พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตว์นรกยากต่อการที่จะมาเดินทางพระนิพพานสัตว์เดรัจฉานก็ยาก เพราะมีความทุกข์เป็นอารมณ์อยู่ จึงมีคำพูดเอาไว้ ๒ ประเด็นว่าเทวดา พรหม ยากต่อการที่จะเข้ามาเดินทางพระนิพพานเพราะหลงในสุข เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ก็ยากต่อการจะเข้ามาในทางมัชฌิมาปฏิปทา เพราะมีความทุกข์ท่วมท้นจนไม่คิดว่าโลกนี้จะมีสุขเรียกว่าติดอยู่ ในทุกข์ มีบุคคลผู้เดียว ตัวคนเดียวเท่านั้นที่พระศาสดาทรงเรียกว่าศากยะบุตร เป็นผู้สามารถก้าวสู่ทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นเอกวิถี และเป็นเอกในหนทางทั้งหลาย เป็นเอกบุคคล เป็นเอกบุรุษ ที่จะเดินเข้าไปได้ในหนทางแห่งคนคนเดียวเดินไปได้
คำว่าคนคนเดียวในที่นี้หมายความว่า ไม่มีลูกไม่มีผัว ไม่มีเมีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีทั้งข้าราชบริวารทั้งหญิงชาย ไม่มีอะไรๆ แม้แต่ตัวกูของกูก็ต้องไม่มีมันจึงจะเดินเข้าไปในทางนี้ได้มันเป็นทางแคบๆ สำหรับสัตว์นรกและเทวดา แต่มันเป็นทางกว้างๆ สำหรับคนที่เห็นค่าและมีสติปัญญา นั่นคือผู้เห็น มัชฌิมาปฏิปทา
และเมื่อเดินทางเข้าไป มันจะยิ่งกว้างใหญ่โตมโหฬารจนทำให้ชีวิตเข้าไปถึงพระนิพพาน สติปัญญาสมาธิ พลังอำนาจ ก็กว้างใหญ่โตตามไปด้วย มีลักษณะเช่นนี้แต่ทางเข้ามันช่างแคบคับเฉพาะคนคนเดียว โดดเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าจริงๆ จึงจะก้าวเข้าไปได้ สังเกตดูได้ว่าการที่เรามาบวชนี้ เพียงเพื่อจะทำให้ชีวิตของตนย่างก้าวเข้าไปสู่มรรคาปฏิปทา มีสัมมาทิฐิ คือความเห็นที่ตรงและถูกต้อง เป็นข้อแรก
พระพุทธเจ้าของเราบอกว่า ธรรมะของเราเป็นธรรมะที่ทวนกระแสโลก คือ ธรรมะที่รักษาโรค บางคนเป็นแผลแล้วก็ไม่อยากใส่ยา เพราะมันแสบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าใส่ยาแล้วจะหาย แต่ก็ไม่ยอมใส่ แล้วแผลนั้นก็เน่าเฟะ เพราะฉะนั้นการใส่ยาให้แก่ตัวเองก็ตาม การเพียรพยายามรักษาโรคที่ตนเป็นอยู่ก็ตาม ถือว่าการเดินเข้าไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา เริ่มต้นด้วยความคับแคบ ต่างจากสัตว์นรก เทวดา มาร พรหม มีหนทางเข้าที่กว้างใหญ่ มีหนทางออกที่คับแคบลำบากยากต่อใครๆ จะออกลอดพ้นมาได้ พระนิพพานหนทาง การทำความดีนั้นเป็นหนทางที่เดินเข้าไปยากมันแคบเท่ารูเข็ม แต่ตอนที่จะออกมันง่ายเหลือเกิน ลองถามดูก็ได้ว่าการเป็นนักบวช นี้ลำบากไหม การบวชคือการเพียรพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรมให้เป็นคนดี ย่อมลำบาก เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่มานั่งอยู่ที่นี่ ก็ต้องถือว่า เป็นบุคคลที่เข้ามาสู่หนทางของบุรุษผู้เอก สตรีผู้เอก คือไม่มีอะไรต้องแบกเอาไป ถ้าแบกเอาไปคงไปไม่ได้ไกล ก็คือความตายเข้ามาหา แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาอีกสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เพื่อที่จะเข้าสู่หนทางอันนี้อีก คงจะเป็นไปได้ยาก
