1 ม ค 56  11.05 น. ธรรมะวันปีใหม่ แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
(กราบ)

พวกเรา มาแสวงหาสิ่งเป็นมงคลประดับชีวิตกันนิดหนึ่ง ก็คือ การเจริญมนต์บูชาพระรัตน

ตรัย แล้วค่อยรับศีล สืบไป
..............
(กราบ)
เดี๋ยว พวกเรารับศีลก่อน ลูก
ว่า สมาทานศีล ให้เป็นมงคลของชีวิตในวันขึ้นปีใหม่
ว่า มะยัง ภันเต พร้อมๆ กัน ลูก
...................
(กราบ)
สวัสดีปีใหม่ ลูก ให้ทุกคน รวยปัญญา (สาธุ) รวยปัญญา รวยสุขภาพ รวยกำลัง รวยยศ

รวยวาสนา(สาธุ) รวยสตางค์ (สาธุ)  เออ รู้สึกรวยสตางค์ นี่ พูดดังที่สุด
ที่จริง มันต้อง ธุ ตอนรวยปัญญาน่ะ ดังๆ เพราะมีสตางค์แล้วไม่มีปัญญา ตังค์ก็อยู่กับเราไม่

ได้
ขอบคุณในคำอวยพรทุกคำ ขอบคุณในน้ำใจทุกน้ำใจ ขอบคุณในความปรารถนาดีทุก

ความปรารนาดี แล้วก็ขอบคุณในความปราณีและเมตตาทุกความเมตตาและปราณี ที่มีให้

กับหลวงปู่และคณะสงฆ์ที่วัดอ้อน้อย รวมทั้งพระพุทธศาสนา
พวกเรา มาเป็นกำลังใจ ให้บุคคลที่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะมานะบากบั่น ที่จะทำสิ่งที่งดงามให้แก่

แผ่นดิน โลก และสังคม มนุษยชาติ และสรรพสัตว์ ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ส่งกำลังใจ ให้กำลังใจ

แสดงพลังใจ เพื่อให้เกิดกำลังกายและกำลังใจ แก่ผู้ฝึกหัดปฏิบัติ ดัดกาย วาจา ใจ ที่จะ

สั่งสมอบรมโพธิบารมีธรรม ให้รุ่งเรือง เจริญสืบไป
ขออนุโมทนาในบุญและคุณงามความดีของทุกท่าน ที่มาแสดงพลัง แสดงน้ำใจ ขอความ

ปรารถนาดี ความผาสุกใดๆ ที่ท่านตั้งใจที่จะให้กับหลวงปู่ และพรใดที่ท่านให้แล้ว จงย้อน

กลับไปสู่ท่านเป็นร้อยเท่า พันทวีด้วยเทอญ (สาธุ)
สวัสดีปีใหม่ ทุกคน
เอ้า ถวายทานก่อน ลูก เดี๋ยวจะได้รับพร วันนี้ เรามีแขกหลายหน้าหลายตา มาร่วม นำโดย

ท่านหม่อมหลวงปนัดดา ดิสกุล ท่านรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เราต้องชื่นชม เพราะว่า

ท่านเป็นบุคคลตัวอย่าง ต้นแบบของสังคมไทย เป็นข้าราชการใจซื่อ มือสะอาด ถึงกับได้รับ

รางวัลจาก ปปช ว่า เป็นข้าราชการดีเด่น ในฐานะที่เป็นคนที่จิตใจซื่อตรง มีความจงรักภักดี

กตัญญูต่อแผ่นดิน พวกเราตลบมือให้เกียรติท่านหน่อย
..............
เรามีญาติดี ก็ต้องแสดงความยินดี และเป็นต้นแบบดีๆ ให้กับลูกหลาน อนุชนคนชั้นหลังๆ

ได้ทำคุณงามความดี เป็นสิ่งที่งดงาม เป็นสิ่งที่ดี เดี๋ยวนี้ เราหาได้ยาก ข้าราชการที่ใจซื่อ

มือสะอาด ที่สำนึกในบุญคุณแผ่นดิน ปฏิบัติภารกิจอย่างตรงไปตรงมา อย่างเที่ยงธรรม

อย่างชอบธรรม
งั้น เมื่อเรามีบุคคลต้นแบบ ตัวอย่าง ก็ต้องรักษาเอาไว้ ต้องช่วยกัน ให้กำลังใจ แล้วก็สนับ

สนุน
เอ้าละ เดี๋ยว กล่าวคำถวายทาน
ว่า นะโม 3 จบ พร้อมๆ กัน ลูก
................
สาธุ
(กราบ)
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลาย ที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วนะ ลูก ยกให้เป็นสมบัติของ

วัดและมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประโยชน์ ขอท่านทั้ง

หลายอนุโมทนา(สาธุ) ข้าวสารอาหารแห้งที่พวกท่านใส่บาตรมาวันนี้ เค้าจะจัดเป็น 2

ส่วน ส่วนหนึ่ง เอาไว้ในคลังสงฆ์ สำหรับพระได้ใช้ ได้ฉัน อีกส่วนหนึ่ง ก็จัดใส่พก ใส่ห่อ

ใส่หีบ ใส่ถุง เพื่อจะแจกในวันเด็ก ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ของขวัญทั้งหลายที่เป็นของแห้ง หลวงปู่ ขออนุญาตไปแบ่งสันปันส่วนแจกในวันเด็กที่จะ

ถึงนี้ มีเด็กประมาณ 12,000 คน เพราะว่า 2,000 อยู่ที่เชียงใหม่ อีก10,000

อยู่ที่นี่ เค้าจะมารวมกันที่นี่ ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจว่า จะใส่ซักคนละ 50 บาท ทำไปทำมา อาจจะลดเหลือ 20 บาท มันเยอะจัด ฝาก

เชิญท่านปนัดดาฯด้วย เป็นประธานเลี้ยงเด็กบ้านนอก งานวันเด็ก เออ มาเปิดงานวันเด็ก มา

เย็นๆ วันที่เท่าไหร่วะ (12 ) เออ วันที่ 12 ตอนเย็นน่ะ มาเป็นต้นแบบให้เด็กๆ เค้า

ดูหน่อยว่า หน้าตาผู้ซื่อตรง ซื่อสัตย์ นี่เป็นอย่างนี้  เค้าจะได้เอาเป็นต้นแบบ เยี่ยงอย่าง เป็น

เครื่องหมายของคนดี เออ เชิญด้วย เค้ามีเลี้ยงอาหาร มีการเล่นของเด็กๆ มีกิจกรรมบนเวที
เอาละ ตั้งใจกรวดน้ำ แล้วก็รับพร ลูก
บุญทั้งหมดที่หลวงปู่ทำมาแล้ว ตลอดระยะเวลา 1 ปี ก็คือ ตลอดปี 2555 ทำสารพัดทำ

คือ ทำเยอะมาก ทำจนคิดไม่ได้ว่า ตัวเองทำอะไร แต่ที่แน่ๆ  คือ พยายามที่จะทำ ทั้งหมด

นั้น เป็นบุญ ปรารถนาที่จะให้สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์ และสัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
ขอบุญเหล่านั้น จงสำเร็จแก่พวกท่าน และลูกหลานจงมีส่วนในบุญครั้งนี้ด้วยเทอญ (สาธุ)
อิทัง โน ยาตินัง โหนตุ
.................
เทพเจ้าทั้งหลาย เทวดา ฟ้าดิน และผู้มีคุณทั้งหลาย รวมทั้งญาติโยมชาวบ้านทั้งปวง จงฟัง
ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าฯได้สั่งสมอบรมมา เพียงเพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ จะให้เกิดขึ้นใน

อนาคตกาล ขอความหวัง ความสำเร็จ และความเจริญในพระโพธิญาณ จงบังเกิดแก่ข้าฯ

และความผาสุกสวัสดี จงมีต่อลูกหลานและญาติมิตรทั้งปวง ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย พ้น

จากมลทินและอันตรายทั้งปวงทั้งสิ้น ขอให้มีชัยชนะ มีความเจริญ รุ่งเรือง จงพลันสำเร็จ

จงพลันสำเร็จ ทุกท่านทุกคน เทอญ (สาธุ)
ตั้งใจรับพร ลูก
..............
(สาธุ)
จำเริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย ปลอดภัย ให้ร่มเย็นเป็นสุข แคล้วคลาด พ้นจากอันตราย ทุกท่านทุก

