31 ธ ค 55 เย็น (1) ก่อน นำเจริญพระพุทธมนต์เย็น ณ. ลานโพธิ์ โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

(กราบ)

น้ำ อยู่ไหน

ก่อนที่จะเจริญมนต์ ก็คุยกันก่อน ไม่ได้ surprise อะไรหรอกปีนี้ ก็ทุกปีไม่เคยลงมานำเจริญมนต์ส่งท้ายปีเก่า คิดว่าทำงานหนักมาทั้งชีวิตตลอดปี อยากจะพักซัก 2-3 วัน ก็เป็นอย่างนี้ทุกปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พัก เหตุที่ไม่ได้พักก็เพราะว่า อาจจะเป็นสวรรค์กลั่นแกล้ง ฟ้าดินสาปแช่งหรือเปล่าไม่แน่ใจ ให้มาอยู่กับพวกเลอะเทอะ ไร้สาระ

กะว่าจะไปพักทองผาภูมิ ก่อนจะไปก็ ถามพระคเชนทร์ว่า มีพระจะต้องจารอีกไม๊ เค้าก็บอกว่า หมดแล้ว ไม่มี เราก็วางใจล่ะ เดี๋ยวกลับมา จะได้เอามาแจกกับคณะทำงาน ถึงกระนั้นก็ยังเอาแบงค์ไปจาร ถือว่า งานเบาๆ จารแบงค์

พอไปถึง จารแบงค์ เห็นต้นไม้มันเหี่ยวเฉา ต้นปาล์ม ต้นผลไม้มันแย่ ก็ต้องไปโวยวายให้คนช่วยกันทำระบบน้ำหยด ให้น้ำมัน บำรุงต้นมัน ปีหน้าจะได้เก็บพืชผลมาใช้ประโยชน์แก่ศาสนาได้

ยังไม่ทันจบ อ้าว ก็ได้เวลาจะต้องกลับ กลับมาก็ ก่อนจะไป ก็สั่งงานไว้แล้วว่า เดี๋ยวบริษัท บุญกุศลฯ เตรียมประชุม สรุป ปิดยอดบัญชี งบประจำปีให้ดูหน่อย ปรากฏว่า พวกกลับมา ก็มาประชุม พวกก็ปิดยอดเหมือนกัน มีแต่ยอดขาย แต่ยอดซื้อไม่มี ถามว่า มึงไม่ซื้อ แล้วมึงจะเอาอะไรมาขาย คือ ยอดรายจ่ายไม่มี มีแต่ยอดรายรับ เออ เสร็จเรียบร้อย ก็เลยบอกว่า เอาไปทำบัญชีมาใหม่ ทำมาเป็นเดือนแล้วบัญชี

เสร็จเรียบร้อย บอกพระคเชนทร์ให้เอารายชื่อคณะทำงานมาดู สั่งว่า คณะทำงานที่เค้ามาช่วยงานทั้งปี มันก็ยังมีคนแหล็มๆ อีตอนได้ของน่ะ อยากได้ แต่อีตอนทำงาน น่ะ สันหลังยาว ไม่ค่อยอยากทำ งั้น เตรียมของ มาแจก บอกว่า ยังมีพระที่ยังไม่จารอยู่อีกตั้งหลายกล่อง

อ้าว ไหนท่านบอกผมว่า จารหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะจารแล้ว สุดท้าย ก็ต้องมานั่งจารพระ รวมแล้วตั้งแต่กลับมานี่ ต้องมานั่งจารพระ จารพระแล้วปวดตา ก็ออกไปข้างนอก ไปเจอไอ้กองขยะกองอยู่ข้างนอก กองอิฐ กองไม้ กองเศษดิน หิน

อ้ายเราก็ เอ๊ นี่มันอะไรหว่า สงสัยว่า ฟ้าดินจะสาปแช่งกูไม่ให้หยุดนิ่ง ต้องให้ทำงานอยู่ตลอด

ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ เอาล่ะ วันนี้ วันสิ้นปี ก็มาสวดมนต์ให้มันจบ ไหนๆ มันก็ต้องทำอยู่แล้วนี่ ไม่ได้ประชดนะ ไม่ได้มาสวดประชดนะ เนี่ย มาสวดเพราะว่า เอ้า เอาบุญดีกว่า อืม เพราะว่า มันมีแต่พวกประมาณนี้แหละ จ่าฝูงไม่ค่อยมี มีแต่พวกตามฝูง แล้วตามฝูงก็นิสัยไม่ค่อยดี เพราะเห็นแต่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวม ก็เลยมองอะไรไม่เป็นปัญหาไปหมด คือ มันมองโลกด้วยความว่างไง ฮึ เห็นขยะก็ว่าง เห็นปัญหาก็ว่าง

เอ๊อ มันก็ดีไปอย่าง พวกนี้ใช้สมมุติบัญญัติไม่เป็น ใช้ได้แต่ปรมัตถบัญญัติ อ้ายคนที่ใช้สมมุติบัญญัติเป็น ก็ต้องเหนื่อยหนักไปเก่า เหนื่อยหนักๆ เข้า ก็ต้องเข้าสู่ปรมัตถบัญญัติ เจอคนพันธุ์นี้เยอะๆ เข้า ก็ไม่ไหวเหมือนกันบางที รกคนดีกว่ารกหญ้า รกคนบ้าๆ นี่ รกหญ้าดีกว่า

ที่จริง วันสิ้นปีนี่ สองวัน สิ้นปี เริ่มต้นปีนี่ ไม่ค่อยอยากจะพูดกับใคร คือ ไม่ค่อยอยากว่า อยากตำหนิติใคร เพราะถ้าว่าใคร ตำหนิใคร ไม่ต้องถึงขนาดแค่ว่า แค่ถลึงตาใส่ก็ ปากเบี้ยวเป็นอัมพฤตไปซะหลายเดือน ก็ไม่อยากจะใช้เสียง อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ อยากหลบๆ

เช้ามีคนมา ก็เดินหลบเข้าห้อง เออ มันก็ตะโกนเรียก หลวงพี่ หลวงปู่อยู่ไม๊ กูก็แว๊บเข้าห้อง มันเห็นหลังกูไวๆ ไม่อยากคุยกับคน บอกแล้วว่า มีคนถามว่า อยากจะให้ทำอะไรวันปีใหม่ วันเกิดของขวัญ ดีที่สุด คือ ปล่อยให้กูอยู่คนเดียวในป่า ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร

นั่นแหละ ดีที่สุด เป็นของขวัญที่วิเศษสุด

ทีนี้ หน้าที่ภาระมันมี ก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องมาทำ ทำตัวเป็นกรรมกรขี้ข้าไปเรื่อย ทำภาระกรรม

ก็เป็นการบ่นส่งท้ายปีว่า ถาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ ปีนี้แปลก ต้องลงมาเจริญมนต์ เพราะทุกปีไม่เคยลงมา มันก็ไม่ได้ว่างสักวันหนึ่งในปีนี้ คือ ทำงาน ทำงานทุกวัน

ไหนๆ มันจะทำทุกวัน แล้วก็ทำให้มันจบไปในนาทีสุดท้ายละ แล้ววันพรุ่งนี้ ก็คงจะต้องเป็นนาทีเริ่มต้นใหม่ ก็ทำอีกล่ะ ทำให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ฮึ มันจะได้จบๆ ชีวิตนี่ เกิดมา มีชีวิต มีพลัง มีลมหายใจ มีพลัง ก็ใช้พลัง สร้างสรรค์สาระ คราใดที่สิ้นลมลายใจ ไร้ชีวิต สิ้นพลัง ก็ยังดำรงค์สาระผลงาน เพราะคิดอย่างนี้อยู่เสมอๆ ถึงได้ไม่พยายามอยู่หยุดนิ่ง เพราะกลัวว่า จะใช้อ๊อกซิเจนสิ้นเปลือง กลัวว่าจะใช้ทรัพยากรของโลกโดยเปล่าประโยชน์ กลัวว่า จะเป็นพวกโมฆะบุรุษ อัปปภะบุคคล บุคคลผู้หาสาระแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อแก่นสารเพื่อสาระของตนและคนรอบข้าง

พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ เป็นวิถีของสุภาพบุรุษ เป็นวิถีของอริยชน เป็นวิถีของบุคคลที่ควรได้รับการกราบไหว้บูชาด้วยตัวของตัวเอง

อ้ายทำทั้งหมดนี่ ไม่ได้หมายความถึงว่า ปรารถนาให้ใครมาไหว้มาบูชา แต่กลัวว่า ตัวเองจะมีมลทิน

เมื่อกลางวัน เมื่อบ่ายน่ะ ทำงานหนักๆ เข้าก็ชักมึนๆ ก็เลยลงไปนอน ไปตัดต้นไม๊ เอ๊ สมองมันตัดไม่ออก คือ เลือดมันไม่ไปเลี้ยงสมอง มันชักมึน ก็ เอ๊ กูตัดทรงอะไรวะ นึกไม่ออก ก็เลยลงไปนอน แล้วก็นึก เออ คนนี่มันสกปรกกาย ก็ยังล้างได้ แต่อ้ายสกปรกใจ นี่มันล้างยาก

อ้ายคนใจสกปรก อยู่ที่ไหนก็สกปรกไปหมด ใจไม่มีระเบียบ ใจสกปรก ใจรกรุงรัง ใจไม่มีธรรมอยู่ในหัวใจ ไม่มีเครื่องซัก เครื่องฟอก มันอยู่ในที่สะอาด เดี๋ยวก็สกปรก

เลยนอนนึกว่า เออ คนเรานี่มันสกปรกได้ทั้งภายในแล้วก็ภายนอก อ้ายคนที่ใจสะอาดนี่ ไปอยู่ในที่สกปรก มันก็ทำให้ที่สกปรกกลายเป็นที่สะอาด ลงไปในหลุมขี้ ก็ทำให้หลุมขี้เป็นหลุมทอง

อ้ายคนใจสกปรกซกมกโสโครกนี่ ไปอยู่ในหลุมทอง ก็กลายเป็นหลุมขี้

แล้ว สกปรก สะอาด มันเกิดได้อย่างไร

มันเกิดจากการไม่ชำระล้าง ไม่ชำระล้างจิตใจ ไม่ชำระล้างใจ ก็คือ ไม่มีธรรมะล้างใจ ไม่มีธรรมเครื่องประดับในหัวใจ ไม่มีธรรมเครื่องประคับประคองจิตใจ ก็เลยกลายเป็นคนใจสกปรก แล้วอย่าไปแสวงหาความสะอาดจากคนพวกนี้ ไม่มีอ่ะ อ้ายความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาดสะอ้าน

ความเป็นมงคล มันเกิดขึ้นได้จากความที่อยู่สะอาด ใจสะอาดล่ะ เป็นมงคลสูงสุด

วันนี้ พวกท่านทั้งหลาย มาร่วมกันเจริญมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปี รับสิ่งดีทีมงคล มีที่ไหนเอาทองไปใส่หลุมขี้ ถ้าอยากให้ทองมันเต็มหลุม ก็ต้องล้างขี้ออกให้หมดก่อน ถ้าอยากให้ดอกไม้มันหอม ก็ต้องทำพานภาชนะให้มันสะอาด ถ้าอยากให้น้ำหอมมันดูดี น่าลูบน่าไล้ ก็ต้องทำให้มันสะอาดเอี่ยมหมดจดไร้มลทิน มันก็เรื่องง่ายๆ คิดสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรหลายชั้น หลายเชิงมากมาย คิดแบบเด็กๆ ไม่จบ ไม่เรียนหนังสือ ก็ยังรู้ว่า ความสะอาดมันจะเกิดได้ ก็ต้องทำลายความสกปรก

ความดี มันจะเกิดได้ ก็ต้องทำลายความอัปรีย์

ความเป็นมงคล ก็จะเกิดได้ ก็ต้องกำจัดความอัปมงคล

งั้น อ้ายรกรุงรัง ขยะ เยอะแยะ สกปรก ตั้งแต่ปากประตูวัด ยันท้ายประตูวัด มันมงคลตรงไหน สวดมนต์ไป ก็ไม่ได้มงคล, เจริญมนต์ไป ก็ไม่เกิดมงคล เพราะมันจะเป็นมงคลได้ไง เอาขี้ไปใส่ทอง เอาแก้วน้ำโสโครกไปใส่น้ำสะอาด มันจะเกิดมงคลได้ยังไง ถึงกับต้องบอกคนมาว่า ถ้าวันนี้ ทำความสะอาดไม่ได้ กูจะไม่เข้าวัด เดี๋ยวพรุ่งนี้ ไม่เข้ามาบิณฑบาตร ใครจะไปใส่บาตรที่ไหน พระองค์ไหน ก็ไปใส่เฮอะ เพราะมันไม่เป็นมงคล ไม่ต้องมาพูดถึงว่า จะไหว้ครูบาอาจารย์ ระลึกถึงคุณงามความดี บูชาคุณของครู พูดไปแต่ลมปาก สิ่งที่ทำ มันทำได้ยาก

ไม่ต้องทำอะไร เรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบนี่ พูดทุกปี ฮึ บอกกันทุกปี ขอกันทุกปี แล้วมันก็ไม่เคยได้ซักปี มันก็เป็นอย่างนี้ทุกปี

ก็ มาเล่าให้ฟังในฐานะที่อายุมันเริ่มเยอะแล้ว คนแก่แล้ว ก็บ่นให้รู้ว่า ท่านทั้งหลาย ปรารถนาความเป็นมงคล สู้อุตส่าห์ตะกายมาแสวงหาเนี่ย

ความเป็นมงคล ไม่ต้องไปหาที่ไหน มีอยู่ในตัวท่านน่ะ อยู่ในใจของท่านน่ะ แค่ชำระล้าง กาย วาจา ใจ ให้มันสะอาด ก็เกิดมงคลมหาศาลแล้ว

โลกนี้มันเป็นมงคลของมันอยู่ละ ธรรมชาติมีคุณ แผ่นดินมีคุณ น้ำมีคุณ อากาศมีคุณ ลมหายใจของมนุษยชาติ ของสรรพสัตว์มีคุณ สรรพสิ่งรอบกายเป็นของมีคุณ สำคัญอยู่ว่า เราจะสำนึกถึงบุญคุณไม๊ล่ะ แล้วทำตัวอย่างไร ที่จะให้เข้าไปถึงบุญคุณ และสำนึกบุญคุณ พร้อมจะรับคุณเหล่านั้นเข้ามาเป็นของตน มันก็ต้องรู้จักที่จะบริหารจัดการ รู้จักที่จะพัฒนาตัวเอง รู้จักที่จะทำตัวเองให้เป็นผู้พร้อมที่จะรับคุณอันประเสริฐจากธรรมชาติ จากฟ้าดิน จากสิ่งแวดล้อม จากความเป็นมงคลรอบตัวเรา