สัตว์นรกนั้นเกิดมาเป็นคนนั้นยาก คนจะเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย พรหมและเทวดาจะจุติมาเป็นคนนั้นก็ยาก แต่พรหมและเทวดาจะจุติเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย มนุษย์จะเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็ยาก เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคนถือว่าเป็นบุญลาภอันวิเศษที่เราต้อง เดินเข้าไปปลดระเบิดเวลา ให้เร็วที่สุด อะไรคือชนวนระเบิดของเรา ความตายของเรายังไงล่ะ ความตายที่เขาวางมาให้ว่า ๒๐ ปีจะต้องตาย โดยที่ ๒๐ ปีนี้จะเดินเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไหม เข้าถึงนิพพานได้ไหม เข้าถึงสุดยอดของความดีมีสาระก่อนตายได้ไหม ถ้าทำได้ในเวลานี้ อันนี้ก็ถือว่าเราได้ทำลายชนวนระเบิด ไม่ต้องกลับมา แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะเดินเข้าไปสู่ชีวิตแห่งความประเสริฐได้ และยังหลงระเริงประมาทละเมอเพ้อพกหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร มีความฉิบหายในอารมณ์ต่อไปไม่จบสิ้นก็ถือว่าคนเราเดินเซเหมือนคนเมาที่เดิน ไม่ตรงทาง ไม่ถูกจุดประสงค์ของการเกิดเป็นคนสุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นคนอีก
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกพวกเราลูกหลานทั้งหลายว่า รักตัวเองบ้าง อย่าร้องขอให้คนอื่นเขามารักตัวเองเลย ไม่ต้องรอให้ คนอื่นเขามารักตัวเอง และก็ไม่มีใครเขารักเราเท่ากับเรารักตัวเองและเมื่อใดที่เรารักตัวเองได้ ก็ถือว่าเรารู้จักประโยชน์ตัวเองแท้ๆ ประโยชน์ของตนเองแท้ๆ มิใช่การมีเมียมาก มีลูกมาก มีรถมาก มีเรือนใหญ่มีสมบัติเยอะมีเงินกองโตมีเกียรติยศอันมั่นคง ประโยชน์ของตัวเองที่แท้จริงคือการเรียนรู้ชีวิต รู้ศิลปะภายในการดำรงชีวิตของตนว่า ทำยังไงเราถึงสามารถเข้าไปอยู่ในหนทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคาปฏิบัติได้ หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรงแนว เช่นทำความเห็นให้ถูกต้อง ดำริชอบต่อเรื่องที่ทำคำที่พูด สูตรที่คิด เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ เพียรพยายามฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้ทั้งภายในภายนอกชีวิตของตน มีสติ มีความตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตรงแนวบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อไป แต่ถ้าเราทำความเห็นให้ผิดปกติ โดยเฉพาะที่เราไม่เห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตายและความทุกข์เดือดร้อนที่มีทั้งภายในและนอกกายตน อาการเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับพวกวัยดอกไม้บานจะเป็นข้อเสีย เพราะเข้าใจว่าชีวิตเป็นดอกไม้ที่รื่นเริงบันเทิงอยู่ในหมู่ภมรมนตรีและแมลง ภู่ผึ้งทั้งหลาย โดยไม่ใส่ใจว่าตัวเองต้องเหี่ยวอับเฉาในที่สุด การที่เรารีบเร่งเบ่งบาน ขึ้นมารับแสงเดือนแสงตะวันนั้นมีประโยชน์แล้วก็ยังมีโทษมหันต์ เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่จะรับแสงเดือนแสงตะวัน บางทีเราก็ต้องเหี่ยวเฉาไปในเร็ววัน นั่นคือความตายเข้ามาหา อนิจจา
