29 ก ค 2555 13.00 น. ธรรมะสัปดาห์ที่ 5 (แทนสัปดาห์ที่4) อัด รายการปุจฉา วิสัชนา แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• สมาธิที่มันเป็นสัมมาสมาธิ มันต้องสมาธิที่พัฒนาพ้นสุข
• ผู้ที่จะมีพระธาตุเมื่อหลังตาย จะไม่มีคำว่า ลืม
• การแยกจิตออกจากกาย มันก็ไม่ต่างอะไรกับถอดดาบออกจากฝัก หรือถอดเสื้อออกจากตัว มันจะไม่รับรู้ความรู้สึกของสิ่งที่ถอดออกไปแล้ว(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน ท่านผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา คุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนินรายการ
วันนี้ ที่จริงมันตามตารางไม่มีใช่ไม๊ เลื่อนมาจากสัปดาห์ที่แล้ว ฐานที่สัปดาห์ที่แล้วไปใช้หนี้
เก่า คือไม่ได้อยู่วัด หลายคนเค้านินทาว่า หนีงานไปเที่ยว ถ้าตามไปดูก็จะรู้ว่า ไปเที่ยวหรือ
เปล่า ไปก็ ที่ว่าไปใช้หนี้เก่าก็เพราะว่า เคยรับปากกับพระองค์หนึ่งเค้าไว้ว่า คือ สมัยก่อน
เค้าเป็นเณร เค้าเคยอุปฐาก ตอนที่เราอัญเชิญรูปในหลวงไปแจกตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ไปจังหวัดน่าน ตอนนั้นก็เป็นเณร เจ้าคณะจังหวัด ก็ไปนอนค้างที่วัดท่าน ท่านก็ให้เณร มา
รับใช้อุปถัมภ์ พอเค้าบวช เค้าเป็นเจ้าสำนัก เค้ามากราบ เราก็เลยบอกเค้าว่า ท่านช่วยหา
ช่างแกะสลักซัก 4-5 คน เอาที่ฝีมือเก่งๆ ที่สุดในภาคเหนือ เค้าไปหามาได้ ก็บอกเค้าว่า
เดี๋ยวผมจะเอาผ้าป่าไปถวายใช้หนี้ท่าน เพราะว่า เค้าช่วยเราหาช่างแกะสลัก ก็กะว่าจะหิ้ว
สตางค์ไปตัวคนเดียวล่ะ ไปถึง ก็เอาไปให้เค้า ไม่อยากรบกวนชาวบ้าน เพราะเราเป็นหนี้เค้า
ไม่ใช่ชาวบ้านเป็นหนี้ ก็มีอ้ายเสถียรเค้าตามไปด้วย เค้าเห็นเราไม่ค่อยสบายกับเลขาฯ
มูลนิธิฯ กับเมียเค้า เมียอ้ายเสถียร เค้าก็ไป
ไปก็ ผู้ว่าฯรู้ข่าวว่าจะไป เค้าก็หางานให้เลย ทอดผ้าป่าวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ไปแสดงธรรม
เผอิญก็ผลัดตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศ เค้านิมนต์มาหลายครั้งมาก เค้าส่งเทียบเชิญมาหลาย
เที่ยว ก็เกรงใจเค้า ก็ถือโอกาสไป ก็คือไปเก็บงานเก่าให้มันจบๆ ไป ทอดผ้าป่าเสร็จ รุ่งขึ้นก็
ไปแสดงธรรมที่พระตำหนัก ก่อนจะแสดงธรรม เย็นวันนั้นก็ไปแสดงธรรมที่โรงแรม
เชียงใหม่ภูคำ ให้กับคณะครู เสร็จเรียบร้อยจากพระตำหนัก เค้าติดใจ ก็เลยนิมนต์ต่อไปที่
วัดศรีโสดา รุ่งขึ้นอีกวัน ไปสอนเณร ผู้ว่าฯ มีข่าวว่า เณรทางเหนือฉีดฮอร์โมนทางเพศหญิง
นมโต ตั้งเต้า อะไรอย่างนี้ เค้าก็เลยให้อาตมา ให้หลวงปู่ไปสอน เณรก็ประมาณซัก 500
-600 คน
ครูบาฯ เค้าก็ให้คนมาแจ้งว่า อยากนิมนต์ทุกเดือน เดือนละครั้ง เค้าจะจัดเวลาสถานี
