7 ต ค 2555    12.45 น. ธรรมะต้นเดือน โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชน ผู้รับชมรายการ วิถีธรรม วิถีไทย ที่รักทุกท่าน ญาติโยม

ชาวบ้านที่อยู่ในสภา วัดอ้อน้อย เนื่องในโอกาสแสดงธรรมประจำเดือน ต้นเดือนใน

สัปดาห์แรกของเดือน คุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนินรายการ
ก่อนที่จะเข้าสู่รายการ มีเรื่องที่อยากจะพูดเตือน เตือนผู้ปฏิบัติธรรม เตือนผู้ปรารถนาธรรม

เตือนผู้ขวนขวายในธรรม เตือนผู้เจริญธรรม แล้วก็เตือนผู้มาอยู่ในวัด ด้วยความรู้สึกว่าอิง

อาศัยธรรม หรือไม่ก็ตาม ให้เข้าใจสถานภาพของความทุกข์เดือดร้อนและนรก โทษภัยที่

มันจะเกิดขึ้น
เคยสอนเคยบอกแต่เนืองๆ ว่า ผู้มีสติในกาย กายมันไม่ลำบาก ผู้มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก

ผู้มีสติในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบาก นี่ถ้าปล่อยให้สติมันล่องลอย จิตมันออกไปจากกายบ่อยๆ วันๆ

หนึ่งเอาแต่ ไปเสพราคะ เสพโทสะ เสพโมหะ เสพโลภะ ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน สนใจแต่สิ่ง

นอกกาย ไม่ใส่ใจแต่สิ่งในตัวเอง ไม่รู้เรื่องของตัวเอง วันทั้งวัน เอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของ

คนอื่นอยู่ทั้งปีทั้งชาติอยู่เนืองๆ
มัน  คือ นรก นั่นคือ ความทุกข์เดือดร้อน นั่นมันคือ ความทรมานทั้งชาตินี้แล้วก็ชาติต่อๆไป
เรามีโอกาส รู้จักมองตัวเอง อยู่กับตัวเอง มีสติส่งไปในตัวเอง มีจิตตั้งอยู่ในตัวเองอยู่บ่อยๆ

ฝึกบ่อยๆ ซ้อมบ่อยๆ ตรึกบ่อยๆ วิเคราะห์บ่อยๆ เราก็จะรู้ว่า ความตายไม่ใช่เป็นเรื่องน่ากลัว

การเกิดก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลำบาก
แต่ถ้าหากว่า เรา วันทั้งวัน เอาแต่ส่งจิตออกไปข้างนอก มีสติเลอะเลือน เปรอะเปื้อนเลอะ

เทอะไปด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยตัณหา ด้วยอวิชชา ด้วยอุปาทาน ด้วยความ

ยึดถือ ด้วยความอาฆาตพยาบาท พอใจ ไม่พอใจ โลภโมโทสัน เท่ากับ วันทั้งวันเราตก

นรกทุกขณะ ทุกขณะจิต เมื่อใดที่ราคะมันพาไป เราก็ตกนรก, โทสะมันพาไป ก็ตก

นรก, โมหะพาไป ก็ตกนรก, โลภะพาไป ก็ตกนรก
ด้วยเหตุผลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอนว่า
จิตเต สังกิลิฎเถ ทุคคติ ปาฏิกังขา ก่อนตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ก็ไปสู่ทุคติ
จิตเต อสังกิลิฎเถ สุคติ ปาฏิกังขา  ก่อนตาย ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสู่สุคติ
ราคะเกิดกับจิต โทสะเกิดกับจิต โมหะเกิดแก่จิต โลภะเกิดแก่จิต อวิชชา ตัณหา แม้อุปาทาน

คิดถึงผัวกู ลูกกู เมียกู เงินกู ครอบครัวกู สมบัติกู
มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ (ทุกข์), แล้วจิตนี้มันเศร้าหมอง หรือว่า ผ่องแผ้ว(เศร้า

หมอง), เอ่อ มันก็ไม่ผ่องแผ้ว มันมีแต่ความเศร้าหมอง
งั้น ทั้งวัน เราไม่ต้องตาย ก็ตกนรก เราตกนรกทุกวัน ตกนรก บางทีมันตกนรก เช้ายันสว่าง

เช้าอีกวัน ก็ยังตกนรกอยู่
งั้น หัดขึ้นสรรค์กันบ้าง โดยเฉพาะอ้ายพวกที่อยู่ในวัด เห็นขยันตกนรกกันจังเลย เดี๋ยวนี้

แย่งกันกินน่ะ แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันขวนขวาย เห็น คนเค้ามาฟ้องหลายเที่ยวแล้ว

บางทีกับข้าวมี ก็ตักๆๆๆ หมกเอาไว้ของตัวเอง กลัวอดไง, กลัวอด ตะกละ กลัวอดอยาก

กลัวลำบาก อะไรก็ไม่รู้ล่ะ คือ คนไม่มีสติอยู่ในกาย ไม่มีศีล ไม่มีธรรมอยู่ในกาย ในใจเนี่ย

มันมีโลภะ มันมีโทสะ มันมีโมหะ มันมีตัณหา ความทะยานอยาก มันมีอวิชชา
เลยให้พระคเชนทร์เค้าไปเขียนไว้
แย่งกันกิน เป็นเปรต, กินแล้วหนี ทุเรศ เป็นเดรัจฉาน
แย่งกันกิน เป็นเปรต, กินแล้วหนี ทุเรศ เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เพราะว่า ได้ยินบ่อยมาก อ้ายคนมาอยู่ในวัด มันจะต้องดีกว่าคนที่อยู่นอกวัด อ้ายคนอยู่ใน

วัดแย่กว่าคนนอกวัด นี่ แล้วมีวัดเอาไว้ทำอะไร ถ้าแย่งนี่ มันไม่ต่างอะไรกับเปรต เดรัจฉาน
อุตส่าห์สวดบทพระมาลัยให้ฟัง ก็ยังนึกว่า จะสำนึก แต่ไม่สำนึก พวกนี้สันดานหนอนขี้ชัดๆ

เลย เทวดามาชวนขึ้นจากหลุมขี้ ยังไม่ชอบใจเลย ขี้เกียจ ขี้เกียจนึก เพราะเทวดาจะกิน

เปรี้ยว หวาน มันเผ็ด นี่มันต้องนึกใช่ไม๊ แต่หนอนอยู่ในหลุมขี้นี่ ไม่ต้องเสียเวลานึก ถึงเวลา

เค้าก็มาหย่อนเปรี้ยวให้ หย่อนหวานให้ หย่อนมัน หย่อนเผ็ดให้ ขี้เกียจแม้กระทั่งนึก
งั้น จึงอยากจะเตือน อยากจะบอกให้รู้ว่า มาเสียเวลาหานรกใส่ชีวิตตัวเองอยู่ทุกวันๆ อยู่

เนืองๆ เนี่ย มันถูกหรือเปล่า มันคนโง่ หรือ มันคนฉลาด
มันไม่มีสติปัญญาถึงปานนี้ ไม่เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่รู้จักว่า ชีวิตเราจะตกนรก

หมกไหม้ แล้วพวกนี้ วันๆ ไม่ทำอะไร หาความสุขด้วยการนินทาชาวบ้าน เอาเรื่องชาว

บ้านมานินทา พูดถึงคนนั้น นินทาถึงคนนี้ เออ ใส่ร้ายคนนู้น อะไรไม่รู้ล่ะ แต่เรื่องของตัวเอง

ไม่รู้จักสำเหนียก สำนึก ไม่ระลึกรู้ว่า จะแก้ไข จะปรับปรุง จะเปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า โสโครกไปตลอดเวลา อย่างนี้ ก็ไม่ถูกต้อง
พูดนี่ให้ฟัง ก็ด้วยความเมตตาว่า ควรจะต้องหาวิธีระลึก ตรึกดูให้แน่ว่า มีชีวิตอยู่เพื่อจะมา

แลกกับนรกใส่ชีวิตเรา หรือว่า มีชีวิตที่อยู่ เพื่อจะมีโอกาสได้เดินทางขึ้นสวรรค์กับเค้าบ้าง
ไม่ต้องเอาไปนิพพานหร๊อก มองหน้าแล้ว แค่หัวตะพานก็ให้ได้ขึ้นเถอะ
เออ เอาสวรรค์ก็พอแล้ว สวรรค์ยังปลายๆ สวรรค์ อย่าไปบอกว่า ชั้นไหน ไม่ต้องนับชั้นหร๊

อก เ
อาแค่ปลายๆ กากเดนสวรรค์ เศษๆ สวรรค์ก็พอแล้ว ให้อยู่รอดเถอะ
เพราะอะไร ก็เพราะว่า วันๆ หนึ่ง ใจมันหลุดออกไปข้างนอกกาย อยู่ตลอดอยู่เนืองๆ ไม่

สำเหนียกสำนึก ไม่ตระหนัก คิดระลึก ว่า เอ นี่ เราออกไปหานรกทำไม นึกถึงคนนั้น

นินทาคนนี้ ด่าคนนู้น ทะเลาะกับคนนู้น โลภโมโทสัน ไล่เรื่อยไปเลอะเทอะ
ทั้งหมด นี่มันเป็นนรกทั้งนั้น มันเป็นความทุกข์เดือดร้อนของตัวเองทั้งนั้น มันเป็นการทำ

ร้ายตัวเองทั้งนั้น คนไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็ไม่ระลึกถึง ก็พูดแต่ หลวงปู่ ที่จริงพูดเรื่องนี้

เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว99,999 แล้วนะเนี่ย เฮอะ ใช่ไม๊ กูว่า กูพูดเยอะมากนะ อ้าย

เรื่องที่จะมีสติในกาย ตระหนัก สำเหนียก ระลึกถึงว่า อย่าสร้างนรกใส่ตัวเอง ให้รู้จักหา

สวรรค์ใส่ตัวเองบ้าง
วันทั้งวัน  อยู่ว่าง ก็อย่าส่งใจออกไปนอกกายมากนัก ให้ตระหนักระลึกนึกถึงอยู่ว่า เอ นี่เรา

นั่งอยู่ นั่งอยู่อย่างมีสติไม๊, เรายืนอยู่ เรายืนอยู่อย่างมีสติไม๊, เรานอนอยู่ เรานอนอยู่

อย่างมีสติไม๊, เราทำอยู่ เราพูดอยู่ เราคิดอยู่, ทำ พูด คิด ของเรา ผิดพลาดหรือไม่ มี

สติยับยั้งกำกับพฤติกรรม กาย วาจา ใจ มากน้อยแค่ไหน การกระทำของเราจะเบียดเบียน

ตน ทำร้ายคนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ ต้องวิเคราะห์อย่างนี้
นี่ วันทั้งวัน บางทีก็นั่งละเมอ เหม่อลอยไปเรื่อย นึกถึงผัว นึกถึงลูก นึกถึงครอบครัว นึกถึง

คนนั้น นึกถึงคนนี้ นึกถึงเมียคนนั้น นึกถึงว่า ญาติคนนี้ แต่ตัวเองอยู่ไหน ยังไม่รู้เลย
ถ้าคิดอย่างนี้ นี่มันตกนรกชัดๆ มันไม่ไปไหนเลย มัวแต่มานั่งวิเคราะห์
เดี๋ยวนี้ ไม่ได้นึกถึงคนอื่นหรอก นึกถึงว่า น้ำมันจะมาไม๊ๆ กูต้องรีบกลับไป หาวิธีกันน้ำ

ท่วมหรือไม่ ต้องไปซื้อถุงกระสอบทราย ซื้ออิฐเตรียมไว้หรือไม่ เพราะว่า รัฐบาลเค้าก็

พยายามกรอกหูว่า มาแล้ว มาแล้ว ระวังให้ดี เตรียมตัว
เตรียมหรือยัง คุณมนัส เตรียมแล้วเหรอ เตรียมทำอะไรล่ะ ไมค์ไม่เปิด
 คุณมนัส    เตรียมแล้วฮะ แต่ผมน่ะ เฉยๆ
หลวงปู่    เพราะ
คุณมนัส    เพราะผมเชื่อว่า มันไม่ท่วม ผมมั่นใจอย่างนั้น
หลวงปู่    เหรอ
คุณมนัส    เพราะปกติเนี่ย ผมอยู่นนทบุรีนะฮะ ปกติ 11 กันยายน มันนองไปทั้งทุ่งแล้ว

ฮะ ทั้งนนฯล่ะครับ แต่ว่า 11 ตุลา อีกไม่กี่วันแล้วนะครับ ท่านหลวงปู่ มันยังไม่มาเลย

มันมาเฉพาะพวกที่บ้านอยู่ริมแม่น้ำ นั่นก็เป็นวิถีของเค้าอยู่แล้วที่เค้าเผชิญ งั้น ผมก็มั่นใจว่า

มันไม่มา
หลวงปู่    มันไม่มานะ
คุณมนัส    แต่อ้าย “แกมี” มันกำลังจะมา ก็ไม่รู้ว่า มันมีอะไร แต่ว่า “แกมี” ตอนนี้

ล่าสุดที่ผมฟังเมื่อเช้านะครับ กรมอุตุฯ พยากรณ์มาล่าสุด ก็หย่อมความกดอากาศมันไม่ดึง

ลงไปที่ลาวแล้วนะครับ มันซัดไปที่กัมพูชาเลย แล้วก็บ่าย 2 วันนี้ จากเดิมที่เค้าบอกว่า 4

ทุ่ม มันจะขึ้นที่สระแก้ว ที่บ้านเรา ตอนนี้ก็กลายเป็นว่า จะไปโผล่บ่าย 2 อีกไม่กี่นาทีที่