ถึงได้บอกว่า วันนั้น ฉัน วันที่ 29 เลี้ยงพระ พระครูอะไร พระครูบรรลือศักดิ์ เค้ามานั่งคุย เค้าคุยกับพระครูบางเลนว่า จะยืมธงสวัสดิกะ กับธงมงกุฏพระพุทธเจ้า ที่จริงก็เป็นของวัดอ้อน้อยล่ะ ให้วัดบางเลน เค้าไปทำมาหากิน จนเค้าตั้งมั่นอยู่ได้ ทีนี้ พระครูบรรลือศักดิ์ เค้าก็จะมายืม วัดบางเลนเค้ารู้แกว ก็เลยบอกว่า ปีนี้ไม่ต้องมายืมนะ ธงขาด พระครูบรรลือศักดิ์ก็บอกว่า อ่ะ ไม่ยืมก็ได้ เค้าว่า อ้าว มีตั้ง 4 มันขาดครบ 4 เลยเหรอ, ก็มันขาดไปไม่ถึง 4 หรอก แต่ถ้าให้ไปยืมอีก เดี๋ยวมันก็จะเก่าและขาดอีก ผมก็ต้องใช้ เพราะยังต้องทำมาหากิน เค้าก็เลยไม่ให้ยืม พระครูบรรลือศักดิ์ เค้าก็บอก ไม่เป็นไร เดี๋ยว ผมทำเอง

หลวงปู่ก็มองหน้า ท่านถึงขั้น ทำธงใช้เองได้แล้วเหร๊อ เค้าบอก มันจะไปยากอะไรล่ะ หลวงปู่, ก็ไปจ้างเค้าทำ ก็พิมพ์ลงมาเป็นรูปอะไรก็ได้ สารพัดอยากจะเป็น ให้ได้ ให้สำเร็จประโยชน์

ก็เลยบอกว่า ท่านพระครู อ้ายคนที่มันจะทำธงได้เนี่ยนะ พระองค์ไหน ถ้าทำธงได้ หรือ บุคคลคนไหนทำธงได้นี่ มันจะต้องเป็นผู้มีเดชนะ เป็นผู้มีศักดา มีอำนาจ เป็นผู้นำ ผู้บริหารหมู่คณะ เจ้าหมู่ เจ้าคณะได้ เค้าเรียกว่า เป็นสัตว์ ก็ต้องเป็นพญาสัตว์ พญาเสือ พญาสิงโต พญาราชสีห์ เหมือนกับที่พญาราชสีห์ มันเยี่ยวรดตรงไหน สัตว์ตัวอื่นมันได้กลิ่น มันจะต้องไม่เข้าใกล้ นี่เป็นเขตของมัน ประมาณนั้นน่ะ

อ้ายท่านนี่ ไปเยี่ยวรดที่ไหน หมาก็เยี่ยวตามตูด แล้วมันจะไปทำธงอะไรให้ใครเค้ามา

เรื่องของธงนี่ มีอยู่ในธชัคคสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกว่า เทวดากับยักษ์มันรบกัน องค์อินทร์ก็กลัวว่า เทวดารบยักษ์ นี่ สู้ไม่ไหวหรอก เพราะยักษ์มันนี่รูปร่างใหญ่โต เทวดาอ้อนแอ้นงดงาม ฤทธิ์ อำนาจ ก็ไม่ได้มากเท่ายักษ์ แต่อาศัยกำลังใจ พระอินทร์ก็ปลุกปลอบใจเทวดาว่า เห็นท่าจะเพลี้ยงพล้ำ เห็นท่าจะแย่ ก็ให้มองธง ธงของใคร ธงของพระอีสาน ธงของพระปชาบดี ธงของพระอินทราธิราชเจ้า

ถามว่า ทำไมต้องมองธงของคนเหล่านี้

ก็เพราะคนเหล่านี้ เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะไง เป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิต มีเดช มีอำนาจ มีศักดา

อ้ายที่เล่าเรื่องนี้ซะยืดยาว ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า คน นี่ต้องการวาสนา ต้องการเดช ต้องการอำนาจ ต้องการศักดา แต่ไม่รู้จักวิธีการสั่งสมอบรม เหมือนๆ กับสร้างพระเจดีย์ เกลียดปฏิเสธเมล็ดทราย ไม่อยากมีทราย แต่หารู้ไม่ว่า กว่าจะเป็นเจดีย์ 1 องค์ นี่ มันต้องอาศัยทรายแต่ละเม็ดรวมตัวกัน เหมือนกับมีคำกล่าวของลัทธิเต๋าว่า ไม่มีเงินเฟื้อง จะเอาเงินตำลึงมาจากไหน

เพราะงั้น อ้ายคนเนี่ย ถ้าจะพัฒนาตนให้เป็นผู้มีเดช มีศักดา มีวาสนา มีอำนาจ มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีบารมี มันต้องเริ่มต้นจากเรื่องพวกนี้ อ้ายเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระเบียบวินัย ความละเอียดรอบคอบ ความสุขุม ความสะอาด มันจะสั่งสมอบรม กลายเป็นนิสัย เป็นเดช เป็นศักดา เป็นตบะ เป็นอำนาจ แต่คนที่เกิดมาเป็นไพร่ทั้งชาติ นี่ไม่มีสิทธิ์จะได้เป็นเรื่องพวกนี้

เพราะอะไร

ก็เพราะว่า มันทำกรรมมาแบบนี้ไง สั่งสมอบรมมาแบบนี้ เอาง่ายๆ เข้าว่า มักง่ายเข้าว่า ทำให้มันพ้นๆ ผ่านๆ ทำให้มันจบ ทำให้มันหมด เหมือนๆ กับที่ให้ประชุมก็ตาม ถามก็ตาม ก็ถามตอบ ให้มันผ่านๆ ให้มันปัดสวะเฉพาะตน คือ มองไม่เห็นถึงปัญหาเล็กน้อย คือ เห็นปัญหาเล็กน้อยเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่อง แล้วอ้ายเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย ทรายเม็ดเดียว นี่ อย่าดูถูกมัน เพราะถ้ามันรวมตัวกัน มันคือ มหาเจดีย์ น้ำหยดเดียวก็อย่าดูถูกมัน ถ้ามันรวมตัวกันก็เป็นมหาสมุทร เงินอัฐ เงินไพรเดียว ก็อย่าไปดูถูกมัน ถ้ามันรวมตัวกัน ก็เป็นร้อยล้าน หมื่นล้าน

แต่คนที่เป็นไพร่ หรือ คนที่ไม่สั่งสมอบรมบารมี ก็เห็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องไร้สาระ ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่มีคุณค่า แล้วพวกนี้ก็จะไปคว้าเอายอดเจดีย์ มันจะเอายอดเจดีย์มาจากไหน ก็ฐานเจดีย์มันไม่มีจะให้ตั้ง เหมือนกับที่ทำธงก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ จะมาทำธงให้เทวดาหวาดผวา สะดุ้งกลัว ทำธงให้ผีสางนางไม้อภิบาลบำรุงรักษา สร้างเดชศักดา เป็นธงสัญลักษณ์ เป็นเอก เรียกว่า เอกเทศ เป็นสัญลักษณ์ เป็นที่อยู่อาศัย เหมือนกับที่พญาราชสีห์ใช้เยี่ยว เป็นเครื่องประกาศขอบเขตของตน เหมือนกับพระราชามหากษัตริย์ นักรบใช้ธง เป็นเครื่องประกาศขอบเขต เวลาเค้าออกรบสมัยก่อน เค้าก็มีธงชัย เป็นเครื่องประกาศขอบเขต เขตศักดา

งั้น ธงชัยนี่มันจะอยู่กับใคร นี่มันต้องอยู่กับแม่ทัพ แม่ทัพนายกอง คนไพร่ นี่ไม่มีสิทธิ์จะใช้ธง ก็เพราะอะไร เพราะว่า คนไพร่ไม่มีเดช ไม่มีศักดา ไม่มีตบะ ไม่มีอำนาจ

แล้วเดช ศักดา ตบะ นี่มันสั่งสมไม๊

ต้องใช้เวลาสั่งสม ต้องละเอียด รอบคอบ ต้องวิเคราะห์ ต้องตรึก ต้องมอง ต้องดู แล้วก็ต้องให้รู้ชัด ไหนๆ พวกท่านจะมาแสวงหาความเป็นมงคลของชีวิต

