2 ส ค 2555   9:30 น.  ธรรมะวันอาสาฬหบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ


• มนุษย์ ถ้ายังเป็นปุถุชน มันไม่มีคำว่า ดีเหลือเกิน
• เมื่อเช้า หลวงปู่ยังพูดกับเสถียรว่า วัดนี้ เอาคน ไม่ได้เอาเงิน
(กราบ)
วันนี้ เป็นวันแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เดี๋ยว พวกเรากล่าวคำแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
(กราบ)
................
ต่อไป ตั้งใจสมาทานศีล ว่า มะยัง ภันเต
................
วิธีการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ โบราณจารย์เค้าจะนิยมพาลูกจูงหลาน หรือพาครอบครัว

ตัวเองและญาติ เข้าไปแสดงตน ผู้เป็นที่ขอพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งของชีวิตตน
การแสดงตนเพื่อขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแก่ชีวิตตน ก็ต้องแสดงต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์

เป็นหมู่ก็ได้ เป็นคณะก็ได้ เป็นบุคคลก็ได้ เพื่ออะไร
เพื่อประกาศตัวเองว่า เป็นคนมียี่ห้อ เหมือนกับที่ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ฮินดู ซิกข์ ที่เค้าไป

ประกาศตนว่า เป็นผู้มียี่ห้อ เค้าเชื่อกันว่า เมื่อเราเป็นผู้มียี่ห้อแล้ว พรหม เทวดา เทพ มาร

เทวาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในยี่ห้อนั้นๆ ก็จะช่วยอภิบาลบำรุง เพราะเค้าถือว่า เป็น

พวกเดียวกัน เป็นญาติกัน เป็นบริษัทบริวาร มีพระศาสดาองค์เดียวกัน อีกทั้งก็เป็นการสืบ

เชื้อสายสืบอายุขัย สืบพระธรรมคำสั่งสอนและสืบสันติวงศ์แห่งศากยะ
ศากยวงศ์จะสืบต่อไปได้ด้วยการแสดงตนเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย คือ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรม ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของชีวิต
เมื่อประกาศได้อย่างนี้ พระสงฆ์ก็จะให้คำสอน คำสอนนั้นก็เริ่มต้นจาก สอนให้ท่านได้กล่าว

แสดงตนว่า เราจะถึงซึ่งพระพุทธอย่างไร ถึงซึ่งพระธรรมอย่างไร ถึงซึ่งพระสงฆ์อย่างไร

แม้ครั้งที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งมีคำกล่าวว่า พุทธังสะระณัง คัสฉามิ ธัมมัง สะรณัง คัส

ฉามื สังฆัง สะระณัง คัสฉามิ ทุติฯ ตติฯ เมื่อเราเข้าถึงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ก็จะได้

บอกวิธีปฏิบัติ
วิธีปฏิบัติของศาสนานี้ก็คือ สิกขา 3 อย่าง
สิกขา 3 มีอะไรบ้าง
ก็เริ่มต้นจาก การรักษาศีล
แล้วพระสงฆ์ก็จะสอนต่อไปว่า ศีล คือ เครื่องรักษากาย วาจา ให้ปกติเรียบร้อย คนจะเข้าสู่

สังคม ถ้ามีกายผิดเพี้ยน ผิดปกติ วาจาผิดปกติ พฤติกรรมน่ารังเกียจ คนในสังคมก็จะเดือด

ร้อน หรือไม่ เราก็จะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมนั้นๆ ถ้าอยากจะเป็นสัตว์สังคมชั้นสูงได้อยู่

ในสังคมที่งดงาม หรือดีงาม หรือเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใส เป็นที่เทิดทูนบูชา ก็

ต้องทำกาย วาจาให้ปกติ
นั่นก็คือ ต้องปฏิบัติในข้อวัตรที่เรียกว่า ศีล
แล้วถ้าอยากจะทำตนเป็นคนมีเดช มีตบะ มีอำนาจ มีพลัง เป็นที่พึ่งของตนและคนรอบข้าง

ได้ ก็ต้องทำตนให้เป็นผู้มี สมาธิ
แล้วถ้าอยากจะเป็นผู้รุ่งเรือง เจริญ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า สามารถยังให้เกิดพลานุภาพ

ติดตามส่งผลข้ามภพข้ามชาติได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนดั่งพระอาทิตย์ที่ทำลายความมืด

บอดในโลกได้ฉันใด ก็ต้องเข้าถึงซึ่ง ปัญญา
ทั้ง สิกขา 3 อย่างนี่แหละ เป็นคำสอนที่ท่านโบราณจารย์จะยกขึ้นมา นิยมที่จะสอนใน

การแสดงตนเป็นผู้มียี่ห้อ หรือ เป็นพุทธมามกะ ยี่ห้อนี้ ก็คือ ยี่ห้อพุทธ
ยี่ห้อพุทธ คือ ยี่ห้อศากยตระกูล ยี่ห้อศากยวงศ์ แล้วเค้าก็จะนิยมทำกันช่วงไหนบ้าง ส่วน

ใหญ่เค้าจะชอบทำกันในช่วงก่อนเข้าพรรษา หรือว่าในเทศกาลวันสำคัญๆ ของพุทธศาสนา

แต่แรกเริ่มเดิมที เค้าจะนิยมทำในวันนี้ เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา หรือ วันที่พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา จนเกิดรัตนะ 3 อย่าง ผู้คนทั้งหลายก็ถือว่า เป็นนิมิตรหมาย

อันดีที่รัตนะทั้ง 3 ครบ 3 ประการแล้ว ก็ควรจะไปยิยยอม ยอมรับ น้อมตัวลงเคารพบูชา

ยึดถือสรณะทั้ง 3 ให้เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกของเรา
เค้าจึงนิยมทำในวันอาสาฬหบูชา หรือไม่ก็ รุ่งขึ้นอีกวัน ก็วันเข้าพรรษา
อีกกรณีหนึ่งก็คือ ลูกหลานจะไปต่างเมือง ต่างบ้าน ต่างประเทศ ยังไม่ได้ผ่านการบวช การ

เรียนมา ก็จะพาลูกจูงหลานนั้นๆ มาแสดงตนเป็นผู้มียี่ห้อแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ เทวดาฟ้า

ดินจะได้ช่วยอภิบาลปกปักษ์รักษาลูกหลานนั้นๆ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน หรือ ไป

ประสบเหตุเภทภัยใดๆ
งั้นก็โบราณ พิธีอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเห็นได้จากธรรมเนียมของพระราชสำนัก เช่น พระเจ้า

ลูกยาเธอ พระเจ้าหลานเธอ พระบรมโอรส หรือ พระราชวงศ์ บรมวงศานุวงศ์ ทั้งหลายที่จะ

เสด็จไปต่างบ้านต่างเมือง พระราชบิดา พระราชมารดา หรือ ผู้ปกครองก็จะพาไปฝากพระ

ไปฝากให้ ไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพื่อรับยี่ห้อมาติดตาตรึงใจในจิตวิญญาณ เวลาไป

อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทุกข์เข็นลำบากลำบนอะไร ก็จะได้ระลึกถึงที่พึ่งอันประเสร็จ คือ คุณ

พระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ เทพยดาอารักษ์จะได้ช่วยอภิบาลบำรุงรักษา
เพราะว่า ทำอย่างนี้แล้ว เวลาตาย ก็ตายเป็นผีมียี่ห้อ แต่ถ้าหากว่า ไม่ทำอย่างนี้แล้ว เวลา

ตายก็ไม่มียี่ห้อ ก็เป็นสัมภเวสี ล่องลอยไปเรื่อย เข้าพวกไหนก็ไม่ได้ เค้าเชื่อกันอย่างนั้นล่ะ

นะ
กูก็ยังไม่เคยลองตายดูแบบไม่มียี่ห้อ ส่วนใหญ่เวลาตายมียี่ห้อทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้ว่า อ้ายพวก

ไม่มียี่ห้อมันจะเป็นพันธุ์ไหน แต่ท่านก็พรรณาสอนเอาไว้ว่า ถ้าเป็นผีไม่มียี่ห้อ มันเหมือน

กับคนที่ไม่มีญาติ
ก็ลองหลับตานึกดู คนไม่มีญาติ มันเข้าบ้านไหน ก็ไม่มีใครรับ แล้วก็ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย

เลอะเทอะไปจนกระทั่งตายแล้วตายอีกก็ยังไม่มีญาติ จนกว่าใครเค้าจะเมตตารับเข้ามาเป็น

ญาติ ก็อาจจะมีบ้านอยู่ มีที่อาศัย มีข้าวกิน อะไรอย่างนี้
งั้น มันก็เลยเป็นความเชื่อกันโดยธรรมเนียมปฏิบัติว่า วันอาสาฬหบูชา หรือ วันที่พระผู้มี

พระภาคเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา จนทำให้เกิดสังฆรัตนะ ครบรัตนะทั้ง 3 ผู้คนชนทั้ง

หลายก็จะมาพร้อมพักตร์สมัครสมาน แสดงตน ประกาศตนเป็นผู้เข้าถึงยี่ห้อแห่งพุทธ หรือ

เข้าถึงพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่ง ที่สักการะ ที่นับถือ ที่เคารพสูงสุดของชีวิตจิตวิญญาณตน
เวลามีชีวิตอยู่ก็ตาม ล้มหายตายจากไปก็ตาม ก็ยังมีพี่น้องศากยวงศ์เป็นเครื่องสักการะ แม้