ช่างน่าสงสารการเกิดมามีชีวิตแล้วทุกคนย่อมต้องทำหน้าที่ของตัวเอง บุคคลที่เกิดมาก็เหมือนกับมาเล่นละคร มาเล่นเป็นพ่อแม่ เป็น ลูกเป็นตา เป็นยาย ฯลฯ ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะเล่นบทบาทของตนได้ดีแค่ไหน พอตายแล้วก็แปลว่าเขาเลิกจ้าง เลิกเล่นไปโดยปริยาย ชีวิตคือโรงละคร พอตายแล้วไม่สามารถจะเอาอะไรติดตัวไปได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตจะเบาสบาย ผ่อนคลาย
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสพระนิพพานมันเกิดจากสัตว์ทุกประเภทมันขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นสัตว์ประเภท ไหน คนประเภทไหนหมายถึงมีสติปัญญาระดับไหน ขนาดไหน ที่สามารถจะรู้ว่าชีวิตของตนนั้น มีสาระแก่นสารอะไรบ้าง และการดำเนินชีวิตของตน เกิดมาเพื่ออะไร ที่หลวงปู่เคยเขียนไว้ว่า ท่านมาทำไม... มาเพื่ออะไร... มาแล้วได้อะไร และถ้าไป... ไปอยู่ที่ไหน แล้วเกิดประโยชน์อะไรกับการมาสุดท้ายต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า...เรา ต้องตาย...
ถ้ารู้จักถามตัวเองอย่างนั้นบ่อยๆ ก็คงจะทำอะไรอย่างมีสติและให้เป็นไปตามบทบาท คนเป็นพ่อแม่ก็เหมือนกันเลี้ยงลูกมาจนแก่ใกล้จะตายอยู่แล้วก็ยังเลี้ยงกัน ต่อไป จริงๆแล้วไม่ได้เลี้ยงลูกหรอกเลี้ยงกิเลสของลูกมากกว่า
หลวงปู่จึงบอกกับลูกหลานตอนมาบวชเณร แล้วเณรร้องไห้อยากกลับบ้าน แม่ก็โอ๋ พ่อก็โอ๋จะเอาลูกกลับ แล้วคนที่ร้องไห้แต่พ่อแม่ไม่ให้กลับ วันสึกเณรไม่อยากกลับบ้านอีก แสดงว่าตอน ที่ร้องนั้นมีกิเลส แต่ตอนที่ไม่ร้องนั้นไม่มีกิเลส พ่อแม่ไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะเอาใจลูก สนับสนุนลูกให้ทำความชั่วตามกิเลสที่คำนึง นึกถึงไป
หลวงปู่ก็ถามว่า จะเลี้ยงลูกเอาตัวลูกหรือเอากิเลสของลูกแต่ถ้าเลี้ยงเพื่อจะเอาตัวลูก พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้มาเคาะ ขัดเกลา ถ้าคิดจะเอาทั้งลูกตัวเองและเอาทั้งกิเลสด้วย ก็หอบลูกออกไปจากวัดได้แล้ว
สำหรับพระเณรทั้งหลาย เขาฉันอาหารเพื่อให้กิเลสตาย แต่ชาวประชาหน้าใส และชาวบ้านทั้งหลายกินเพื่อให้กิเลสโต หลวงปู่ขอบอกความจริงกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสนิพพานนั้น มันมีด้วยกันทุกคน เว้นแต่ใครมีความจริงใจที่จะเดินไปหรือไม่เท่านั้นเอง และทุกคนก็มีสิทธิ์จะเดินหรือหยุดเดิน สิทธิ์อันนี้พระเจ้าองค์ใดก็ไม่ได้ดลบันดาลเราเป็นผู้ดลบันดาลชีวิตเรา ให้ยอมเดินหรือไม่ยอมเดินเท่านั้นเอง แล้วมีกี่คนที่จะรู้ขนาดนั้น มีกี่คนที่จะวาง ละเว้นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ต้องบอกว่ามันเป็นเครื่องล่อให้หยุดการเดินทาง เช่น กิน กาม เกียรติ โกรธ ของโปรด อะไรก็แล้วแต่ โลดโผนโจนทะยานออกไป กระโดดออกไปนอกทาง จะเข้ามาอีกก็ไม่ได้แล้ว
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายเอกเป็นของบุคคลผู้เอก คือ บุคคลเดียวที่เดินได้เท่านั้น ขึ้นต้นด้วยความคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความกว้างขวางในบั้นปลาย
คำว่าคนคนเดียวในที่นี้หมายความว่า ไม่มีลูกไม่มีผัว ไม่มีเมีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีทั้งข้าราชบริวารทั้งหญิงชาย ไม่มีอะไรๆ แม้แต่ตัวกูของกูก็ต้องไม่มีมันจึงจะเดินเข้าไปในทางนี้ได้มันเป็นทางแคบๆ สำหรับสัตว์นรกและเทวดา แต่มันเป็นทางกว้างๆ สำหรับคนที่เห็นค่าและมีสติปัญญา นั่นคือผู้เห็น มัชฌิมาปฏิปทา