สระแก้ว ตอนนี้ เค้าก็ประกาศอพยพคนล่ะ เริ่มหนีไปอยู่ตามที่ปลอดภัย ตามที่เค้าเตรียม

เอาไว้ ก็เป็นการเตรียมพร้อมอย่างหนึ่ง ท่านหลวงปู่
งั้น วันนี้ ที่ท่านหลวงปู่ปรารภตั้งแต่ตอนต้น บอกว่า ทำไมคนมาวัดอ้อน้อย น้อยจัง ผมว่า ก็

เป็นส่วนหนึ่งแหละที่รัฐบาลเค้าเป่าประกาศเอาไว้บอกว่า 7-8 ตุลา ฯ คนกรุงเทพฯ

ปริมณฑล ก็อย่าออกจากบ้านก็แล้วกัน เค้าก็เลยไม่มาวัดอ้อน้อย นี่ก็เป็นผลพวงอย่างหนึ่ง

ทำให้เราก็ได้รับผลกระทบ แต่ผมเชื่อว่า คนที่มาวัดอ้อน้อยวันนี้ เป็นคนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่

คนในวัดที่ทำตัวทั้งกาย ทั้งวาจา ใจ เหมือนคนอยู่นอกวัด จริงไม๊ครับ ถ้าจริง ตลบมืให้ตัวเอง
เห็นไม๊ฮะ ท่านหลวงปู่ งั้น ที่หลวงปู่พูดมา มันบั่นทอนใจ ท่านหลวงปู่ต้องสร้างกำลังใจหน่อย
หลวงปู่     อยากให้บั่นทอน
คุณมนัส     อยากให้บั่นทอน จะได้ทดสอบจิตไปด้วย
หลวงปู่    ไม่ รกคน ดีกว่ารกหญ้า
คุณมนัส     นี้ รกหญ้า ต้องตัดหญ้า
หลวงปู่     รกคนบ้าๆ รกหญ้าดีกว่า
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    ชั้นน่ะ ไม่ได้อยากอะไรเลย ใครจะมาอยู่จะไป ไม่ได้สนใจหรอก ต้องมีคุณภาพ

ถ้าอยู่แล้วมีคุณภาพ ไม่อยู่ก็มีคุณภาพ แต่ถ้าอยู่แล้วไม่มีคุณภาพ ไปตายซะเถอะ
คุณมนัส    อย่าอยู่ซะดีกว่า
หลวงปู่    เออ มันทำร้ายสังคม ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ทำให้เปลืองทรัพยากร เปลืองบรรยากาศ

เปลืองวิถีคิด วิถีชีวิตของชาวบ้าน
มนุษย์นี่ ถ้ามันไม่ได้ดีเพราะว่ายี่ห้อหรอก คุณมนัส, มันได้ดีเพราะว่า มันต้องทำดี พูดดี

คิดดี มันจึงจะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ออกมาเป็นลูกคน แล้วก็บอกว่าเป็นมนุษย์ ไม่ได้
จะบอกว่า ให้กำลังใจ ให้กำลังใจคนไม่ดี มันจะให้ไปทำไม
คุณมนัส    แต่คนที่นั่งอยู่นี่ ผมว่า ก็ดีเป็นส่วนใหญ่
หลวงปู่      ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก
คุณมนัส     อ้าว ใครที่คิดว่าตัวเองไม่ดี ยกมือให้ดูหน่อย
หลวงปู่    ไม่ดีเท่าไหร่หรอก ถ้าดีๆ เค้าไม่มาวัดนี้หรอก คุณ
คุณมนัส     ส่วนน้อย
หลวงปู่     มันไปนู่น ธรรมกาย ไปไหนต่อไหน ที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ค่อยเต็ม คือ

อยากบอกว่า ที่นี่ เค้าไม่ค่อยเอาใจคน แต่เค้าเอาใจมนุษย์  คนน่ะ ไม่เอาใจ ก็บอกแล้วว่า

ถ้าคนดีน่ะ อยู่ที่ไหนก็ดี เขียนบทโศลกเอาไว้ว่า
ลูกรัก อ้ายคนดีเนี่ยนะ ร้อยคนเนี่ย มันอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครเดือดร้อน อ้ายคนไม่ดีคนเดียว

มันทำให้คนดีเป็นหมื่นเป็นแสนคนเนี่ย เดือดร้อนเสียหาย เพราะฉะนั้น
คุณมนัส   ใครฮะ
หลวงปู่    หา
คุณมนัส    ใครฮะ มีใครอยู่ในใจไม๊ฮะ
หลวงปู่    มี๊
คุณมนัส    เดี๋ยวผมกำลังจะไป เผื่อจะได้เจอ
หลวงปู่     มันไปอยู่นู่นแล้วไง มันไปอยู่ปู๊นนู่นแล้ว
คุณมนัส     เดี๋ยวผมจะไป
หลวงปู่     รู้สึกว่าจะย้ายไปอยู่ฮ่องกง อ๋อ จะไปฮ่องกงเหรอ
คุณมนัส     จะไปฮ่องกง ก็เลยวันนี้น่ะฮะ ก็เลยต้องมาขออนุญาตเทปรายการวันนี้ก่อน
หลวงปู่      อ๊อ จะไปขอตำแหน่งอะไรเค้าเหรอ
คุณมนัส   ไปขอตำแหน่ง อยู่นี่น่ะดีแล้ว ให้หลวงปู่ด่าผมอย่างนี้ ผมชอบ ไปนู่นเค้าด่า มัน

ไม่อร่อย
หลวงปู่   เออ อันนี้ไม่ได้ด่า แต่พูดให้ฟังว่า จริงๆ แล้ว มันเป็นความจริงที่พูดให้ฟัง คนเรา

มันไม่ดีแล้วมันตกนรกไม๊ล่ะ ใจไม่ดี จิตไม่ดี ความคิดไม่ดี วิธีกรรมไม่ดี พฤติกรรมไม่ดี

กิริยาอาการไม่ดี มีชีวิตอยู่อย่างไม่ดี มันไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นอย่างเดียว มันทำร้ายตัวเอง

ด้วย แล้วอยู่แบบโง่ๆ อยู่ทำไม๊ อยู่ทำไม ไม่รู้จะทำยังไง ก็เข้าไปข้างในครัว เอากะปิอัด

จมูกให้ตายไปซะ ก็หมดเรื่อง เค้าเรียก ตายเหม็น ตายให้เหม็นตาย มันไม่ดีแล้วอยู่ทำไม

มีชีวิตอยู่ ก็จะเปลืองอากาศหายใจของชาวบ้าน
มันต้องมีดีซักอย่าง ให้คนเค้าระลึกได้ คิดได้ ไหว้ได้ กราบได้ บูชาได้ อย่างน้อยก็น้อม

ระลึกได้ว่าเออ อ้ายพวกนี้มันจะดีตอนตาย ดีก่อนเผา ดีก่อนเผาประมาณซัก 1 นาที
คุณมนัส    ยืนไว้อาลัย
หลวงปู่     ยืนไว้อาลัย
คุณมนัส    นึกถึงความดีของคนจะตาย
หลวงปู่    มันนึกไม่ออก พวกนี้มันจะหาความดีเอาตอนตาย อ้ายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีแต่

คนก้นด่า พอตายแล้ว ให้คนมาระลึกถึงความดี แล้วมันจะเจออะไร งั้น มันต้องมีดีบ้างติดตัว

อย่างน้อยเราไม่เห็นคนอื่น คนอื่นเค้ามองเราไม่ใช่เป็นคนดี แต่เราก็มีดีของเราในตัวเรา

อ้ายดีของเรา ต้องเป็นดีที่เราพึ่งได้ ดีพึ่งได้ คือ ดีที่ข้ามภพข้ามชาติ ดีที่ต้องไม่ตกต่ำ ดีที่

ต้องไม่โดนสาปแช่ง ไม่โดนทำร้ายทำลายจากนรกหมกไหม้นั่นแหละ
อ้ายนี่ มันหาดีไม่ได้ มันใช้ไม่ได้ มนุษย์น่ะ มันต้องพัฒนา ลูก
ที่พูดให้ฟังนี่ ไม่ได้ด่านะ แช่ง
คือ แช่งให้เห็นความเป็นจริงว่า มนุษย์เราเนี่ย ถ้าไม่พัฒนาจิตวิญญาณ แล้วปล่อยให้ตัวเอง

จมปลักอยู่ในราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา, คนทุกคนน่ะ มันมี, แต่มันต้องดึงตัว

เองออกมาจากอ้ายเครื่องผูก เครื่องรัดบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้จมปลัก แล้วก็วันทั้งวัน มีแต่เรื่อง

กิน กาม เกียรติ โกรธ แสวงหาของที่โปรด แล้วก็ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
คือ พูดง่ายๆ ก็คือ เหมือนกับหนอนที่อยู่ในหลุมขี้ แล้วไม่คิดจะโผล่ให้พ้นเลย พระพุทธเจ้า

ท่านสอน ท่านเตือน ท่านบอกให้เห็น ชี้ให้เห็นว่า เมื่อธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว มัน

จะทำให้หมู่หนอน หัวดำ หัวขาว ไต่มาตามชายจีวร ออกจากหลุมมูดคูตและกองขี้ แล้ว

พระองค์ก็ทรงชี้ว่า อ้ายลาภสักการะ ยศ เกียรติ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง หรือ โลกธรรมทั้ง 8 นี่

มันเหมือนกับมูดคูต เหมือนหลุมขี้ อ้ายหมู่หนอน หัวดำ หัวขาว ก็คือ เห็นธรรมะ มีธรรม

เป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกราะ มีธรรมเป็นเครื่องระลึก ก็หนีออกจากลาภสักการะ มาไต่ชาย

จีวรของพระองค์
เล่าให้ฟังหลายรอบ เป็นครั้งที่กี่พัน กูเห็น ก็มีหมู่หนอนไต่จากชายจีวรลงหลุมตลอดเวลา

ไม่ค่อยได้ขึ้นจากหลุมเท่าไหร่ นี่มันเป็นเครื่องที่ชี้ให้เห็นว่า สติปัญญาเราไม่ได้พัฒนาขึ้นน่ะ

ลูก
ก็บอกแล้วว่า ที่นี่ เอาคน ไม่เอาตังค์ เอาแต่คน คือ คนต้องมีคุณภาพ คนต้องเป็นคนที่พัฒนา
ไม่ดี มาได้ แล้วต้องพัฒนาขึ้นจากไม่ดี ไปสู่ดี
ไม่ใช่ไม่ดี แล้วก็เลยอัปรีย์หนักกว่าเก่า แล้วไม่คิดจะพัฒนาให้สูงขึ้นเลย อย่างนี้ ไม่ได้
แล้วพระพุทธศาสนานี้ จะมีประโยชน์อะไร พระพุทธศาสนานี้ คุณมนัส ไม่ได้เอาใจคน
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    ไม่ได้มาให้กำลังใจคน พุทธศาสนานี้ชี้ถูก ชี้ผิด ชี้ถูกให้เห็น ชี้ผิดให้ละ ชี้ถูกให้ทำ

แล้วอะไรควรทำและไม่ควรทำ
แล้วอีกเรื่องหนึ่ง เรื่อง สมณะสารูป พระ ไหนๆ พูดก็เอาซะเลย
คุณมนัส     ครับ
หลวงปู่    เมื่อเช้า เดินบิณฑบาตร โอ้โหย บึ่งมอเตอร์ไซด์ ใส่หมวกแก๊บมาเลยเชียว ถาม

จะไปไหนน่ะ หลวงพี่, จะไปช่วยร้านค้าข้างนอก อื๊ม มึงนี่ไม่มีสมณะสารูปเลย อยากจะ

ตบด้วยฝาบาตร
คุณมนัส    พระซิ่งมอเตดร์ไซด์เหรอฮะ
หลวงปู่     ก็ที่วัดนี้ มีที่เยอะไง เค้าอยู่หลังวัด ถ้าจะเดินไปหน้าวัด ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงไง
คุณมนัส    ก็เลยซิ่งมอเตอร์ไซด์เอา
หลวงปู่     เอ่อ แล้วก็แถมใส่หมวกแก๊บ คือ ไม่มีสมณะสารูป ไม่ได้ระลึกถึงว่า อะไรควร

ไม่ควร
คุณมนัส    ปั่นจักรยานนี่ ได้ไม๊ฮะ
หลวงปู่     ปั่นจักรยาน ก็มี
คุณมนัส    ได้ไม๊ฮะ
หลวงปู่    มีทั้ง 2 เลย
คุณมนัส    วันก่อนผมขับรถสวนออกไป เผอิญเจอปั่นจักรยานด้วยนะฮะ
หลวงปู่     เอ่อ ดีว่าที่นี่ไม่มีม้า มันมีแต่วัวกับควาย ถ้ามีม้า ก็ขี่ม้า
คุณมนัส   จริงๆ แล้ว มันไม่สมควร ถูกไม๊ครับ
หลวงปู่    ที่จริง มันมีวัว มีควาย มันก็ขี่ได้ เพราะเค้าขี่ม้ากันแล้ว เราก็ขี่วัวขี่ควายเลย อยาก

ให้มันเหมาะสม จริงๆ น่ะ มันทำได้ ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัย แต่ให้มันมีสมณะสารูป คือ

เวลาไหนเหมาะ เวลาใดควรไม่ควร ไม่ใช่ คือ ในเวลาที่ชาวบ้านเค้ามากันเยอะแยะๆ อย่างนี้

เราไปนั่ง เออ แต่ถ้าชาวบ้านเค้าไม่มี เรามีภาระกิจเร่งด่วนอะไร จำเป็นอยู่ในวัดน่ะ ไม่

เป็นไร ทำไปเฮอะ แต่นี่ชาวบ้านเค้ามากันบานเบอะ มันก็ปั่นเรื่อยของมันไป ไม่ได้ใส่ใจ