อยากจะบอกว่า ความเป็นมงคล ไม่ใช่อยู่ที่บทสวดมนต์บทใดเลย มันอยู่ที่วิธีคิดของพวกท่าน วิธีคิด วิธีทำ วิธีพูด วิธีตรึก วิธีตรอง วิธีวิเคราะห์

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสรรเสริญ นิสัมมะ กะระณัง เสยโย

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสรรเสริญ โยนิโสมนสิการ

พระองค์ทรงสอน พระภิกษุทั้งหลายว่า

ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นที่ใด ที่อกุศลจะเกิดขึ้นในผู้ที่มีโยนิโสมนสิการ

เราไม่เห็นในที่ใด ที่กุศลจะเสื่อมในที่ๆ ผู้มีโยนิโสมนสิการ

คำว่า โยนิโสมนสิการ คือ ผู้ที่ใช้สติปัญญาตรึกตรอง ใคร่ครวญ คนๆ นั้นจะไม่มีอกุศล แล้วกุศลที่มีก็จะไม่เสื่อม

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ตถาคต เห็นในทุกที่กับผู้ที่ไม่มีโยนิโสมนสิการ ว่า มีแต่อกุศลพอกพูน และกุศลก็เสื่อมโทรม

เพราะฉะนั้น คนไม่มีสติปัญญา ก็มองเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่อง อ้ายคนมีสติปัญญา นี่มันมองทุกเรื่อง เป็นเรื่องไปหมด แล้วต้องหาวิธีบริหารจัดการ ให้สิ้นเรื่อง

หลวงปู่ ก็เลยเขียนบทโศลกเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วตอนยังอาศัยโรงเจอยู่ล่ะนะ ลูกรัก เรื่องทุกเรื่อง เจ้าจงคิด ถ้าเมื่อใดที่เจ้าไม่คิด เจ้าจะเกิดเรื่อง แล้วเมื่อคิด จนกระทั่งสิ้นเรื่อง นั่นแหละ สุดเรื่องที่จะคิด งั้น สอนให้รู้จักคิดในทุกๆ เรื่อง ถ้าไม่คิด มันก็จะสั่งสมไปทุกเรื่อง มันก็จะทำให้เกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน

ก็วันนี้ ก็ถือว่า เป็นกัณฑ์ส่งท้ายปีเก่าก็แล้วกัน ไหนๆ ฟ้าดินก็ไม่ให้พักนี่ ต้องให้ทำงาน ก็ทำมันจนนาทีสุดท้าย ทำได้ ทำไม่ใช่มีความทุกข์ ทำอย่างมีความสุข เพราะว่าสุขที่จะได้ทำ ไม่มีใครที่จะมีความสุขที่ได้เห็นว่า สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์กับคนอื่นเท่าพระพุทธเจ้า เท่าพระอรหันต์ เท่าพระมหาโพธิสัตว์ แล้วก็เท่ากับพ่อแม่

คนในโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะเห็นคนอื่นกินข้าวเป็นสุขนอกจากพ่อแม่ที่เห็นลูกกินข้าวแล้วเป็นสุข ลูกกินอิ่ม นอนหลับ พ่อแม่ก็จะภูมิใจ สุขกายสบายใจ ลูกกินไม่อิ่ม ท้องแฟบ นอนไม่ค่อยหลับ ทุรนทุราย พ่อแม่ก็จะทุกข์ระทม เศร้าโศก เสียใจ

หลวงปู่ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็บ่นเพื่อให้รู้ ให้รู้สึกสำนึก ให้รู้จักคิด ว่า อย่ามัวแต่พอกพูนอกุศลกันอยู่ ให้มันมีกุศลบ้าง แล้วกุศลมันจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อต้องมีโยนิโสมนสิการ เรียกว่า การตรึก การใช้ปัญญา ใช้สติ แล้วก็สอนเรื่อง การใช้สติปัญญา

เมื่อวาน เมื่อเช้า จารพระก็รู้สึกปวดตา ก็ออกมาตัดต้นไม้ ตัดต้นไม้บ่ายๆ ได้ฟังพระเค้าสอนกรรมฐาน เราก็แว็บ ส่งใจมาที่ศาลา ก็ยังนึกว่า อ้ายคนเรียนกรรมฐานนี่ มันยังรู้มากกว่าอ้ายพระที่สอนกรรมฐาน อ้ายเดินป๊อกๆ แล้วอ้ายพระที่สอนเดินป๊อก นี่ ก็ยังอวดรู้ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้ แล้วอ้ายคนเรียนนี่ ถึงได้บอกว่า เลยสั่งให้คนมาบอกว่า ให้ฆราวาสสอนแทนพระเถอะ คือ นักบวชไม่ค่อยได้เรียนรู้ มัวแต่ไปทำอย่างอื่น เลยไม่ค่อยเข้าใจ

คนที่จะรู้จิตของคนเนี่ย มันจะต้องเป็นคนที่รู้จักจิตตนเป็นใหญ่ก่อน ถ้าไม่รู้จักจิตตนเป็นใหญ่ แล้วจะไปอวดรู้จิตของคนอื่นนี่ มันอวดอุตริมนุษธรรรม ไม่สำเหนียกจิตของตัวเอง

ที่จริงน่ะ มันก็คิดได้ 2 อย่าง 2 แง่ ก็คือ คิดว่า เอาละ ท่านสอน ท่านจะได้มีประสบการณ์ในการสั่งสอนอบรม แต่ถ้าสอนแล้วก็จะสร้างสมอบรมประสบการณ์ ก็จงสอนอย่างคนที่ตัวเองรู้ อย่าสอนแบบคนอวดรู้

สอนแบบคนอวดรู้ สอนอย่างไร

เช่น สอนว่า คนที่มาใหม่ รู้สึกทำดีขึ้นนะ พูดว่า คนที่เพิ่งมาเก่า ก็ยังสู้คนมาใหม่บางคนไม่ได้นะ คำพูดเหล่านี้ มันเป็นการอวด ด้วยเหตุผลว่า เราจะรู้จักใจคนได้อย่างไรว่า คนๆ นั้น ทำดีหรือว่าทำไม่ได้ดี กรรมฐาน มันเป็นเรื่องของจิตใจ, กรรมฐาน มันเป็นอารมณ์ที่เกิดในใจ อ้ายคนที่พูดอย่างนี้ ต้องรู้ใจ ต้องเข้าใจแล้วว่า โอ อ้ายคนๆ นี้ มันต้องเป็นคนที่ทำได้ดีมากกว่าคนอื่นๆ

งั้น ระวัง อย่าอวด อย่าอวดรู้ เลยต้องสั่งให้คนมาบอกว่า ให้หยุดสอนซะ เพราะถ้าขืนปล่อยให้สอนไป เดี๋ยวจะอวดหนักกว่าเก่า แล้วมันก็จะทำให้เสียหาย, เสียหาย ไม่ใช่เสียหายคนอื่นนะ เสียหายพระศาสนาก็ยังพอทำเนา อ้ายเสียหายตัวเองนี่ หนักกว่าเก่าอีก แย่ แล้วตัวเองก็จะกลายเป็นคนลืมตน ว่า โอ้ กูรู้มากละ กูไม่ต้องพัฒนาละ กูรู้เยอะละ กูไม่ต้องจะขวนขวายละ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้อะไรเล๊ย ไม่ได้รู้ แม้กระทั่งอารมณ์ตัวเอง

นี่คือ สิ่งที่น่าเป็นห่วง บางที คนรู้มาก มันก็ลำบากเหมือนกันนะ ก็อย่างที่บอกที่ทองผาภูมิ รู้อะไรมากๆ นี่มันก็จะทำให้ทุกข์มาก ถ้าไม่รู้จักว่างเสียบ้าง มันก็ทุกข์เยอะ อ้ายนู่นก็ผิด อ้ายนี่ก็ผิด อ้ายนั่นก็พลาด อ้ายนี่ก็ไม่ถูก มันก็จะทรมานไปด้วย เราก็จะต้องพลอยทุรนทุราย ต้องหาวิธีแก้ไข