คน ลูก
(สาธุ)
ธรรมะรักษา
(กราบ)
เอ้า มีเตรียมอะไรให้ย่า
..................
สรุปแล้ว เอายังไง
เดี๋ยวไปหาข้าวทานกัน ลูก เดี๋ยว หลวงปู่มีของขวัญวันปีใหม่แจกทุกคน วันนี้มีเตรียมของ

เยอะแยะเอาไว้แจก ไปทานข้าวกันก่อน เจ้าหน้าที่ เอ้า เรียนเชิญท่านแขกผู้มีเกียรติทั้ง

หลายไปทานข้าว ทุกคนมีเกียรติทั้งนั้นแหละ ลูก ไป มีอาหารเลี้ยง มีคาวหวานมาพร้อม

ขอบคุณคณะที่จัดอาหาร
พวกที่จะถวายของ ให้รอไว้ก่อน ให้ฉันก่อน เออ เพราะว่า มื้อสุดท้ายของวันนี้ ขออาตมา

ได้ฉันก่อนได้ไม๊ เจ้าคะ เออ นี่ ปวดท้องเยี่ยว ยังอุตส่าห์นั่งอั้นอยู่ตั้งนานเลย
.................
ก็มีคนมารับ วนรอบ 2 เลิกแจก
บอกแล้วว่า กูจะไม่ทนกับคนไม่ดี ที่จริง ก็มีคนมา วนอยู่นั่นแหละ
...............
เอ้า คณะทำงาน เตรียมมารับของ พวกนี้ขยับ ถอยออกไป ลูก
ถือว่า ซวยไป ไปเจอคนซวย คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
ไม่ได้คบกับมัน อยู่แถวเดียวกับมัน ช่วยไม่ได้
.................
พระ ที่จะให้คณะทำงาน ก็คือ พระ หลวงพ่อผาสุก หล่อไว้หลายปีแล้ว ก็ไปแช่เลือด เสร็จ

แล้วก็เอามาจารพิเศษให้กับคณะทำงาน
ด้านหน้า จารที่พุง เป็น ยันต์ มงกุฏพระพุทธเจ้า
ที่ฐาน จารว่า ช่วยงาน
ด้านหลัง จารว่า ทำดี มีสุข มันมีบางองค์ที่มีคำว่า  ทำดี มีโชค ก็มี แต่จะมีน้อย
จารไว้เฉพาะ ให้คณะคนทำงาน เพียงแค่ร้อยกว่าองค์ คือ คณะทำงานมีเท่าไหร่ ก็จารแค่นั้น
แล้วก็ ขอขอบใจคณะทำงานทุกท่าน ที่จริง ทำมันก็ได้อยู่แล้ว ก็คือ ได้บุญน่ะ ได้บุญ ได้ทำ

ได้สั่งสม อบรมบารมีธรรมของตน คนถ้าทำอะไรเพื่อคนอื่นๆ ให้คนอื่น คิดถึงสิ่งอื่นๆ ซึ่ง

มันเป็นเรื่องของคนอื่น เพื่อจะสงเคราะห์คนอื่น มันก็จะทำให้จิคใจเรากว้างขวางมากขึ้น

มันไม่มีเฉพาะแค่ตัวกู ครอบครัวกู ลูกกู ผัวกู ญาติกู พวกกู เพราะ คนอื่นนี่มันกว้างกว่าตัว

กู, คนอื่นนี่มันกว้างกว่าญาติกู, คนอื่นนี่มันกว้างกว่าพวกกู สังคมคนอื่นนี่มันใหญ่กว่า

สังคมของกู
ถ้ารู้จักทำอะไรเพื่อคนอื่นๆ นี่มันจะทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ในสังคมที่กว้างไกล เป็นการฝึกฝน

อบรมตัวเอง ในมุมกลับกัน คนที่ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย มันก็ยิ่งแคบลงๆๆ สุดท้าย

ก็เล็ก เหลือ รูหนูเป็นที่อยู่อาศัย หรือไม่ก็ไส้เดือน พวกไส้เดือนนี่ก็คือ เป็นพวกที่เป็นสัตว์

หรือเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ จนสุดท้าย มีที่อยู่อันแคบเฉพาะตน กลับตัวก็ไม่ได้

มีแต่เดินหน้ากับถอยหลัง
นี่คือ บุพกรรมของพวกไส้เดือน พวกไส้เดือน ก็คือ พวกที่เห็นแก่ตัว เกิดชาติใดๆ ก็มีคน

เอาเปรียบ คับแคบ ตระหนี่ เห็นแก่ตัว มักมาก งั้น ก็เลยกลับตัวไม่ได้ เดินหน้า ถอยหลังได้

อย่างเดียว พวกไส้เดือน
แต่พวกที่ทำอะไรเพื่อผู้อื่น คิดเพื่อคนอื่น พูดเพื่อสิ่งอื่น สงเคราะห์คนอื่นๆ ทำประโยชน์

ให้แก่คนอื่น รวมทั้งสังคมรอบข้าง หรือ สังคมอื่น พวกนี้จะมีโลกกว้างมาก มีที่อยู่อันกว้าง

ขวาง มีบริษัท บริวาร มีญาติสาโลหิต มีเพื่อนฝูงใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ใช่เพราะพวกกู แต่

พวกอื่น พวกอื่นเป็นญาติของเรา
แค่คนที่จิตใจตับแคบ ก็มีแต่พวกกู พวกกู ญาติกู ผัวกู เมียกู ลูกกู ญาติข้างผัวกู ญาติข้าง

เมียกู ญาติข้างแม่กู ญาติข้างพ่อกู มีอยู่แค่นั้นแหละ แล้วก็ญาติของกู มันไม่มีอะไรกว้าง

ไปกว่าตัวกู
งั้น ที่พูดนี่ ก็เพื่อสอนให้มองอะไรข้ามตัวกูเสียบ้าง
การทำการงาน เพื่อประโยชนส่วนรวม นี่มันเป็นการทำประโยชน์เพื่อข้ามตัวกู ทำลายตัวกู

ทำให้ตัวกูมันแคบลง น้อยลง ในมุมกลับกัน โลกคนอื่นก็จะกว้างขึ้นๆ เราก็จะยิ่งใหญ่ในโลก

อันกว้างขึ้นนั้นอย่างมีอิสระ มีเสรีภาพ อย่างทรนง องอาจ
การที่หลวงปู่นำพวก นำฝูง นำลูกหลานให้ได้ทำเพื่อประโยชน์สุขคนอื่น เพื่อสังคมอื่น

สงเคราะห์สิ่งอื่น มันเป็นเรื่องการสั่งสมอบรมบารมี อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องไปเกิดเป็น

ไส้เดือนแน่ๆ ไม่ต้องเกิดเป็นแมงกะชอน ไม่ต้องเกิดเป็นไส้เดือน กิ้งกือ ซึ่งสัตว์พวกนี้มัน

เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ซึ่งถือว่ามีโลกแคบ เพราะสั่งสมมานาน ใช้เวลาสั่งสมหลายภพหลายชาติ

เป็นอสงไขย เป็นกัปป์ เป็นกัลป์ เป็นพันๆ ชาติ จนกระทั่งกลายเป็นเหลือโลกเท่ารูไส้เดือน

ที่อยู่อาศัยของตน ก็แคบเท่ารูไส้เดือน
งั้น ทำประโยชน์สาธารณะ คิดเพื่อประโยชน์สาธารณะ สงเคราะห์ประโยชน์สาธารณะ ให้

แก่ประโยชน์สาธารณะ สุดท้ายสาธารณะก็จะย้อนกลับมาหาตัวเอง เพราะหลายสิ่งอยู่ได้

สิ่งหนึ่งอย่างเราก็ต้องอยู่ได้ แต่ถ้าหลายสิ่งอยู่ไม่ได้  หนึ่งสิ่งอย่างเราก็คงอยู่ไม่รอดเหมือน

กัน
งั้น ถ้าคิดอย่างนี้ คือ เรียกว่า ไม่ได้บอกว่า คิดบวก คิดลบ อะไร แต่คิดเพื่อคนอื่นเสียบ้าง

พูดเพื่อประโยชน์อื่นบ้าง ทำเพื่อสิ่งอื่นบ้าง ให้แก่คนอื่นบ้าง สงเคราะห์ อนุเคราะห์แก่สัตว์