แต่ถ้อยคำที่แสดงตนเป็นพุทธมามกะที่ประกาศว่า
ข้าพเจ้า ขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นสารณะ เป็นที่พึ่ง ที่เคารพสูงสุด
ข้าพเจ้า ขอถึงซึ่งพระธรรมเป็นสารณะ เป็นที่พึ่ง ที่เคารพสูงสุด
ข้าพเจ้า ขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นสารณะ เป็นที่พึ่ง ที่เคารพสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นยิ่งกว่า
ที่จริงแล้วต้องประกาศ 3 ครั้ง แต่บังเอิญคนประกาศก็อายุมากแล้ว ก็เลยรวบรัดตัดใจ

ความย่นย่อเหลือครั้งเดียว ก็อาจจะเป็นวัยรุ่นน่ะ ธรรมดา ก็ไม่เป็นไร
ก็สรุปรวมๆ เราได้ประกาศแล้ว พอประกาศแล้วพระก็จะสอน สอนให้เราเข้าถึงอย่างไร
ก็เริ่มต้นจากการให้กล่าว บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยคำกล่าวว่า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
เมื่อเราได้แสดงการนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นการเคารพบูชา ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้

ชอบได้ด้วยพระองค์เองอย่างสูงสุดถึง 3 คราแล้ว พระสงฆ์ก็จะแสดงเครื่องสักการะ

เครื่องยึดถือ เครื่องระลึกทั้ง 3 ประการ เรียกว่า แสดงรัตนะทั้ง 3 จนครบ 3 วาระสืบ

ต่อไป
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ สังฆัง

สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ สังฆัง

สะระณัง คัจฉามิ
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง (อามะ ภันเต)
เมื่อแสดงตนเป็นผู้เข้าถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสะระณะ เป็นที่พึ่ง

ตลอดชีวิตแล้ว พระสงฆ์ก็จะให้เรามีข้อวัตรปฏิบัติ สำหรับผู้มียี่ห้อศากยะ หรือยี่ห้อพุทธ

แล้วข้อวัตรปฏิบัติของชาวพุทธมีอะไรบ้าง ก็เริ่มต้นจาก
- ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
(ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)
- อะทินนา ทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
(อะทินนา ทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)
- กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
(กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)
- มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
(มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)
- สุราเมระยะ มัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
(สุราเมระยะ มัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)
 อิมานิ ปัญจะ สิกขา ปทานิ สมาทิยามิ ศีล 5 ท่านทั้งหลายได้รับแล้ว (

สาธุ)
สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลทำให้สู่แดนสุขคติ (สาธุ)
สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ (สาธุ)
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลทำให้สู่พระนิพพาน (สาธุ)
ตัสมา สีลัง วิโสธะเย ท่านทั้งหลายจงตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ (สาธุ)
กราบ 3 หน
(กราบ)
เมื่อเราแสดงตน เป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ก็จะมอบเครื่อง

ปฏิบัติ เครื่องปฏิบัติมีอยู่ด้วย 5 อย่าง ห้าอย่างนั้น ก็แบ่งเป็นประโยชน์ท่านแล้วก็

ประโยชน์ตน
ประโยชน์ท่าน ก็คือ การไม่ฆ่าสัตว์ มันเป็นประโยชน์ของท่าน ประโยชน์ของใครก็ไม่รู้

ใครที่เราคิดจะฆ่า ไม่โดนฆ่าก็เป็นประโยชน์ท่าน ไม่ฆ่าสัตว์ก็ทำให้จิตใจเราไม่โหดร้าย

คนที่จิตใจไม่โหดร้าย มันก็จะกลายเป็นคนที่มีเมตตา พอมีเมตตาแล้ว เวลาเราเข้าสู่สังคม

รวมกลุ่มกันได้ มันก็ทำให้สังคมในกลุ่มนั้น เป็นสังคมที่มีความงดงาม มีความสงบสุข
ในมุมกลับกัน คนที่มีจิตใจที่โหดร้าย เป็นคนที่อาฆาตพยาบาท โมโห ฉุนเฉียว เวลาเข้า

สังคม มันจะทำให้สังคมทุรนทุราย
งั้น ข้อปฏิบัติข้อนี้ จึงถือว่าเป็นประโยชน์ท่าน ทำประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม เมื่อปฏิบัติได้

เราก็จะกลายเป็นคนที่มีอานิสงส์ คือ สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ไม่เป็นโรคเป็นภัย ไม่

เป็นที่เบียดเบียนของใครๆ เทวดา พรหม มาร และมนุษย์ทั้งหลายก็จะอภิบาลรักษา
ข้อที่ 2 ก็คือ ยังเป็นประโยชน์ท่านอยู่อีกนั่นแหละ นั่นคือ การไม่ขโมย ไม่ลักของชาวบ้าน

ไม่ทำร้ายทำลายของที่เป็นสมบัติของชาวบ้าน ลัก นี่มันมีอาการหลากหลายมาก มีตระบัด

สัตย์ มียักยอก มีฉ้อโกง มีขโมย มีหยิบฉวย มีถือวิสาสะ  ถือวิสาสะมองซ้ายมองขวา เห็น

เจ้าของเค้าไม่มี ไม่อยู่ ก็เก็บซะ อะไรอย่างนี้ เค้าก็จัดอยู่ในคำว่า ยักยอก อยู่เหมือนกัน
งั้น สรุปรวมๆ ก็คือ ประโยชน์ท่านในข้อนี้ ถ้าทำได้ มันก็จะทำให้เราเป็นที่ยอมรับและเชื่อ

ถือของสังคม คนที่มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดจะเอาของใคร ซื่อตรง จิตใจจะงดงาม จะสง่างาม

จะมีความภาคภูมิในการดำรงอยู่ แล้วก็เป็นที่ไว้วางใจของผู้คนในสังคม เวลาจะพูดคุยอะไร

หรือใครจะพูดถึงคนๆ นี้ ก็จะบอก โอโห ท่านผู้นี้ ไว้ใจได้ เพราะเป็นผู้ซื่อตรง ไม่ตระบัด

สัตย์ ไม่คิดจะเอาของใคร ฝากฝังอะไร ก็ยังอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์จนตาย ไม่ต้องกลัวของเราสูญ

หาย
อ้ายความไว้วางใจได้เนี่ย มนุษย์สมัยนี้หาไม่ค่อยมี หาได้ยาก คนที่สามารถไว้วางใจได้

ฝากอะไรไว้อยู่ได้ตราบนานเท่านาน ปัญหาไม่ค่อยมี มันก็เลยทำให้สังคมทุรนทุราย อยู่

ร่วมกันไม่ได้
งั้น ข้อนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ท่านอยู่ ถ้าทำได้ ก็จะเป็นที่ยอมรับ เค้าเรียกว่า มีเครดิต มี

ความซื่อตรง เป็นคนงดงาม องอาจ ใครเห็นก็ภาคภูมิยินดี แล้วก็เคารพยอมรับ
ข้อที่ 3 คือ การไม่เบียดเบียนด้วยลูกเมียผู้อื่น ไม่ผิด เค้าเรียกว่าอะไร ไม่มีกามฟุ้งเฟื้อ มี

กามพร่ำเพรื่อ รู้จักจะสงบสำรวมเบญจพิษ กามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รู้จักที่จะเอา

ชนะอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ ที่จะไปครอบงำลูกเมียชาวบ้าน เป็นชู้กับชาวบ้าน

เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช้คำว่า ชู้ ล่ะ เค้าใช้คำว่า กิ๊ก ก๊อก แก๊ก อะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะเปรอะไป
แต่สรุปรวมๆ ก็คือ อันนี้เป็นประโยชน์ท่านแล้วก็ประโยชน์ตน ถ้าตัวเองทำได้ ก็จะกลาย

เป็นคนมีศักดิ์ศรี เป็นที่เคารพยอมรับ ตัวเองทำได้ก็ไม่เป็นโรคเป็นภัย ไม่ติดโรคร้ายจาก

การไปสำส่อน ไม่ติดโรคร้ายจากการไปส้องเสพ แล้วก็ไม่เสียหายด้วยเงินทองทรัพย์

สมบัติและอายุขัย สุขภาพก็ไม่เสีย งั้น ในมุมกลับกัน คนทั้งหลายก็จะไว้วางใจ เรียกว่า

ฝากปลาไว้กับแมวได้ แมวอ้าปากกินไม่เป็นอะไรประมาณนี้ อยู่กับบ้านใคร อยู่กับใคร

เค้าก็จะไว้วางใจ เป็นผู้ซื่อสัตย์ ซื่อตรง รู้จักที่จะเป็นคนที่มีผัวเดียว เมียเดียว ครอบครัวเดียว

แล้วก็เป็นคนรักเดียวใจเดียว
คนมีจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียว เป็นปึกแผ่น มันหาได้ยากในโลก ถ้าหาได้ มันก็เป็นพวกที่ไม่รู้

จะไปไหนแล้ว ไม่มีใครเค้าเอากูแล้ว หรือกูก็ไม่รู้จะไปเอาใครแล้ว สุดท้ายก็ต้องทนอยู่ไป

