้าขาแข็ง และเจริญรุ่งเรือง เดินออกไปสู่สังคมข้างนอกได้ ฉันใด การบวชเข้ามาใหม่ในพระธรรมวินัยก็คือ ยังไร้ เดียงสาต่อการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ใหม่เพราะว่าเพิ่งบวช ถึงจะบวช๑๐๐ ปี แต่ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไม่รู้ผลก็ยังถือว่ายังใหม่อยู่ พระพุทธเจ้าเรียกเถระ พระเถระคือผู้แก่ผู้เฒ่าต้องแก่โดยคุณธรรม มิใช่แก่เฒ่าเพราะอยู่นานตามกาลเวลา มันคนละเรื่องกัน
      
       เพราะฉะนั้น เธอภิกษุผู้ใหม่ เธอจงไปในที่สัปปายะเป็นสิ่ง จำเป็นสำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึงคุณธรรม ยังไม่รู้จักธรรมไม่มีดวงตาเห็นธรรม ยังไม่รู้แจ้งในธรรม ยังถือว่าเป็นผู้ใหม่จึงจำเป็นต้องอาศัยที่สัปปายะ สังคมสัปปายะ อากาศสัปปายะธรรมสัปปายะ อิริ-ยาบถสัปปายะและก็อาหารสัปปายะ ผู้ที่ทำให้เกิดสัปปายะทั้ง ๗ ประการนี้ พระองค์ทรงเรียกว่า แม่นม มารดาผู้เลี้ยงดูบุตร ด้วยความทะนุถนอม มารดาผู้ให้เกิด มีอานิสงส์ปานนั้น
      
       สมัยโบราณนางวิสาขา มหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐีและจิตตคหบดี ผู้มีดวงตาเห็นธรรม ปวารณาตัวเองให้เป็นแม่นมแก่ภิกษุใหม่ทั้งหลาย บริจาคทรัพย์อันมากสร้างสถานที่สัปปายะบริจาคทานเป็นอันมาก สร้างอาหารสัปปายะและก็พยายามทำตัวเองให้เข้าไปสู่สังคม และเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมสัปปายะพระศาสดาทรงยกย่องบุรุษสตรีเหล่านี้ ว่าเป็นแม่นมผู้เลี้ยงดูบุตรเป็นมารดา ผู้ยังให้บุตรเกิดเป็นแม่นมผู้ทะนุถนอมลูกอ่อนให้เจริญรุ่งเรืองเป็นผู้ อุปถัมภ์บำรุงบุตรธิดาให้อยู่ในวัฒนาถาวร เช่นนี้ถือว่ามีอานิสงส์มาก มีบุญอันมาก และก็มีธรรมอันมาก เป็นผู้มีวาสนา อันมาก เพราะฉะนั้นการที่เราสนับสนุนให้เกิดกระบวนการสัปปายะ ทั้งหลาย ถือว่าเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ ยิ่งพระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัยไม่เรียกว่าเคร่งครัด หลวงปู่ไม่ถือว่าเป็นคำว่าเคร่งครัดเพราะอย่างที่พวกเรานั่งอยู่นี้ ไม่จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดรวมทั้งหลวงปู่ด้วย เพราะถ้าเคร่งครัด ตามพระอริยวินัยจริงๆแล้ว มันต้องทุ่มทั้งชีวิตให้กับการชำระล้างแต่เรานี้ยังมีบางเวลาที่เรายังต้อง พัฒนา ต้องถากถาง ต้องขุดดิน ฟันหญ้ายังมีบางเวลาที่ยังต้องสนุกเฮฮาพูดแหย่กันเล่น หลวงปู่ยังไม่ถือว่า ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตที่อยู่ในหนทางแห่งอริยวินัยคือวินัยของพระอริยเจ้า แต่หลวงปู่เห็นเพียงว่ามันเป็นเพียงแค่วิธีที่จะเปิดประตูและพร้อมจะก้าว เข้าไปสู่คำว่าอริยวินัยเท่านั้น พร้อม เตรียมกายใจเข้าไปสู่เป้าหมายของอริยวินัยซึ่งมันเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณเกิด ขึ้นเองโดยการสมัครใจเข้าไปหรือเข้าไปสมัครกับมันที่จะทำคำว่าอริยวินัยไม่ ใช่เกิดขึ้นโดยความจำใจทำ แต่มันเกิดขึ้นโดยสภาวะธรรมชาติของเหตุปัจจัย จนมันเกิดความละอายขึ้นเองมันเกิดความงดเว้นขึ้นเองเกิดความพอเอง คนคนนั้นแหละก้าวเข้าถึงคำว่าอริยวินัย
      