และเมื่อเดินทางเข้าไป มันจะยิ่งกว้างใหญ่โตมโหฬารจนทำให้ชีวิตเข้าไปถึงพระนิพพาน สติปัญญาสมาธิ พลังอำนาจ ก็กว้างใหญ่โตตามไปด้วย มีลักษณะเช่นนี้แต่ทางเข้ามันช่างแคบคับเฉพาะคนคนเดียว โดดเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าจริงๆ จึงจะก้าวเข้าไปได้ สังเกตดูได้ว่าการที่เรามาบวชนี้ เพียงเพื่อจะทำให้ชีวิตของตนย่างก้าวเข้าไปสู่มรรคาปฏิปทา มีสัมมาทิฐิ คือความเห็นที่ตรงและถูกต้อง เป็นข้อแรก
พระพุทธเจ้าของเราบอกว่า ธรรมะของเราเป็นธรรมะที่ทวนกระแสโลก คือ ธรรมะที่รักษาโรค บางคนเป็นแผลแล้วก็ไม่อยากใส่ยา เพราะมันแสบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าใส่ยาแล้วจะหาย แต่ก็ไม่ยอมใส่ แล้วแผลนั้นก็เน่าเฟะ เพราะฉะนั้นการใส่ยาให้แก่ตัวเองก็ตาม การเพียรพยายามรักษาโรคที่ตนเป็นอยู่ก็ตาม ถือว่าการเดินเข้าไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา เริ่มต้นด้วยความคับแคบ ต่างจากสัตว์นรก เทวดา มาร พรหม มีหนทางเข้าที่กว้างใหญ่ มีหนทางออกที่คับแคบลำบากยากต่อใครๆ จะออกลอดพ้นมาได้ พระนิพพานหนทาง การทำความดีนั้นเป็นหนทางที่เดินเข้าไปยากมันแคบเท่ารูเข็ม แต่ตอนที่จะออกมันง่ายเหลือเกิน ลองถามดูก็ได้ว่าการเป็นนักบวช นี้ลำบากไหม การบวชคือการเพียรพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรมให้เป็นคนดี ย่อมลำบาก เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่มานั่งอยู่ที่นี่ ก็ต้องถือว่า เป็นบุคคลที่เข้ามาสู่หนทางของบุรุษผู้เอก สตรีผู้เอก คือไม่มีอะไรต้องแบกเอาไป ถ้าแบกเอาไปคงไปไม่ได้ไกล ก็คือความตายเข้ามาหา แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาอีกสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เพื่อที่จะเข้าสู่หนทางอันนี้อีก คงจะเป็นไปได้ยาก
สัตว์นรกนั้นเกิดมาเป็นคนนั้นยาก คนจะเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย พรหมและเทวดาจะจุติมาเป็นคนนั้นก็ยาก แต่พรหมและเทวดาจะจุติเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย มนุษย์จะเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็ยาก เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคนถือว่าเป็นบุญลาภอันวิเศษที่เราต้อง เดินเข้าไปปลดระเบิดเวลา ให้เร็วที่สุด อะไรคือชนวนระเบิดของเรา ความตายของเรายังไงล่ะ ความตายที่เขาวางมาให้ว่า ๒๐ ปีจะต้องตาย โดยที่ ๒๐ ปีนี้จะเดินเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไหม เข้าถึงนิพพานได้ไหม เข้าถึงสุดยอดของความดีมีสาระก่อนตายได้ไหม ถ้าทำได้ในเวลานี้ อันนี้ก็ถือว่าเราได้ทำลายชนวนระเบิด ไม่ต้องกลับมา แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะเดินเข้าไปสู่ชีวิตแห่งความประเสริฐได้ และยังหลงระเริงประมาทละเมอเพ้อพกหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร มีความฉิบหายในอารมณ์ต่อไปไม่จบสิ้นก็ถือว่าคนเราเดินเซเหมือนคนเมาที่เดิน ไม่ตรงทาง ไม่ถูกจุดประสงค์ของการเกิดเป็นคนสุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นคนอีก