อื่นๆ บ้าง ถ้าเราจะมีจิตใจที่กว้างขึ้น โลกและสังคมเราก็กว้างขึ้น มิตรเราก็มีมากขึ้น ไม่ใช่

มีมิตรเฉพาะญาติ
ถ้ามีมิตรเฉพาะญาติ มันก็แคบไป มันจะดูเหมือนกับว่า เราเป็นคนคับแคบเฉพาะโลกของ

ญาติกู ใครที่ไม่ใช่ญาติกู กูก็ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ จะสุขจะทุกข์ก็ปล่อยไป อย่างนี้ ก็น่าสมเพช

น่าสงสาร เพราะเกิดมาก็เหมือนๆกับคนอื่นที่เค้ากว้างขวาง แต่ทำไมเราไปเลือกอยู่ในโลก

แคบๆ เกิดมาก็มีชีวิต มีอาหารการกิน ความเป็นอยู่ไม่ได้แตกต่างกับคนที่อยู่ในโลกกว้างๆ

แต่ทำไมเราเลือกที่จะขุดรูอยู่
คนอื่นๆ เค้าเดินหน้า ถอยหลัง ตีลังกา กระโดดกบ กลับหน้า กลับหลัง พลิกตัวได้ เราทำไม

เดินหน้ากับถอยหลังได้อย่างเดียว แต่กลับตัวไม่ได้ พลิกตัวไม่ได้
งั้น ถือว่า เป็นคนที่น่าสงสาร เป็นโลกที่น่าสงสาร
งั้น การที่หลวงปู่พยายามบอก พยายามสอนลูกหลานให้เป็นคนมองข้ามตัวเอง ให้ได้มากๆ

มองเห็นโลกคนอื่นๆ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันทำให้เราใจกว้างมากขึ้น มันทำลายความคับแคบ

ความเอาเปรียบ ความตระหนี่ และความเห็นแก่ตัว
ทีนี้ เวลาจะมาปฏิบัติธรรมก็ดี จะทำกิจกรรมการงานใดก็ดี เรามีเพื่อนฝูงอยู่ในโลกกว้างๆ  

เพื่อนฝูงเราก็สงเคราะห์ อนุเคราะห์เราได้ ในโลกไหนๆ ใน 3 โลกก็คนอื่นทั้งนั้น ก็คือ

สงเคราะห์มาก่อนเก่า แต่ถ้าหากว่า ไม่ยอมทำแบบนี้ ก็มีแต่โลกแคบๆ ก็ทำกิจกรรมการ

งานก็ ถ้าไม่ใช่ญาติกู ก็ไม่มีใครช่วยกู ไม่ใช่อยู่ในอาณาเขตของบริษัทบริวารญาติของกู ก็

ไม่มีใครตอน 15.13.44สงเคราะห์อนุเคราะห์กู มันก็เลยกลายเป็นคนที่เหมือนกับ

เต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ขยับขยายไปไหนไม่ได้ เจริญเติบโตก็ไม่ดี จะพัฒนาบริหารสิ่งใด

ก็ยากเย็น โลกทรรศน์ยิ่งแล้วใหญ่
อ้ายที่ทำงานอยู่เฉพาะแค่ตัวเอง ปากมาจมูก ญาติตัวเอง เมียตัวเอง ลูกตัวเอง ผัวตัวเอง คือ

ทำเพื่อตัวกู พวกนี้จะมีโลกทรรศน์ที่คับแคบ วิธีมองโลกก็แคบ วิธีคิดยิ่งแคบใหญ่ เพราะ

มันมีแค่ตัวกูไง อ้ายคนที่ทำอะไรเพื่อคนอื่น โลกอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น สังคมอื่น มันจะมีวิสัย

ทัศน์ โลกทรรศน์ที่กว้างไกล มองอะไรมันจะทะลุปรุโปร่ง มันจะเข้าอกเข้าใจสรรพสิ่งรอบ

กายได้อย่างดียิ่ง แล้วสุดท้าย คนๆ นี้ก็จะเป็นผู้ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นผู้นำ เป็นผู้บริหาร

เป็นผู้จัดการ ไม่มีใครเค้า เราไม่ได้ยกตัวเองหรอก คนอื่นเค้าก็เห็นคุณค่า เห็นคุณประโยชน์

เพราะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากหมู่คณะ
งั้น การสั่งสมอบรม ทำประโยชน์คนอื่นเนี่ย หลวงปู่พูดมาชั่วชีวิต สอนลูกหลานมาชั่วชีวิต

ถึงขนาดเขียนบทโศลกสอนลูกหลานเอาไว้ว่า คนที่มาอยู่ที่นี่ ต้องทำสิ่งเหล่านี้ พึ่งตัวเองได้

และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ จึงจะอยู่ที่นี่ได้ ถ้าทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ก็ถือว่า ใช้

ได้ล่ะคนนี้ แข็งแรงพอล่ะ แต่แค่พึ่งตัวเอง แล้วไม่เป็นที่พึ่งของคนอื่น ก็ยังไม่แข็งแรงพอ

เพราะว่า ไม่แน่ว่า คนอื่นเหล่านั้น ก็จำเป็นจะต้องมาพึ่งเรา แล้วเรากลายเปฯคนเปลี้ย ป้อแป้

และคับแคบ เอาเปรียบ ตระหนี่ เห็นแก่ตัว เราจะกลายเป็นคนน่ารังเกียจ เราทำร้ายตัวเอง

สังคมก็รังเกียจเหยียดหยามเรา คนรอบข้างก็ตำหนิติฉินเรา
งั้น การที่ชวนลูกหลานให้ทำโน่นทำนี่ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละเล็ก คนละน้อย คน

ละนิดคนละหน่อย มันเป็นวิถีคิดแห่งพุทธะ พระพุทธะท่านสอนแบบนี้ ธรรมะ 84,000

ข้อ ทุกข้อพระองค์ทรงสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยการพึ่งพิงอิงแอบอาศัย เราเกิดมาเราก็อาศัย

สรรพธรรมชาติ อาศัยสรรพสิ่ง อาศัยลม อากาศ อาศัยดินฟ้าอากาศ อาศัยแผ่นดิน อาศัยพี่

น้อง อาศัยพ่อแม่ อาศัยญาติ อาศัยบริษัท
แล้วถามตัวเองบ้างไม๊ เราทำตัวเองให้เป็นที่อาศัยของใครได้บ้าง ถ้ายัง นี่ก็แสดงว่า เราเกิด

มารกโลก เป็นไม้หลักปักขี้ควาย หรือไม่ก็เป็นพันธุ์ไม้เลื้อย คอยจะพันต้นที่เค้ายืนต้นด้วย

ตัวเองอยู่ตลอดเวลา อ้ายพันธุ์ไม้เลื้อยนี่ไม่ค่อยมีประโยชน์ มันไม่มีประโยชน์ ตรงที่มันไม่

สามารถยืนต้นได้ด้วยตัวเอง มันไม่แข็งแรง มันต้องอาศัยคนอื่นอยู่เนืองนิจ อย่างนี้ พระ

พุทธเจ้าเรียกว่า มนุษย์กาฝาก ไม้กาฝาก ชาวบ้าน ชาวโลก เค้าเรียกว่า ไม้กาฝาก
อย่าทำตัวเป็นมนุษย์กาฝาก อย่าทำตัวเป็นไม้กาฝาก ต้องทำตัวเป็นไม้ยืนต้น
เมื่อคืนนี้ ก็บอกแล้วว่า คนเรานี่มันยิ่งอยู่ ยิ่งเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ มันยิ่งแก่ มันยิ่งมัน ไม่ใช่

คนแก่แล้วไม่ดีนะ มันต้องแก่แล้วมัน แก่กระโหลกกะลานี่ ไม่ใช่ไม่ดีนะ มันดีกว่าแก่มะม่วง

แก่มะนาว เพราะแก่มะม่วง แก่มะนาวนี่ มันแก่เน่า แก่กระโหลกกะลายังเอามาทำขันตักน้ำ

ล้างหน้า ยังเอามาแกะเป็นเครื่องรางแขวนคอ ยังมาทำเป็นกำไล เป็นสายสร้อยคอ แก่กระ

โหลกกะลา นี่ แก่ดี แก่ใช้ได้ แต่ดีที่สุด คือ แก่เพชรแก่พลอย
เพชรพลอยนี่มันมีคุณค่าในตัวมันเอง เพราะมันอาศัยสั่งสมอบรมคุณชาติของตัวมัน แต่ถ้า