อะไร เค้าเรียกว่า ไม่มีหิริ ความละอายชั่ว ไม่มีโอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
งั้น นักบวชกะเลวกะราด เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก มีทุกวัดน่ะ มันมีทุกวัด เมื่อ 2 วันก็ได้ยินข่าว

หนังสือพิมพ์  เมื่อวานซืน วัดแถวๆ อะไรในกรุงเทพฯ สีกามานอนอยู่ในกุฏิ เมา อ่านข่าว

เจอไม่ใช่
เหร๊อ
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    เออ ชั้นดูเค้า ว่าข่าวให้ฟัง เมา สีกาตีหัวด้วยอะไรไม่รู้ เออ ต้องไปเย็บจนชาวบ้าน

เค้าร้องตำรวจมาจับเป็นเรื่องเป็นราว งั้น นับวันมันยิ่งอยากขึ้น สติพอไม่อยู่กับกายแล้วเนี่ย

มันส่องออกไปข้างนอก มันจะไปรับเอาเครื่องอยากๆ มาใส่ตัว
เหมือนกับมีบ้านสักหลังหนึ่ง อยู่บนเนินเขา แล้วก็ประตูหน้าต่างไม่มี แล้วก็ปล่อยให้ลมมัน

หอบเอาฝุ่นละออง ผงธุลีมาซัดใส่เต็มไปหมด แล้วก็มาบ่นว่า สกปรกเหลือเกิน รกเหลือเกิน

ทรมานเหลือเกิน ขยะเต็มไปหมด แต่ตัวเองไม่ปิดประตูหน้าต่าง ไม่ป้องกัน แล้วมันจะมา

บ่นอะไร แล้วดันไปอยู่ในที่ๆ รับทั้งลมทั้งแดดทั้งฝนทั้งพายุทั้งฝุ่นละอองผงธุลี คือไม่ระมัด

ระวังตัวเอง
พระพุททธเจ้าจึงบอกว่า ให้มีความสำรวม สำรวมสังวรณ์ระวังตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้

กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ นอกจากสำรวมแล้ว ยังต้องระมัดระวังตัว

เอง เค้าเรียกว่า วิเวก มี กายวิเวก จิตวิเวก แล้วก็ อุปธิวิเวก  ให้รู้จักสงัด สงบ ระงับ ไม่ใช่

จะไปคร่ำหวอดอยู่กับเริ่องนินทา ว่ากล่าว ตำหนิ ติฉิน ด่าชาวบ้าน ระรานไปทั่ว หรือไม่ก็

ทำตนเป็นคนปากอยู่ไม่สุข เอาเรื่องของชาวบ้านมาใส่ปากตัวเอง หานรกใส่ปากอยู่ตลอด

เวลาไม่หยุดหย่อน แล้วตัวเองก็ตกนรกหมกไหม้อยู่อย่างนั้นแหละ
บางคนนี่แย่หนักกว่าเก่า เป็นนักบวชด้วยนะ ก็ยังทำตัวน่ารังเกียจ ไม่ได้ทำตัวให้เป็นที่

เคารพเทิดทูนบูชา เรียกว่า มือถือสาก ปากถือศีล
งั้น ที่เล่าเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้ให้ฟัง ก็เพื่อจะเตือนให้เห็นว่า อ้ายใจที่มันออกไปนอกกายเนี่ย

มันทำชั่วได้สารพัด ใจที่มันหลุดออกไปนอกกาย มันไม่มีสติ คือ มันไม่มีสติอยู่ในใจ มัน

ไม่มีสติอยู่ในวาจา ไม่มีสติอยู่ในกาย มันพูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว แล้วก็ดำริเรื่องชั่วๆ ออกมา

อยู่ตลอดเวลา แล้วทำร้ายคนอื่นไม่พอ ก็ทำลายตัวเอง ไม่ใช่แค่ชาติเดียวนะ มันข้ามภพ

ข้ามชาติ ไม่จบไม่สิ้น
แล้วไปทำ ทำไม กรรมฐานมาเรียนกันทุกเดือน เรียนกันทุกเดือนน่ะ อาทิตย์ต้นเดือน

อาทิตย์กลางเดือน อาทิตย์ที่ 4 ของเดือน อะไรไม่รู้ เรียนกันทุกเดือน กลับไปเหมือนเดิม
ต า ย  เหนื่อย  มอ จบ
คุณมนัส   เอาล่ะ เริ่มละ ผมจะบอกว่า วันนี้ วิถีธรรม วิถีไทย ก็คือ เป็นโอกาสพิเศษ เพราะ

ว่า เรามาเจอกันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม, 7 ตุลาคม แต่จะบอกว่า เป็นตุลาคมที่

ถ้ามองทางโลกภายนอก ไม่ใช่โลกทางธรรม ก็ต้องบอกว่า เป็นเหมือนกับปีงบประมาณ

ใหม่นะครับ เพราะเริ่มตุลาคมใหม่ ไตรมาสสุดท้ายก็คือ 3 เดือนสุดท้ายของปี คือ ตุลาคม

พฤศจิกายน ธันวาคม แบบนี้ ข้าราชการเกษียณ ทำงานมาทั้งชีวิต ก็อำลาไป อยู่บ้าน หลาย

คนก็เคว้งคว้างล่ะ ทำตัวไม่ถูก ข้าราชการใหม่ก็กำลังต้องเริ่มต้นใหม่นะครับ
วันนี้ท่านหลวงปู่พุทธะอิสระของพวกเราก็เปิดฉาก วันนี้เหมือนกับจะชำระอะไรบางอย่าง

นะฮะ ทั้งคนทั้งพระ โดนหมด เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องแปลกใจ
หลวงปู่      งบประมาณใหม่ ปีงบประมาณใหม่ไง
คุณมนัส    เดี๋ยวจะมีใหม่ขึ้นมาอีก เพราะงั้น ถือว่า แค่นี้ยังเบาะๆ นะครับ ยังเบาะๆ ยัง

ธรรมดา ลูกศิษย์หลวงปู่ก็
หลวงปู่     แต่ชั้นไม่ค่อยพูดนะ คุณ คนที่มาอยู่เนี่ย บางทีชั้นไม่รู้จักนะ ชื่ออะไร ยังไง ไม่

เคยสนใจไปถามไปไถ่ ไม่เคยไปทัก ไปพูดไปคุย ไปจู้จี้สุงสิง ใครอยากอยู่ ก็อยู่ อยู่แล้ว

ทำประโยชน์แล้วกัน อย่าทำเรื่องเลวร้าย อย่าทำให้เสียหาย แล้วก็รักประโยชน์ตัวเอง ดูแล

ประโยชน์ตัวเอง อย่าไปเอาเปรียบชาวบ้าน ก็เขียนไว้หน้าวัดว่า
อยู่ที่นี่ พึ่งตัวเองได้ แล้วเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
ปราบพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ดำรงค์สติ ดำริเป็นสัมมา
มันทำไม่ได้ซักข้อเลย ทำไม่ได้ทั้งนั้น
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    มีเอาไว้เฉยๆ เอาไว้อ่านเฉยๆ พวกนี้มันต้องต้มน้ำให้ซด ซดก็ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็

เยี่ยวออกหมด
คุณมนัส   ทำเป็นน้ำยาครับ
หลวงปู่    หา
คุณมนัส   น้ำยาปรับสติ
หลวงปู่    อุ๊ย อย่างหนา
คุณมนัส   น้อยไปเหรอฮะ
หลวงปู่    คือ คนเนี่ยนะ ชั้นกำลังจะชี้ให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ว่า ถ้ามันไม่มีกุศลอยู่ในใจ

เป็นทุนเดิม แล้วมันมีอกุศลอยู่ในใจเป็นทุนเดิม มันยากที่จะพัฒนาแล้ว
งั้น จะพยายามให้ตาย  สุดท้าย มันก็ไม่วายที่จะตกต่ำ เพราะว่า จิตนี้ มันเหมือนกับน้ำ มัน

ไหลลงที่ต่ำเสมอ ถ้าเราไม่มีสติ ไม่ขยันฝึกสติ  ไม่ประคับประคองตัวเอง ไม่ระมัดระวังตัว

เอง เดี๋ยวก็แว๊บ ๆๆ เดี๋ยวก็เผลอ ไม่เชื่อ ถามตัวคุณก็ได้ มันแว๊บอยู่ตลอดเวลา
แล้วถ้าหากว่า ไม่ระมัดระวัง ไม่เตือน ไม่มีใครมาตักเตือน ไม่มีใครมาชี้บอกกล่าว แล้วยิ่ง

เป็นคนที่ถือตัวถือตน มีมานะทิฏฐิ ยะโส อวดดี ทรนง จองหอง เย่อหยิ่ง ว่ายาก สอนยาก

อ้ายพวกนี้ ยิ่งเป็นดอกบัวเหล่าสุดท้ายเลยล่ะ
คุณมนัส     ภาษาอังกฤษบอก พวกมีอีโก้เยอะ
หลวงปู่     อีโก้ อ้ายโก้ ไม่รู้ล่ะ แต่ที่รู้ มันรอเน่าอย่างเดียว มีชีวิตรอเน่า จมอยู่ในใต้ก้นบึ้ง

ของโคลนตม ให้เป็นอาหารของเต่าและปลา เพราะพัฒนาไม่ได้
งั้น คนเรถึงต้องมีความอ่อนน้อมถ่มตน ทำไมเราต้องมากราบไหว้พระ ต้องมาบูชาครู ต้อง

มานบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องมาตระหนักสำนึกระลึกรู้ถึงคุณพ่อแม่ คุณครูบาอาจารย์

เพราะมันจะทำลายอ้ายอีโก้ อ้ายโก้ลงไง มันจะทำลายอ้ายความยะโส อวดดี จองหอง ทรนง

เย่อหยิ่ง อ้ายมานะทิฏฐิทั้งหลาย มันจะโดนลดลงไปด้วยการได้กราบได้ไหว้ ได้ทำ

การนอบน้อม
หลวงปู่ เลยเขียนบทโศลกสอนไว้ไง ว่า
หัวใจสำคัญของคุณธรรม สัจธรรม ศีลธรรม และพระบริสุทธิธรรม ก็คือ ความอ่อนน้อม

ถ่มตน
งั้น ถ้าเรารู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่มตนเป็น มันก็จะทำให้เรารู้จักเป็นคนที่นอบน้อม รับฟังคำ

อบรมสั่งสอน มีใครว่ากล่าวตักเตือนชี้นำ แทนที่จะไปตำหนิติว่าตอบแทน หรือ ไปเถียงเค้า

ก็ควรจะย้อนกลับมาดูตัวเรา เออ เค้าหวังดีนะ เค้าเตือนเราให้รู้ นี่เราต้องแก้ไขว่า ตัวเราผิด

ไม๊ เราบกพร่องสียหายอย่างที่เค้าพูดให้เราฟังหรือไม่ หรือ ที่เค้าด่า เค้าว่า เรามีเป็นแบบ

นั้นหรือเปล่า มันต้องมองตัวเอง
เค้ามีกระจกเงาให้ส่องตัวเอง แต่แทนที่จะนึกว่า นั่นคือ กระจกเงาที่ซื่อสัตย์ กลับกลายเป็น

ทุบระจก อ้ายคนหน้าไม่ดี ไปส่องกระจก ไปโทษกระจก ว่า มึงทำให้หน้ากูไม่ดี แล้ว

ทุบกระจกแตกอย่างนี้ ให้มันทุบแตกไปร้อยบาน มันก็หน้าไม่ดี
เพราะฉะนั้น มันต้องมาแก้ไขที่หน้ามัน ไม่ใช่ไปแก้ไขที่กระจก
งั้น หน้าที่ของ พระ ในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เป็นผู้เพ่งโทษ ภิกษุ คือ ผู้เพ่ง

โทษ ชี้โทษให้เห็นว่า ผิด ถูก เป็นอย่างไร แล้วต้องแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนิสัยอย่างไร

จะไปโทษกระจกไม่ได้ เห็นบางทีพระเค้าเตือน ก็ไม่ชอบใจ โวยวายอะไรเรื่อยเปื่อย
ก็บอกแล้ว คนดี มันไม่เข้าวัดนี้หร๊อก คนดีๆ มันไม่เข้าวัดนี้ ที่เข้าวัดนี้ ส่วนใหญ่ ดียิ่ง
คุณมนัส    ดียิ่ง
หลวงปู่    ดียิ่ง ดี ยิ่ง
คุณมนัส     ก่อนจะมาวัด ขับรถมากับคุณแม่ก็ วันนี้คุณแม่มาด้วย ก็คุยมาในรถเหมือนกัน

พอพูดถึง ขออนุญาตยกตัวอย่าง หลานสาวตัวเองครับ ท่านหลวงปู่ อยู่ต่างจังหวัด แล้วก็มา

เรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่ที่บ้านด้วย พอปิดเทอม ความที่เราเป็นอา เราก็ไม่อยากให้

หลานกลับบ้านต่างจังหวัด เค้าก็อยากกลับบ้านต่างจังหวัด จุดประสงค์หลักก็คือ 1. กลับ

ไปเจอพ่อกับแม่ อันนี้ผมพอเข้าใจได้ 2. คือ จะกลับไปทำบุญที่วัดหลวงตา หลวงปู่ท่าน

หนึ่ง คุณแม่ก็เลยถามว่า แล้วไปทำบุญกับพระรูปนี้ที่เคยไปบ่อยๆ เนี่ย พ่อแม่พาไปเนี่ย

ได้ประโยชน์อะไร ไปทำอะไร
หลานสาวก็บอกว่า ไปทำบุญ ก็ได้บุญ แม่ผมก็ไม่เถียง แม่ผมก็อธิบายต่อไปว่า แล้วไปทำ