ที่จริง ก็วางเฉย ปล่อยไปซะก็หมดเรื่อง แต่นิสัย สันดาน มันเฉยไม่ได้ เพราะถ้าเฉย มันก็เป็นครูไม่ได้ เมื่อเป็นครูนี่ต้องไม่เฉย ถ้าเฉย มันคือ สากกะเบือ ไม่ใช่ครู

ครูนี่ ต้องโวยวาย โหวกเหวก ต้องสั่งสอน ต้องอบรม ต้องชี้ผิดให้เห็น ชี้ถูกให้ทำ ต้องบอกให้เข้าใจ

งั้นก็ ถือโอกาสบอกซะให้ครบ ไหนๆ จะบอกแล้วก็

เอ้า มีหนังสือเจริญมนต์กันหมดหรือยัง ใครยังไม่มีบ้างล่ะ

................

เปิด หนังสือสวดมนต์แปล ลูก

ทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า การเจริญมนต์ ก็คือ การทำจิตให้เป็นมนต์ จิตกับมนต์ ต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่ง อ้ายคนเจริญมนต์ นี่ มันต้องมาคนเดียวนะ ถ้ามาทั้งฝูง นี่มันไม่ใช่คนเจริญมนต์

มาทั้งฝูง นี่หมายถึงอะไร

ก็ในขณะที่เจริญมนต์ ก็คิดถึงคนนั้น คิดถึงคนนี้ คิดถึงคนนู้น คิดเรื่อยเปื่อย ฟุ้งไปเรื่อย เค้าเรียก มาทั้งฝูง ถ้ามีแต่ตัวเรา กำลังจะเจริญมนต์ ปากสาธยายมนต์ ตาดูมนต์ ใจรู้มนต์ มนต์กับเรา รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เจริญ ทำให้มนต์นั้นมันเจริญอยู่ในตัวเอง เรียกว่า มนุษย์มีมนต์

ถ้าปากสาธยายมนต์ ตาดูมนต์ แต่ใจไม่รู้มนต์เลย จะออกไปนู่น วุ่นวายหมด นึกถึงคนนั้น นึกถึงงานนี้ นึกถึงสิ่งนู้น สิ่งนี้ อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียก มนุษย์ต้องมนต์ ไม่ใช่มนุษย์มีมนต์ แล้วมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มันไม่ได้อะไร เสียเวลาเปล่า สู้นอนดีกว่า

หลวงปู่ เป็นคนอย่างนี้ ถ้าทำแล้วไม่ได้ดี อย่าทำ นอน แล้วเดี๋ยวค่อยตื่นขึ้นมาทำใหม่ มันอาจจะดีกว่าเก่า แต่ถ้าทำแล้วมันดีขึ้น แล้วก็ต้องพัฒนาให้ดีมากขึ้น อย่าหยุดนิ่ง มนุษย์นี่มันเป็นคุณลักษณะของยี่ห้อของผู้ที่พัฒนา มันต่างกับเดรัจฉานตรงนี้ เดรัจฉาน มันพัฒนาได้ยาก

ถามว่า มันพัฒนาได้ไม๊

มันก็ได้ ลูก แต่มันได้ยาก เหมือนกับที่เค้าเอาม้าป่ามาสอนมาฝึกให้วิ่ง ให้ขี่ ขนของ แบกของ เทียมรถ มันทำได้ แต่มันก็ทำได้แค่นั้น มันทำได้มากกว่านั้นไม่ได้ แต่มนุษย์นี่มันพัฒนาได้เยอะกว่าม้า พัฒนาได้มากกว่าเดรัจฉาน แล้วถ้าไม่ยอมพัฒนา นี่มันแย่ แย่ ยอดแย่เลยล่ะ แย่ยิ่งกว่าม้า ยิ่งกว่าเดรัจฉานอีก

งั้น กระบวนการพัฒนา มันก็มีทั้งภายนอกแล้วก็ภายใน อ้ายคนที่มันไม่ยอมพัฒนาอะไร เอาแต่เรื่องเก่า นั่งเฝ้า ย้ำทำย้ำคิด มันจะแย่ นี่ก็จะปีใหม่แล้ว มันต้องหาวิธีแล้วว่า จะต้อง ปีใหม่มันต้องดีกว่าปีเก่าตรงไหนบ้าง ที่ผ่านมา เรากลายเป็นคนที่แย่เรื่องอะไรบ้าง ก็ต้องอย่าให้มันแย่ พอปีใหม่แล้ว ก็ต้องทิ้งมันเสียบ้าง เอาเรื่องดีๆ ใส่ตัวบ้าง เรื่องเลอะเทอะ ไร้สาระ ขาดปัญญา ไม่ใช้สติไตร่ตรอง ก็เปลี่ยนนิสัยมันเสียบ้าง เป็นคนมักมาก มักง่าย เป็นคนที่ไม่เอาถ่าน ขี้เกียจ สันหลังยาว จิตใจคับแคบ ตระหนี่ เห็นแก่ตัว ก็เปลี่ยนเสียบ้าง

ลองเปลี่ยนตัวเองดูบ้าง อย่าให้คนอื่นเค้าเปลี่ยน เพราะมันยาก แต่เปลี่ยนตัวเอง นี่ไม่ลำบากเท่าไหร่

อย่างนี้แหละ เค้าเรียกว่า คนพัฒนา หรือ มนุษย์พัฒนา มันต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มันจะแก่มะพร้าว มันยิ่งแก่ยิ่งมันน่ะ แต่ถ้าไม่พัฒนา นี่มันจะแก่มะม่วงไง แก่มะนาว แก่แล้วเน่า แก่แล้วไม่ได้เรื่อง งั้น ต้องขยันที่จะพัฒนา ยิ่งแก่ยิ่งพัฒนา อย่าไปมองว่า อุ๊ย แก่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอวันตาย

ตายแล้วมันหยุดที่ไหน เดี๋ยว มันก็ไปอยู่ในขุมไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้หรอกว่า อ้ายนรกแต่ละขุมๆ น่ะ มันทุรนทุราย มันทรมานขนาดไหนสำหรับสัตว์ที่ไม่พัฒนา

สัตว์ที่พัฒนา มันไม่มีสิทธิ์ตกนรก อ้ายสัตว์ที่ไม่พัฒนา มันจะเป็นเจ้าประจำของนรกล่ะ มันจะเป็นสมาชิกถาวร บางตัวนี่มีบัตรวีไอพีล่ะ มาทีไรก็นรก ยมบาลจำได้ทุกที กูมีที่เฉพาะมึงเลย เหมาะ คนอื่นไม่ต้องเลย มึงคนเดียว อืม จำหน้าได้ นี่เค้าเรียกว่า สมาชิก วีไอพี

งั้น เจริญมนต์ ก็ให้จิตอยู่กับมนต์ ให้มนต์รวมอยู่กับจิต อย่าเอาแต่ส่งเสียง แล้วใจก็เลื่อนลอยไป เสียเวลาเปล่า ลูก แล้วทีนี้ก็ ความเจริญ มันก็จะไม่ได้ด้วย

อุกาสะ อุกาสะ วันทามิ ภันเต ภะคะวา โลกะนาถัง อตีตัง เมโทสัง อนาคะตัง เมโทสัง ปัจจุบันนัง เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต (กราบ)

อุกาสะ วันทามิ ภันเต พัทธะเสมายัง โพธิรุกขัง เจติยัง สัพพะ เม โทสัง ขะมักถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต (กราบ)

อุกาสะ วันทามิ ภันเต กัมมะฐานัง ครูอุปัชฌา อาจาริยคุณัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต (กราบ)

เปิดหน้า 17 น่ะ ลูก

................