แก่ให้ได้เป็นเพชรเป็นพลอย มันยิ่งดีใหญ่เลย แก่กะโหลกกะลาก็ดี แต่ยังดีน้อยไป ถ้าแก่

แย่กว่านั่น คือ แก่หิน แก่กรวด แก่ทราย หินก็ยังพอเอามาเป็นประโยชน์ได้ ทรายอย่างดีก็

เอามาถมที่ แต่ถ้าแก่มะม่วง แก่ส้มนี่ แก่เน่า แก่รอเน่าอย่างเดียว ไม่ได้ประโยชน์อะไร

แก่มะละกอ แก่มะม่วง มะละกอก็ไส้กลวง
อย่าทำตน เป็นมนุษย์พันธุ์ไส้กลวง จงภูมิใจที่จะพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาให้กับใครๆฟัง แล้วเรา

ก็จะภาคภูมิว่า เออ พ่อได้ทำสิ่งนั้นมาแล้ว พ่อได้ทำสิ่งนี้มาแล้ว แม่ได้ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้มา

แล้ว
หลวงปู่ เมื่อวานซืนนี้ ฟังพระวิปัสนาเค้ามาเล่าเรื่อง วิถีธรรม วิถีพุทธะอิสระ เค้าก็พยายาม

พูดถึงเรื่อง สมัยเมื่อ 10 กว่าปี 20 ปีก่อน หลวงปู่จัดอบรมพระวิปัสนาจารย์ เรื่องทุก

เรื่องที่เค้าทำวันนี้ เราทำมาก่อนเค้า แต่เราก็โดนด่ามาก่อนเค้า เสร็จแล้วเค้าก็ต้องเอาสิ่งที่

เค้าด่าเรา กลับมาทำต่อ คือ เราเริ่มต้นมาหมดน่ะ การกินในบาตร พระฉันบิณฑบาตรเป็น

แถว ทั้งปฏิบัติกรรมฐาน
สมัยก่อนนี้นครปฐม ตั้งแต่ก่อร่างสร้าง ว่ากันจริงๆ แล้วตั้งแต่ก่อร่างสร้างพระปฐมเจดีย์

ไม่มีซักสำนักปฏิบัติธรรม ไม่มีนะ หลวงปู่มาริเริ่ม ทำสำนักปฏิบัติธรรม วิปัสนากรรมฐาน

เค้าก็ด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองล่ะ พระ, ชาวบ้านเค้าไม่ด่าหรอก ชาวบ้านเค้าชอบ, พระด่า

เพราะว่า เกณฑ์เค้ามานั่งลำบาก เมื่อยก้น นั่ง ลำบากลำบน ยุ่งยาก นอนอยู่วัดสบายกว่า

สวดมนต์ก็ได้แล้ว ไม่ต้องมาปฏิบัติอะไรเยอะ แต่สุดท้าย ก็ต้องมาอาศัยสิ่งที่เราทำ แล้วเค้า

ก็โวยวาย บ่น พูด เราก็เลยมานึกว่า เออ ที่จริงแล้ว เค้าน่าจะภูมิใจ พระเณรที่ขึ้นมาพูด น่า

จะภูมิใจว่า เราเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังไงก็

ต้องมีคนพูดถึงว่า วิปัสนาจารย์จังหวัดนครปฐม คณะสงฆ์ภาค 14 ใครเป็นผู้ริเริ่ม นี่คือ

ประวัติศาสตร์
เหมือนๆ กับที่หลวงปู่ ทำตัวเองเป็นเปาบุ้นจิ้น สอบพระอธิกร เจ้าคณะตำบล สอบแล้วก็มี

ความผิดชัดเจน แล้วมีประวัติศาสตร์ว่า เจ้าคุณฯ อยู่แถวๆ ชลบุรี ตายไปแล้ว กิตติพุทโธ

เอ่ยชื่อก็ได้ เพราะตายไปแล้ว ผี มันไม่กล้าหลอกหลวงปู่อยู่แล้ว ก็โทรฯ มาขอหลวงพ่อ

เจ้าคณะจังหวัดองค์เก่า บอกว่า องค์นี้ ลูกศิษย์ผม สอบ ผลปรากฏว่า ผิด แต่พอขอ กันได้ ก็

เลยไม่ผิด
นี่คือ ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ที่ใครก็ปฏิเสธความจริงไม่พ้น แล้วสุดท้าย มันก็หนี สึก

หนีไม่สึกหรอก เค้าโดนจับ ไปไล่จับกัน มีผู้หญิงอยู่ในห้อง มีคลิป มีอะไรเยอะแยะที่ถ่าย

เก็บๆ เค้าแบล็คเมล์กัน เอาตังค์เป็นล้าน เป็นแสน เหล่านี้ เป็นประวัติศาสตร์
งั้น ถ้าเราไม่อยากเป็นประวัติศาสตร์ที่มันเลวร้าย ก็ต้องสร้างประสัติศาสตร์ที่งดงามกับชีวิต

ตัวเอง คนทุกคน มีประวัติศาสตร์ของตนเองทั้งนั้น เราภาคภูมิในประวัติของตัวเราเองไม๊ล่ะ

ถ้าเราภาคภูมิ ก็ต้องทำในสิ่งที่มันเป็นเพื่อผู้อื่น สิ่งอื่น สังคมอื่น ครอบครัวอื่น และคนอื่นๆ

บ้าง
นี่เป็นประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่า บุคคลสำคัญๆที่อยู่ในประวัติศาสตร์โลก ควรจารึก ระลึก

นึกถึงน่ะ ท่านเหล่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านเหล่านั้นทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้นแหละ ผู้คนที่

ระลึกถึงท่าน เราไม่ได้มุ่งหวังว่า ตัวเราจะเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์หรอก แต่เรามุ่งหวังว่า

เราจะภูมิใจในการที่จะพูดถึงประวัติของเราให้ลูกหลานเราได้ฟังว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเรา ได้

ทำอะไรบ้าง ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อใครๆ บ้าง, ใครๆ ได้อะไรๆ จากเราบ้าง
เลิกพูดเสียทีเถอะว่า เราจะได้อะไรจากใคร ต้องพูดเสียใหม่ว่า ใครได้อะไรจากเรา พูดจน

เป็นนิสัย เป็นสันดาน ชั่วชีวิตหลวงปู่ พูดอย่างนี้จนเป็นนิสัยเป็นสันดาน จนลืมไปแล้วว่า

ชีวิตของตัวเง ต้องการอะไร
มีคนมาถามบ่อยๆ ต้องการอะไร
กูลืมไปแล้วว่า กูต้องการอะไร แต่กูรู้ว่า กูจะให้อะไร
พูดได้แค่นี้ กูรู้ว่า กูจะต้องให้อะไร ลืมไปว่า ตัวเองต้องการอะไร เพราะความหมายนี้แหละ

มันจึงเป็นริ้วรอยของประวัติศาสตร์
หลวงปู่ไม่ได้หวังว่า ตัวเองจะเป็นผู้นำทางประวัติศาสตร์ แต่หวังว่า ลูกหลานทุกคน คงจะมี

ประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของตนๆ เอาไว้เล่าให้กับลูกหลานชั้นหลังๆ ได้รับรู้ว่า เราเป็นบุคคล

คนหนึ่งที่ควรจะต้องกล่าวถึงและขนานนาม
ทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องไปรบกับเค้าทางภาคใต้หรอก หรือไม่ต้องไปอะไร เสื้อแดงยกพวกตี

กับเสื้อเหลืองแล้วเป็นประวัติศาสตร์ ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก เอาเพียงว่า เราซื่อสัตย์ กตัญญู

สำนึกบุญคุณคน สำนึกบุญคุณแผ่นดิน สำนึกบุญคุณสถาบัน มีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อ

เผื่อแผ่ มีไมตรีจิต ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในวิถี

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่สอนวาจาครั้งสุดท้าย ทำอย่างนี้
แล้วชั่วชีวิตหลวงปู่ นึกถึงคำนี้มาตลอด ประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่าน ไม่เคยมี แม้แต่

สักเวลาหนึ่งที่จะไม่คิดถึงคำว่า ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไม่เคย เพราะอย่างนี้ เลยไม่จำ

เป็นต้องใช้เวลาในการฝึกปรือตัวเอง เพราะทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต คือ เรื่องที่ต้องฝึกปรือตัว