บุญกับพระรูปนี้ เท่าที่ย่าสังเกตุดู คือ พระท่านก็ลงมา รับฉันปกติ เสร็จ แม่ผมก็ถามต่อว่า

ก็ไม่เห็นท่านสอนธรรมะอะไร แล้วก็ญาติโยมไปกันเยอะมาก เยอะกว่านี้อีกนะฮะ เยอะ

มากนะครับ แล้วก็ทุกคนก็ประเคนประโคมถวายกัน เสร็จแล้วก็กลับ แล้วก็ถามว่า ไกลไม๊

ไกลมาก อยู่บนเขาอย่างนี้
ผมก็เลยมีความรู้สึกเหมือนกันว่า แล้วทำไมกับพระรูปหนึ่งที่นั่งอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้ ผมไม่

ได้เยินยอท่าน แต่ท่านกลับทั้งสอนทั้งตรง แล้วเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเสียด้วยซ้ำ ด่า

ซะบางทีเสียด้วยซ้ำ ด่าแรงด้วย บางคนมาใหม่ๆ ทนไม่ไหว เดินกลับออกไปก็มี แต่ถามว่า

ได้ประโยชน์ไม๊ ได้ประโยชน์ กับอีก เนี่ย หลานผมแท้ๆ ไปถึงนู่น บนเขา ก็ยังไป ยังดั้น

ด้นไป ก็เลยระหว่างทาง คุยกันมา แล้วตกลงเค้าได้ประโยชน์อะไร ท่านหลวงปู่ จะมีวิธี

อะไรจะชี้แนะ มีเคสแบบนี้ มีกรณีศึกษาแบบนี้เยอะๆ
หลวงปู่     ไม่ ก็บอกแล้ว คนเข้าวัดนี้ ส่วนใหญ่ ดียิ่งไง คือ ซาดิสท์
คุณมนัส    แต่เด็ก ก็เด็กนะครับ ผมเข้าใจเด็ก
หลวงปู่    ไม่ใช่ คุณสังเกตดูเฮอะ กิเลสนี่ มันชอบคำว่า เพราะ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม

รสอร่อย สัมผัสนุ่ม พวกกิเลสก็อยู่กับพวกชอบกิเลส
งั้น อ้ายที่เสียงไม่เพราะ รสไม่อร่อย สัมผัสไม่นุ่ม กลิ่นไม่หอม เนี่ย มันจะหาคนชอบมัน

ยาก
คุณมนัส    อย่างที่นี่ เน๊อ
หลวงปู่    เอ่อ อ้าว จริ๊ง จริง มันจะหาคนชอบ มันยาก เดี๋ยวตบซ้าย เดี๋ยวเตะขวา อะไร มัน

หาคนชอบยาก
คุณมนัส   ใช่ครับ จริงๆ ผมเคยไปครั้ง
หลวงปู่    ก็แบบเดียวกับยันตระ แบบเดียวกับยันตระ สมัยก่อน ยันตระเค้าดังๆ น่ะ โอ้โหย
คุณมนัส   ต่อมา ก็กลายเป็นตะเพิด
หลวงปู่      ไม่ อู้ย ใครๆ ก็ไปนะ รถติดเป็นสิบๆ กิโล โอ้โห ไป พระอาจารย์เนี่ย แม้จะยก

ผ้าเช็ดหน้านะ (...)
คุณมนัส   หลวงปู่ทำได้
หลวงปู่    กูนะ (...) มันคนละสไตล์ไง อ้ายนั่น มันลิเก (...) อ้ายพันธุ์ อ้ายเรา

มัน(...) เช็ดหน้า มันจะอะไรมากมาย ก็ลูบๆ ปืดๆ ก็จบล่ะ จะต้องไปจัดบรรจง โอ้โห

อ้ายนั่น มันมารยา มารยาสาไถ
แล้วพวกมารยาสาไถ ตายไม่สวยทั้งนั้นแหละ คือ มันมีสภาพไม่สวยไง อ้ายเรานี่ มันออก

มาจากหัวใจ อ้ายคนที่พูดจากใจ ไม่ค่อยมีใครชอบหรอก เพราะมันเสียดแทงใจ อ้ายคนที่

พูดด้วยมารยาการ พูดด้วย เค้าเรียก เล่ห์เพทุบาย พูดด้วยเป็นนักแสดงนี่ มันเป็นที่ชื่นชอบ

ของคนทั้งหลาย
มีไม๊ ลิเกคนไหน ออกมาจากโรงมาชี้หน้า ด่ากราดไปหมดแล้วใครจะมาดู มันก็ต้อง แหม

สวยมากทั้งๆ ที่เหนียงยาน หนังเหี่ยว แล้วก็ยังบอกสวยอยู่นั่นแหละ ไม่งั้น ก็ไม่ได้พวง

มาลัยคล้องคอ นั่นแหละ พันธุ์นั้นแหละ แล้วถามว่า พระเอกลิเกอย่างนี้คนชอบไม๊ ชอบ

ในมุมกลับกันกับอ้ายโจร 500 ที่ออกมาแสดงเป็นโจร 500 ตวาด กระทืบเท้า ไม่มี

ใครชอบมัน
คุณมนัส    ไม่มีใครให้พวงมาลัย
หลวงปู่     ไม่มีใครให้พวงมาลัยมัน เพราะฉะนั้น ถึงได้บอกไง ถ้าชั้นจะไปเล่นเป็นพระเอก

เป็นโจร
คุณมนัส    เป็นโจรง่ายกว่า
หลวงปู่    เป็นโจรง่ายกว่า แต่เป็นพระเอกนี่ เป็นยาก มันมารยาไม่เป็นไง เสแสร้งไม่ได้
คุณมนัส    แต่ไตรมาสสุดท้ายเป็นได้นะ ผมว่า, ลองดูซักหน่อยไม๊ฮะ
หลวงปู่    เป็นพระเอกเนี่ยนะ
คุณมนัส    เป็นพระเอก
หลวงปู่    โยมจะเอายังไงกับอาตมา..
คุณมนัส   ผมว่า พระประธานข้างหน้านี่ เสร็จเร็วแน่นอน ข้างโรงเจ
หลวงปู่     โยมว่ามา โยมจะให้อาตมาเล่นบทไหนล่ะ ว่ามาเลย
คุณมนัส     ไม่กล้าสบตาเลย
หลวงปู่    จริงๆ แล้ว ไม่ชอบ ชั้นไม่ใช่เป็นนักแสดง  ชีวิตก็คือชีวิต สิ่งที่ทำ คือสิ่งที่พูด,

สิ่งที่พูดคือสิ่งที่คิด, ทำ พูด คิด ต้องเรื่องเดียวกัน นั่นแหละ คือ หน้าที่ของพระ ถ้าพระ

พูดอย่าง ทำอีกอย่าง แล้วมาคิดอีกอย่าง เสแสร้งแกล้ง มีมารยาการ ตลบตะแลง โกหก

หลอกเค้ากินไปวันๆ อ้ายนั่นมันตัวตลก มันโจ๊ก มันเป็นพระเอกลิเกในโรง ถ้าเป็นเจ้า ก็เจ้า

ในโรง พอพ้นจากโรงก็คือ ขี้ข้า
ถ้าเราจะเป็นเจ้า มันต้องเป็นได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นขี้ข้า ก็ต้องยอมรับว่า เป็นขี้ข้า

ไม่ใช่มาอวดอ้างว่า ตัวเองเป็นเจ้า ไม่ใช่
คุณมนัส     แล้วจะชี้ทางหรือว่า จะโน้มน้าวใจอย่างไร
หลวงปู่    ก็ถึงได้บอกว่า คนที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่ ดี๊ ดี ดีเกินการ คือ พวกนี้ชอบแบบสมบุก

สมบันไง ชอบแบบซ้ายที ขวาที
คุณมนัส    ท่านหลวงปู่ อาทิตย์หน้า ไม่มีใครมานะครับ
หลวงปู่      โอย ไม่มีใครมา ชั้นก็เทศน์ให้จิ้งจกตุ๊กแกฟัง เออ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ใช่อะไร งั้น

อยากบอกว่า ชีวิตจริงๆ ของมนุษย์เนี่ย มันชอบใส่หน้ากากเข้าหากันไง ชอบโกหก ตลบ

แตลง หลอกลวง ตอแหลไปวันๆ อย่างนี้ เออ ชอบจังคนพันธุ์นี้ แต่อ้ายคนที่ไม่มีหน้ากาก

ไม่ต้องใส่หน้ากาก จะเป็นคนน่ารังเกียจของคนทั้งหลาย เพราะว่า มันไม่รื่นหู มันไม่ถูกกับ

รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนุ่ม
นี่มันเป็นตัวอะไร เป็นตัวอะไร
เป็นขันธมารนะ มารในขันธ์ทั้ง 5 นะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
พระพุทธเจ้าบอกว่า พวกนี้มันเป็นมาร นะ เพราะงั้น ถามว่า พระองค์นั้น ใส่บาตรแล้ว

ทำไมไม่พูดอะไร ยิ้มอย่างเดียว แสดงกิริยาเหมือนไม่เห็น นั่น มาร นะ ไม่ใช่พระ เพราะ

พระ มันต้องมีปฏิกิริยาบอก อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรไม่ควร จะมาจ๊ะจ๋า จ๊ะจ๋า ชั้นเปิด

วิทยุ วิทยุชั้นถีบพังไปแล้ว เปิดครึ่งชั่วโมง มันไม่ได้ทำอะไรเลย ชวนท่องเที่ยวอย่างเดียว

พอเหลือ 5 นาทีสุดท้าย แหม โยมจ๊ะ เสียเวลาไปตั้งเยอะเลย เลยไม่ได้เทศน์อะไรเลย  อู้หู

น่าเสียดายจังเลย โยมจ๋า อ้อ เหลืออีก 3 - 4 ที่นั่ง นะจ๊ะ รีบโทรฯมา
มันก็เลยมีความรู้สึกว่า อ้ายคนหลอกลวง ตลบแตลง มันเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป แล้ว

อ้ายคนที่ชื่นชอบสิ่งพวกนี้
โง่ หรือ ฉลาด
ไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนมีสติปัญญา คือ คนชอบกิเลสน่ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ชอบดู

หนังดูละคร เพราะเราไปหาพระ ก็คือ เราต้องการให้พระสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีของเรา ให้เรารู้

เพื่อเราจะได้แก้ไขปรับปรุง คำว่า เข้าวัตร, วัตระ แปลว่า ที่รวมแห่งการปฏิบัติ
ปฏิบัติอะไร, ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือ พัฒนาจากสิ่งไม่ดี ให้กลายเป็นสิ่งดี ไม่ใช่ไม่บอก

อะไร
มีคนมาเล่าให้ฟัง มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง องค์นี้ท่านไม่ว่าใครเลย ไม่ด่าใครเลย, หลวงพ่อ

อ้ายเด็กวัดมันขโมย, เออ ดีนะ,หลวงพ่อ ไฟไหม้ตลาด, เออ ดีนะ, หลวงพ่อ ไฟ

ไหม้วัดแล้ว, ไหนวะ
อ้าย ดีนะ นี่ไม่ดีนะ เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร เสียดายข้าว ถ้าหลวงปู่จะเลือกทำบุญ

กับอ้ายคนที่ด่า กับพระที่ด่าเก่งๆ กับพระที่ดีนะ ดีนะ เนี่ยนะ, โจรมาให้ ก็บอก ดีนะ,

คนดีมาให้ ก็บอกว่า ดีนะ, ชั่วมาให้ ก็บอก ดีนะ กับ อ้ายคนที่ไปหาพระองค์ใด แล้ว เออ

โจร แก้ซะนะ ไม่ถูก ต้องหาวิธีแก้ไข อ้ายคนดี ดีที่สุดมันเป็นยังไง ลูก ต้องแก้ไขปรับปรุง

ต้องเปลี่ยนแปลง
พระอย่างนี้น่ะ น่าทำบุญ แต่มันไม่ค่อยมีใครมาทำ เพราะมันกลัวโดนด่า กลัวโดนเป่าหู

โดนทำร้ายหู โดนเสียดแทงหู
งั้น อยากบอกว่า ทำไม่ได้ โกหก ชั่วชีวิต จะให้โกหก ตลบแตลง หลอกลวงเค้ากิน ให้เค้า

ศรัทธาเชื่อถือ ก็บอกแล้ว ไม่ได้อยู่ให้ใครศรัทธา ชั้นไม่ได้อยู่ให้คนอื่นเค้ามาศรัทธา แต่อยู่

เพราะว่า ไหว้ตัวเองได้ ศรัทธาตัวเองถูก ยืนมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะคนอื่นศรัทธา แต่

เพราะตัวเองศรัทธาตัวเอง ตัวเองไหว้ตัวเองได้ ศรัทธาตัวเองถูก จึงจะกล้าที่จะยืนได้ใน 10

ทิศอย่างองอาจสง่างาม ไม่ใช่กลัว หรือ หวาดผวา คอยหลบๆ ซ่อนๆ แล้วไม่กล้าจะ

แสดงออก อย่างนี้ ไม่ใช่
เคยบอกลูกหลานเสมอว่า ถ้าหลวงปู่ อยู่แล้วไม่ภาคภูมิ กูจะไม่อยู่ จะไม่ยอมหายใจ

หายใจแล้วอยู่ต้องภาคภูมิ อยู่อย่างองอาจสง่างาม ถ้าไม่องอาจ ไม่ภาคภูมิ ไม่อยู่หร๊อก อยู่

ไปทำไม เราไม่ภูมิใจในสิ่งที่เรามี ไม่พอดีในสิ่งที่เราได้ ไม่ภาคภูมิในสิ่งที่เราสร้าง เราแสดง