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกพวกเราลูกหลานทั้งหลายว่า รักตัวเองบ้าง อย่าร้องขอให้คนอื่นเขามารักตัวเองเลย ไม่ต้องรอให้ คนอื่นเขามารักตัวเอง และก็ไม่มีใครเขารักเราเท่ากับเรารักตัวเองและเมื่อใดที่เรารักตัวเองได้ ก็ถือว่าเรารู้จักประโยชน์ตัวเองแท้ๆ ประโยชน์ของตนเองแท้ๆ มิใช่การมีเมียมาก มีลูกมาก มีรถมาก มีเรือนใหญ่มีสมบัติเยอะมีเงินกองโตมีเกียรติยศอันมั่นคง ประโยชน์ของตัวเองที่แท้จริงคือการเรียนรู้ชีวิต รู้ศิลปะภายในการดำรงชีวิตของตนว่า ทำยังไงเราถึงสามารถเข้าไปอยู่ในหนทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคาปฏิบัติได้ หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรงแนว เช่นทำความเห็นให้ถูกต้อง ดำริชอบต่อเรื่องที่ทำคำที่พูด สูตรที่คิด เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ เพียรพยายามฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้ทั้งภายในภายนอกชีวิตของตน มีสติ มีความตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตรงแนวบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อไป แต่ถ้าเราทำความเห็นให้ผิดปกติ โดยเฉพาะที่เราไม่เห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตายและความทุกข์เดือดร้อนที่มีทั้งภายในและนอกกายตน อาการเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับพวกวัยดอกไม้บานจะเป็นข้อเสีย เพราะเข้าใจว่าชีวิตเป็นดอกไม้ที่รื่นเริงบันเทิงอยู่ในหมู่ภมรมนตรีและแมลง ภู่ผึ้งทั้งหลาย โดยไม่ใส่ใจว่าตัวเองต้องเหี่ยวอับเฉาในที่สุด การที่เรารีบเร่งเบ่งบาน ขึ้นมารับแสงเดือนแสงตะวันนั้นมีประโยชน์แล้วก็ยังมีโทษมหันต์ เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่จะรับแสงเดือนแสงตะวัน บางทีเราก็ต้องเหี่ยวเฉาไปในเร็ววัน นั่นคือความตายเข้ามาหา อนิจจา
ช่างน่าสงสารการเกิดมามีชีวิตแล้วทุกคนย่อมต้องทำหน้าที่ของตัวเอง บุคคลที่เกิดมาก็เหมือนกับมาเล่นละคร มาเล่นเป็นพ่อแม่ เป็น ลูกเป็นตา เป็นยาย ฯลฯ ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะเล่นบทบาทของตนได้ดีแค่ไหน พอตายแล้วก็แปลว่าเขาเลิกจ้าง เลิกเล่นไปโดยปริยาย ชีวิตคือโรงละคร พอตายแล้วไม่สามารถจะเอาอะไรติดตัวไปได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตจะเบาสบาย ผ่อนคลาย
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสพระนิพพานมันเกิดจากสัตว์ทุกประเภทมันขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นสัตว์ประเภท ไหน คนประเภทไหนหมายถึงมีสติปัญญาระดับไหน ขนาดไหน ที่สามารถจะรู้ว่าชีวิตของตนนั้น มีสาระแก่นสารอะไรบ้าง และการดำเนินชีวิตของตน เกิดมาเพื่ออะไร ที่หลวงปู่เคยเขียนไว้ว่า ท่านมาทำไม... มาเพื่ออะไร... มาแล้วได้อะไร และถ้าไป... ไปอยู่ที่ไหน แล้วเกิดประโยชน์อะไรกับการมาสุดท้ายต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า...เรา ต้องตาย...