เอง นั่นคือ ประโยชน์ตน แล้วก็ ประโยชน์ท่าน ไม่จำเป็นต้องมี ขอเวลาว่าง ขอเวลาเฉพาะ

ขอโอกาส
หลวงปู่ เป็นหลวงปู่ ก็เพราะ ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ไม่ใช่เป็นหลวงปู่ เพราะว่า มี

ใครมายกย่อง หรือว่า ยกย่องตัวเอง เป็นเพราะว่า ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

เพราะเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อตั้งแต่เล็กๆ สมัยฟังนิยาย คณะผาสุกวัฒนารมณ์ เค้าเล่นเรื่อง

พระอานนท์ พุทธอนุชา ที่มาร้องไห้ว่า พระพุทธเจ้าจะนิพพานเสียแล้ว พระอานนท์ก็มา

ยืนร้องไห้ บอกว่า บัดนี้ ประทีปแก้วจะดับเสียแล้ว เรายังไม่บรรลุธรรมอะไร
พระองค์ก็ทรงเรียกพระอานนท์มา อานนท์ เธออย่าเสียใจไปเลย เมื่อศาสดานิพพานแล้ว

พระธรรมวินัย จะเป็นศาสดาสอนเธอ เธอทั้งหลาย จงอยู่ด้วยความไม่ประมาท จงยัง

ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
แค่นี้ กูจำมาชั่วชีวิต สมัยนั้น อายุได้ประมาณซักกี่ขวบเอง 5-6 ขวบ แล้วกูก็เชื่อในคำ

นี้มาก เชื่อแล้วก็ทำตามตลอดเวลา เพราะมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนผิด แล้ว

พระองค์ก็คงไม่ได้สอนให้ใครทำผิด แล้วนิยายคณะผาสุกวัฒนารมณ์ มันก็คงไม่ได้เล่นผิด

จากหลักพุทธพจน์ เพราะมันเอาพุทธประวัติมาเล่น แล้วเชื่ออย่างนี้ เราก็มีความรู้สึกว่า เรา

ต้องทำประโยชน์ตน จากประโยชน์ท่าน ไม่ใช่รอประโยชน์ตนให้เสร็จก่อน แล้วประโยชน์

ท่านค่อยทำ ไม่ใช่
หลวงปู่ เป็นคนที่ไม่รอประโยชน์ตนให้เสร็จก่อน แล้วประโยชน์ท่านค่อยทำ แต่ทำ

ประโยชน์ตน มาจากประโยชน์ท่าน, ประโยชน์ตน มันได้มาจากทำประโยชน์ให้ท่าน

แล้วประโยชน์ตนก็จะได้มา ประโยชน์ตนได้อะไร
ก็อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ได้ทำไง นี่ก็เป็นประโยชน์ตน อะไรที่ไม่รู้ ก็ได้รู้, อะไรที่ไม่เคยได้

เรียน ก็ได้เรียน, อะไรที่ไม่เคยได้ฝึก ก็ได้ฝึก
เรื่องบางเรื่อง ประโยชน์ท่านมันยาก เราเป็นประโยชน์ตน เราก็ไม่อยากทำ แต่ถ้า

ประโยชน์ท่าน เออ มันทำให้เราอยากทำ เพราะอย่างน้อย คนที่ได้ประโยชน์มันมีมากกว่า

ตัวเรา พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ลงมือทำ ก็ได้รู้ ได้เรียน ได้ศึกษา ได้สั่งสม ประโยชน์ท่านที่ได้

จำนวนมหาศาล นี่มันมีความรู้ความสามรถทำให้เราแกร่งกล้า องอาจ สง่างาม สามารถดำ

รงค์ชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นผู้งดงาม ภาคภูมิทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เหมือนอย่างที่หลวงปู่มักจะพูดเสมอว่า ชั่วชีวิตกู ถ้าอยู่แล้วไม่ภาคภูมิ กูจะไม่หายใจ กูจะ

ต้องอยู่ด้วยความภาคภูมิ ก็ถ้าเมื่อใดที่ไม่ภาคภูมิ เมื่อนั้นก็แสดงว่า กูเป็นกบฏ แล้วก็

ทรยศต่ออุดมการณ์ของพระศาสดา เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีชีวิตอยู่ ต้องมีให้ได้อย่างภาคภูมิ

ยินดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะพูดได้ ไม่อายฟ้าดิน ไม่อายสรรพสิ่ง ไม่อายจิตวิญญาณ

ไม่อายผีสางเทวดา
เพราะฉะนั้น กูจึงกล้าใน 3 โลก ไม่คิดจะหวาดกลัว สะดุ้งผวา ไม่คิดจะเกรงกลัว เพราะ

สิ่งที่ทำ ภาคภูมิเสมอ แล้วก็รู้สึกด้วยความคิดของตัวเอง ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดว่า เรา

เชื่อพระพุทธเจ้า ทำตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราจะเป็นผู้ทำไม่ผิด พูด

ไม่ผิด และคิดไม่ผิด
ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ลูก มันเป็นที่มาของการงานทั้งหมดที่ให้ลูกหลานได้ช่วยกัน ทำกันคน

ละเล็กคนละน้อย คนละนิดคนละหน่อย ลำบากบ้าง ทุกข์บ้าง บ่นบ้าง โดนด่าบ้าง โดนประ

นามบ้าง ทุกข์ยาก บ่น  ร้อน หนาว หิว กระหาย ต้องเสียแรง เสียกำลัง เสียทรัพย์ เสีย

อะไรต่ออะไรก็เถอะ แต่สุดท้าย เราไม่ได้เสียใจเลยกับสิ่งที่เราได้ลงมือกระทำ
หลวงปู่ไม่รู้สึกเสียใจ เราทำในสิ่งที่เรารู้สึกภาคภูมิด้วยซ้ำว่า สิ่งที่เราทำ มันเป็นประโยชน์

ท่าน มันไม่ได้มีตรงไหนที่เป็นประโยชน์ตน พอรู้สึกอย่างนี้ได้ มันก็ภาคภูมิเหมือนกับที่

หลวงปู่คุยกับอ้ายเฉาก๊วยว่า เวลาหลวงปู่ไปดูคนทำนา แล้วนั่งดูคนดำนา ไถนา เกี่ยวข้าว

ทำไมหลวงปู่มีความสุขจัง ทั้งที่ข้าวนี่ ก็ไม่ได้เอามากิน
หลวงปู่ก็เลยบอกอ้ายเฉาก๊วยว่า กูมองข้ามตัวกูไง กูมองข้ามตัวกูไปถึงคนอื่นๆ สัตว์อื่นว่า

ข้าวเหล่านี้ เป็นประโยชน์ของสัตว์อื่น เพราะข้าวแต่ละเม็ดที่ได้มา มันก็เอามาแจกทานคน

ทั้งหลาย ใครจะมีความสุขที่ได้ปลูกข้าวให้คนอื่นกิน ถ้ามันยังอยู่กับตัวกู มันยังยืนอยู่กับตัวกู

แล้วอยู่ในลูกกรงแคบๆ ความเป็นของกู เมื่อมันเป็นตัวกู ของกูเสียแล้ว มันก็ไม่คิดจะให้ใคร
งั้น ต้องมองข้ามตัวกู แล้วก็ไปเห็นคนอื่นๆ สิ่งอื่น ชีวิตอื่น ที่กำลังทุกข์ยากลำบาก แล้วเราก็

จะได้มีโอกาสได้แบ่งปัน แต่ถ้ามีคำว่า ตัวกู ถึงจะให้ ก็ให้เพราะกูเหลือให้, ให้เพราะกู

เหลือให้ เพราะญาติกูไม่ใช้ จึงให้, ตัวกูไม่เอา กูจึงให้, แต่ถ้าไม่มีตัวกู มันไม่มีคำว่า กู

เหลือให้, แต่กูต้องให้ เพราะมันไม่ใช่ของกู
งั้น หลวงปู่จึงพูดเมื่อวานนี้ว่า หลวงปู่ เป็นคนไม่มีต้นทุน ลูก เพราะกูเป็นคนไม่มีอะไร ไม่

ได้อะไรไม่เหลืออะไร แล้วกูก็ต้องตายแน่ๆ กูไม่มีต้นทุน กูก็ไม่ต้องกลัวขาดทุน ไม่กลัว