ต่อไป สวดถอยหลัง เดี๋ยวจะได้เจริญสติ พิจารณาความว่างเป็นอารมณ์

.................

31 ธ ค 55 เย็น (2) ระหว่างปฏิบัติธรรม หลังเจริญพระพุทธมนต์เย็น ณ. ลานโพธิ์ โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ ( ว่าง ในท่านั่ง, ยืน, ทั้ง 4 ทิศ)

วางหนังสือ

................

สูด ลมหายใจเข้าลึกๆ

...............

มองเข้าไป ภายในกายตัวเอง หลับตา

.................

สำรวมจิต ดูซิว่า จิตสงบไม๊

อารมณ์ ยังพลุ่งพล่าน อยู่ไม๊

................

สมองยังมึนตึง มึนงง ยังมีเรื่องวุ่นวายให้คิดไม๊

..............

หลังจากเจริญมนต์แล้ว ใจมันต้องนิ่ง ต้องว่าง ต้องสงบแบบนี้

ต้องว่าง ต้องนิ่ง ต้องสงบ

อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ทำให้ใจเจริญขึ้น

ใจเจริญ จากอะไร

เจริญ คือ พ้น หลุดพ้นจากความวุ่นวาย ความสับสน ทุรนทุราย ปัญหารบกวน รุงรัง มีพันธนาการจากภาระมากมาย มันโดนปลดเปลื้อง โดนสลัดให้หลุด ไม่ปล่อยให้อะไรมาฉุดเราอยู่กับที่ เราจะเบาขึ้น คือ เบากาย เบาใจ ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ลหุตา คือ ความเบา เบากาย เบาใจ

.............

สมองโล่งไม๊ ใจว่างไม๊ อารมณ์ว่างไม๊

ลองสำรวจดู

.................

กายว่าง ใจว่าง สมองว่าง จิตว่าง อารมณ์ว่าง ทุกอย่างว่างหมด

..............

ไม่ต้องทำใจให้ว่าง แต่มันว่างโดยธรรมชาติ

เมื่อเราเปลื้องพันธนาการออกหมดแล้ว มันก็ว่างไปเอง

มันไม่ได้ไปทำให้มันว่าง แต่เราเปลื้องปลดพันธนาการ

ใจมัน ปกติธรรมชาติ มันก็ว่างของมันอยู่แล้ว

อ้ายที่มันไม่ว่าง ก็เพราะว่า เราไปเอาอะไรมาปรุงมัน เอาอะไรมาแบกเข้ามา

เอามันไปรัดรึงกับอะไรเยอะแยะมากมาย เราเลยไม่รู้จักว่าง

ตอนนี้ เราใช้มนต์ปลดเปลื้อง ปลดเปลื้องพันธนาการเหล่านั้น จนจิตเราว่างขึ้น อารมณ์ว่างขึ้น สมองว่างขึ้น ใจว่างขึ้น กายก็ว่างมากขึ้น

...............

ลองดูซิว่า ว่างไม๊

................

ร่างกายว่างๆ ใจว่างๆ จิตว่างๆ

มนต์ มันทำให้เราว่างได้อย่างนี้ เราจึงเรียกว่า วิเศษ

มนุษย์ มีมนต์

.................

เมื่อเรานั่งว่างแล้ว ลองยืนดูซิว่า จะว่างไม๊

..................

ไม่ได้สอนคนพิการ

นั่ง ว่างได้, ก็ต้อง ยืนว่างได้

...................

หลับตา ว่างได้, ก็ต้องลืมตา ว่างให้ได้

...............

ใจว่าง สมองว่าง จิตว่าง อารมณ์ว่าง กายว่าง พฤติกรรมทั้งหลาย ว่างหมด

ไม่มีอะไรผูกพัน ไม่มีอะไรพันธนาการ

................

อยากจะได้ความเป็นมงคล แล้วถ้าเราไม่ว่าง มงคลจะใส่ได้อย่างไร เหมือนกับถังขยะที่มันล้นแล้ว มันเต็มแล้ว มันจะเอาอะไรมาใส่ มันก็ล้นไปหมดแล้ว มันก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มันก็มีแต่ขยะเก่าหมกมุ่นอยู่ หลวงปู่จึงเขียนบกโศลกสอนลูกหลานไว้เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วว่า

ลูกรัก กิจพระศาสนานี้ ไม่มีอะไรมาก ไม่เพิ่มขยะใหม่ ทำลายขยะเก่า ทำของดีที่มีอยู่แล้วให้แจ่มใสและผ่องใส ก็จบกิจศาสนาแล้ว

ตอนนี้ เราไม่มีขยะอะไร ใจในว่าง สมองมันว่าง จิตมันว่าง ทุกอย่าง ว่างหมด

................

เมื่อ ยืนว่างแล้ว ลองมองไปในทิศทั้ง 4 ซิ

หันตัวให้รอบ ในทิศทั้ง 4 ว่า ว่างทุกทิศไม๊

ทิศไหน ไม่ว่าง หยุดอยู่กับที่

พยายาม เพ่งความว่าง

...................

ที่กำลังทำอยู่นี่ เรียกว่า สุญตสมาธิ

...................

ทิศเหนือว่าง ก็เป็นมงคลในทิศเหนือ

ทิศใต้ว่าง ก็เป็นมงคลในทิศใต้

ทิศตะวันตกว่าง ก็เป็นมงคลในทิศตะวันตก

ทิศตะวันออกว่าง ก็เป็นมงคลในทิศตะวันออก

แสดงว่า เราไปทุกทิศ มีมงคลหมด เพราะไม่มีเพทภัยใดๆ

..............

พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนโมฆราชว่า โมฆราชะ ที่ไหนมีความว่าง ที่นั่นไม่มีมัจจุราช เธอจงอยู่กับความว่าง เพ่งความว่างเป็นอารมณ์ แล้วมัจจุราชจะไม่เห็นเธอ

ในความว่าง ไม่มีความแก่, ในความว่าง ไม่มีความเจ็บ,ในความว่าง ไม่มีความป่วย,ในความว่าง ไม่มีความตาย ไม่มีความทุกข์ระทม, ในความว่าง ไม่มีคำว่า ตัวกู ของกู ถือว่า ว่างถึงสูงสุด

ตอนนี้ เอาเพียงแค่ว่า อารมณ์ว่าง ยังไม่ถึงขั้น สภาวะธรรม ว่าง

ถ้าใครไปที่ทองผาภูมิ ก็จะรู้ว่า หลวงปู่สอนให้เข้าถึงสภาวะธรรมว่าง อย่างไร แต่ตอนนี้ เอาแค่อารมณ์ว่างก่อน

อารมณ์ว่าง สมองว่าง จิตว่าง ใจว่าง กายว่าง พฤติกรรมว่างหมด

................

ความว่าง เป็นมงคลของชีวิต เพราะว่าตลอดเวลา ชั่วชีวิต เราไม่เคยว่างเลย เราแบกมาตลอด เรามีปัญหาตลอด เรามีภาระกรรมตลอด เรามีความทุกข์ทุรนทุราย เดือดร้อนตลอด

วันนี้ เรามาหาสิ่งที่เป็นมงคล ก็เริ่มต้นจาก ว่าง

.............

ความทุกข์ ก็เข้ามาไม่ถึงในความว่าง ความทุรนทุราย ก็กล้ำกลายมาไม่ได้ ปัญหาและภาระทั้งปวง ก็ไม่คืบคลานเข้ามาสู่ความว่างได้

...................

เมื่อ ยืน เราว่างแล้ว ลองแหงน มองดูท้องฟ้า ยังว่างอยู่ไม๊

...............