หรือถ้าหาได้ มันก็แสดงว่า คนๆ นั้น ต้องมีคุณธรรมในหัวใจ ไม่ปันจิตใจให้แก่คนอื่น จิต

ใจเราเป็นผู้เด็ดเดี่ยว มั่นคง คนอย่างนี้ ควรได้รับการยอมรับ แล้วก็เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง

ในสังคม มีหน้ามีตา มีศักดิ์ศรี
ข้อที่ 4 อันนี้เป็น ถ้าทำได้ เป็นผู้ที่ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ

เป็นประโยชน์ตนโดยเฉพาะ ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะมันเป็นเครดิตของตัวเอง คนที่คำ

พูดศักดิ์สิทธิ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ แปลว่า สำร็จประโยชน์ พูดแล้วเป็นความจริง แล้ว

พูดแต่เรื่องจริง เดี๋ยวนี้ มันหาได้ยากในโลก แล้วถ้ามีคนอย่างนี้อยู่ ก็เท่ากับว่า คนๆ นั้น

เวลาพูดอะไร ฟ้าดินสะเทือน แผ่นดินจะเลื่อนลั่นด้วยคำพูดของตน คนทั้งหลาย มนุษย์

พรหม มาร เทวดา ก็จะฟัง จะเงี่ยหูฟังว่า ท่านผู้นี้มีวาจาสุภาษิตอะไรบ้าง เค้าเรียกว่า เป็นผู้

มีวาจาสุภาษิต
อ้ายคนสมัยนี้ มีแต่วาจาทุภาษิต พอมีหู ก็ชอบฟังแต่วาจาทุภาษิต พอมีคำพูดวาจาสุภาษิต

หูมันก็ไม่คุ้น หูไม่คุ้นกับสุภาษิต แต่หูจะคุ้นกับทุภาษิต เช่น จ๊ะ จ๋า จ้า ใช่จ้า ดีครับท่าน

นิยมครับคุณ ถูกต้องครับผม ใช่ครับพี่ ดีครับมึง อะไรอย่างนี้ มันก็เลยกลายเป็นเหมือนกับ

คนที่มี เราฝึกหูมาแบบนี้ที่จะฟังแต่คำทุภาษิตอยู่เนืองๆ  พอมีคนพูดคำสุภาษิตซึ่งมัน

ชำแรกหู มันเสียดแทงรูหู มันไม่ซึ้งใจ มันไม่ถูกอารมณ์ ไม่เหมาะใจ มันเสียดแทงจิตใจ

มันก็เลยกลายเป็นไม่ยอมรับคำพูดแบบนั้น
เดี๋ยวนี้ เราก็จะนิยมวาจาทุภาษิต สื่อต่างๆ ทีวี โทรทัศน์ แล้วก็วิทยุสื่อต่างๆ ก็จะมีแต่วาจา

ทุภาษิต หายากที่จะหาคนที่พูดจริง ทำจริง รู้จริง แล้วก็แสดงเรื่องจริงที่เป็นสุภาษิต งั้นพวก

นี้ก็จะเป็นพวก เค้าเรียก น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง แล้วก็สร้างกลุ่มก้อนของสังคมทุภาษิต

แล้วพวกสังคมทุภาษิต ก็จะมีหูทุภาษิต คือ ฟังแต่เรื่องไม่จริงจนเป็นนิสัย เป็นสันดาน
แล้วเรื่องไม่จริงมีอะไรบ้าง แม้แต่คำว่า แหม เธอนี่สวยเหลือเกิน เรื่องจริงหรือเรื่องไม่จริง

(เรื่องไม่จริง) เออ เธอนี่ สวยเหลือเกิน จริงไม่จริง (ไม่จริง) คุณนี่ หล่อเหลือเกิน

จริงหรือไม่จริง (ไม่จริง) มันทุภาษิต มันเป็นเรื่องไม่จริง แต่เราชอบ
มีคนแต่งตัวมา สวยไหมคะ
เออ กูยืนมอง มึงสวยตรงไหนวะ
อ้าว ก็นี่ไง
ที่ไหนสวย มึงลองชี้ให้กูดูซิ ตรงไหนมึงสวย มึงน่ะ ซวยมาตั้งแต่เกิด
มันไปเลย
มันบอกว่า แหม จะเอาเงินมาถวายเสียหน่อย
เออ กูไม่เอาของมึงหรอก ให้มึงเอาเงินปิดหน้ามา กูก็ไม่เอา เพราะมึงชอบทุภาษิต มึงไม่

ได้ชอบสุภาษิต แต่กูเป็นคนพูดสุภาษิต กูไม่ชอบพูดทุภาษิต งั้น เงินเป็นร้อยล้าน กูก็ไม่เอา

ของมึง เออ เพราะมึงเป็นคนที่ชอบทุภาษิตเป็นเนืองนิจ
อ้ายคนที่มีวาจาทุภาษิต แล้วมันมีหูทุภาษิต เดี๋ยวนี้ในสังคมมีเยอะไม๊ (เยอะ)
มีทั่วไปเลย แล้วอ้ายคนที่มีหูเป็นสุภาษิต มีวาจาสุภาษิต ในสังคมมีมากไม๊ (น้อย)
หาไม่ค่อยมี ถ้ามี ก็ไม่ค่อยมีใครคบ เหมือนกับกูเนี่ย ไม่มีใครเค้าคบหร๊อก ปากเสียไง

พวกสุภาษิตมากไป ปากเสีย พูดเรื่องจริงแล้วไม่มีใครอยากคบ พอพูดเรื่องไม่จริง มีแต่คน

จะคบ แหม ใช่ครับพี่ ดีครับผม นิยมครับท่าน โยมนี่ทำถูกเหลือเกิน ดีเหลือเกิน เยี่ยมเหลือ

เกิน ประเสริฐเหลือเกิน สวยเหลือเกิน หล่อเหลือเกิน เนี่ย สุภาษิต หรือ ทุภาษิต (ทุภาษิต)
ทุภาษิต มนุษย์ ถ้ายังเป็นปุถุชน มันไม่มีคำว่า ดีเหลือเกิน ไม่มีคำว่า ดีเหลือเกิน
เค้ามีคำสอนโบราณว่า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีล รวยทาน ใช่บ้านโต
งั้น พวกนี้ชอบคำเยินยอ นิยม ยกย่อง พวกชอบทุภาษิต งั้น มันจัดรวมอยู่ในคำ ศีลข้อที่ 4

ด้วย พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เธอสวยเหลือเกิน นี่ก็ เป็นวามเพ้อเจ้อนะ อ้าว เพ้อเจ้อ
เพ้อเจ้อยังไง ก็จริงๆ มึงมีของสวยตรงไหนถ้ามึงไม่อาบน้ำซะ 3 วันอะไรมึงสวย 7 วัน

มึงไม่แปลงฟันตรงไหนมึงหอม เดือนหนึ่งมึงไม่เคยสระไม่เคยล้าง ไม่เคยซัก ตรงไหนบ้าง

ที่มึงรู้สึกสะคราญตา น่ามองตรงไหน ไม่มีอะไรน่ามองเลย แล้วมึงสวยตรงไหน
สวยเพราะสมมุติน่ะ สวยเพราะจิตไปยึดถือ สวยเพราะปรุงแต่ง สวยเพราะต้องสร้างสรร

สวยเพราะต้องส่งเสริม สวยเพราะต้องทำนุบำรุงรักษา ไม่ใช่สวยเพราะโดยธรรมชาติมัน

สวย ไม่ใช่สวยเพราะเหตุปัจจัยมันสวย แต่สวยเพราะมีการปรุงแต่งให้มันสวย ไม่ได้สวย

เพราะมันเกิดมาสวยแต่เดิม
แล้วอ้ายคนเกิดมาสวยแต่เดิมมันไม่มี อ้ายที่สวยแต่เดิมจริงๆ ก็คือ ศีล ลูก
คนโบราณเค้าถึงได้บอกว่า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน สวยจรรยา มารยาท ก็คือ ศีล นั่นเองแหละ มีกายอันปกติ

มีวาจาอันปกติ มีจิตใจอันปกติ มีปัญญาอยู่ในจิตใจ
งั้น คำว่า วาจาทุภาษิตกับวาจาสุภาษิต เดี๋ยวนี้ มันเกลื่อนกล่นไปหมดอ้ายพวกทุภาษิตน่ะ

แล้วถ้าอ้ายกลุ่มไหน คนไหนจะใช้สุภาษิต ไม่ได้เลยล่ะ จะเป็นที่รังเกียจ เหยียดหยามดูถูก

ตำหนิ ดูแคลน
เมื่อเช้า หลวงปู่ยังพูดกับเสถียรว่า วัดนี้ เอาคน ไม่ได้เอาเงิน
ฟังเข้าใจไม๊
เออ เอาคน ไม่ได้เอาเงิน ถ้ากูเป็นคนเอาเงิน มึงไม่ควรไหว้กู แล้วกูจะมีคุณธรรมอะไรให้

พวกมึงไหว้ ให้มึงเอาเงินแปะหน้ามาเป็นร้อยล้าน ถ้ามึงเป็นคนที่ชอบทุภาษิต กูก็ไม่เอามึง