ขาดทุน ไม่กลัวเสียทุน ไม่กลัวไม่ได้ทุน ไม่กลัวหมดทุน เพราะคนไม่มีต้นทุน มันไม่มีอะไร

เมื่อไม่มีอะไร ตรงไหนมันทำได้ ก็ทำได้ในเวลานั้นทันทีไม่ต้องเสียเวลาเนิ่นช้า
นี่คือ วิธีคิด วิธีคิดที่มันได้มาจากคำว่า มองข้ามตัวกู วิธีคิดที่มันได้มาจากคำใหม่ว่า มีชีวิต

อยู่ในโลกแห่งความว่างอยู่เนืองๆ วิธีคิดที่มันได้มาจากคำว่า เชื่อในคำสอนของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า แล้วมีความศรัทธาในวิถีแห่งโพธิญาณ โพธิธรรม ปฏิบัติตามโพธิศรัทธาอย่างมั่น

คง
งั้น ลูกหลาน จงเข้าใจความหมายในการให้ทำงานว่า อย่าไปมองว่า เราโดนเอาเปรียบจาก

คนนั้นคนนี้ เพราะเราเป็นคนทำมากกว่าคนอื่น สำหรับหลวงปู่แล้ว นั่นคือ การได้เปรียบ

คนที่มีโอกาสได้ทำงานมาก คือ คนได้เปรียบ อ้ายคนที่ไม่ทำน่ะ คนเสียเปรียบ อ้ายที่ทำ

น้อยน่ะ คนได้เปรียบน้อย
งั้น จงคิดเสมอว่า ทุกครั้งที่เราทำงานเพื่อคนอื่น นั่นคือ การได้เปรียบ ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ยิ่ง

ได้เปรียบมากเท่านั้น และจงรู้เสมอว่า เมื่อใดที่เราทำงานเพื่อตัวเอง นั่นคือ ความสูญเสีย

เปรียบ ชีวิตเราจะเสียเปรียบ เสียเปรียบในเรื่งอะไรบ้าง
เสียเปรียบในการที่จะมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่จะช่วยคนอื่น มองโลกก็แคบๆ ไม่พ้นตัวเอง

เสียเปรียบในสติปัญญา ในความรู้ความสามารถ ในประสบการณ์การทำการงาน ลองไป

ศึกษาดู เรื่อง ชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบาน ที่เขียนเอาไว้สมัยอยู่วัดคลองเตย เขียน

แล้วก็อัดเป็นเทปเอาไว้ เอาไว้เวลาไม่อยู่วัด ให้พระเค้าเปิดฟัง มันก็ไม่ค่อยได้เปิดฟัง เห็น

มันเปิดแต่เพลงฟังกัน
ถ้าศึกษาดู ก็จะรู้ว่า การทำการงาน มันทำให้ชีวิตมีความสุขได้ ยิ่งเป็นประโยชน์คนอื่นได้

ยิ่งสุขมาก ถ้ามันไม่มีโลกตัวเองใหญ่เกินไปนัก เราก็จะรู้ว่า โลกเรากว้าง แล้วก็เป็นโลกแห่ง

ความสุขเยอะแยะ เราจะมีเพื่อนฝูงมากมาย มีมิตรสหายเยอะแยะ ดีกว่าไส้เดือนที่อยู่ในรู

ซึ่งแคบๆ ถอยหน้า เดินหลัง ถอยหลัง เดินหน้า อยู่เท่านั้นแหละ กลับตัวไม่ได้ เพราะมัน

แคบมากไง มันมาจากความเห็นแก่ตัว อย่างร้ายกาจในสมัยเป็นมนุษย์ ไส้เดือน แมง

กระชอน พวกนี้น่ารังเกียจ
งั้น ต่อไปนี้ ถ้าใครที่เป็นคนเห็นแก่ตัว ก็ต้องเรียกมันว่า มนุษย์แมงกระชอน มนุษย์ไส้เดือน

เอ่อ ไอ้มนุษย์ไส้เดือน อีไส้เดือน
ถามว่า ไส้เดือน มันดีกว่าพยาธิ ตรงไหนคะ
อ้าว พยาธิ มันก็กินขี้น่ะ ลูก พยาธิมันอยู่ในไส้ งั้น จะเรียกมันว่า อีพยาธิก็ได้ อีไส้เดือนก็ได้

อ้ายไส้เดือนก็ได้ อ้ายแมงกระชอนก็ได้ คนอย่างนี้ น่ารังเกียจ
งั้น จึงบอกลูกหลานว่า งานที่ได้ทำ มันเป็นการฝึกตัวเอง แล้วเป็นการสร้างโอกาสให้กับตัว

เอง สร้างริ้วรอยของการเรียนรู้ศึกษา สั่งสมประสบการณ์ แล้วจิตใจเราก็จะกว้างขวางใหญ่

โต เราจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน 3 โลก ถ้าเราทำมันจนกระทั่ง ทำงานเพื่อคนอื่น มัน

ตายก็ไม่เสียดาย ไม่เสียดาย อ้ายทำงานเพื่อตัวเองเนี่ย มันน่าเสียดาย เพราะ ตายก็ไม่ได้

อะไร ทำเพื่อตัวเอง ตายก็ไม่เห็นมันได้อะไร เพราะมีคนเค้าทำเพื่อตัวเองมาเยอะแยะ สุด

ท้ายมันตาย ก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่ทำเพื่อคนอื่น ตายไป ยังได้บุญ ได้กุศล ได้บารมี ได้

เพื่อนฝูง อ้ายคนที่เราช่วยๆ ไว้ สงเคราะห์ไว้ สัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก พอเราตายไป มันตายไป

เจอหน้ากัน มันก็จะมาเป็นบริษัทบริวารของเรา
แต่ถ้าทำงานเพื่อตัวเอง โลกมันแคบ วิสัยทัศน์ก็แคบ วิธีมองก็แคบ วิธีคิดก็ยิ่งคับแคบ ทำ

อะไรก็ยิ่งแคบ ความรู้ความสามารถก็แคบ แล้วทีนี้ ก็ไปอยู่ในโลกแคบๆ ตกนรก ก็นรก

แคบๆ แล้วสุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนคับแคบ สังคมก็แคบ
งั้น ทำเถอะ ทำมากก็ได้เปรียบมาก ทำน้อยได้เปรียบน้อย งานทุกชนิด ไม่จำเป็นต้องให้

หลวงปู่รู้หรอก ขอเป็นประโยชน์ส่วนรวม ทำไปเถอะ เป็นบุญ หลวงปู่นี่ เวลาทำอะไรไม่

เคยบอกใคร เคยพูดเล่นๆ กับอ้ายพวกนี้ว่า เออ กูแจกมหาทานปีๆ หนึ่งเป็นสิบๆ ล้าน

หนังสือพิมพ์ไม่เคยได้ไปลงกับเค้าบ้างเลย อ้ายห่า วัดอื่นเค้าแจกกัน 50 ถุง ลงหนังสือ

พิมพ์ 30 ถุง 100 ถุง ลงหนังสือพิมพ์ กูนี่ตะลอนๆ ไปลุยน้ำ นั่งเรือไปแจกข้าว น้ำแค่

เอว แค่อก ไปลุยไปแจกข้าว ไม่เห็นมัน หนังสือพิมพ์ไม่เอากูไปลง อ้ายห่า ทีกูทะเลาะกับ

เจ้าคณะจังหวัด เสือกไปลงหน้า 1 เอ๋อ อ้ายที่เลวๆ ไม่ดี เสือกไปลงหน้า 1 อ้ายของดีๆ

ไม่เอากูไปลงบ้าง เออ 10 กว่าปีที่แล้ว เอ่อ ตอนนี้ เค้าเป็นเจ้าคณะจังหวัด
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า ทำไปเถอะ ลูก รางวัลที่ให้ ก็อย่าไปมองว่า มันเป็นรางวี่รางวัล แต่

เป็นต้นแบบ เป็นต้นแบบให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า คนเหล่านี้ เป็นผู้เสียสละ แล้วก็จะได้มีคน

ตามริ้วรอยนั้น เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นหมู่คณะที่เสียสละ
เหมือนๆ กับที่หลวงปู่ยกย่องหม่อมหลวงสุภัทร เอ๊ย หม่อมหลวงปนัดดา จะไปเรียกปู่เค้า

ตลอด ปู่เค้า หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล นี่เค้าก็หลาน เป็นหม่อมหลวง ดิศกุล เหลน เจ้า