โทรทัศน์ช่อง 11 ซึ่งเป็นเวลาของผู้ว่า ฯ เค้าจะยกให้ ครั้งละชั่วโมง ปกติสมัยก่อนนี้ ก็ไป
ออกบ่อย แต่พอด่ารัฐบาลบ่อยๆ เค้าก็เลยไม่ให้ออก ปากไม่ค่อยดี
นี่ก็กำลังจะเริ่มด่าอีกแล้ว ถามว่า เพราะอะไร ก็เพราะว่า อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เค้าจัดงาน
แถลงข่าวใหญ่โต รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแถลงข่าวใหญ่โต นึกว่ามันเป็นประโยชน์ต่อ
แผ่นดินประเทศชาติ ปากท้องประชาชน
ไม่ เรื่องหนีทหาร โคตรพ่อโคตรแม่ใครไม่รู้มันหนีทหาร ไม่รู้มันเกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยว
กับชีวิตเราประเทศเรา แผ่นดินเราแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่เค้าก็ทำกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
ก็เผอิญอ้ายคนหนีทหารหรือเปล่าไม่แน่ใจ มันเป็นคนละพวก แล้วก็ยังมีหน้ามาบอกว่า
จะทำกฏหมายปรองดอง ก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แล้วมันจะปรองดองกันยังไง ไม่เข้า
ใจ
นี่ เปิดประเด็นแต่เช้าเลยนะเนี่ย มันอัดอั้นมานาน มันไม่รู้จะระบายกับใคร
พักหลังนี่ อาทิตย์กว่าๆ นี่ก็ได้นอน ได้พักหน่อย ได้พัก ก็คือได้นอนหลับ จำวัดได้ ไม่ต้อง
นั่งหลับ เพราะว่าโรคจมน้ำมันบรรเทาลง แต่พอโรคจมน้ำหาย โรคตับทรุดก็ตามมา เพราะ
ว่าเดือนกว่าที่ผ่านมา ร่วมสองเดือนนี่ ฉันยาตลอด แม้จะเป็นสมุนไพรที่ทำเองก็ตามที ฉัน
เข้าไปมากๆ ตับมันก็ทรุด ตับมันหย่อน เค้าเรียกตับหย่อนหรือตับทรุด เวลานั่ง มันจะค้ำ
ค้ำซี่โครง ตับมันค้ำ แล้วมันก็ฉันยาไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องอาศัยน้ำปรับธาตุ
ก็ฉันน้ำปรับธาตุเข้าไป ไปลดอาการทุรนทุราย ลดอาการอักเสบภายใน ก็ดีขึ้น เช้าขวดเย็น
ขวด มันมีให้ฉันก็ดี แต่หลายวันที่ผ่านมานี่ ไม่รู้คนมันตะกละ หรือมันเอาไปขายไม่รู้ ตุน
มาทีหนึ่ง 500 ขวด 300 ขวด อะไรของมันก็ไม่รู้ หมด เราไม่ทันได้เจอฉัน กลับมาก็
ไม่มีจะฉัน
นี่ก็เลยบอกให้พระโต๊ดเค้าไปหาโรงงานทำ อ้ายโรงงานเครื่องน้ำกระป๋อง ทำมันเป็น
กระป๋องๆ เลยใส่เป็นกระป๋อง แบบน้ำดื่ม เค้าบอกว่า จะต้องสั่งครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ 5
แสนกว่ากระป๋อง เป็นแสนขึ้นล่ะ แล้วต้นทุน กระป๋องหนึ่งก็ 15 บาท
ตายห่า ถ้าแสนหนึ่ง กระป๋องละ 15 บาท เป็นเงินเท่าไหร่วะ
(ล้านห้า)
ล้านกว่าบาท เออ ทำไปเฮอะ ไหนๆ ก็ เพราะไม่มีขวด ไม่มีขวดใส่ เค้าบอกว่า ขวดมันหา
ยาก แต่ว่าเป็นกระป๋องนี่ มันอยู่ได้ปีหนึ่ง มันเก็บได้ปีหนึ่งโดยไม่ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อ ยากันบูด
ก็เออ ดี ใส่เป็นกระป๋องจะได้ขายให้เมืองนอกเค้าบ้าง เผื่อใครเค้าจะเอาไปขาย
สนใจไม๊ ช่วยกันทำมาหากินหน่อย