มึงจะไปไหนก็ไป เรื่องของมึง มึงจะไม่เข้าก็เรื่องของมึง มึงจะไปเข้าก็อีกเรื่องของมึง
ถ้ามึงเป็นคนที่ชอบสุภาษิต กูพูดได้ตลอดเวลา คือ กูด่าได้ตลอดเวลา กูด่าเป็นอาชีพ กูบ่น

เป็นอาชีพ เพราะวัดนี้ไม่ได้เอาเงิน เอาคน
งั้น หลวงปู่ ถ้าเป็นคนเห็นแก่เงิน ก็แสดงว่า เป็นผู้ทุภาษิต โยมจ๊ะ โยมจ๋า ดีครับท่าน ใช่

ครับผม นิยมครับพี่ เลิศประเสริฐศรี สวยเหลือเกิน งดงามจริง ทุภาษิตทั้งนั้น มันไม่ใช่ของ

จริง มันของตลบแตลง หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ตอแหล
งั้น ถ้าเป็นบุคคลที่จะเข้าวัดนี้ ต้องสำนึกให้ได้อยู่เสมอว่า เข้ามาเพื่อจะมาขัดเกลา มาเพื่อจะ

ให้สอนสั่งอบรม ไม่ใช่มาเพื่อจะมาแสดงทุภาษิตให้เห็น ถ้าเข้าวัดนี้ ก็ต้องรู้กันว่า เอาล่ะ กู

ต้องเตรียม โดนขัด โดนเกลา โดนสอน โดนสั่ง
เดี๋ยวจะให้เค้าเขียนไว้หน้าวัด ตัวใหญ่ๆ
คนที่จะเข้าวัดนี้ ต้องทำใจให้มาก เออ ต้องทำใจให้มาก เออ ต้องตระหนักให้เยอะสำหรับ

พวกชอบทุภาษิต
ถ้าคนชอบสุภาษิต อยู่สบาย นอนสะดวก ตีลังกาก็ง่าย กินนอนก็สบายกายสบายใจ
แต่ถ้าชอบทุภาษิต ต้องทำใจให้หนัก ทำใจให้ว่าง เพราะวัดนี้ไม่มีทุภาษิต มีแต่สุภาษิต
แต่กูมีหน้าที่ด่าเป็นอาชีพ สอนเป็นอาชีพ ไม่ใช่ชมเป็นอาชีพ
แต่ชม ทำอาชีพนี่ เค้าเรียกว่าอะไร เค้าเรียกว่า ปลิ้นปล้อน ตลบแตลง โกหก หลอกลวงชาว

บ้าน หลอกชาวบ้านเค้ากินมีประโยชน์อะไร ได้ตังค์มาแล้วมันเป็นของเราที่ไหน สุดท้าย

ตายแล้วมันได้อะไรไป สู้ให้เค้าฟังสุภาษิต คือ เรื่องจริง ของจริง เค้าตายแล้ว ยังมีโอกาส

ระลึกถึงคำเราได้ ก็ยังเป็นที่พึ่งในจิตวิญญาณ ในชีวิตข้ามภพข้ามชาติ
สวยจังโยม หล่อเหลือเกินคุณ ดีทั้งหมดเลยท่าน มันเป็นจริงหรือเปล่าอย่างนี้
จริงไม๊ มันของโกหก ตลบแตลง ตอแหล หลอกลวงทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น อยากบอกท่านทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พวกเราแสดงตนเป็น

พุทธมามกะ หรือ โบราณจารย์สอนเราให้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือ มนุษย์ที่มียี่ห้อ

แล้วยี่ห้อที่จะเอาไปใช้ ไม่ใช่แค่ยี่ห้อเฉยๆ มันต้องมีคุณลักษณะอันพิเศษ อ้ายคุณลักษณะ

อันพิเศษข้อที่ 4 ที่พระท่านสอนให้เรา ก็คือ เราต้องเข้าใจตามสภาพธรรมที่ปรากฏ

แล้วทำได้มันก็เป็นประโยชน์จริงๆ ของเรา
ข้อสุดท้าย ข้อที่ 5 อันนี้เป็นประโยชน์ชัดๆ มองเห็นชัดๆ คนเมากับคนไม่เมา มันก็คือ โง่

กับฉลาด มันไม่ได้เป็นประโยชน์ใครเลย เป็นประโยชน์ตนชัดๆ ถ้าตัวเองไม่มัวเมา ไม่

ประมาท ไม่ขาดสติ มันก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อตนและคนรอบข้าง สุขภาพก็ไม่เสีย การ

งานก็ไม่เสีย ชีวิตก็ไม่เสีย สังคมก็ไม่เสีย ทรัพย์สินก็ไม่เสีย มันไม่มีคำว่า เสีย มันมีแต่คำว่า

ได้ หรือ ทรงตัว หรือ รักษาสมดุลย์ชีวิต แต่ถ้าหากว่ามัวเมา ประมาท ขาดสติ ไปส้องเสพ

สิ่งมึนดองของเมา พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่า จะกินเหล้า หรือติดบุหรี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มัน

ทำให้มัวเมา สุดท้ายมันแย่ทั้งนั้น
ดูตัวอย่าง อ้ายแก่ข้างๆ กูเนี่ย ติดบุหรี่มาตั้งแต่เกิด ไม่รู้มันติดมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่าล่ะนะ

คงจะมาเลิกเอาเมื่อตอนแก่ พอแก่แล้วเลิกทีนี้ก็ยาก ลำบากล่ะ ร่างกายก็ทุกข์ทรมาน อันนี้

เป็นต้นแบบตัวอย่างสุภาษิตชี้ให้เห็นว่า คนติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ติดอะไรเนี่ย ถามว่า มันดี

ไม๊ มันก็ มันมีดีตรงไหน
ถ้าดี มันก็ต้องเป็นรัตนตรัย ต้องเป็นรัตนะที่ 4 อีกหน่อยก็บุหรี่คัจฉามิ เหล้าคัจฉามิ กาม

คัจฉามิ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ นี่ ไม่ใช่ล่ะ ข้าพเจ้าถึงซึ่งบุหรี่เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง จ้า

พเจ้าถึงซึ่งยาบ้า ยาม้า เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
มันไม่ใช่ ลูก
งั้น สรุป รวมๆ ก็คือ ศีล หรือ ข้ยปฏิบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่สอนเราในขณะที่เรา

แสดงตนเป็นพุทธมามกะ มันมีอยู่ 2 อย่างให้คิด ก็คือ ประโยชน์ท่าน แล้วก็ประโยชน์ตน

มันก็จะสรุปโดยคำสอนสุดท้าย คำสอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
งั้น ผู้ที่ปฏิบัติตน หรือแสดงตนเป็นพุทธมามกะก็ได้ จะได้ปะโยชน์ 2 อย่าง คือ

ประโยชน์ท่าน แล้วก็ประโยชน์ตน พระท่านสอนอย่างนี้ เค้าสอนไม๊ เวลาไปแสดงตนเป็น

พุทธมามกะ เค้าสอนแบบนี้ไม๊ ถ้าพระท่านไม่สอนแบบนี้ ก็แสดงว่า ท่านยังไม่ใช่พระ หรือ

ยังเรียกไม่เข้าถึงประโยชน์ทั้ง 2
ท่านว่าของท่านเรื่อยเปื่อย พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ปาณาติปาตาฯ ไปถึง สุราเมระยะฯ จบ

บ้านใครบ้านมัน ตัวใครตัวมัน อย่างนี้ ก็ไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ มันก็ไม่ได้ใจ ไม่ซึ้งใจ ไม่

ติดตราตรึงใจ มันก็ทำไม่ได้
งั้น การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ก็คือ การประกาศตัวเองว่า จะเป็นผู้ที่เข้าถึงคุณ 2 อย่าง

ก็คือ ประโยชน์ท่าน และประโยชน์ตน คือ ต้องการประโยชน์ ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ท่าน

แล้วก็สร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองให้มากที่สุด
เมื่อทำได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกท่านผู้นี้ว่า ผู้เป็นพุทธะ หรือว่า ภิกษุบริษัท ภิกษุบริษัท

อันแปลว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก แล้วก็อุบาสิกา  เป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง

เป็นสรณะ เป็นที่เคารพสูงสุด
และในมุมกลับกัน มันก็เป็นการประกาศตนเองให้เป็นผู้ดีมียี่ห้อ เป็นที่ยอมรับของคน

พรหม มาร เทวดา เวลาเป็นผี ก็เป็นผีมียี่ห้อ ตายไปก็จะได้ไม่เป็นสัมภเวสี ไม่ล่องลอยหา

ที่อยู่เรื่อยเปื่อย หรือว่าจะเข้าบ้านใครดี เพราะไม่มีญาติซักคน แต่เมื่อเราประกาศตนเป็นผู้

ที่มีญาติ เป็นผู้ที่มีบ้านมีช่อง มีญาติอันเป็นพุทธบริษัท ตายไปก็เป็นผีมียี่ห้อ เวลาผีเข้าบ้าน

ก็เข้าบ้านพุทธ ไม่ใช่ไปเข้าบ้านส่งเดช อย่างนี้เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งหลายทั้งมวลนี่ ก็เป็นที่มาของข้อวัตรปฏิบัติ ในเรื่องการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