เราเกิด เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เรารู้ได้ด้วยตัวเราเอง
พระพุทธเจ้าจึงสอนไง อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ มันรู้ได้เฉพาะตน แล้วผู้บริสุทธิ์ ย่อม

สัมผัสถึงความบริสุทธิ์ของคนบริสุทธิ์
อ้ายผู้ไม่บริสุทธิ์น่ะ ให้พยายามให้ตาย มันก็เจอความบริสุทธิ์ เก๊ๆ ปลอมๆ ถ้าเราชอบ

ความบริสุทธิ์เก๊ๆ มันก็มีให้เกลื่อนกล่นไปหมดล่ะ ก็ถึงได้บอกว่า ในประเทสไทยมี

35,000 วัด มันโยมจ๊ะโยมจ๋าทุกวัด เว้นไว้สักวัด วัดอ้อน้อย เออ ไม่ต้องจ๊ะ ต้องจ๋า

หรอก มึงมาพาโวยอย่างนี้ จะเข้าก็เข้า ไม่เข้าก็เรื่องของมึง อ้าว เรื่องจริง จริ๊ง
คุณมนัส   แต่ผมว่า คนดียิ่ง ที่ท่านหลวงปู่บอก ผมว่า
หลวงปู่    หายาก
คุณมนัส    ไม่ได้หายาก ผมว่า หาได้ในวัดอ้อน้อยนี่แหละ เพราะว่า อะไรรู้ไม๊ฮะ เหมือน

กับจะรู้เลยที่หลวงปู่สอนมาโดยตลอด เหมือนจะรู้ว่า วันนี้หลวงปู่จะเทศน์เรื่องอะไร จะสอน

อะไรด้วยซ้ำไป
หลวงปู่     ทำไม
คุณมนัส     เพราะถามมา ดู
หลวงปู่    เหร๊อ
คุณมนัส    เหมือนเค้าจะรู้ว่า หลวงปู่จะพูดเรื่องสวดพระมาลัย การตกนรก การไม่ควบคุม

จิต คำถามที่ถามมาวันนี้นะครับ
มีปุจฉาว่า การที่หลวงปู่เมตตาสวดพระมาลัย แสดงให้เห็นถึงนรกขุมต่างๆ ให้ลูกหลานฟัง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยากเรียนถามว่า คนที่ต้องไปอยู่ในนรกขุมต่างๆ เหล่านั้น เค้าไปทำ

กรรมอะไรมาบ้าง จะได้หลีกเลี่ยงได้
และอีกปุจฉาหนึ่งถามว่า ถ้าการโกงที่ดินวัด
หลวงปู่    อืม
คุณมนัส    มันจะตกนรกขุมไหน แล้วถ้าเป็นข้าราชการไปร่วมโกงกับเค้า มันจะตกนรก

มากกว่าหรือน้อยกว่า อย่างไร
หลวงปู่    เค้าลาออกไปแล้ว
คุณมนัส    เค้าลาออกไปแล้ว
หลวงปู่    เออ
คุณมนัส    แล้วคนโกงเป็นนักการเมือง จะตกนรกน้อยกว่า หรือมากกว่าคนธรรมดา
หลวงปู่      เป็นไส้เดือน
คุณมนัส     เป็นไส้เดือนเหรอฮะ
หลวงปู่    เป็นไส้เดือน ชอน มุด แบกแผ่นดินอยู่ ที่จริง ก็เพราะเหตุปัจจัยที่พูดวันนี้ มันมา

จากเหตุปัจจัยของการสวดพระมาลัย อุตส่าห์สาธยายนรกให้เห็นถึง 8 ขุม แล้วมันยังไม่

วายเลย
อ้ายที่ยกเอานรก 8 ขุมมาให้เห็นโทษ เห็นภัยว่า มันยังไงๆ มีสภาพทรมานขนาดไหน

อายุขัยของนรกขุมที่ 1 จนถึงขุมที่ 8 แล้วยังมีนรกบริวารอีก 56 ขุม แต่ละขุม บาง

ขุมนี่นับอายุไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นอนันตสงไขย, 100 ปีมนุษย์ เท่ากับ 1 ชั่วโมง

นรก ยกให้เห็นชัดๆ แล้วก็ยังไม่วายไปทำอีก ไม่วายไปคิด ไม่วายไปตกนรก
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า อะไร ก็อ้ายที่พูด ก็ได้อุตส่าห์เทศน์ อุตส่าห์สอน อุตส่าห์สวดจนคอ

โป่งคอแห้ง นึกว่าจะเข้าใจ แล้วเรามาปรับตัวเองว่า เราจะแก้ไขตัวเองอย่างไรไม่ให้ตก

นรกหมกไหม้ ไม่ต้องไปอยู่ในกะทะทองแดง ไม่ต้องไปอยู่ในหีบเหล็ก ไม่ต้องไปอยู่ใน

ดอกบัวไฟกรดที่เผาไหม้ ไม่ต้องกลายเป็นเปรตที่มีดาบเป็นขน ให้ทิ่มแทงตัวเอง
กลับไม่สำนึก ไม่สำเหนียกว่า จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองยังไง มันจึงต้องพูดไง ต้องเตือนให้ฟัง

เพราะว่า เทศน์เป็นภาษาพระก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยต้องคุยเป็นภาษาคน คุยเป็นภาษาคน

เพื่อให้ตระหนักสำนึกว่า เออ นรก น่ะ มันมีจริงนะ ลูก ไม่ใช่ไม่มีจริง แล้วเราจะทำยังไงให้

ชีวิตเราไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง คือ วันทั้งวัน พูดง่ายๆ

ถ้าไม่อยากตกนรก
ให้ใจมันอยู่กับกายตัวเอง นั่งอยู่นี่ ก็ให้มันอยู่อย่างนี้ อย่าให้มันวิ่งออกไป หูฟังเสียง จมูก

ดมกลิ่น ลิ้นรับ กายสัมผัส อย่าให้มันออกไป ให้มันอยู่ ขังใจอยู่ในถ้ำ อยู่ในห้องใจนี้ อยู่ใน

กายนี้ แล้วเราก็ไม่ต้องไปตกนรกวันนั้น
สังเกตุบ้างไม๊ว่า สักวันหนึ่ง เราลองมาซ้อมดูซิ เอ่อ วันนี้ ไม่ตกนรกเว๊ย
ถึงได้บอกว่า วันที่ชั้นสวดแต่ละขุมเนี่ยนะ พอสวดจบ ชั้นถามเลย อ้าว ใบสมัครฯมีนะจ๊ะ

ใครจะเขียน เป็นสมาชิก เอ้า ไม่เชื่อ ถามเลย จริ๊ง ชั้นพูดจริงๆ เพราะว่าทุกวันนี้ แต่ละคนก็

นั่งอยู่นี่ แล้วไม่ได้นั่งอยู่นี่ ก็เป็นสมาชิกถาวรกันทั้งนั้นและ
แล้วทำยังไง จะบอกเลิก ไม่ให้เป็นสมาชิกนรก ก็คือ เอาใจมารวมอยู่กับกายเสียบ้าง
แล้วอ้ายใจรวมกายน่ะ วันหนึ่งมันได้กี่นาที, กี่นาที, หา, กี่นาที, โหย นะโม 3

จบ ยังไม่ครบเลย เนี่ย แสดงว่า เป็นสมาชิกอ้าย 8 ขุม ถาวรเลย ไม่รู้ว่า จะอยู่ขุมไหน

บ้างล่ะ มันต้องตกเข้าสักขุมหนึ่งแหละอ้าย 8 ขุมนี่ แล้วบริวารอีก
แล้วจะทำยังไง, 56 คูณ 8 คิดไปดูเถอะ เท่าไหร่, เท่าไหร่ล่ะ หา, 56 แปด

ครั้งน่ะ มันเท่าไหร่, เท่าไหร่เออ 448 ขุม มันต้อง เราต้อง jackpot สักขุม

หนึ่งแหละ วันหนึ่งละ แล้ววันหนึ่งต่อ 1 ขุม, วันหนึ่งต่อ 1 ขุม แล้วบางทีบางครั้งนี่

กลางวันขุม กลางคืนขุม เย็นขุม เช้าขุมหนึ่ง เที่ยงขุมหนึ่งนะ แล้วเมื่อไหร่มันจะพ้นสักทีล่ะ
วิธีพ้น ก็ไม่ยาก ก็เอากายกับใจมารวมกัน อย่าให้ไปซ่านตามตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้

กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์
อ้ายที่พูดนี่ ภาษาธรรมนะ ไม่ใช่ภาษาผีสางนางไม้ ผีห่าซาตานที่ไหน เป็นภาษาธรรมที่พูด

ให้เข้าใจกันลึกๆ ตรงๆ โต้งๆ แจ้งๆ ว่า เราจะทำยังไงไม่ให้ใจเราตกนรก
คุณมนัส    แล้วถ้าเกิดเวลานั้น จิตมันตกขึ้นมา
หลวงปู่     ก็มันตกทุกวัน
คุณมนัส    มันไม่ได้ตกในนรก แต่มันตกแบบฮวบลงไปเลย
หลวงปู่    มันตกทุกนาที
คุณมนัส    แก้ยังไง
หลวงปู่    แก้ยังไง
คุณมนัส    เก็บขึ้นมาได้ไม๊
หลวงปู่    เก็บสิ ใส่กระเป๋า อ้ายจิตตกของมนุษย์ คือ มันไม่มีสติ คนมันไม่มีสติ ไม่ฝึกสติ

ไม่สร้างสติ มันก็เป็นบริวารของสัตว์นรก ขุมนั้นขุมนี้อยู่ตลอดเวลา
คุณมนัส    หมายความว่า ไม่รู้จักสร้างจิตของตนเองให้เข้มแข็ง
หลวงปู่    ใช่ มันจะต้องมีสติ สร้างสติ ระลึกถึงสติ กำหนดสติ  มีสติ มีปัญญา มันก็นำพา

ชีวิตเราไม่ทำ พูด คิดให้ผิดพลาดไป ทีนี้ มันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา วันๆ ก็เอาออกไปตามตา

เห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ ก็ไปมันเรื่อย

เปื่อยอีร่ำต่ำฉิกไป
ถามว่า ไปนั่นน่ะ ไปไหน, ไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรอกนา มันลงนรกชัดๆ, 24 ชั่วโมง

ขึ้นสวรรค์สักกี่ครั้ง เอ้า ที่นั่งอยู่ในศาลานี้ เอ้า ถามจริงๆ เถอะ ไม่ต้องออกนอกศาลาเลย ที่

มันเหลือแค่นี้ ก็เพราะ ที่ไม่ได้มาน่ะ ไปหมดแล้ว
คุณมนัส    ขึ้นสวรรค์เหรอครับ
หลวงปู่      ไม่รู้ ไปสวรรค์หรือไปนรก ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถึงได้บอกว่า ถ้า 24 ชั่วโมง

เรากล้าที่จะยอมเป็นสมาชิกบริวารของนรกได้ถาวรขนาดนี้ ทำไมไม่คิดจะถอนไถ่ตัว

เองออกจากขุมนรกบ้าง เอาซะ 1 ชั่วโมง หรือ 1 นาทีใน 1 ชั่วโมงก็ได้, ชั่วโมงละ

นาทีๆ
ถามว่า ทำอะไร ทำยังไง จะไม่ต้องตกนรกใน 1 นาทีต่อ 1 ชั่วโมง
ให้กายกับใจ มันรวมกันซะเฉยๆ กายกับใจ มันนิ่งๆ รวมๆ กัน นิ่งๆ ร่มๆ เย็นๆ อยู่ภายใน

ไม่ต้องไปคิดอะไร ไม่ต้องระลึกอะไร ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไร ไม่ต้องไปตามรู้ ตามดู ตาม

เห็นสิ่งใด ให้มันสงบเย็น วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น เฉยๆ อยู่อย่างนี้ เท่านี้ ก็ทำกันไม่ได้
อย่าว่าแต่นาทีเลย บางทีทั้งปี เพิ่งนึกได้ครั้งเดียว แล้วอ้าย 365 วันมันไปไหน
ไม่รู้ไปไหน เพราะมันไปหลายขุมมากไง วันหนึ่งมันไปเที่ยวทุกขุมเลย บางคนนี่ วันหนึ่ง

ไปครบ 8 ขุมเลยนะ เออ แล้วแต่ขุมมันทำโทษทำผิดอะไรบ้าง ก็แล้วแต่จะคิดกันไป

ราคะก็พาไปอีกขุม โทสะก็พาไปอีกขุม โมหะก็พาไปอีกขุม โลภะก็พาไปอีกขุม
แล้วมีราคะ แล้วทำกรรมไม๊  มีราคะในใจแล้วทำกรรมด้วย ก็พาไปอีกขุม แล้วก็มีนรก

บริวารเป็นเหตุปัจจัยให้ตกจนหมดกรรม ถ้ามีราคะในใจ แต่ไม่ทำกรรม ก็ตกนรกอยู่ดีแหละ

เพราะใจนี้มันเสพอกุศล เพราะใจมันเศร้าหมอง ใจมันก็เสพอกุศล ใจเศร้าหมองก็ตกนรก

อยู่ดี
งั้น มนุษย์ นี่มันเป็นสัตว์ที่ต้องพัฒนา พัฒนาอยู่ตลอดเวลา มันหยุดนิ่งไม่ได้ เมื่อใดที่หยุดนิ่ง