ก็วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้ไปสวดมนต์ถวายพระพรในหลวง นัดแล้ว ก็มี รู้สึกเที่ยวนี้บางตาไป
หน่อย คนน้อยไปนิด แต่อย่างนั้นก็ยังได้ตังค์ตั้ง 2 แสนกว่าบาท ทีแรกตั้งใจว่าจะไปให้
กับโรงพยาบาลศิริราช เผอิญช่วงไปถวายพระพร ถวายเครื่องสักการะ สวดมนต์เสร็จก็ไป
ถวายเครื่องสักการะ ก็ได้ไปนั่งคุยกับท่านผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ นามสกุล สนิทวงศ์ ณ.อยุธยา
เค้าก็เลย...ถวายในหลวง ในหลวงเดี๋ยวก็จะเอามาให้กับโรงพยาบาลศิริราชเอง งั้นก็
รวบรวมได้ประมาณ 2 แสนเท่าไหร่วะ เออ 2 แสนหนึ่งหมื่นเก้าพันกว่าบาท
แบ่งบุญให้ลูกหลานด้วย
(สาธุ)
ไม่ใช่เงินกู เงินคนอื่นเค้าทั้งนั้นแหละ เงินคนอื่นเค้า ต้องทำตัวเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มี
นาบุญอื่นยิ่งกว่า เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าไปให้ขอทาน ก็อีกหลายคน หลายพันคนกว่าจะได้บุญ
ถ้าให้กูนี่ ครั้งเดียว ได้บุญเลยนะ คนจึงชอบที่จะให้ เออ เพราะให้หลวงปู่ หลวงปู่เอามาใส่
เป๋าไม๊
(ไม่)
เออ ไม่ได้เอาใส่เป๋า ก็ถวายทุกครั้งที่ไป ก็เป็นอันรู้กัน เราไปเจริญพระพุทธมนต์ได้ปัจจัย
เราก็จะนำขึ้นทูลเกล้าถวายทุกครั้ง คราวที่แล้วก็ถวายไป 8 แสนกว่าบาทให้แก่มูลนิธิ
อุทกพัฒน์ที่ท่านทรงตั้งขึ้นสำหรับดูแลร่วม 9 แสน รู้สึก 9 แสนกว่า ตั้งขึ้นดูแลน้ำ ยัง
คุยกับท่านผู้หญิงว่า พระพลานามัยของทั้ง 2 พระองค์เป็นยังไงบ้าง
ก็ไม่สำราญนัก มันก็เป็นธรรมดาที่พ่อต้องไม่สำราญ เพราะลูกหลานกำลังทุกข์ยากลำบาก
ถามว่า ทุกข์ยากเรื่องอะไร ก็มันไม่รู้จะไปทางไหน มันมืดมนไปหมด อ้ายคนปลูกมันก็จะ
ผูกคอตาย อ้ายคนปลูกยางก็กำลังจะบ้าตาย อ้ายพืชไร่ทั้งหลาย พวกหอม พวกกระเทียมก็
กำลังจะเฉาตาย อ้ายลำใยอ้ายผลไม้ทั้งปวงก็กำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะมันถูกมากๆ แถม
ข้าวก็กำลังจะเหี่ยวตาย เพราะว่ารัฐบาลเอาตังค์เราไปรับจำนำเค้าไว้ ตุนเอาไว้ตั้งเป็นแสนๆ
ตัน กี่แสนตัน สามแสนกว่าตัน แต่เวลาขายๆ ไม่ออก เพราะว่าเมืองนอกเค้าขายถูกกว่าเรา
เราเคยเป็นเจ้าตลาดของโลกในการส่งข้าวออกนอกประเทศ เดี๋ยวนี้ลดลำดับ ปีที่ผ่านมานี้
ขยับลงมาลำดับที่ 3 ลำดับหนึ่งก็อินเดียเอาไปกิน ก่อนหน้านั้นเรานำประเทศอินเดีย นำ
ประเทศเวียดนาม เดี๋ยวนี้เวียดนามนำเรา อยู่ในอันดับที่ 2 เราก็ลดเหลืออันดับที่ 3 แล้ว
อ้ายเงินที่เค้าเอามาให้เราน่ะเป็นเงินของเรา เงินที่ให้ชาวนาน่ะมันเงินของเรา แล้วไม่รู้ว่า ปี
หน้าจะเอาเงินที่ไหนไปจำนำ เพราะว่า ข้าวเก่ามันขายไม่ได้ อ้ายข้าวใหม่ก็จะเข้ามา แล้ว
อ้ายที่เก็บไว้ในคลัง ในยุ้งในฉาง มันก็ไม่รู้จะไปเน่าอีกเท่าไหร่ อ้ายจะขายถูกๆ มันก็ไม่คุ้ม