แล้วท่านก็สรุปไว้ว่า
สีเลสีเลนะ สุคะติง ยันติ ผู้ปฏิบัติได้ตามนี้ ก็ได้ไปสู่สุขคติ
สีเลนะ โภคะสัมปะทา ปฏิบัติได้ตามนี้ ก็จะมีโภคะมาก มีทรัพย์สมบัติมาก แม้สมบัติภาย

ในก็มี สมบัติภายนอกก็มาก ตายไปก็ได้อาศัยพึ่งพาสมบัติทั้งภายในที่มีอยู่ ภายนอกที่ได้

จากการสั่งสม อบรมจนเป็นบารมีธรรมภายในได้ อย่างนี้เป็นต้น
นอกจากเป็นผู้เข้าถึงโภคะ ความมีโชค มีลาภ มีโภคทรัพย์มากมายแล้ว เราก็ยังเป็นผู้เข้าถึง

องค์คุณแห่งสุขคติภพ ตายแล้วก็ไปสู่สุขคติ โลกสวรรค์
แล้วก็ สุดท้ายก็พัฒนาจากศีลเข้าไปสู่คำว่า ปัญญา ศีลมีสมาธิ ด้วยกระบวนการปฏิบัติศีลทั้ง

5 อย่างด้วยความจริงจังและจริงใจ ถูกต้องชอบธรรม ตรงต่อพระธรรมคำสั่งสอนอย่าง

จริงๆ ที่เรียกว่า เป็นสุภาษิต ไม่ใช่ทุภาษิต ก็เป็นลักษณะการแสดงออกของสมาธิอย่างหนึ่ง

เพราะว่า มีความตั้งมั่นที่จะทำ มีความตั้งใจที่จะทำ ทำไปๆ ก็เกิดผล จนกระทั่งลุถึงปัญญา

อันสูงสุด
งั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้เราได้เรียนรู้ศึกษาในสิกขา 3 อย่างดังกล่าวมา เมื่อท่านทั้ง

หลายประกาศตนเป็นภิกษุบริษัท 4 คือ อุบาสก อุบาสิกา หรือ ประกาศตนเป็น

พุทธมามกะแล้ว พระท่านให้ศีลเรียบร้อยแล้ว เรารับศีลเรียบร้อยแล้วมาทำเรียบร้อยแล้ว

ท่านก็จะสอนให้เรากรวดน้ำ แผ่เมตตา แบ่งคุณงามความดีให้แก่สรรพสัตว์และหมู่ญาติผู้

วายชนม์และล่วงลับไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่า เป็นการสั่งสมอบรมบารมีธรรมอย่าง

หนึ่ง
งั้น ท่านทั้งหลายจงตั้งใจกล่าวคำถวายทานก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วเดี๋ยวค่อยกรวดน้ำ แผ่

เมตตา ปัจจัยลาภ อาหารการกิน ข้าวสาร อาหารแห้ง ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ลูกหลานนำมา

ถวายหลวงปู่และพระสงฆ์ หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของพระศาสนา เพื่อใช้ใน

กิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประโยชน์
ขอท่านทั้งหลาย อนุโมทนา ลูก
(สาธุ)
งั้นก็ ข้าวสารอาหารแห้งส่วนหนึ่งที่หลวงปู่ขออนุญาตกันไว้สำหรับมาแจกวันแม่แห่งชาติ
ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
(สาธุ)
ตั้งใจกล่าวคำถวายทาน
ว่า นะโม 3 จบ
................
อิมินา สักกาเรณะ พุทธัง อภิปูชยามะ
................
สาธุ
(กราบ)
สังฆทานและสิ่งของที่ลูกหลานถวายแล้ว.........ขออนุญาตแบ่งส่วนหนึ่งไป

ถวายตามวัดต่างๆที่อยู่ตามชายแดนๆ
ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
(สาธุ)
ขออนุญาตแบ่งส่วนหนึ่งไปถวายตามวัดต่างๆ ที่ตามชายแดนๆ
ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
(สาธุ)
เดี๋ยวจะให้เค้าไปแถวสังขะฯ แจกวัดตามบ้านนอกๆ
เอ้า ตั้งใจ กรวดน้ำ ว่าตาม
อิทัง โนยา ตินัง โหนตุ
...............
หลวงปู่ให้พร
...............
(สาธุ)
เจริญธรรม ลูก ให้รุ่งเรือง มีปัญญา
(สาธุ)
วันนี้ วันอาสาฬหบูชา เดี๋ยวตอนบ่าย ค่อยเปลี่ยนเรื่องนี้ ตอนนี้จะหมดเวลา ช่วงนี้ก็ อนุญาต

ให้ถามปัญหาข้อวัตรปฏิบัติธรรม
เมื่อวานนี้ เค้าให้ที่สวนทองผาภูมิ เอากล้วยมาให้กับส้มโอ เห็นกล้วยแล้วก็เสียดาย เสียดาย

ก็มานั่งตัดกล้วย ตัดเป็นร้อยๆ หวี กล้วยนี้เค้าไม่มีอ้ายนั่น ไม่มีสารพิษ กล้วยตลาดเห็นวัน

นั้น ใครเค้าซื้อมาถวาย เราก็งงว่า เอ๊ เราไว้ในห้องทำงาน ห้องทานข้าว เอ๊ 2 อาทิตย์มันยัง

เขียว ยังไม่ดำเลยเว้ย พอไปหยิบดู น้ำไหลเลยล่ะ แต่เปลือกนี่เขียว เออ กล้วยเดี๋ยวนี้มันก็

แช่ฟอร์มาลีน
นั่งตัดกล้วยไป ก็บ่น อ้ายพวกนี้ เค้าไปนั่งช่วยล้างกล้วย เราก็เลยบ่น เออ สมัยก่อนนี้ อ้าย

เราก็ว่า กูไม่คิดนะว่า วันนี้กูจะต้องมานั่งตัดกล้วยขาย ถ้าเป็นสมัยก่อนเนี่ยนะ ตอนสร้างวัด

ใหม่ๆ 20 กว่าปี ก็มันไม่มีอะไรนี่ มีตังค์ติดมา 3 บาท มาใหม่ๆ ต้นไม้ซักต้นก็ไม่มี ก็

มานั่งปลูกกล้วยก่อน ปลูกกล้วย ชาวบ้านมันก็ด่า ด่าหาว่า พระมาปลูกกล้วยขาย ปลูกกล้วย

ปลูกมะละกอ ที่จริงน่ะ เราอยากจะปลูกไม้ใหญ่ แต่ดินมันไม่ดีไง เพราะขุดเอามาถม แล้ว

น้ำมันก็หายาก อีกทั้งดินมันก็แข็ง เราก็คิดว่า ปลูกกล้วย มันจะช่วยทำให้ดินมันนุ่มขึ้น มัน

มีออกซิเจนมากขึ้นในดิน ก็ปลูกกล้วย
8 เดือนต่อมา ก็ได้กินกล้วย กล้วยอุตส่าห์ไปขนมาจากลพบุรี ต้นใหญ่เท่าเสาเนี่ย กล้วย

24 หวี เค้าเรียกอะไร กล้วย 24 กล้วยนี่ เค้ามี กล้วยสาม กล้วยหก กล้วยสิบสอง แล้ว

ก็กล้วยยี่สิบสี่ เออ เค้ามีตำรา กล้วย 24 ต้นกล้วย 2 คนโอบ ใหญ่มาก
เราก็ปลูก ปลูกชาวบ้านเค้าก็ด่า แต่ถึงเวลามันก็มาเก็บ เก็บหัวปลีบ้าง เก็บกล้วยบ้าง ตัด

ใบตองบ้าง พอเวลาเราเดินไปเจอเข้า ก่อนนี้ต้นกล้วยมันรกไง เยอะมาก ไม่รู้ใครเข้าทาง

ไหน เดินไปเจอ มันเห็นหน้า เราก็ถาม ทำอะไรน่ะ อ๋อ ผมขอกล้วยหน่อย มันเจอเรา มัน

ถึงขอนะ ไม่เจอมันก็ไม่ขอ มันก็ตัดไป
พระวัดหนองปลาไหล สมภารวัดหนองปลาไหล สมัยนั้น เค้ายังมีชีวิตอยู่ ขับรถมา อ้ายรถ

ปิ๊กอับ
ท่าน ขอกล้วยซักคันรถสิ
ฮึ เอาเป็นคันรถเชียวเหร๊อ เอาไปทำอะไรน่ะ
จะเอาไปแจก โยมเค้ามาทอดผ้าป่า
ที่วัด มีที่ไม๊
มี กี่ไร่ล่ะ
30 กว่าไร่
ผมมีแค่ 9 ไร่ ท่านมาขอผม 30 กว่าไร่ มาขอกล้วยวัด 9 ไร่ ไม่รู้จักปลูกบ้างเหร๊อ
ปลูกเหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยขึ้น
เราก็เลยบอก อืม ถ้าไม่เกรงใจ ก็ตัดเอาเฮอะ
มันก็ไม่เกรงใจนะ ตัดจนเต็มคันรถ เราก็ เอ๊อ สมัยนั้นมันไม่มีตังค์ เวลาจะสร้างอะไรแต่ละ