เมื่อทิศทั้ง 4 ว่างแล้ว ก็ดูทิศเบื้องบน ยังว่างไม๊

ทิศเบื้องบน เมื่อว่างแล้ว ก็ก้มลงดูทิศเบื้องต่ำ ยังว่างอยู่ไม๊

...............

ทิศเบื้องบน เมื่อว่าง ก็เป็นมงคลสำหรับเรา

..............

ทิศเบื้องต่ำ ว่างไม๊

..................

ทิศเบื้องต่ำ นี่ท่านว่าไว้ พระผู้ทีพระภาคเจ้าท่านสอนว่า บุตร ภรรยา สามี บ่าว ไพร่ เป็นทิศเบื้องต่ำ ถ้าเราไม่ว่าง ก็ต้องแบกมันไว้

ไม่ว่าง ก็คือ ลูกกูอยู่ไหน เมียกูอยู่ไหน ผัวกูอยู่ไหน บ่าวไพร่กูกำลังทำงาน ทำอะไร มันไม่ว่าง

.................

แล้วก็มองไป ทิศเบื้องหน้า ยังว่างอยู่ไม๊

................

ใจว่าง นี่มันไม่มีภาระ ไม่มีภาระกรรมใดๆ

ตลอดชีวิตเรา โดนกระบวนการขับเคลื่อนด้วยราคะขับ โทสะดัน โมหะถีบ โลภะดุน

เราไม่เคยใช้ความว่าง เป็นกระบวนการขับเคลื่อนชีวิต ทำ พูด คิด เลย

เราจะเห็นได้ว่า แม้เราไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีโลภะในเวลานี้ เราก็ยังยืนได้ เรายืนได้ เรามองไปในทิศทั้ง 4 ก็ได้ มองทิศเบื้องบน ก็มองได้

แล้วมองด้วยอารมณ์ใด มองด้วยอะไรเป็นตัวขับเคลื่อน ก็มองด้วยความว่างมันขับเคลื่อนเรา ขับเคลื่อนเราให้เดิน ขับเคลื่อนเราให้ยืน ขับเคลื่อนเราให้มอง ขับเคลื่อนเราให้นั่ง

..................

เราไม่ได้ใช้ราคะขับเคลื่อน ไม่ได้ใช้โทสะขับเคลื่อน ไม่ได้ใช้โมหะขับเคลื่อน ไม่ได้ใช้อวิชชา ไม่ได้ใช้ตัณหา ถ้าจะเคลื่อนไหว ก็เพียงแค่ ความจำเป็นสำหรับชีวิต

...............

มีอยู่ เพราะจำเป็น, เป็นอยู่ ก็เพราะจำเป็น

ชีวิต มันจำเป็นสำหรับสิ่งนี้

..................

เนี่ย เมื่อใจมันว่างๆ มันก็เหมือนกับ น้ำว่างๆ จากโอ่ง โอ่งไม่แตกไม่รั่ว

ทีนี้ พรทั้งหลาย ก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามา

เราปรารถนาพรสิ่งใด ก็จะสำเร็จประโยชน์ในพรสิ่งนั้นๆ

..................

เอ้า เมื่อ ยืน ได้ว่างแล้ว ลอง นั่งลงซิ ว่างไม๊

ใครที่ไม่ว่าง อย่านั่ง

ต้องยืนอยู่ก่อน ยืนจนกว่ามันจะว่าง

................

นั่งลงไป แล้วใจยังว่างอยู่ไม๊ ดูใจตัวเอง

................

ต้องว่าง ถึงขั้น ลหุตา คือ ความเบากาย เบาใจ เบาจิต เบาอารมณ์ เบาความรู้สึกนึกคิด

................

มันโล่ง เบาสบายไปหมด

..................

อย่างนี้ต่างหากเล่า ที่เรียกว่า มงคลที่แท้จริง

มงคลที่แท้จริง คือ มงคลที่ไม่มีภาระกรรม

..............

คือ มงคลที่ไม่ต้องสร้างกรรม

..............

เพราะชั่วชีวิตเรา กระเสือกกระสนในการสร้างกรรมมาเยอะแล้ว

บางคนสร้างมา 60 ปี 70 ปี 50 ปี 30 ปี 80 ปี 20 ปี เป็นกรรมทั้งนั้น

................

ถ้าทำให้มันว่างๆ ซะบ้าง มันก็ไม่ต้องทำกรรม

เมื่อไม่ทำกรรม ก็ไม่ต้องรับกรรม

ก็เหลือไว้แต่อดีตกรรม กับปัจจุบันกรรม ที่เราจะเลือกสรรค์เฉพาะสิ่งที่งดงาม

.................

เมื่อทำใจว่าง ได้ในระดับหนึ่งแล้ว เปิดหนังสือสวดมนต์

ลอง เจริญมนต์ด้วยความว่าง ดูบ้าง

หน้า 31 เบอร์ 5

..................

ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้

พอ วางหนังสือ

ทำไฉน ก็ทำให้มันว่าง

เพ่งความว่างเป็น อารมณ์ ที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ก็จะได้ไม่กล้ำกรายเข้ามา

ความว่าง เป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งปวง

กองทุกข์ทั้งปวง ไม่ตั้งอยู่ได้ในความว่าง

เราสาธยาย ถามตัวเองว่า ทำไฉน ก็ทำให้มันว่าง

.................

พิจารณาความว่าง เพ่งความว่าง อยู่กับความว่าง นั่งบนความว่าง

สมองว่าง ใจว่าง อารมณ์ว่าง จิตว่าง

ความรับรู้ ไม่ปรุง ก็ว่างแล้ว

รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ปรุง มันก็ว่างแล้ว ลูก

................

ไม่ต้องวาง เพราะเมื่อว่าง แล้วไม่มีอะไรจะวาง

................

ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน

เราสวดเมื่อครู่นี้ว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขาร ทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตา ติ  ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

เต มะยัง โอติณณามะหะ   พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว โดยความเกิด โดยความแก่ โดยความเจ็บ แล้วก็ความตาย นั่น เป็นเพราะว่า เราไม่ว่าง เราเลยโดนครอบงำ

..................

พิจารณา ความว่าง

มองขึ้นทิศเบื้องบน ยังว่างอยู่ไม๊

.................

นั่งว่าง แล้วลอง ลุกขึ้นยืนดู ว่างไม๊

..................

ไม่ได้สอนคนพิการ

..................

ยืน ขึ้นมา แล้วต้องว่างได้ทันที

ไม่ต้องตั้งท่าให้มันว่าง เพราะมันว่างอยู่ภายใน

มันว่างมาแต่เดิม มันว่างมาตั้งแต่เกิด

..............

ถามว่า เกิดมาแล้ว มันไม่ว่าง เพราะอะไร

ก็เพราะว่า ร่างกายกู กระทบกับความร้อน ความหนาว ก็เลยร้อง เจ็บ แสบ ปวด

อ้าว ของกู เลยไม่ว่างขึ้นมาแล้ว

กูหิว กูกระหาย

ก็ไม่ว่าง มันก็เลยมี ตัวกู

มีตัวกู ขึ้นมา มันก็ไม่ว่าง

...................

หมุนตัวไปทิศทั้ง 4 ซิ ยังว่างอยู่ไม๊

มองไปในทิศทั้ง 4 พร้อมกับการหมุนตัว

.................

ทิศเหนือ ว่างไม๊

..............

ทิศตะวันตก ว่างไม๊

...........

ตะวันออก ว่างไม๊

................

ทิศใต้ ว่างไม๊

ให้ว่างให้ได้ ทุกทิศ

ทุกทิศ ต้องเป็นมงคลของเรา

..............