กับเงินที่จ่ายไป
มันก็เลยมองเห็นอนาคตไม่ได้ว่า แสงสว่างปลายอุโมงค์มันอยู่ตรงไหน เพราะชาวไร่ชาวนา
ปศุสัตว์เกษตรกรรมมันเป็นอะไร มันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
รัฐบาลก็มัวแต่ยังปรองดองกันไปปรองดองกันมา ไม่รู้ดองกันอีท่าไหน ดองทีไรก็มีปัญหา
กันทุกที ก็คือ ปรองดอง ด่ากันไปด่ากันมา เค้าเรียกว่า วิธีปรองดอง นี่ก็กำลังจะปรองดอง
เรื่องหมายเกณฑ์ทหาร แล้วก็วันนั้นก็ ใต้ก็ปรองดอง ระเบิด 3-4 จุด นี่ปรองดองทุกวัน
ตายทุกวัน เมื่อวานก็เสร็จไปซะ 4 ศพทหาร ประชาชนรับเคราะห์อีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้
งั้น บ้านเมืองอย่างนี้ก็ ท่านผู้หญิงก็กล่าวคำว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้ง 2 พระองค์จะทรง
พระสำราญ เหมือนที่เราได้ยินข่าวสำนักพระราชวังว่า พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมี
เลือดไหลออกจากสมอง คือ เส้นเลือดสมองแตก ท่านเครียด ท่านพะว้าพะวง พูดเป็นภาษา
ชาวบ้านก็ กลุ้มใจลูกหลาน แล้วเมื่อไหร่มันจะเจริญ เมื่อไหร่มันจะโต เมื่อไหร่มันจะรุ่งเรือง
เมื่อไหร่มันจะเอาตัวรอด แผ่นดินนี้มันจะอยู่ได้อย่างไร บ้านเมือง
เนี่ย น่าห่วง เราเป็นลูกเป็นหลานท่าน เราไม่รู้จะทำยังไงให้ท่านได้บ้าง หลวงปู่ก็ได้แต่
อย่างนี้น่ะ ถึงเวลาก็ไปให้กำลังใจท่านบ้าง ไปสวดมนต์ถวายพระพรบ้าง ก็คุยกับราชเลขาฯ
ท่านก็รับทราบว่า เราไปเจริญพระพุทธมนต์ถวาย ทุกครั้งที่เราไป เค้าก็มีการถ่ายเทป เอา
เทปไปให้ท่านทอดพระเนตรไปสดับตรับฟัง
แต่ว่า เมื่อศุกร์ที่แล้วก็ น้อยไปหน่อย เออ อุตส่าห์ชวนแล้ว ใครไม่ได้ไปบ้าง ยกมือซิ
อีห่า ไม่รู้หน้าที่ อุตส่าห์ชวนแล้วไม่ไป
เออ บอกให้เค้าคอยดูประกาศว่า เมื่อไหร่จะไปสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ เออ
สถานการณ์อย่างนี้ ต้องไปแสดงความจงรักภักดี ทุกคนน่ะรักในหลวงทั้งนั้น รักพระราชินี
รักเจ้า แต่ว่าไม่ค่อยเอาความรักของตนเองมาเป็นที่พึ่งของพระองค์ เออ รักยังไง รักพึ่งไม่
ได้
รักไม๊ รัก รักแต่พึ่งไม่ได้ อย่างนี้ ไม่ใช่ ใช้ไม่ได้
หลวงปู่ไป ก็ไม่ใช่ว่าสุขภาพดี ก็ไม่ได้สบายนัก แถมฝนตกอีกต่างหาก ก็ไปนั่งท่ามกลางฝน
คนอื่นเค้าก็แฉะกันไปตามๆ กัน มีกูคนเดียวไม่แฉะ เทวดาช่วยอภิบาลดี เออ นั่งอยู่ใต้
ต้นไม้ เออ จีวรไม่เปียก พระเค้าเปียกกันทุกองค์ กูไม่เปียก เค้าจะเอาร่มมากางให้ ก็หันไป
ใส่ตาเขียว บอกว่า มึงมากาง เดี๋ยวเทวดาก็ตกไม่เลิกเลย เออ พอหยุดกางร่ม ก็เทวดาคงทน
ไม่ได้ ถ้ากูเปียก เดี๋ยวเทวดาเป็นเรื่อง งั้น หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง
งั้น เที่ยวหน้า เราจะไปเจริญพระพุทธมนต์ใหม่อีกสักครั้ง จะไปไม๊เนี่ย