ทีก็ต้องมองฟ้า แล้วค่าใช้จ่ายประจำวัน จะทำยังไง
ก็ใช้วิธีน่ะ ลูก ขายกล้วยบ้าง มะละกอบ้าง ปลูกผักบ้าง ชาวบ้านเค้าด่านะ ชาวบ้านเค้าว่า แต่

เรารู้ว่า เราทำอะไร เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เพราะมันไม่ทำได้ยังไง โยมเนี่ย แม่ โยมย่าเนี่ย

พอถึงเวลาเช้า แกก็เอาผักบุ้งไปขาย เอาผักตำลึงไปขาย เอากล้วยไปขายตลาด ขายแล้วทำไง

ได้เงินมา แกก็ซื้อกับข้าวกลับมาด้วย ไปแต่เช้ามืด ตีสี่ แกก็ไปล่ะ แบกไปนะ รถก็ไม่มี

สมัยนั้นไม่มีรถใช้ แกก็แบกขึ้นรถเมล์ไป ขายเสร็จแล้ว ขากลับแกก็ซื้อปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้

ขนมนมเนย เอามาถวายพระ แล้วโรงครัวก็ยังทำ เวลามีคนมาหา ก็เรียกกินข้าวก่อน โรง

ครัวเค้าทำมาตลาดน่ะ
แรกๆ มีเงิน 3 บาทจะไปทำอะไร หลวงปู่คอยไล่พระเณร มีตาหนิทองค์กับเณรอีก 2

องค์ ช่วยกันรดน้ำกล้วย รดน้ำต้นไม้ รดน้ำผัก ปลูกผักกะเฉดไว้ในคลองหน้าหอฉัน หวังว่า

จะได้กินผักกะเฉด อ้ายข้างวัดมันเลี้ยงเป็ด เลี้ยงเป็ด 50 ตัว ผักกะเฉดมันก็มีแหนนี่ แล้ว

เป็ดกับแหนมันถูกกันเมื่อไหร่ล่ะ เจอมันก็ลงๆ เฮ้ย ขัง ให้ขัง มันก็ไม่ขัง มึงอยากขัง ต้อง

ไปพูดกับเป็ด ฟังมันว่า ให้เราพูดภาษาเป็ด
อ้ายเราก็เลย ตอนนั้นกำลังสร้างโบสถ์มุงหลังคา บอกให้ ตาหนิท เอาเณรจับเป็ด จับเป็ดขัง

มันไปฟ้องเจ้าคณะปกครอง ทีแรกมันไปแจ้งความตำรวจ ตำรวจมันไม่กล้ามายุ่ง มันไป

ฟ้องหลวงพ่อชุ้น หลวงพ่อชุ้นเค้ามา หลวงปู่กำลังมุงหลังคาโบสถ์
ท่าน ลงมานี่ๆ
ทำไม
ไปจับเป็ดเค้าเหร๊อ ชาวบ้านเค้าไปฟ้องว่า ขโมยเป็ด
อ้าว นี่มันวัดใคร
ก็วัดท่าน
แล้วที่ของใคร
ก็ที่วัด ที่พระ ก็ที่ท่าน
แล้วเป็ดมันมาอยู่ในวัด จะเรียกว่าขโมยได้ยังไง
ผมก็ไม่ได้ไปเก็บเอา ไปหยิบเอา หรือ ไปขโมยเอาในบ้านมัน มันมาอยู่ในวัด แล้วเราก็

เลยพาไปดู
เห็นไม๊เนี่ย รุยกันเกลี้ยงไปหมดเลย อ้ายยอดผักกะเฉด ปลูกๆ ไว้ อู้หู เราไม่มีใครดูไง มัว

แต่ทำโบสถ์
โบสถ์นี่ กูก็ทำเอง อืม ประหยัดตังค์ สมัยนั้นก็ต้องอาศัยพวกนี้
ระหว่างขายพระเนี่ย ทำพระขายเนี่ย กูไม่ภูมิใจเท่ากับกูปลูกผักขาย มันเรื่องจริง ที่สั่งให้

เค้าเก็บพระ ไม่ขาย ก็เพราะอย่างนี้
ไม่ภูมิใจ ถาม ทำไม
มันเหมือนหลอกเค้า แขวนพระไป มึงได้อะไร อิ่มหรือเปล่าน่ะ
ซื้อผักกูไปนี่ยังได้กินอิ่มบ้างนะ ยังได้อาศัยบ้าง ได้เห็นเนื้อเห็นหนัง เห็นขี้บ้าง
เอ้า จริงๆ ไม่ภูมิใจเลย กูนั่งไม่เป็นสุขหรอก ลูก หลวงปู่มีความคิดอยู่อย่างนี้มานานตลอด

ถ้าให้กูปลุกเสกพระขายกับกูทำผักขายเนี่ยนะ กูมีความสุขกับการปลูกผักขายมากกว่า
ไม่ได้หลอกเค้า ไม่รู้ว่าหลอกไม่หลอกไม่รู้ล่ะ กูทำพระ กูก็ไม่ได้หลอกใครหรอก แต่ว่า

ความรู้สึกเรามันเป็นอย่างนั้น เราไม่ภาคภูมิใจกับการที่เราต้องมานั่งปลุกเสกเลขยันต์ อะไร

เยอะแยะมากมาย แต่ปลูกผักขาย ปลูกอ้อยขาย อะไรเนี่ย ทำยานี่ยังจะดูดีกว่าอีก ยังเป็นที่

พึ่ง ยังเห็นชัดๆ
อ้ายแขวนพระไว้ในคอนี่ จะรอดไม่รอด จะฟลุ๊กไม่ฟลุ๊ก จะได้ จะดี จะเสีย จะมี แต่ที่แน่ๆ

น่ะ มึงรอด พอมึงไม่แขวนพระ มึงก็เอาไปขาย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่รู้ใครมันเอาอะไรมา

ถวาย เค้าทำล๊อกเกตรูปหยดน้ำ ทำ ขออนุญาตใครก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ มันมีพันธุ์นี้ด้วยนะ แอบ

ไปทำแล้วก็มาขายกันเอง แล้วก็เอามาถวายนิดหน่อย
ถ้ากูเป็นคนปัญญาอ่อน รับมา แล้วเอาไปแจก ก็ได้เรื่องเลย เข้าทาง นี่ไง ออกจากวัดเลย นี่

หลวงปู่ยังแจก เลยกลายเป็นขายได้ราคาแพงขึ้น เดี๋ยวนี้ อ้ายเชือกที่แขวนเนี่ย ผูกคอตาย

เนี่ยนะ มันก็จ้องกันแล้วล่ะ เออ เส้นใครเส้นมัน ไม่ได้ซักเส้นล่ะมึง จ้องกันแล้ว เดี๋ยววันที่

12 นี่ มันไม่ได้มาแต่ตัวนะ มันเอามีดมาด้วยนะ เออ ดีไม่ดี มันไม่เอาเฉพาะเส้นมัน ก็

ไม่เข้าใจ
แต่หลวงปู่ไม่ได้ภูมิใจหรอก ไม่ได้มีความสุขกับการกระทำ ถ้าให้หลวงปู่ไปอยู่หัวไร่ปลาย

นา ปลูกข้าว ปลูกผัก มันได้ด้วยลำแข้งตัวเอง สองขากูยืน สองมือกูทำ หนึ่งตัวกูก้มๆ เงยๆ

หนึ่งหัวกูคิด กูทำได้
อ้ายอย่างนี้ มันต้องอาศัยศรัทธาคน ต้องอาศัยคนน่ะพูดง่ายๆ อ้ายนั่น มึงจะศรัทธาไม่

ศรัทธา กูก็ปลูก ปลูกแล้วกูได้ มึงไม่ซื้อ กูก็กิน เหลือ กูก็แจก ไม่แจก กูก็ทิ้งอะไรอย่างนี้ ก็

ยังมีส่วน เมื่อวานนี้ เก็บผักบุ้งอยู่นา แล้วก็เล่าให้พวกที่เค้าช่วยเก็บว่า สมัยก่อนนี้ ย่ากับกูนี่

เดินเก็บผักบุ้ง ตอนสร้างวัดใหม่นี่ กูเก็บผักบุ้ง ช่วยย่าเก็บผักบุ้ง ใบตำลึง เก็บจนตีนเน่าน่ะ

เดินในทุ่งเก็บผักบุ้งขาย ตอนคนไม่อยู่ไง แอบๆ กลัวคนเค้าจะว่า หาว่าเราเป็นพระมานั่ง

เก็บผักบุ้ง เก็บตำลึง แค่ปลูกกล้วยมันก็ด่าว่า เออ แอบๆ เก็บแล้ว เสร็จแล้วก็มานั่งเรียง

สมัยเด็กๆ ฝึก เรียนรู้ว่า จะทำยังไง
เล่าให้ลูกหลานฟังว่า อะไรที่มันได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มันเป็นความภาคภูมิ หลวงปู่จะ

อยู่ด้วยความภาคภูมิ ถ้าอยู่แล้วไม่ภาคภูมิ จะไม่หายใจ ไม่อยู่ ต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เราอยู่ มัน

ต้องถูกธรรม ถูกวินัย ถูกต้อง แม้มันจะผิดๆ พลาดๆ ไปบ้าง แต่มันก็ไม่ทำร้ายให้เสีย

สมณะสารูป หรือเสียสถานภาพความดำรงค์อยู่
ถามว่า มันแตกต่างอะไรกับการที่ทำหน้าที่เป็นพระ...
เคยทำ สมัยก่อน เคยทำ เคยรับแขกเป็นพระหมอดู ทำนายทายทัก สมัยก่อนมีคนมาหา