       หลวงปู่จึงไม่บังคับว่า ท่านต้องเคร่งครัด ท่านต้องปฏิบัติธรรมปานนั้นๆ ท่านต้องมีเวลาให้กับมันปานนั้นๆ หลวงปู่ถือว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลว หยาบ ทุกคนมีกรรมอันพึงสร้างมาด้วยตนเอง อันตนพึงสร้างมาได้ มีวาสนาอันสะสมมาแต่อดีต การปฏิบัติธรรมของตนถ้าจริงใจจริงจังกับมันก็ถือว่า อดีตเราเคยสร้างสมกันมา ถ้าทำเหลาะแหละ เลวร้ายลื่นไหลและล้อเล่นไปกับมัน ก็ถือว่า เราหลอกเล่นกับมันนิดๆ หน่อยๆ แล้วมันก็จะรอเวลาอีกนานแสนนานกว่าจะได้มีโอกาส ทำใหม่ ไม่รู้ว่าชาติไหนที่จะเข้ามารู้จักคำว่าพระธรรมอีก
      
       เพราะฉะนั้น หลวงปู่ได้แต่เพียงตะล่อมให้ลูกเป็ดน้อยอยู่ใน กรอบ ส่วนจะบังคับให้มันกินหรือไม่กินนั้นอาหารมีอยู่แล้ว มัน พอใจกินก็กิน ถ้าไม่พอใจกินจะเหยียบอาหารทิ้งแถมขี้รดด้วยก็ช่วย ไม่ได้ เรามีหน้าที่เพียงให้อยู่ในกรอบเท่านั้น ก็ให้เข้าใจว่าการมีชีวิตเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงธรรมค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านมีโอกาสที่จะคบหาสหธรรมิก ก็พยายามจะรักษาโอกาสชนิดนั้นให้นานแสนนาน หลวงปู่กำลังจะบอกอะไรกับพวกท่าน มันเป็นบุญลาภที่ยิ่งใหญ่ของพวกท่าน เป็นบุญอันวิเศษ ที่พวกท่านแสวงหาไม่ได้จากโลกและสังคมที่ท่านจะก้าวเท้าไปสู่มัน ถามว่าทำไม ก็เพราะว่าเรายังคาดหวังไม่ได้ต่อโลกข้างหน้า ต่อวันข้างหน้า ต่อเวลาข้างหน้า ว่ามันจะเป็นสหธรรมิกแก่เราได้ มันจะเป็นที่สัปปายะแก่เราได้ สังคมสบาย ที่อยู่สบาย อากาศสบาย ธรรมสบาย อิริยาบถสบายอาหารสบาย มันคงจะคาดหวังไม่ได้ว่าจะมีรอเราอยู่ข้างหน้าเวลานี้เราอยู่ในที่ที่สบาย เราอยู่ในสังคม ที่สบาย แล้วเราจะตะกายไปแสวงหาอะไรเพิ่มอีก หลวงปู่ก็ไม่ได้หมายยกตัวเองว่า เป็นผู้ให้ธรรมะที่สบาย แต่หลวงปู่ก็เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะให้อะไรที่หลวงปู่เข้าใจ หลวงปู่ก็จะพูดให้พวกท่านฟังแต่ถ้าอะไรที่หลวงปู่ไม่เข้าใจ ไม่รู้แจ้ง ไม่กระจ่าง ก็จะไม่พูดให้ท่านฟัง ก็ถือว่าหลวงปู่พยายามพูดให้ท่านสบาย ผ่อนคลายบางเบา ได้ในขณะหนึ่ง