(ไป)
อย่ามาตอ
แล้วฝากข่าวให้คุณเชิญชวน คุณไม่ได้ชวนเลย
คุณมนัส มันไม่มีโอกาส
หลวงปู่ เห็นพูดจ๋อยๆๆ เรื่องนี้ไม่เห็นชวน
คุณมนัส มันไม่มีจังหวะ วันนั้น ติดต่อไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ เค้าบอกว่าวันนั้น ไม่มี
แถลงการณ์ สำนักพระราชวัง มันก็เลยจังหวะเสียไป
หลวงปู่ นี่ แก้ตัวหรือแก้ผ้า ไม่ใช่แก้ผ้าเอาหน้ารอด
คุณมนัส ไม่ใช่ครับ คือ จริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ วันศุกร์พี่รัตน์โทรฯไปบอกผม พี่
แป๊ะก็โทรฯไปบอก ก็โอเค รับปาก แล้วคิวข่าวขึ้นมา ผมก็บอกเลย ถ้ามีแถลงการณ์ออก
ผมก็ตอบกลับทั้ง 2 คนบอกว่า ได้ ถ้ามีแถลงการณ์มา ผมก็จะพูดให้
หลวงปู่ เราก็แถลงเองก็ได้
คุณมนัส พอแถลงการณ์มันไม่ออกมา มันก็เลยไปไม่เป็น เค้าจะว่าเรา แต่ก็ไปเยอะ ก็ดู
จาก social media
หลวงปู่ น้อยกว่าทุกที
คุณมนัส ก็ยังเข้าไปสาธุกับเค้า
หลวงปู่ ก็เดี๋ยวเราบวชถวายพระราชกุศล แล้วก็ค่อยไปอีกรอบหนึ่ง ก็ประมาณสักเดือน
หน้า เดือนหน้า เดือนนู้น นัดกันไป เจริญพระพุทธมนต์ถวาย ทำบ่อยๆ ไม่เป็นไร ลูก มัน
เป็นกุศล เป็นบุญ เป็นคุณงามความดี อีกทั้งก็ยังทำให้ทั้ง 2 พระองค์มีกำลังใจ มีขวัญ มี
กำลังใจ ที่จริงสำนักพระราชวังไม่ได้ห้ามไม่ให้ไปลงชื่อ
ใช่ อ้ายที่ลงชื่อไม่ได้ หรือไม่ได้ลงชื่อ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาล คุยกับคนที่ใกล้ชิด ท่าน
ผู้หญิง อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับราชสำนัก ถ้าห้าม เค้าก็คงไม่ส่งราชเลขาฯ ส่งใครต่อใครมาคอย
รับดอกไม้อะไร เราก็ไม่เข้าใจ
คุณมนัส คือ ที่ผมตามข่าว ทางสำนักพระราชวัง เรียนมาทางสาธารณชน นะฮะ บอกว่า
ไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีพสกนิกรไปลงนาม ทางสถานที่เค้าเตรียม
อำนวยความสะดวก ก็ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีก็ไป
หลวงปู่ ที่ผ่านมาก่อนหน้านู้นน่ะ มันมีการหยุดระงับไง
คุณมนัส ครับ
หลวงปู่ แล้วการสั่งหยุดระงับ ก็ไม่ใช่เป็นการสั่งหยุดระงับจากสำนักพระราชวัง กับเจ้า
หน้าที่ราชสำนัก มันก็เลยรู้สึกแปลกๆ งั้น เราก็ต้องไปตามเหตุตามปัจจัยเท่าที่จะไปได้ มัน
เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณต่อแผ่นดินเกิดเรา ท่าน
เป็นขวัญ เป็นกำลังใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร แล้วอายุท่านก็มากแล้ว พระชนมายุแต่ละ
พระองค์ก็เยอะแล้ว ก็ไปให้กำลังใจท่านหน่อย ไม่ได้เสียหายอะไรเยอะแยะ เอ๊ นี่เมื่อวานกู
ไม่ค่อยได้เห็นการไฟฟ้าฯ วันศุกร์พวกการไฟฟ้าไม่ได้ไปเลย หรือว่าเรานัดตรงกับวันศุกร์
วันทำการ คนไม่ค่อยอยากหยุดงานหรือเปล่าไม่แน่ใจ