จำไว้ว่า ตื่นนอนเช้าๆ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นปีหน้า

เช้าขึ้นมา แสวงหาความว่าง โดยการมองทิศ

ให้ทิศทั้ง 4 ว่าง แล้วก้าวไปข้างหน้า ทำการงาน ก็จะรุ่งเรือง เจริญ

..................

ต้องว่าง ให้ได้ทุกทิศ

ค้าขาย ก็ร่ำรวย, ทำกิจกรรม ก็สำเร็จประโยชน์

คนว่างนี่ มีพลังสูงสุด มีปัญญาสูงสุด มีความรอบรู้ เชี่ยวชาญ ชำนาญ ฉลาด เข้าใจปัญหา เพราะมันมีแรงมากไง มันไม่ต้องแบกอะไร ไม่ต้องพยุงอะไร ไม่ต้องถืออะไร ไม่ต้องตะพายอะไร

เช้า ตื่นขึ้นมา ก็พิจารณาความว่าง

..............

อาจจะดูแล้ว ไม่ขลัง ก็ท่องไว้เสียหน่อยก็ได้

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่มีตัว ไม่มีตน อย่างนี้ก็ได้

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ แล้วพิจารณาให้ได้ว่า มันว่างจริงๆ

.................

หรือ จะไม่ท่องอะไรเลย เดี๋ยว มันไม่ว่าง ก็เอา แค่เพ่งใจว่าง

แล้วค่อยออก ทำการงาน

................

เท่านี้แหละ มงคลวันนั้น ก็จะเกิดทั้งวัน

เราจะมีแต่กำไรทั้งวัน ไม่ขาดทุนเลย

เพราะมันว่าง แล้วมันไม่มีต้นทุนไง ลูก

.............

หลวงปู่มีชีวิต อย่างเป็นคน ไม่มีต้นทุน เลยทำได้ทุกเรื่อง

อ้ายคนมีทุน มันต้องคิดเยอะไง กลัวขาดทุน กลัวได้กำไรน้อย กลัวเสียทุน กลัวไม่มีทุน

คนไม่มีต้นทุนนี่ ทำได้ทุกเรื่อง

.................

มองทิศเบื้องบน ยังว่างอยู่ไม๊

.................

ทิศเบื้องบน เมื่อว่างแล้ว ก็มองทิศเบื้องหน้า ยังว่างอยู่ไม๊

...................

ทีนี้ ก็มอง ทิศเบื้องต่ำ ดู ว่างไม๊

.................

ว่างแล้ว ก็มอง ทิศเบื้องหน้า

..................

พิจารณาลมหายใจ

กลับมาอยู่กับลมหายใจ

....................

หายใจเข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข

...............

หายใจออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์

................

ทีนี้ มองไปทางขวามือ

หันตัวไปทางขวามือ อยู่กับลมหายใจ

สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์

.................

เข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข, ออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์

...................

แผ่เมตตา ให้กับผู้ที่ยังไม่ว่าง แล้วกำลังโดนครอบงำ

...................                     

สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ว่าง และ กำลังโดนครอบงำ ด้วยความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย

ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความเศร้าเสียใจ สิ่งเหล่านี้ มันครอบงำสัตว์ทั้งปวงอยู่เนืองนิจ เพราะเหตุนี้แหละ สัตว์ทั้งหลาย จึงหาวิธีปลดเปลื้อง ด้วยทำภาระกรรม กิจกรรม ฉลอง เสวนา สังสรรค์ เพื่อจะให้ลืมความทุกข์ที่โดนครอบงำ จาก เกิด แก่ เจ็บ และตาย

.............

ที่จริงแล้ว มันก็ลืมไม่ได้ พอเลิกฉลอง มันก็แก่เหมือนเดิม หรือ แก่หนักกว่าเก่า

งั้น สัตว์เหล่านี้ น่าสงสารมาก กำลังโดนครอบงำ

................

เอ้า หันไปอีกทิศหนึ่ง แผ่เมตตาให้ครบ 4 ทิศ

.................

เข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข, ออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์

...................

สัตว์ผู้มัวเมาประมาท กำลังโดนครอบงำ อย่างน่าสมเพช เวทนา

..................

หันไปอีกทิศหนึ่ง

..................

สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข เมื่อหายใจเข้า, สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์ เมื่อหายใจออก

................

สัตว์ ผู้มีปัญญาอันมืดบอด

เห็นอกุศล เป็นกุศล, เห็นความชั่ว เป็นความดี

เห็นความขาดสติ เป็นเรื่องงดงาม

..................

มันมองเห็นได้ชัด ระหว่างสัตว์ที่กำลังจะขวนขวายลงนรก กับสัตว์ที่ขวนขวาย กำลังขึ้นสวรรค์

มันเปรียบกันได้ชัดเจน

..................

สัตว์ผู้มีความทุกข์ล้นพ้น จนต้องหาเหตุปัจจัย เพื่อกลบเกลื่อนทุกข์ ปิดบังทุกข์

...................

ที่จริง เค้าไม่ได้เป็นสุขหรอก แต่เค้าหาวิธีที่จะบดบังทุกข์ของเค้า

เดี๋ยว พรุ่งนี้ เค้าก็ทุกข์มากขึ้น เมา เงินหมด ป่วย ไม่สบาย

...............

หันไปอีกทิศหนึ่ง

..................

ทีนี้ ก็ ทิศเบื้องบน

................

ลองดู ทิศเบื้องล่าง

..................

หายใจเข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข, หายใจออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์

................

ลงนั่ง ลูก

.................

มองเห็นภาพชัดล่ะนะ

..............

อีกกลุ่มหนึ่ง กำลังขวนขวายทุรนทุราย เพื่อลงนรก

อีกกลุ่มหนึ่ง ก็กำลังขวนขวายทุรนทุราย ตะกายขึ้นสวรรค์                         

ขึ้นได้ ไม่ได้ ก็ไม่รู้ ช่วยๆ กันดันๆ ถีบๆ กันขึ้นไป

.................

เปิดหนังสือ หน้า 106

สาธยายมนต์ อารมณ์กรรมฐาน พระสะหัสสะนัย นี่เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน อารมณ์ของกุศล อารมณ์ของอกุศล และอารมณ์ของอัพยากฤตจิต เป็นอาการของจิตที่เสวยบุญ เสวยบาป เสวยกุศล เสวยอกุศล เสวยมหากุศล เพราะมีเหตุปัจจัยเป็นเครื่องกำหนด

..................

ท่านว่าไว้เหมือนเหตุการณ์ปัจจุบัน ปฏิบัติลำบาก แต่ก็ได้ทุกข์ยากกลับมาตอบแทน เรียกว่า ทุกขาปะฏิปะทัง ขิปปาภิญญัง ปฏิบัติลำบาก แต่ได้ความสุขมาตอบแทน เรามานั่งนี่ ก็ลำบาก แต่ก็ได้ความสุขมาตอบแทน อ้ายนั่นปฏิบัติลำบาก มันลำบากหรือเปล่าไม่รู้ มันเมามันลำบากไม๊ แต่มันก็ได้ความทุกข์ตอบแทน ปฏิบัติสบาย จะบอกว่า ปฏิบัติสบายก็คงได้ แต่ได้ความทุกข์มาตอบแทน กำลังมัวเมา ร้องรำทำเพลง สบาย แต่ได้ความทุกข์มาตอบแทน อ้ายเราปฏิบัติลำบาก แต่ได้ความสุขมาตอบแทน

.................

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ

................

เปิด บทกรวดน้ำ หน้า 43

................

สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง............

...............

กราบพระ ลูก

พระพุทธเจ้า ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)

..................

อย่าลืม ถ้าต้องการความเป็นมงคล ก็รักษาจิตให้ว่างเข้าไว้ จนถึงวันพรุ่งนี้เช้า

ไปพักเฮอะ ไป ลมออกหู

.................

(กราบ)