ก็แสดงว่า มันต้องร่วงล่ะ ต้องหล่นล่ะ
เพราะงั้น มนุษย์ที่ชอบเสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนุ่ม เออ ทุกอย่าง

perfect หมด นรกชัดๆ มนุษย์นรก ถ้าไม่อยากตกนรก ก็มานี่ วัดอ้อน้อย แล้วนั่งอยู่

หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวมันฟื้นขึ้นมา
คุณมนัส    เหมือนหลวงปู่กำลังจะบอกพวกเราว่า ความทุกข์มันเป็นทุกข์แท้ แต่สุข มันคือ

สุขเทียม อย่างนั้นหรือฮะ
หลวงปู่      มันไม่มี๊ ความสุขมันไม่มี อ้ายความสุขที่มันเกิดน่ะ มันเกิดเพราะว่า ความทุกข์

มันน้อยลง ความสุขจริงๆ มันไม่มี, มันมีเพราะว่า ความพึงพอใจ ความพึงพอใจผสมกับ

ความทุกข์ที่มันลดน้อยลง เท่านั้นเอง ความสุขไม่มีจริงหร๊อก แต่ความทุกข์ มันมีอยู่จริงๆ

แล้วมันมีเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราทุกข์ไม่เลิก ไม่จบสิ้น
ที่พูดทั้งหมดเนี่ย มันเป็นเรื่อง อริยสัจ 4 เรื่องปฏิจสมุปบาท
เพราะเมื่อจิตนี้มันมีอวิชชา ก็ทำให้เกิดอะไรๆ
เกิดสังขาร การปรุง สังขารการปรุง แล้วมันทำให้เกิดวิญญาณ การรับรู้
วิญญาณ การรับรู้ ทำให้เกิด เออ นาม รูป
นาม รูป เกิด ก็เกิด สฬายตนะ
สฬายตนะเกิด ก็เกิดอะไร (ผัสสะ) เออ 
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
พอเกิดผัสสะ ก็เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน
หมดเนี่ย ชาติ ภพตามมาไม่จบไม่สิ้น นรกทั้งนั้น ไม่ไปชาติไหนเล๊ย
24 ชั่วโมงนี่ ตกนรกทุกชาติเลย ทุกครั้งที่ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ไม่มีครั้ง

ใดที่ ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส แล้วไม่มีอวิชชา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่

มีชาติภพ ไม่มีเลย
คุณมนัส    มันไปผูกกับเรื่องของกรรมด้วยไม๊ครับ ท่านหลวงปู่
หลวงปู่    หา
คุณมนัส    มันไปผูกกับเรื่องของกรรมด้วยไม๊ครับ เรื่องภพชาติ
หลวงปู่      อย่าไปโทษ, โทษตัวเอง โง่, กรรมน่ะ ใช่ มีส่วนหนึ่ง แต่ตัวเองก็มีชีวิตอยู่

ในปัจจุบัน มันเลือกได้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่เลือก ไม่เลือกที่จะทำ ไม่เลือกที่จะคิด ไม่

เลือกที่จะรู้ ไม่เลือกที่จะดู ไม่เลือกที่จะเห็น เราทำ คิด รู้ ดู เห็น แต่ทุกเรื่องโดยไม่เป็นประ

โยช์ต่อเราเลยจริงๆ เราก็พยายามจะแส่ไปดู เหมือนกับชั้นนั่งรถกลับมาจากแสดงธรรม

เราก็ว่า เอ๊ ทำไมรถมันติด จากพุทธมณฑลนะ
คุณมนัส     ครับ
หลวงปู่     อ้ายขาไป เราก็เห็นว่ารถน้ำมัน มันคว่ำอยู่ข้างทาง อ้ายขากลับจากแสดงธรรม

จบจากกระทรวงมหาดไทย กลับมา รถก็ยังติด อ้ายเราก็นึก เอ๊ หรือว่ารถมันชนกันอีกรอบ

หนึ่ง ที่ไหนได้ มันไม่ได้ชนกันอีกรอบหนึ่ง มันชนกันตั้งแต่เช้า แต่รถติดเพราะคนอยากดู

ชะลออยากเห็น ตาอยากเห็น หูอยากฟัง จมูกอยากดม กายอยากสัมผัส มันก็เลยทำให้เดือด

ร้อนไปทั้งแถบเลยล่ะ อ้ายที่มันชนกันตั้งแต่เช้าเนี่ยนะ แทนที่มันจะจบไปแล้ว อ้ายคนมา

ใหม่มันก็ยังสงสัยอยู่ นี่ มันตายไม๊ สงสัย บางคนจอดดูเลยนะ เนี่ย อ้ายเรื่องดีๆ ไม่

พยายามดู ดูเรื่องไม่ดีแล้วมันทำให้เดือดร้อนไม๊ล่ะ ตัวเองก็เดือดร้อนนะ เพราะรถติด แต่

ถามว่า ถึงคราวที่ตัวเองบอก เออ รถติด ติดเพราะอะไร พอไปถึงตรงเกิดเหตุ ก็ดันดูเสียอีก

อีตอนตัวเองอยู่ท้ายๆ ก็ด่าคนข้างหน้า ด่าอ้ายคนข้างหน้าว่า ทำไมมึงไม่ไปวะ บีบแตรไล่

พอถึงตัวเองมาอยู่ตรงนั้น ก็ดันชะลอดูอีก
สรุปแล้ว ใครด่าใคร
คุณมนัส    ด่าตัวเอง
หลวงปู่    เออ ก็ด่ากันมาเป็นท่อน เออ ด่ากันมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่า มันจะเลิกด่า ก็ต่อเมื่อยก

อ้ายตรงนั้นออกไป แล้วไม่มีเหตุปัจจัยให้ต้องมอง แสดงว่า มนุษย์ไม่เลือกมองไง ไม่รู้จัก

เลือกมอง เลยทำให้สิ่งที่ตัวเองมอง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเองและคนรอบข้าง
งั้น ถ้าตานี้ไม่สำรวม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สำรวมอินทรีย์ คือ ตาเห็น หูฟัง จมูกดม ลิ้นรับ

กายสัมผัส มีความสำรวมสังวรณ์เสียบ้าง ทุกอย่างมันก็จะไม่เดือดร้อนหรอก
ทีนี้ เราไม่ค่อยสำรวม ไม่ค่อยสังวรณ์ระวัง อู๊ย ยายคนนั้นสำรวมได้จริงๆ เลยล่ะ สำรวม

อ้าปากหาวออกมาเป็นดาวไปแล้ว เออ สำรวมได้ที่เลย
เพราะฉะนั้น ก็เลยอยากบอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้ตัวเองตกนรก 24 ชั่วโมง
ทุกวันนี้ ตกนรกกันทั้งชาติ แล้วเราก็ชอบนะ พอตกนรกแล้ว ไม่เป็นไรจ้า โยมจ๋า ไม่เป็นไร

เดี๋ยววันหน้ามีใหม่ วันนี้ตกนรก วันหน้าได้ขึ้นสวรรค์ อะไรอย่างนี้ ว่าเรื่อยเปื่อยไป มันจะ

ได้ขึ้นได้ยังไง ก็ใจมันไม่ได้ชำระล้างน่ะ อ้ายพฤติกรรม การกระทำ คำพูด คิด  วิธีคิดยังไม่

ได้เปลี่ยนจากการเห็น ดู ดม รู้ สัมผัส มันไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิด ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิต มันก็ซ้ำ

ซากจำเจ เดิมๆ อยู่อย่างนี้ แล้วมันจะจบตรงไหน
อย่าอาศัย หวังว่า จะให้ได้บุญมา แล้วก็พาตัวเองให้พ้นนรก
วันหนึ่ง ทำบุญทุกนาทีหรือเปล่า หา, เอ้า ใส่บาตรเช้า, เช้าใส่บาตร ถามว่า อ้ายบุญ

ของบาตรที่ใส่เช้า แล้วพอพ้นจากใส่บาตรเช้า แล้วก็มานั่งด่าชาวบ้าน นินทาคนนั้น ตำหนิ

คนนี้ ว่าคนนู้น  มันเหลือไม๊ บุญน่ะ เฮอ, เอ้า ใส่บาตรตอน 6 โมงเช้า
แต่ที่เหลือ จนนอน หัวซุกหมอน ไม่ได้เรื่อง ทุกข์ตลอดเวลา สร้างปัญหาให้กับชีวิตจิต

วิญญาณตัวเองตลอดเวลา แล้วมันจะเอาบุญอยู่ตรงไหน
มันเหมือนกับเอาดอกไม้ไปเสียบในถังขี้ เห็นภาพไม๊
คุณมนัส     เห็นภาพ เหม็นโฉ่
หลวงปู่    มันสวยได้ยังไง เมื่อมันอยู่ในถังขี้  ขี้เต็มถัง งั้น ไม่ได้ จะบอกว่า เออ ชั้นได้บุญล่ะ

ชั้นใส่ นี่มันประมาท มีชีวิตประมาทเกินไป จึงจะยกเรื่องนี้ มาคุยมาเล่าให้ฟังว่า การมีชีวิต

อยู่ด้วยความมัวเมาประมาท อย่างนี้ สู้อุตส่าห์ยกนรก 8 ขุม มาอ้าง มาเอ่ย มาชี้ให้เห็น

แล้ว ว่า โทษทัณฑ์ และเวลาในการรับโทษทัณฑ์ มันหนักหนาสาหัสอย่างไร แทนที่จะ

หวาดกลัว ระมัดระวัง กลับปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยพฤติกรรม กาย วาจา ให้ตกอยู่ในนรก

ไม่จบไม่สิ้น แล้วอย่างนี้ มันจะไปเหลืออะไร
อู๊ย พระพุทธเจ้ามาเทศน์เอง ก็ไม่เหลือ คนยุคนี้ เข็นยากนะ เมืองนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ชั้น

ไปแล้ว เข็นยาก อ้าว จริง ไปแล้ว เข็นลำบากๆ อย่างนี้ ไปแล้ว แบกกลด ตะพายบาตร ออก
คุณมนัส    อย่าเพิ่งไปเลยครับ
หลวงปู่     แต่ตอนนี้มันแก่แล้ว
คุณมนัส    ไปไม่ไหวแล้ว
หลวงปู่    ไปไหว แต่ห่วงโยม ถ้าไม่งั้น ไปแล้ว
คุณมนัส    หลวงปู่ พอพูดเรื่องของการควบคุมจิต เรื่องอะไร ก็ดีเหมือนกันนะฮะ เพราะว่า

มีปุจฉามา
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส   แล้วก็โยงใยไปถึงเรื่องของการที่ผมพยายามจะพิจารณาตามไปด้วยนะครับ 

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า คนเราในปัจจุบัน เวลาทำอะไรผิดขึ้นมา หรือว่า เวลาจะเดิน

หน้าทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็มักจะพูดถึงว่า มัวแต่ย้อนมองไปอดีตกรรมของตัวเอง แล้วก็

มัวพิจารณางุ่นง่านอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ไม่ค่อยกล้าที่จะมองอนาคตเท่าไหร่ มีปุจฉาว่า ถ้า

แบบนี้ มันมีสัญญามากกว่ามีปัญญา ก็จะเกิดความเคยตัวหรือเปล่า เราจะสร้างปัญญานำ

สัญญาเก่าๆ ไปได้อย่างไร
หลวงปู่   อ้ายคนที่มีสติปัญญา จึงจะสามารถ มองอนาคต เห็นอนาคต รู้อนาคต อ้ายคนไร้สติ

ขาดปัญญา แม้แต่จะบังอาจ หรือ  พยายามให้ตาย อนาคตก็หดหู่ มืดบอด สั้นจุ๊ดจู๋ ยิ่งกว่า

หมาโดนตัดหางอีก กระดิกก็ไม่งาม
อ้าว เรื่องจริง คนที่จะมีสติปัญญา จึงจะเห็นอนาคต แล้วอ้ายคนที่จะมีสติปัญญาตั้งมั่น จน

รู้จักอนาคต พิจารณาอนาคต คาดเดาอนาคต วิเคราะห์อนาคต ศึกษาความเป็นไปได้ใน

อนาคตของตัวเอง ก็ต่อเมื่อปัจจุบันน่ะ สติปัญญา มีไม๊ มันตั้งมั่นไม๊
ตกนรกทุกวัน ทุกนาที เอาที่ไหนมาวิเคราะห์อนาคต
คุณมนัส    ปัญญาก็คลอนแคลน
หลวงปู่    ไม่ มีคลอนแคลนเหรอ ไม่มี๊ ตกนรกทุกนาที เอาที่ไหนมาวิเคราะห์อนาคต มี

ปัญญาตะกายออกจากปากหลุมนรกสักกี่ขุมแล้วจึงจะมาวิเคราะห์อนาคต คนที่อยู่ในหลุม

ลึกๆ จะมาวิเคราะห์เห็นอนาคตบนปากหลุมเหร๊อ
มันต้องตะกายขึ้นมายืนบนปากหลุม จึงจะเห็นว่า เออ ทิวทัศน์รอบๆ หลุมน่ะ มันเป็นอย่าง

ไร และอ้ายคนที่จะบอกว่า จะวิเคราะห์อนาคต หว่าย ไม่มีสิทธิ์ ให้นึกให้ตาย ก็ได้แค่ก้น

หลุม มันไม่ได้วิวทิวทัศน์ให้ได้กว้างไปกว่าก้นหลุมได้เลย จนกว่าเมื่อไหร่ที่จะตะกายพ้น

ขึ้นมาจาก้นหลุม แล้วมายืนบนปากหลุมน่ะ แล้วไม่ต้องนึก แค่มองไป ก็เห็นแล้ว ช่องทาง

ลู่ทาง แสงสว่าง ทิศเหนือมีอะไร ทิศใต้มีอะไร ตะวันออก ตะวันตก อ้ายนี่อยู่ก้นหลุม ดิ้นกุ

แด่วๆ แล้วจะบอกว่า ชั้นเป็นคนมีอนาคต มีอนาคต หว่า อนาคตก็ หลุมเหมือนเดิม อย่างดีก็