พระยาดำรงค์ราชานุภาพ หลานรัชกาลที่ 5 เป็นคนซื่อตรง เป็นคนมือสะอาด ใจซื่อ ตงฉิน

แล้วก็เป็นผู้มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน งั้น ก็เป็นบุคคลที่ควรจะได้รับการเทิดทูนยกย่อง

ประวัติศาสตร์ก็ต้องจารึกในสำนึกของมนุษย์ดีๆ ที่ปรารถนาคนดีไว้เป็นกัลยาณมิตร เป็น

กัลยาณธรรม เป็นเพื่อนฝูงใกล้ชิด
คบคนดี นี่มันมีแต่ประโยชน์ คบคนอัปรีย์ ก็เสียประโยชน์ เหมือนกับเมื่อกี้ เสือกให้อ้าย

คนอัปรีย์มาเข้าแถวร่วมไปกับมึง เออ มึงก็เลยไม่ได้ประโยชน์ ถ้ามึงเห็น มึงก็ดึงมันออก

เฮ้ย มึงได้แล้วนี่ มึงมาอีก กูซวยเลยเนี่ย เห็นไม๊ มันนึกว่า จะตบตากูได้ เดินก้มหน้ามาเลย

ทำผมปิดหน้า กูน่ะ ไม่ได้มองแต่ตาอย่างเดียว กูดมกลิ่นด้วย เออ กูจำกลิ่นได้ แต่ละคนมัน

มีกลิ่นแตกต่างกัน
งั้น ก็เลย ขอบใจ ลูก ขอบใจทุกคนที่มาช่วยกันทำกิจกรรม การงาน ทำภาระกรรมให้แก่

พระศาสนา แก่โลก แก่สังคม แก่สิ่งแวดล้อม แก่เพื่อนมนุษย์ แล้วก็แผ่นดิน แล้วก็ประเทศ

สถาบัน
ก็ยังมีงานใหญ่ในสัปดาห์หน้า คือ งานเลี้ยงเด็กในวันเด็ก เรียกว่า วันดอกไม้บานของแผ่น

ดิน เด็กก็จะมาจำนวนเรือนหมื่น ก็ฝากลูกหลานให้ช่วยกันคิด ดูแล เอาใจใส่ ที่จะหาวิธีดูแล

เค้า เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่จะทำนุบำรุงอุปถัมภ์จิตวิญญาณของเค้าให้มีริ้วรอยที่จะงดงาม ความ

จดจำที่งดงาม ริ้วรอยที่ดีงาม ที่พวกเค้าจะระลึกถึงได้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเค้า ได้มีโอกาสมา

ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ใจดี มีหลายท่านหรือว่า ทั้งหมดในครอบครัวชาวธรรมอิสระ ที่มีน้ำใจ มี

เมตตาธรรม มีความกรุณา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ ต่อพวกเค้า
ทีนี้ ก็จะเป็นประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ เค้าก็จะระลึกได้ข้ามภพข้ามชาติ
อีกทั้งเราก็จะได้ให้ประโยชน์ต่อประเทศด้วย เมื่อเราทำประโยชน์ต่อเยาวชน เยาวชนก็

สำนึกในคุณของพวกเรา สำนึกในบุญคุณ คุณงามความดี ก็จะเอาเป็นต้นแบบ เป็นเยี่ยง

อย่าง ถือว่า เราทำบุญต่อประเทศ เพราะพวกเค้าจะต้องโตขึ้นในอนาคต เค้าก็จะเป็นคนที่มี

รากฐานที่มั่นคงทางจิตวิญญาณ
เด็กวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า เราช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ ก็ทำเท่าที่ทำ
หลวงปู่เดี๋ยว อาทิตย์หน้าแสดงธรรม แล้วก็จะเดินทางไปเชียงใหม่ เพราะว่า อบต. บน

ภูเขา เค้าขอเครื่องนุ่งห่มกันหนาวมา 2,000 ชุด เออ เสื้อหนาวหมดหรือยังล่ะ อ้าว

ใครจะช่วยสงเคราะห์ อนุเคราะห์ เป็นเจ้าภาพซื้อเสื้อหนาวไปแจกเด็กบนภูเขา ก็ช่วย

สงเคราะห์หน่อย เค้าเอามาวางจำหน่ายไว้ คือ มันมีเสื้อตัวเดียว ถ้ามันได้ตังค์มาเพิ่ม ก็จะ

ได้ไปซื้อถุงเท้า ซื้อหมวก ซื้ออะไร เออ มีแต่เสื้อตัวเดียว กางเกงไม่มี เดี๋ยว มันก็ใบตองพัน

เป็น ก็ช่วยกันสงเคราะห์ อนุเคราะห์เท่าที่ทำได้ ไม่ได้มากมายอะไร ตามกำลัง
ถ้าทำกันจริงๆ น่ะ ทำได้ สำคัญว่า เราข้ามตัวกูแล้วยัง ถ้ายังไม่ข้ามตัวกู กูก็จะบอกว่า กูทำ

ไม่ได้ เดี๋ยวกูจะไม่พอ เดี๋ยวกูจะไม่มี เดี๋ยวกูจะไม่เหลือ เดี๋ยวกูจะหมด เดี๋ยวกูจะอด แต่ถ้า

มองข้ามตัวกูไปแล้ว มันก็จะเหลือเฟือมากมายที่จะแบ่งปันได้ แม้เราไม่จำเป็นต้องให้ทรัพย์

ให้กำลังกายก็ได้ ให้กำลังใจก็ได้ ให้สติปัญญาก็ได้ ถ้ามองข้ามตัวกู แล้วมันให้ได้หมด แต่

ถ้ามองมีตัวกูอยู่ข้างหน้า เป็นม่าน อะไรๆ กูก็ไม่เหลือ อะไรๆ กูก็ไม่พอ อะไรๆ กูก็ไม่มี

อะไรๆ เดี๋ยวกูหมด กูก็ยังต้องหวงห่วงอยู่ เป็นอย่างนี้อยู่เนืองๆ ก็ฝากไว้แล้วกัน
ให้ทุกท่าน รุ่งเรือง ร่ำรวย โชคดี อายุยืน สุขภาพแข็งแรง มีสติปัญญาดั่งพระอาทิตย์ยาม

เที่ยงวัน ทรัพย์สินเนืองนองดั่งเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้ง 4  ญาติมิตรหลั่งไหล เป็นมิตรดี

มิตรมีประโยชน์ดั่งวารีที่ไหลอยู่เนืองนองในปฐพี และวาสนาจงยิ่งใหญ่สูงส่งดั่งขุนเขาพระ

สุเมรุ ขอความปรารถนาใดที่ท่านปรารถนาและตั้งใจแล้ว จงสำเร็จประโยชน์สมปรารถนา

ทุกท่านทุกคน เทอญ (สาธุ)
เอ้า เข้ามารับ
..............
อ้อ เมื่อกี้ กูบอกหรือยังว่า เทวดา เค้าจะเปลี่ยนตำแหน่งกันวันไหน เออ วันที่ 13 ขึ้น 3

ค่ำ เดือน 3 (วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556) ก็จะใกล้ๆ กับวันตรุษจีน ที่จริงฟัง

เค้าประกาศปีชง แล้วก็ยังงงๆ อยู่
งูน่ะ สัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นเหยื่อของงู ก็คือ หนู กระต่าย ไก่ หมู
หนู กระต่าย ไก่ หมู เป็นเหยื่อของงู
เออ มันไปคิดกันยังไง คนสมัยนี้ คิดแปลก หนูปีอะไรล่ะ ปีชวด, กระต่าย เถาะ, ไก่

ระกา, หมู กุน
เออ ลิงนี่มันหนีงูได้ มันขึ้นต้นไม้ ใครบอกว่า มันชง
.................
เพราะฉะนั้น ปีที่มันชง คือ ปีที่มันเป็นเหยื่อของสัตว์นั้นๆ ปีนั้นๆ ไปเอาตำราไหนมา เออ

ตำรามั่ว
หนู กระต่าย ไก่ หมู
หมูเนี่ย อย่าว่าแต่งูกัดเลย แค่เห็นงูเลื้อยผ่าน มันก็ช๊อคตายแล้ว อ้าว จริงๆ มันตกใจ ไปเอา

อะไร เสือ เสือ งูเลื้อยผ่าน มันเยี่ยวรดเสียอีก มันไม่สนใจหรอก คิดอะไรกัน พวกนี้รู้ไม่จริง