เช้ายันเย็น อ้ายโรงงานพลาสติกสหธรรมมิตรที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะฤทธิ์หมอดู แล้วก็เลิก

เลย
พอดูให้มันไม่กี่เจ้า กูต้องขึ้นศาล
เพระอะไร มึงรู้หรือเปล่า
ก็มันมาถึง 2 คนผัวเมียมา ท่าน เค้าไปดูหมออะไรก็ไม่รู้ที่นครปฐม แต่ต้องเรียกก่อน

5,000 ขึ้นกะได ค่าขึ้นกะได เหยียบกะได 5,000 แล้วมัน 2 คนผัวเมียไม่มี

ตังค์ไง คนตลาดเค้าลือกันว่า ให้มานี่ วัดอ้อน้อยนี่แหละ สำนักสงฆ์นี่แหละ ตอนนั้นยังไม่ได้

เป็นวัด หลวงปู่ท่านดูแม่น แต่ท่านไม่ค่อยดูให้ใครนะ ระวังจะโดนท่านด่า
มันก็มาด้อมๆ มองๆ เราก็กำลัง รู้สึกกำลังจะตอกเสาเข็มโบสถ์ โบสถ์นี่กูก็ตอกเอง เอาพระ

3-4 รูป ช่วยกันตอกเสาเข็ม มันก็ไม่เห็นมันทรุด ไม่ได้ใช้เครื่องนะ ลูก ใช้มือ ไม้ เสา

เออ สามเกลอตอก ตอกเสาเข็มโบสถ์ อ้ายมันก็มารอตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเราเลิกงาน มันก็

เข้ามาหา เราก็สังเกต เอ อ้ายสองคนผัวเมียนี่ มันมาทำไม
พอเย็น สรงน้ำเสร็จเรียบร้อย จะสวดมนต์ มันก็เข้ามากราบ
ก็ถามมัน มาทำไม
ผมอยากจะให้หลวงปู่ช่วยดูผมหน่อย
กินข้าวหรือยัง
ยัง
เอ้า ไปกินข้าวก่อน กูสวดมนต์ก่อน
กินข้าว ย่า เค้าก็หาข้าวให้กิน
ก่อนนี้ ตรงนี้มันเป็นกระต๊อบ ศาลาหลังนี้ยังไม่มี อยู่ตรงนั้นกลางสนามหญ้า เป็นกระต๊อบ

เป็นมุงจาก เค้าก็มารอ กินข้าวเสร็จ หลวงปู่สวดมนต์จบ กว่าจะจบก็ทุ่มกว่าล่ะ มันรอตั้งแต่

เช้าจนทุ่มกว่า ก็เลยมาบอกว่า ผมโดนญาติโกง ทำโรงงานพลาสติก
แล้วเราก็มองหน้ามัน แล้วทำไง
ก็ลูกก็กำลังจะโดนออกจากโรงเรียน เรียนโรงเรียนอัสสัมด้วย ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม มีลูก 3

คน
แล้วทำไงล่ะ
ก็อยากให้หลวงปู่ช่วยหน่อย
เราก็มองหน้ามัน อ้ายห่า กูเองกูก็จะแย่อยู่แล้ว มึง....เพิ่งจะเลิกตีเสาเข็มมา แล้วกูจะ

ช่วยอะไรมึงได้วะ
เอ้า กูจะช่วยมึงแล้วกัน ดูวาสนามึงยังพอจะมีอยู่บ้าง พรุ่งนี้ มึงมาใหม่ เอาหลักฐานมาให้กูดู
พอเอามาดูเสร็จ เราก็โทรศัพท์ เฮ้ย อ้ายพงศ์ เรียกคนนู้นคนนี้ เออ อ้ายเชาว์ไม่ได้เรียกนี่

ตอนนั้น เรียกอ้ายพงศ์ อ้ายนพพร อ้ายใครๆ
มึงช่วยมันหน่อยวะ ซื้อหุ้นมัน ช่วยออกหุ้น คนละหุ้นสองหุ้น เออ ช่วยมัน ฤทธิ์เป็นพระ

หมอดู ช่วยมันจนกระทั่งได้โรงงานกลับคืนมา เอ้าได้โรงงานกลับคืนมา เสร็จเรียบร้อยแล้ว

เราก็สร้างโบสถ์จวนจะจบแล้วมั๊ง ยังไม่จบไม่รู้ละ ออกจากวัดไป 5 ปี ที่ไหนได้นึกว่าจะ

พ้น พวกไปตามมาขึ้นศาล มาเป็นพยานว่าคดี เพราะหลังจากช่วยแล้ว อ้าย 2 ตัวมันไม่

ซื่อตรง คนมันจะชั่ว แล้วเงินมันอยู่กับใคร มันก็ไม่เข้าใครออกใคร ก็บิดเบี้ยวทางบัญชี เค้า

ก็มาฟ้อง แล้วก็ให้เราไปเป็นพยาน สุดท้ายเราก็เลยไปบอกกับศาลว่า ความจริงคือ อะไร

ศาลก็เลยพิพากษายึดบริษัท ไม่ให้มัน 2 คนผัวเมียเป็นเจ้าของ
เราก็เลย ตั้งแต่นั้น กูเลยเข็ด ไม่เอาแล้ว ไม่ดูดงดูดวงให้ใครแล้ว ถ้ากูดูแล้ว กูซวยทุกที
ไม่ใช่เจ้านี้เจ้าเดียวนะ ลูก ดูมา รู้สึกจะทำตัวเป็นหมอดูอยู่หลายวันอยู่ล่ะ ไม่ใช่เป็นเดือน

หรอก แล้วหลายวันนี่ ซวยทุกเจ้าเลย มันดูมันถูกเกินไปไง มันดูถูกแล้วก็เลยรู้ไง บอก มึง

กูมีอยู่เท่านี้น่ะ มึงเอาไป เอาตังค์ไป แทนที่เราจะได้ตังค์มันนั เรากลับต้องจ่ายตังค์เราให้มัน
บอก ไม่เอาละ ไม่ดูละ สุดท้ายไม่มีตังค์ มึงไปที่อ้ายบ้านย่าไป๊ โรงครัว ข้าวสารในคลังน่ะ

มึงเอาไปกินไป๊ แล้ว อ้ายห่านี่ ไม่รุ่งเว้ย ทำอาชีพหมอดูนี่ ไม่รุ่ง คนอื่นเค้าทำ เค้าได้ กูทำ

มีแต่เสีย
อ้ายหนิทเค้าว่าไง อาจารย์ เลิกเฮอะ ขืนดูต่อไป ไม่มีข้าวสารกิน เค้าบอก เลิกเฮอะ
เออ กูก็ว่า กูเลิกละ กูไม่ดูแล้วล่ะ ขืนดู กูแย่แน่เลย คนอื่นเค้าดูได้ตังค์ไง กูดู กูมีแต่เสียตังค์
เออ บอก ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ ทำอาชีพนี้ไม่ได้
เอ้า ก่อนหน้านั้น ก็ทำนะ ทำหมอยา หมอยารักษาเนี่ย แต่สมัยนั้นไม่ทำยา ไม่ได้เป็นหมอ

ยา เพราะยายังไม่ได้ปลูก ยังไม่ได้หา ก็เป็นหมอฝังเข็ม จี้จุด ใช้วิชาหัคถ์โอสถรักษา อยู่ใน

หอกรรมฐานน่ะ
มาทีจากสงขลา จากปัตตานี จากเชียงราย เชียงใหม่ ฝังไปฝังมา มันไม่ได้ฝังกับเราเจ้าเดียว

แต่มันไปฝังคนอื่นด้วย สุดท้ายเค้าจะมาโทษเรา หาว่าเราเป็นคนทำให้ลูกเค้าอาการหนัก กู

เลยทิ้งเข็มเลย ไม่เอา
ถามว่า มึงไปฝังที่ไหนบ้าง ก็ไปฝังที่นู่น ฝังที่นี่ ฝังซินแสนู้น ซินแสนี้ เอ๊ แล้วมันมาโทษเรา

อย่างนี้ มันก็ไม่ถูกนะ เลิ๊ก ไม่ใช้วิชาฝังเข็ม ตั้งแต่นั่น สาบานว่า กูจะไม่หยิบเข็มอีกเลย

อะไรก็ตาม เหมือนกับวิชาหมอดู ไม่เอา เมื่อก่อนนี้ เดินมานี่ กูจะบอกเลย เฮ้ย มึงเป็น

อย่างนี้ๆ 
เดี๋ยวนี้ ไม่เอาละ ไม่อยากดูละ ขืนดู เดี๋ยวกูจน จน หมด ไม่มีอะไรเหลือ เดี๋ยวหมดตัว ทำ

มาอาหารไม่มีกิน
ก็อยู่มาถึงวันนี้แล้วยังต้องมานั่งตัดกล้วยขาย เก็บผักบุ้งกิน มึงคิดว่า ครูคนนี้ มันน่าอนาจไม๊
กูมีความสุข ไม่น่าอนาจ ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะทำแล้ว มันสบายใจ ทำแล้วมันภาคภูมิว่า