เปลี่ยนจากหลุมนี้ไปสู่หลุมนั้น เพราะฉะนั้น อย่ามาถาม หา
คุณมนัส   มีเทคนิคตะกายดาว ตะกายปากหลุมไม๊ฮะ
หลวงปู่    เอ่อ มืออะไรนะ ตีนเหยียบดิน ตามองดาวอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ
คุณมนัส    อ๋อ
หลวงปู่    ยังจำได้ๆ
คุณมนัส    ตาดูดาว เท้าเหยียบดิน
หลวงปู่     เอ่อ ตาดูดาว เท้าเหยียบดิน อ้ายนั่น เค้าก็มีอนาคตหรูไปแล้วไง อนาคตเค้าหรู

ไปแล้ว
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า อยากจะรู้อนาคตของตัวเองน่ะ ทำปัจจุบันให้พ้นจากก้นหลุมซะก่อน

พ้นหรือยังล่ะ เฮอะ ชักตื้นขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ ถ้ายังไม่พ้น ก็อย่ามาหวังว่า จะได้รู้ว่า

อนาคตตัวเองจะเป็นอย่างไร ไม่มีสิทธิ์หรอก แม้บางทีวันพรุ่งนี้ มันยังไม่รู้เลยว่า จะรอด

หรือไม่รอด จะอยู่หรือตาย จะได้หรือจะเสีย จะมีหรือไม่มี จะดีหรือชั่ว เพราะมันอยู่ก้นหลุม

ก็ดิ้นครั่กๆๆ อยู่อย่างนั้น ให้ดิ้นให้ตาย ก็ยิ่งดิ้นยิ่งขุ่น ยิ่งดิ้นยิ่งข้น
งั้น ทำตนให้พ้นก้นหลุมให้ได้ ก็คือ อย่าให้ตกนรก วันหนึ่งสัก 5 นาที, ทำได้ไม๊,

เอาแค่ 5 นาที ไม่ต้องเยอะ อ้อ ตอนนี้มันก็กำลังจะทำล่ะนะ เพราะสัปหงก(..) ถึง

ขั้นนี้ล่ะ กำลังทำอยู่ค่ะ กำลังขะมักเขม้นเลย  เห็นไม๊ ปัดโธ่ ยาก
คุณมนัส     หลวงปู่ ถามเรื่องสุขภาพดีกว่า
หลวงปู่     เฮอะ ทำไมเปลี่ยนมุขเร็วเหลือเกิน กำลังได้ที่เลยล่ะ
คุณมนัส    เค้ากำลังปฏิบัติอยู่
หลวงปู่    ปฏิบัติอะไร
คุณมนัส    เข้าฌานอยู่
หลวงปู่     แหม เปลี่ยน scene เร็วเหลือเกิน เราเป็นโจร แล้วจะให้เป็นพระเอก
คุณมนัส   มีปุจฉามา ไม่รู้ว่า เหมาะที่จะถามหรือเปล่า
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส   คือ พูดถึง พระปรอท สามารถเอาน้ำผึ้งมาตั้งวางเอาไว้ให้พระปรอททานได้ทุก

วันหรือเปล่า
หลวงปู่    ก็ถามพระสิ มาถามอาตมาทำไม
คุณมนัส    แล้วจะทราบได้อย่างไรว่า ปรอทได้กินน้ำผึ้งแล้ว
หลวงปู่     ก็ถามปรอท
คุณมนัส    เป็นยังไงครับ ปรอท
หลวงปู่    ก็ถามคนถาม
คุณมนัส   ผมอ่านถูกไม๊ พระปรอท อ้อ หลวงปู่ทำพระปรอท
หลวงปู่    อืม
คุณมนัส    แล้วพระปรอทฉันน้ำผึ้งได้ด้วยเหรอฮะ
หลวงปู่    ไม่รู้ ยังไม่เคยถามท่าน เดี๋ยวจะกลับไปถามท่าน
คุณมนัส   คือ อย่างนี้นะ  เอาไว้อาทิตย์หน้า จะมีคำตอบให้นะครับ ฉันน้ำผึ้งได้ด้วยเหรอฮะ
หลวงปู่    ทำไมอ่ะ นี่มันรายการอะไรล่ะ รายการอะไร รายการมิติที่ 6 อะไรอย่างนั้น

เหรอ หรือ สัมผัสที่ 6
คุณมนัส    เอ้า มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ ผู้ชาย อายุ 26 ปี ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันมี

อาการมือชาทั้ง 2 ข้าง เป็นโรคกระดูกทับเส้นหรือไม่ ถ้าเป็น จะดูแลตัวเองอย่างไร และ

ทานยาอะไร
หลวงปู่    กระดูกทับเส้น ก็ต้องไป x-ray ดูว่า
คุณมนัส    เค้าไม่แน่ใจว่า กระดูกทับเส้น เพราะมือชา 2 ข้าง
หลวงปู่    อ๋อ บางทีอาจจะเป็นเลือดจาง ก็เป็นมือชา เท้าชา เส้นเลือดอุดตันก็เป็นมือชา เท้า

ชา อ้ายมือชา เท้าชา ไม่จำเป็นต้องหมายถึงว่า กระดูกทับเส้นอย่างเดียว ต้องไปให้หมอ

ตรวจให้ชัด จบ
คุณมนัส    มีอาการเสียวที่ข้อเท้า หัวเข่า และต้นขา เป็นเพราะเส้นเอ็น หรือ กระดูก ควร

ทานยาชนิดใด
หลวงปู่     บางทีคนเราเดินมากๆ ยืนมากๆ  น้ำที่หล่อเลี้ยงหมอนรองกระดูก คือ พูดง่ายๆ

น้ำมันเครื่องมันแห้ง มันหนืด มันก็ต้องให้เวลากับมันบ้างในการพักผ่อนหรือผ่อนคลาย วิธี

ดีที่สุด ออกกำลังกายในน้ำ ไปนั่งเอาเท้าแช่น้ำ แล้วก็แกว่งขาไปมา ให้ต้นขามันสร้างกล้าม

เนื้อ ท่อนล่าง ท่อนบน เพื่อจะได้ลดอาการเสียดทานของข้อกระดูกหัวเข่าได้ จบ
คุณมนัส    มีถามมาเรื่องของกำหนดงานเทศกาลกินเจ วันที่ 14 - 23 ตุลาคม ถามว่า

วันที่ 14 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ จะมีงานยกเสาทีกงเต็งที่โรงเจ ไม่ทราบว่า จะมีการตรวจ

รักษาผู้ป่วยในวันนั้นด้วยหรือไม่
หลวงปู่    วันที่ 14 มันวันอะไร
คุณมนัส    วันอาทิตย์
หลวงปู่   อาทิตย์ที่ 2 เหรอ เออ ยังรักษาอยู่
คุณมนัส    เทศกาลกินเจปีนี้ มีอะไรพิเศษไม๊ครับ เพราะตอนนี้ผัก แพ๊ง แพง
หลวงปู่     เหรอ
คุณมนัส    ผักแพงมาก
หลวงปู่    น้ำมันท่วม
คุณมนัส    ใช่ครับ
หลวงปู่     น้ำมันท่วม ผักแพงๆ อย่างนี้ ระวังน้า กินเจ ใครคิดว่า กินเจแล้วอายุยืน กลาย

เป็นว่า กินเจอายุสั้น เพราะอะไร ก็เพราะเมื่อผักมันแพง ยาก็ต้องฉีดเยอะขึ้น ยาก็ต้องเร่ง

มากขึ้น รักษาผักให้สวยเยอะขึ้น งั้น จะกินผักก็ต้องหาวิธีตรวจ มีเครื่องไม้เครื่องมือตรวจ

สารพิษในผักบ้าง ทางที่ดีที่สุด ก็เอามาล้างแช่น้ำ ทิ้งไว้ซักคืนหนึ่งก่อนก็ได้ เอาน้ำด่างทับทิม

น้ำเกลือ หรือ น้ำส้ม ล้างผัก แล้วก่อนจะผัดจะอะไร ก็ใช้น้ำร้อนลวกก่อน น้ำร้อนลวกซักที

หนึ่งแล้ว ลวกแบบโฉบๆให้น้ำร้อนมันผ่าน แล้วจึงจะเอาขึ้นแล้วมาผัด รอบหนึ่งก็น่าจะดี

จะต้มจะอะไรก็แล้วแต่ ใช้น้ำร้อนลวกซะหน่อย
อย่านึกว่ากินผักเพื่อสุขาพ กลายเป็นว่ากินผักแล้วตายง่าย  ตายเร็วขึ้น เป็นโรคมะเร็ง

ลำบากเหมือนกันนะ เพราะว่า เดี๋ยวนี้มัน คือ คนมันไม่มีหิริในใจไม่มีความละอายในใจ

ทำอะไรได้ง่าย ถั่วฝักยาว พวกผักคะน้า พวกมะเขือ เค้าฉีดยาเย็น เช้าเก็บ บางทีฉีดเช้า

เย็นเก็บ อย่างนี้ เพราะถ้าไม่ฉีด ผิวก็ไม่มัน แมลงก็ลง ระบาด ยิ่งหน้าปลายฝนต้น

หนาวอย่างนี้ แมลงมันระบาดเยอะมาก เค้าก็ต้องฉัดยาเพิ่มขึ้นมาก ยาก็จะแรงขึ้น คนฉีด

ยามาให้รักษานี่ ตัวเป็นผื่นเลย ขนาดไม่ได้กินนะ แต่ฉีดยาผักนี่ ปลูกผักนี่  ตัวเป็นผื่น

เป็นจ้ำๆๆ เป็นโรคเรื้อนกวาง อะไรไปนู่นเลย เลอะเทอะใหญ่
งั้น ต้องระมัดระวังแล้วกัน คุณจะกินเจ ก็อย่างที่บอก ให้มันเจจากใจ อย่ามาเจกระแด๊ก เจ

ตอแหล เจกะล่อน เจดอกทอง เจอะไร อย่าไปกินทั้งนั้น
คุณมนัส    เจตลาด ที่เค้าขาย
หลวงปู่    ไม่รู้เจอะไรล่ะ ให้กินเจจากใจ กินผัก ก็คือกินผัก อย่าไปปั้นผักให้มันกลายเป็น

ปลา อย่าไปทำเต้าหู้ให้เป็นขาหมู นั่นเค้าเรียกว่า เจกระแด๊ก เจตอแหล เจแบบนี้มันเลอะ

แถมยังทำกลิ่นด้วยนะ ทำกลิ่นให้มันเหมือนด้วย ให้มันเหมือนขาหมู เหมือนปลาด้วย โอย

ทำทำไม
คุณมนัส     หลวงปู่ครับ ผมสงสัยส่วนตัว  ถ้าเกิดเทศกาลกินเจ คือ ผมก็กินมาทุกปี  แต่

สมมุติปีนี้ผมจะไม่ทานเจ แต่ผมจะสวดมนต์เอา ปฏิบัติอย่างนี้ ได้ไม๊ครับ
หลวงปู่    คนกินเจน่ะ เค้าจะต้องมีคำว่า ถือศีล กินเจ
คุณมนัส    ถือศีลอย่างเดียว ไม่กินได้ไม๊ฮะ
หลวงปู่     ไม่กินก็ได้ ถ้าอยู่ได้ก็เอา
คุณมนัส    ไม่ใช่ถือศีลขนาดนั้น หมายถึงว่า ก็สวดเจ้าแม่กวนอิม
หลวงปู่    ก็สวดมนต์ ถือศีล ก็ถือศีล 5 ที่จริง วันสวดพระมาลัย เนี่ย เคยบอกให้ฟัง เล่า

ให้ฟังว่า บางทีบางครั้ง พวกเราอาจจะกินเนื้อของปู่ย่าตายายเราก็ได้ กินเนื้อของญาติเรา

ปลา หมู ไก่ กุ้ง อะไรทั้งหลาย เกิดปู่ย่าตายายเราไม่ได้เกิดชาติเดียวภพเดียว อาจจะเกิด

เป็นปู เป็นปลา เป็นหมู เป็นกุ้ง เป็นไก่ให้เรามานั่งกินก็ได้ ก็กินกันไปกินกันมาอยู่เนี่ย ใน

วงศาคณาญาติ ก็ตัดวงจรในการกินญาติซะ 10 วัน ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เป็นวิธีการตัดวงจรในการกินญาติ เพราะว่า อ้ายการกินเนื้อญาติ ก็บอกว่าเป็นการสร้าง

ความสุขให้ตัวเอง มันก็น่า ถ้ารู้จักคิด มันก็น่ารังเกียจ แต่ถ้าไม่คิด ก็กินไปเรื่อย เราไม่ได้

ทำด้วยตัวเอง เราก็ถือว่า ไม่ได้เป็นบาปอะไร แต่มันก็เป็นวงจรที่น่ารังเกียจอย่างหนึ่ง

แล้วทำให้สุขภาพเราไม่ค่อยดี
แต่ในมุมกลับกัน เวลานี้มากินเจ กลับกลายเป็นตายง่ายกว่ากินชออีก
คุณมนัส    ก็เห็นท่านพูดแบบนี้แล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่า กินแล้วก็ไม่ค่อยจะปลอดภัย
หลวงปู่    ก็ป้องกันสิ ก็หาวิธีสิ ถ้าเราต้องการไปซื้อผัก ก็เลือกเอาเจ้าที่เราซื้อแล้ว เค้าไว้ใจ

เค้ารับรองว่า มันเป็นผักปลอดสารพิษ อีกทั้งก็ถ้าเราไม่แน่ใจ ก็เอามาจัดการทดสอบ เดี๋ยวนี้