มั่ว แล้วชื่อของเทพประจำปีหน้า ปีมะเส็ง เวทย์ประสิทธิ์ ไปเขียน ประจิตต์ๆ เรียกชื่อผิด

ประสิทธิ์  เวทย์ประสิทธิ์
งั้นวันที่ 13 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 จะให้พระเค้าสวดนพเคราะห์ให้ อ้ายพวกหนู กระต่าย

ไก่ หมู ไปตัดผม ตัดเล็บมา เอาไปสวดนพเคราะห์ในโรงเจ ใครที่ไม่ได้ชง ก็มาร่วมพิธีสวด

กับเค้าได้ เดี๋ยวหลวงปู่จะสวดนพเคราะห์ให้ เปลี่ยนเทวดาประจำปี
หนู กระต่าย ไก่ หมู เออ สัตว์ที่เป็นอาหารของงู จึงเรียกว่า ชง
หนู เป็นอาหารของงูไม๊ล่ะ เป็นสิ มันมีหนูที่ไหนกัดงูได้บ้างวะ กระต่ายก็เป็นอาหารของงู

ไก่ก็เป็นอาหารของงู หมู นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย งูไม่กิน แต่แค่มันเลื้อยผ่าน หมูมันใจเซาะ มัน

ช๊อค มันจุกอกตาย ไปประกาศเสียใหม่นะ อ้ายคนเขียนส่งเดชน่ะ ไม่รู้เรื่อง
แล้วปีหน้า ปีอะไร (ปีม้า ปีมะเมีย) เออ ทีนี้ ก็เสือล่ะ ชงกับปีมะเมีย เพราะเสือกินม้า,

เสือ งู นี่ กัดม้าตาย เนี่ย อันนี้ ชง
วิธีดูปีชง เค้าดูตามธาตุของสัตว์ สัตว์ตนใดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เป็นเหยื่อ เป็นอาหารของ

กันและกันนี่ เค้าถือว่า ชง แต่ถ้าเป็นมิตรกัน อย่าง ลิงกับม้า อย่างนี้ ไม่ถือว่า ชง, ลิงกับ

แพะ ก็ไม่ชง, ลิงกับไก่ ก็ไม่ชง, แพะกับไก่ ก็ไม่ชง อย่างนี้เป็นต้น เพราะมันไม่เป็น

อาหารของกันและกัน
ใครไปเขียนตำราห่วยแตก ไม่รู้เรื่อง มั่ว ส่งเดช
อ้ายย้ง เหรอ
ก็เดี๋ยววันที่ 13 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 แล้วค่อยมารับเทพเวทย์ประสิทธิ์
เอ้า ใครมารับ รายชื่อ
....................
ใครที่ยังไม่ได้
จัดเหรียญมา
..................
ยืนก็ได้ ลูก ไม่ต้องคุกเข่า
...................
ตั้งใจรับพร ลูก เดี๋ยวจะไปสวดมนต์กับพระ เตรียมของไป เดี๋ยวไปแจกของกับพระ
ข้าแต่ ท่านท้าวจาตุมมหาราชิกาทั้งหลาย เทพยเจ้าที่ประจำอยู่ในทิศทั้ง 4 อากาศเทวา และ

ภูมเทวดา รุกขเทวาทั้งพระภูมิเจ้าที่ เทพเจ้าผู้ประจำอยู่ในปัจฉิมทิศ และจตุรทิศ ขอจงรับรู้

ด้วยญาณวิถี
ด้วยอำนาจโพธิศรัทธา ปฏิบัติในโพธิธรรม จนลุถึงโพธิจิต และโพธิปัญญา ต้นโพธิ์ปก

ป้องคุ้มครองสรรพสัตว์ ให้รอดพ้นจากอันตรายและมีความอบอุ่นร่มเย็นเป็นสุขฉันใด ขอ

โพธิบารมีที่ข้าฯ ได้สั่งสมอบรมมา จงอภิบาลบำรุงรักษาลูกหลานของข้าฯ ให้แคล้วคลาด

ปลอดภัย พ้นจากภยันอันตราย รุ่งเรือง เจริญ มีความสำเร็จ ผาสุกวัฒนา คิดและหวังสิ่งใด

ขอสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ สมปรารถนาทุกประการ เทอญ
(สาธุ)
(หลวงปู่ให้พร)
................
ธรรมะรักษา ลูก ให้ร่ำรวย รุ่งเรือง อายุยืน สุขภาพแข็งแรง ตลอดปี ลูก
(สาธุ)
กล่าว คำถวายผ้าป่า
...................
สาธุ
(กราบ)
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลาย รวมทั้งปัจจัยลาภที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็น

สมบัติของวัดและมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ สาธารณะสงเคราะห์
ขอท่านทั้งหลาย อนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ อีกรอบหนึ่ง ลูก
...................
ตั้งใจรับพระ ลูก
.................
(สาธุ)
ถวาย มาลาบูชาคุณ
.................
ขอบใจ ลูก
กราบพระ ลูก คุกเข่า
พระพุทธเจ้า ทรงพระคุณอันประเสริฐ  เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า (กราบ)
พระธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐ  เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า (กราบ)
พระสงฆ์ ทรงพระคุณอันประเสริฐ  เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า (กราบ)
ที่พึ่งอื่นใดในโลกข้าพเจ้าไม่มี
ด้วยเดชแห่งพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าผูกความรักษา
ขอความสวัสดีมีมงคล จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า (กราบ)
สาธุ วันทา คุณบิดามารดา (กราบ)
สาธุ วันทา คุณครูบาอาจารย์ (กราบ)
ขอบใจ ลูกหลานทุกคนที่ทำให้ภาระกรรมอันงดงามในวันเกิดของครูบาอาจารย์ ให้ลุล่วง

สำเร็จไปได้ด้วยดี ขอบใจครอบครัวชาวธรรมอิสระทุกท่านที่เสียสละแรงกาย แรงใจ กำลัง

ทรัพย์ สติปัญญา รังสรรค์การงานของอาวาสวัดอ้อน้อยในวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

จนบรรลุถึงเป้าหมาย สำเร็จสมบูรณ์ และสมหวัง สมประสงค์สวยงามตลอดมา อย่างไม่มีที่ติ
ขอบใจ คณะทำงานทุกท่าน แม่ครัว คนนำเอาอาหารมาให้ จัดโต๊ะอาหาร จัดซุ้มอาหาร

รวมทั้งคณะทำงานที่ดูแลจราจร ความปลอดภัย และมูลนิธิธรรมอิสระ มูลนิธิอโรคยาศาลา

ที่ทำให้ภาระกรรมต่างๆ อันยิ่งใหญ่ของอาวาสนี้ ที่มีไม่จบไม่สิ้น ลุล่วงสำเร็จไปได้อย่าง

สมบูรณ์
ขอขอบใจ เทพยเจ้า เทวาอารักษ์ และเทพยดา ฟ้าดินทั้งหลาย ได้ช่วยให้การงาน ภาระ

กรรมต่างๆของอาวาสและพระศาสนานี้ บรรลุวัตถุประสงค์ สำเร็จสมหวัง สมปรารถนา

และไม่มีอุปสรรคขวากหนามมากางกั้น จนมีชัยชนะ มีอำนาจ พลัง ตบะ และสำเร็จ
ขออนุโมทนา ในบุญที่ลูกหลานได้ช่วยกันสร้าง รังสรรค์ ในวันเวลาค่ำคืนที่ผ่านมา ที่ช่วย

พากันปฏิบัติธรรม ศึกษา อบรม ฝึกฝน ดัดกาย วาขา ใจของตนให้อยู่ในธรรม ในศีล ใน

สมาธิ ในปัญญา
ขอบุญทั้งหลาย ที่ลูกหลานได้รังสรรค์ และได้กระทำแล้ว จงเพิ่มพูนมากมาย มากมี

ประดุจดั่งเมล็ดพืชที่อยู่ในทะนานทองคำ จงเต็มเปี่ยมล้นพ้น แล้วก็งอกงามไพบูลย์ อยู่นอก

เหนืออาณาเขตของทะนานเหล่านั้น จนยิ่งใหญ่ ผลิดอกออกผลไม่รู้จบสิ้น
ขอลูกหลาน จงปลอดภัย แคล้วคลาด เดินทางโดยสวัสดีทุกท่านทุกคน เทอญ (สาธุ)
(กราบ)