เออ เราอยู่อย่างไม่เอาเปรียบใคร ไม่ได้ไปหลอกลวงเค้ากิน
ที่จริง วันนี้ จะต้องแสดงธรรมเรื่องวันอาสาฬหฯ เอาไว้ภาคบ่าย เพราะนี่เวลาก็ใกล้จะเพลละ

แต่ก็อยากบอกลูกหลานว่า ทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ สำคัญที่สุด ก็คือ แสดงออกซึ่งความจริงใจ

อย่าโป้ปดมดเท็จ อย่าเสแสร้ง อย่าใส่หน้ากากเข้าหากัน คนที่จริงใจ เวลานี้มันหาไม่ค่อยมี

ในสังคม มันมีแต่คนใส่หน้ากาก หลอกลวง เอาเปรียบ คับแคบ ตระหนี่ เห็นแก่ตัว
ถ้าเราจริงใจ แล้วจะโดนเอาเปรียบ ก็จงภูมิใจว่า มีให้เค้า จำไว้
ถ้าจริงใจแล้วมีคนเอาเปรียบ ก็จงภูมิใจว่า เรามีที่จะให้
การให้คน มันเป็นสุขกว่าการเอาของคนนะ ในการรับของคน เรามีโอกาสได้ให้ เราเป็นสุข

มาก เมื่อวานนี้ กล้วยมันสุกๆ ตัดขายก็คงจะไม่ได้เพราะมันสุก ก็เลยหิ้วไปแจกพวกคนงาน

เป็นเครือๆ อ้ายพวกเจ๊กมัน อุ๊ย อร่อยๆ ขอบใจ อะไรของมันก็ไม่รู้ กูก็ฟังของมันไม่ค่อยรู้

เรื่อง กิน เออ เราก็เดินไปอีกที มันก็เออ แพร็บเดียว อย่างกับหมาแทะเนื้อเลย เครือแว๊บ เอ๊

ไปไหนหมด เครือแขวนโด่เด่ๆ เหลือแต่ก้าน เราก็ เออ มันก็ดีเหมือนกันนะ ดีกว่าปล่อยให้

มันเสียหาย
เหมือนกับที่ไปเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลวงปู่กลับมาทีไร

ก็จะฝันดีทุกที ฝันว่า เทพยดามาอนุโมทนาบ้าง ฝันว่า วิญญาณมาขอบใจบ้าง คราวที่แล้วก็

ฝัน ท่านเทพยดาอารักษ์ผู้อภิบาลราชวงศ์จักรี ก็ยังมาอนุโมทนา แสดงความยินดี แล้วก็เลย

บอกว่า เดือนหน้า เดือนนี้สิ ใช่ไม๊ อธิษฐานไว้ในใจ บอกกับเค้าไว้ว่า จะไปสวดถวายทุก

เดือนในช่วงเข้าพรรษา มึงจะไปไม่ไป กูไม่รู้ล่ะ กูไปของกูล่ะ จริ๊ง เออ กูไป
ไปไม๊
(ไป)
อย่ามาตอเลย คราวที่แล้วก็... เออ คราวที่แล้ว ไม่ค่อยเห็นหัว
เดี๋ยวให้เค้าไปติดต่อ ลูก ติดต่อ คือ สมเด็จพระราชินีท่านก็ทรงพระประชวร
ถามว่า มากไม๊ ก็มากล่ะ เพราะเส้นพระโลหิตฝอยแตก แล้วก็มีเลือดออกในสมอง ตอนนี้ก็

อาการก็ค่อยข้างจะดีขึ้น เพราะอยู่ใกล้หมอ ไม่ได้แตกนาน รักษาทันท่วงที ทั้งหมดก็มา

จากสถานการณ์บ้านเมืองน่ะ ลูก เราก็ในฐานะที่เป็นลูกหลาน ก็ควรไปแสดงความ ใช้คำว่า

อะไรดี ไปแสดงความกตัญญู กตเวทิตา อย่าใช้คำว่า จงรักภักดีเลย คนมันจะมองว่า เรา

เดี๋ยวนี้มันมีอาจารย์จากธรรมศาสตร์อออกมาด่าอ้ายพวกที่จงรักภักดี หาว่า โง่เขลา เบา

ปัญญา สติปัญญาไม่มี ไม่รู้มันเป็นอาจารย์ได้อีท่าไหน ว่างๆ กูจะชวนพวกมึงไปเดินดูหน้า

มันหน่อยว่า อ้ายอาจารย์นี่ โคตรเหง้า บรรพบุรุษมันเกิดจากประเทศไหน ตระกูล ชื่อสกุล

อะไร โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่ได้สั่งสอนอบรมมันเลยหรือไง
เห็นเค้ามาเล่าให้ฟัง อาจารย์จากธรรมศาสตร์ สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยนะ คือ ทั้งสอง

พระองค์เริ่มพระชนมายุมากเข้า มันก็เริ่มมีการแสดงตัวตนแท้จริงออกมา แต่ละกลุ่ม แต่

ละฝ่าย ให้เห็นว่า อ้ายคนพวกนี้ มันมีความคิดอะไรอยู่ในใจ ก่อนนี้ก็ยังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่
มันก็เป็นเรื่องดี มันทำให้เราแยกแยะได้ว่า อะไรคือมิตร อะไรคือศัตรู
ที่จริงวันนี้ ไม่ควรพูดเรื่องนี้ ก็พูดซะก่อนตอนเช้า เดี๋ยวตอนบ่าย กูไม่พูดแล้วละ เออ วันนี้

เป็นวันธรรมะ ไม่ควรพูดเรื่องเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แต่ก็ต้องแยกให้ได้ มีปัญญาก็ต้อง

วางให้เป็น ต้องแยกให้ได้ อย่าไปยึดถือมันจนกลายเป็นความร้อนรุ่ม ทุรนทุราย
เดี๋ยวบ่าย ค่อยมาฟังธรรมแล้วก็ปฏิบัติธรรม ตอนนี้ ก็พอสมควรแล้วล่ะ เค้าตีกลองละ พวก

เราก็กราบพระ แล้วไปทานข้าว แล้วถ้าใครยังไม่ถือศีลอุโบสถ ก็ถือซะ พม่าเนี่ย เมื่อ 2 วัน

หลวงปู่ดูรายการทีวีของพม่า ลูก เห็นแล้วก็ยังนึกถึงประเทศไทยว่า ทำไมรัฐบาลไทยไม่ทำ

อย่างนี้บ้าง ประธานาธิบดีของพม่าเค้า พาคณะรัฐมนตรีมาไหว้พระสวดมนต์ ถอดรองเท้า

นุ่งโสร่ง ใส่ชุดประจำชาติ กราบพระสวดมนต์แล้วก็นั่งรอพระเถระมาให้ศีล พระมา ก็กราบ

อาราธนาศีล สวดมนต์ แล้วศีลเค้ารับ ไม่ใช่ศีลธรรมดา รับอุโบสถศีล รับศีลอุโบสถ 3

เดือน
บ้านเราเมืองเรา ถ้ามันทำได้อย่างนี้บ้าง แหม นายกรัฐมนตรีพารัฐมนตรีไปรับศีลบ้างเนี่ยนะ

โอ้โห มันจะเป็นอะไร ฟ้ามันคงถล่ม แผ่นดินมันคงทะลาย มืดบอดไปทั้งแผ่นดินแน่ หรือ

จะยังไง แล้วเค้าทำกันเรื่องเป็นราวนะ เค้าถ่ายทอดออกมาให้เห็น คนทั่วโลกได้เห็นว่า เออ

นี่เค้ามีศีล มีสัตย์ มีธรรม ใครเค้าไปด่าเค้าว่า เค้าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกเผด็จการ

รัฐบาลทหาร
แต่ถ้ามันมีศีลอยู่ในใจ มีสัจธรรมอยู่ในใจก็ใช้ได้ล่ะ มันทำให้บ้านเมืองเค้าเจริญได้ ไม่เอา

เปรียบสังคม ไม่เอาเปรียบผู้คน เราไม่ค่อยเห็นภาพอย่างนี้ ไม่ค่อยเห็นภาพว่า รัฐมนตรี

นายกฯ พากันเข้าไปไหว้พระ รับศีลกันทั้งคณะ
อันนี้เล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ แล้วคนพม่านี่เค้ารักษาเอกลักษณ์ เค้าไม่บ้าตามสังคม ไม่

บ้าตามอะไร ค่านิยมตะวันตก ไม่ใส่กางเกง สูท อะไร เค้าไม่สนใจ เค้าใส่โสร่ง จะงานพิธี

งานรัชพิธี อะไรหมด เค้ารักษาเอกลักษณ์ บ้านเราไม่รู้หัวมงกฏท้ายมังกร ไม่รู้เป็นตัวอะไร

เค้าเรียกว่า หน้าเกาหลี หัวญี่ปุ่น เออ กางเกงยุโรป ร้องเท้าลาว อะไรก็ไม่รู้ ว่ากันเปรอะ

เลอะไปหมด
เอ้า กราบพระ ลูก
(กราบ)
อะระหัง สัมมา.........
อยู่รวมกันอย่างมีน้ำใจนะ ลูก รู้จักให้อภัย อย่าเห็นแก่ตัว
(กราบ)