เค้ามีเครื่องมือในการทดสอบไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส   ครับ
หลวงปู่    เครื่องมือในการทดสอบสารพิษ
คุณมนัส   คือ ถ้าเราทำทานเอง อาจจะคิดมากอย่างนี้ คือเราทำเองทานที่บ้าน เราก็ทำอย่าง

ที่ท่านหลวงปู่บอก เราก็สะอาดอยู่แล้ว แต่เวลา
หลวงปู่    ไปซื้อเค้า
คุณมนัส    ใช่ครับ เวลาเราอยู่ที่ทำงานอย่างนี้ เราจะไปเจยังไงล่ะ เราจะไปเจจ๋ากัยใครล่ะ
หลวงปู่     บางทีอ้ายที่เค้าทำๆ ขาย แล้วเค้าก็ล้างแค่เที่ยวเดียว เค้าเปลืองน้ำเค้า เค้าก็ล้าง

เที่ยวเดียว แล้วก็สับๆๆ โยนใส่กะทะ
คุณมนัส    เพื่อนผมก็เลยบอก ถ้าคิดมาก ก็ไม่ต้องกิน
หลวงปู่    เหรอ
คุณมนัส   จริง พูดอย่างนี้จริงๆ
หลวงปู่    หัวไช้โป้ว ข้าวต้มกับหัวไช้โป้ว เจ ถั่ว อืม จบ
ไม่รู้จะไปกินที่ไหน ก็มากินที่นี่ เค้ามีเลี้ยงเจทุกวันนะ
คุณมนัส    14 -23 ตุลาคม ที่วัดอ้อน้อย
หลวงปู่    เออ เค้ามีเลี้ยงฟรี 3 มื้อ เค้าเปิดโอกาส แล้วก็แจกทานทุกวัน วันละกี่คนก็ไม่รู้ล่ะ

ร้อยกว่าคน ร้อยกว่าครอบครัวขึ้นไป เออ แจกมหาทาน แจกทานทุกวัน แล้วก็มีทิ้งกระจาด

วันสุดท้าย ก็ 900 กว่าครอบครัว
คุณมนัส   เกือบลืมปุจฉาหนึ่ง
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส    คดีหมอตำรวจ
หลวงปู่   ทำไมล่ะ
คุณมนัส   คดีนายแพทย์สุพัฒน์ฯ เค้าถามมาความเห็นของหลวงปู่ คิดอย่างไร ตกลงหมอสุ

พัฒน์จะดีหรือ จะเลว ยิ่งสาวยิ่งลึก
หลวงปู่   ช่างมันเถอะ อืม
คุณมนัส   นี่ไง คำตอบ
หลวงปู่   ไม่ใช่ญาติกู
คุณมนัส    เอ้า หลวงปู่บอกไปแล้ว อย่าไปอยากรู้เรื่องคนอื่น ใช่ไม๊
หลวงปู่    เอ๊อ แล้วถามทำไม
คุณมนัส    เดี๋ยวหาว่า ผมไม่ทำหน้าที่นะ ผมถามให้ แต่อาชีพผมไม่เกี่ยวนะ อาชีพผมเป็น

อาชีพที่ต้องตอบคนอื่น เกิดอะไรขึ้นนะ อย่ามาว่าผมไม่ได้นะ หลวงปู่ครับ พรุ่งนี้ จะมีงาน

อีกหนึ่งงาน ไม่ทราบว่า ท่านหลวงปู่จะประชาสัมพันธ์อย่างไร หรือจะเชิญชวนอย่างไร วันที่

8 ตุลาคม วันจันทร์ เวลา 6 โมงเย็น ที่ศาลาทรงไทย ที่วัดสังฆทาน
หลวงปู่    อ๊อ ต้องบอกให้เค้าเตรียมคำถามเอาไว้ด้วย ใครช่วยไปติดต่อกลับไป ให้พิธีกร

ทางนู้นเค้าเตรียมคำถาม คงไม่ได้มีอะไรไปพูดเยอะแยะ เดี๋ยว วันเวลาไหนนะ
คุณมนัส   งานนี้เป็นงานสวดพระอภิธรรม
หลวงปู่    ใช่
คุณมนัส   ของท่านหลวงพ่อสนอง กตสาโร 6 โมงเย็นที่ศาลาทรงไทย
หลวงปู่     ไม่ ทางนั้นเค้านิมนต์แสดงธรรม ใจก็คิดว่า จะไปเป็นเจ้าภาพเค้าซักคืนหนึ่ง

เพราะว่า เค้าเป็นผู้ที่เคยมีคุณต่อเราครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อบวชพระถวายพระราชกุศล 50 ปี

มั๊ง ทรงพระชนมายุครบ 50 ปี ก่อนสร้างวัดนี้ กะว่าจะบวชพระซัก 50 รูป  กลายเป็น

พระมาตั้งร้อยกว่ารูป แล้วกลด เครื่องไม้เครื่องมือไม่มี สมัยนั้นยังอยู่วัดคลองเตย คนเค้าก็

เลยมาบอกว่า ที่วัดสังฆทาน เค้ามีกลดเยอะ เราก็เลยนั่งรถมาเลย มาขอยืมเค้า เค้าก็ไม่ถาม

เลย พอรู้ว่า จะเอามาใช้กับพระ เค้าก็ให้เลย แล้วก็จำได้ เค้าตาย ก็ไปแสดงน้ำใจเค้าหน่อย

เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมาก แล้วก็มาเจอกันอีก 2-3 เที่ยว ก็ตอนไปแสดงธรรม คือ

สมภารวัดสังฆทาน เค้าเป็นคนไม่รับยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีอะไร ก็ จบ
คุณมนัส    ท่านหลวงปู่  จำกรณีหนึ่งได้ไม๊ครับ เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเคยถามคำถามท่าน

หลวงปู่  เรื่องตาท่านหนึ่งอายุประมาณ 85 ปี ที่ป่วยเป็นพากินสัน แล้วก็อาการ จะว่าแย่

ก็แย่ มีเสมหะ แล้วให้อาหารทางสายยาง เมื่อสักครู่ ผมเจอลูกสาวท่าน เจอที่ในวัด ฝากคำ

ถามมา ไม่กล้าถามคำถามโดยตรง คือ พี่สาวของพี่ท่านนี้ ทักว่า การที่เธอมาที่วัดอ้อน้อย

แล้วมาทำบังสุกุลเป็นให้พ่อ มันเหมือนเป็นการยื้อให้พ่ออยู่กับเราหรือเปล่า แล้วจะทำอย่าง

ไรให้พ่อได้เห็นเวทนาได้
หลวงปู่    ยื้อ คือ อะไร
คุณมนัส    เหมือนกับว่า คุณพ่อจะไปแล้ว จะหมดบุญ หมดวาระ แล้วเราไปทำบังสุกุลเป็น

ให้ทุกครั้ง มาทำให้ตลอด มาปฏิบัติธรมให้
หลวงปู่    อื๊ม มนุษย์มีกรรมเป็นของตน อายุขัยก็เป็นของตน บุญของลูกหลานต่อชีวิตพ่อ

แม่ได้ ก็เป็นเรื่องดี เป็นกุศลมหาศาล ไม่เห็นเสียหายอะไร ใช้กรรมในขณะที่เป็นมนุษย์ ดี

กว่าตายไปแล้วใช้กรรม ใครจะช่วย คุณ เห็นพ่อแม่อยากน้ำ ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำ, เห็น

พ่อแม่หนาว ได้ห่มผ้า กับการที่พ่อแม่อยากน้ำแล้วไม่มีปัญญาช่วย, หิวข้าว ไม่มี

ปัญญาป้อนข้าว มันไม่ทุกข์หนักกว่าเก่าเหรอ
อ้ายคนที่คิดแบบนี้ คนอกตัญญู ไม่คิดถึงสำนึกถึงคุณคน, ลูก มีโอกาสได้ปฏิบัติ

อุปถัมภ์บำรุงพ่อแม่จนตายคามือ ไม่ใช่ไปบีบให้ตายคามือนะ จนตายคาอกคามือของตัวเอง

เนี่ยนะ ดูแลช่วยเหลือเนี่ยนะ ถือว่าเป็นการใช้หนี้เก่านะ พ่อแม่ท่านนั้นก็ได้ใช้หนี้เก่ากับ

เราด้วยนะ เราก็ได้ใช้หนี้เก่ากับท่านด้วย มันไม่ได้เสียหายอะไร กลับกลายเป็นความ

กตัญญูด้วยซ้ำ
พระพุทธเจ้ายกย่องด้วย แล้วถ้าตายไปแล้ว เราจะรู้ไม๊ เค้าทุกข์ เค้าสุข เค้าตกทุกข์ได้

ยากอย่างไร เราจะช่วยเค้ายังไง ตอนที่เค้ามีชีวิตอยู่ เค้าร้อน ก็ยังบอกเราได้, เค้าหิว ก็ยัง

ร้องขอได้ ก็เรายังช่วยได้ ก็เป็นเรื่องดี แสดงว่า อ้ายคนที่พูดน่ะ มันเบื่อ เบื่อเลี้ยงดูไง เบื่อ

ดูแลเอาใจใส่ ตายๆ ไปเฮอะ จะได้หมดภาระกับคนมีชีวิต
คุณมนัส   ผมก็ตอบสั้นๆ ไปว่า ดีเสียอีก พี่ได้สั่งสมบุญให้พ่อ
หลวงปู่    เออ ทีหลังก็ไม่ต้องถาม ก็ตอบไปแล้ว ก็ดีแล้ว
คุณมนัส    หลวงปู่ ครับ วันที่ 20 ตุลาฯ วันเสาร์ เรามีนัดกันอีกแล้ว ที่ศิริราชพยาบาล
หลวงปู่    ศิริราช เออ ใช่
คุณมนัส   ถวายพุทธมนต์เป็นพระราชกุศล
หลวงปู่   ชาวบ้านเค้ากลัวว่า พายุอะไร มันจะเข้า ใช่ไม๊
คุณมนัส   ที่จะเข้า ที่น้ำทะเลหนุน มัน 18 ตุลาฯ ที่น้ำทะเลสูงๆ  มันไม่ใช่ 20  ถ้า 20

มันเป็นวันเสาร์ แต่ยังคงอยู่ไม๊ครับ หรือว่า กำหนดนี้
หลวงปู่      เอ๋อ มันจะมา มันจะไป มันจะเข้า มันจะออก เราไปทำดี ไม่ต้องไปกลัว บอกๆ

กันต่อๆ ไปก็แล้วกัน กลับเป็นเรื่องดีเสียอีก ทำดีในที่ๆ ทำได้ยาก นั่นแหละ สุดยอดดีล่ะ

ถ้าทำดีแล้วสบายๆ ดีมันอาจจะเหลือน้อยก็ได้ ทำดีที่ทำได้ยาก ในที่ๆ ทำลำบาก นั่นแหละ

ทำดีอย่างยิ่ง เค้าเรียกว่า ดีอย่างยิ่ง จบ
คุณมนัส   แล้วจะดียิ่งๆ ดีมากๆ ก็คือ วันที่ 4 พฤศจิกายน มีงานกฐินที่วัดอ้อน้อย พบกัน

ที่วัดนะครับ ผมมาด้วยกับคุณแม่ รับปากแล้ว
หลวงปู่    กฐินเหรอ
คุณมนัส   กฐินครับ
หลวงปู่    อ๊อ ก็อยากเชิญชวนท่านทั้งหลายในวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน เดือนนี้ใช่ไม๊  คือวัน

อะไร
คุณมนัส   กฐินเหรอครับ
หลวงปู่    ไม่ สวดเจริญมนต์ถวายพระราชกุศล เสาร์ที่ 3 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้า

อยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงพระคุณอัน

ประเสริฐต่อแผ่นดินสยาม พวกเราต้องมาช่วยกันปกปักษ์รักษา และแสดงความจงรักภักดี

อภิบาลบำรุงเท่าที่เราสามารถทำได้ อย่ารักทั้ง 2 พระองค์จนกระทั่งพระองค์พึ่งความรัก

เราไม่ได้ ความรักเราเก็บลึกเกินไป นำเอาความรักของเราออกมาแสดงเป็นราชพลีบ้าง ทำ

ให้สังคม ประชาชน ผู้คนและโลกได้รับรู้ รับเห็นบ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ชวนลูกชวนหลาน

มาช่วยกันเจริญมนต์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเค้าจะทำ sheet ทำบทสวดไปให้ เราก็เพียง

ไปทำหน้าที่สวด เจริญมนต์เท่านั้น บ่ายโมงจนถึง 3 - 4 โมงเย็น ไปพร้อมกัน เจอ

กันที่นั่น เอ้า จบ
คุณมนัส   ...ก็เชื่อว่า วันนี้ ...ขอบคุณทุกท่านนะครับ
หลวงปู่    ให้ทุกท่านที่รับชมรายการวิถีธรรม วิถีไทย จงรุ่งเรืองเจริญ คิดหวังสิ่งใด สม

ความปรารถนา มีสติปัญญาตั้งมั่น นำพาตัวเองให้พ้นจากขุมนรกทั้ง 8 และนรกบริวารทั้ง

400 กว่าขุมให้ได้ภายใน 1 วัน และ 1 ชั่วโมง 1 นาที รวมทั้ง 1 ปี และ 1 ชีวิต

ก็จะนำพาวิถีคิด ทำ พูด ชีวิต ไปสู่สวรรค์ และความสุขสมบูรณ์ สำเร็จสมประสงค์ได้ดั่งใจ

ปรารถนา เจริญธรรม
(สาธุ)
(กราบ)
เอ้า กราบพระ แล้วไปพัก ลูก เดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
(กราบ)
พัก แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม เข้าห้องน้ำห้องท่า
ใครที่ง่วงหงาวหาวนอน ก็ไปล้างหน้าล้างตา