ถ้ารู้จักถามตัวเองอย่างนั้นบ่อยๆ ก็คงจะทำอะไรอย่างมีสติและให้เป็นไปตามบทบาท คนเป็นพ่อแม่ก็เหมือนกันเลี้ยงลูกมาจนแก่ใกล้จะตายอยู่แล้วก็ยังเลี้ยงกัน ต่อไป จริงๆแล้วไม่ได้เลี้ยงลูกหรอกเลี้ยงกิเลสของลูกมากกว่า
หลวงปู่จึงบอกกับลูกหลานตอนมาบวชเณร แล้วเณรร้องไห้อยากกลับบ้าน แม่ก็โอ๋ พ่อก็โอ๋จะเอาลูกกลับ แล้วคนที่ร้องไห้แต่พ่อแม่ไม่ให้กลับ วันสึกเณรไม่อยากกลับบ้านอีก แสดงว่าตอน ที่ร้องนั้นมีกิเลส แต่ตอนที่ไม่ร้องนั้นไม่มีกิเลส พ่อแม่ไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะเอาใจลูก สนับสนุนลูกให้ทำความชั่วตามกิเลสที่คำนึง นึกถึงไป
หลวงปู่ก็ถามว่า จะเลี้ยงลูกเอาตัวลูกหรือเอากิเลสของลูกแต่ถ้าเลี้ยงเพื่อจะเอาตัวลูก พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้มาเคาะ ขัดเกลา ถ้าคิดจะเอาทั้งลูกตัวเองและเอาทั้งกิเลสด้วย ก็หอบลูกออกไปจากวัดได้แล้ว
สำหรับพระเณรทั้งหลาย เขาฉันอาหารเพื่อให้กิเลสตาย แต่ชาวประชาหน้าใส และชาวบ้านทั้งหลายกินเพื่อให้กิเลสโต หลวงปู่ขอบอกความจริงกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสนิพพานนั้น มันมีด้วยกันทุกคน เว้นแต่ใครมีความจริงใจที่จะเดินไปหรือไม่เท่านั้นเอง และทุกคนก็มีสิทธิ์จะเดินหรือหยุดเดิน สิทธิ์อันนี้พระเจ้าองค์ใดก็ไม่ได้ดลบันดาลเราเป็นผู้ดลบันดาลชีวิตเรา ให้ยอมเดินหรือไม่ยอมเดินเท่านั้นเอง แล้วมีกี่คนที่จะรู้ขนาดนั้น มีกี่คนที่จะวาง ละเว้นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ต้องบอกว่ามันเป็นเครื่องล่อให้หยุดการเดินทาง เช่น กิน กาม เกียรติ โกรธ ของโปรด อะไรก็แล้วแต่ โลดโผนโจนทะยานออกไป กระโดดออกไปนอกทาง จะเข้ามาอีกก็ไม่ได้แล้ว
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายเอกเป็นของบุคคลผู้เอก คือ บุคคลเดียวที่เดินได้เท่านั้น ขึ้นต้นด้วยความคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความกว้างขวางในบั้นปลาย