เดี๋ยวเที่ยวหน้า เอาให้มันตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์ ไปอีกรอบ
ที่จริง วันนี้ จะมาคุยเรื่องสมาธิ เพราะว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายแทนคุณเค้าก็ถามเรื่อง
สมาธิ เรื่องดาราไปนั่งสมาธิ แล้วก็พูดถึงความสุข ได้รับความสุขอย่างยิ่งจากการนั่งสมาธิ
ที่จริง ก็คุยไปแล้วใช่ไม๊ จำได้ว่า ได้พูดไปแล้ว คุยไปแล้ว ไปทางเหนือ ก็มีคนถามเรื่องนี้ ว่า
การนั่งสมาธิแล้วเป็นความสุข มันถูกต้องไม๊ มันจริงหรือเปล่า ใช้ได้หรือไม่
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเอาไว้นะว่า บาลีหลวงปู่จะจำไม่ค่อยได้ แต่จะจำภาษาไทยได้ว่า
ความสุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระองค์ทรงตรัสไว้อย่างนี้ ความสุขอื่นใดยิ่งกว่าความ
สงบไม่มี แล้วก็มีคำกล่าวว่า จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง การรักษาจิต การทำความสงบระงับใน
จิต เป็นความสุขในโลก
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ ต้องถือว่า การทำสมาธิมันก็ทำให้เกิดความสุขได้ในระดับหนึ่ง เพราะคนที่
เป็นคนรุ่นใหม่ก็จะเสพแต่กาม ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรู้อารมณ์ ทั้งหมด
ก็รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เค้าเรียกว่า เบญจพิษกามคุณ พอมาเจอเอาความสุขที่ไม่ต้องเสพ
แต่เป็นความสุขที่ปล่อยวาง ความสุขที่ผ่อนคลาย ความสุขที่ไม่ต้องผูก ต้องยึด ไม่ต้องกำ
ไม่ต้องแกะ เป็นความสุขที่วางๆ ว่างๆ สบายๆ มันก็เลยกลายเป็นความติด
อ้ายติดสุขอย่างนี้ ดีไม๊
ไม่ดีนะ ลูก มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ แล้วมันเป็นมิจฉาสมาธิ
เพราะสมาธิที่มันเป็นสัมมาสมาธิ มันต้องสมาธิที่พัฒนาพ้นสุขไปแล้ว มันต้องพัฒนาถึง
ขั้นพ้นในการติดยึด พ้นในการผูกพันธ์ พ้นในการรัดรึง แล้วมันก็จะย้อนกลับไปยังโลกีย
วิสัย
อ้ายที่เรามาหาความสุขจากความสงบ มาหาความสุขจากการไม่ผูกพันธ์รัดรึง ก็เพราะว่า
เราผูกพันธ์รัดรึงมาชั่วชีวิตแล้วไง เราผูกในรูป เราหลงในกลิ่น เราเป็นทาสของเสียง ตก
เป็นขี้ข้า หรือว่า ตัวแทนของกามคุณทั้งหลาย โดนครอบงำด้วยกามคุณ เราพยายามสลัด
มันหลุดแล้วก็เข้าไปสู่วิถีแห่งความสงบ แล้วดันไปยึดติดเอาความสงบเป็นที่ตั้งอีก มันก็เท่า
กับว่า เราก็ย้อนกลับไปที่เดิม คือ มีตัวยึดติดเหมือนเดิม
พระพุทธเจ้าจึงเรียกสมาธิชนิดนี้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ งั้น มิจฉาสมาธิมันจะแป็นส่วนดีไม่ได้
เป็นส่วนเจริญ เป็นส่วนประเสริฐไม่ได้ เพราะมันไม่พัฒนา
อ้ายที่บอกว่า องค์คุณแห่งความสงบ เป็นความสุขในโลกนั้น มันจะต้องเป็นสุขที่
ผ่านกระบวนการในการเข้าใจ รู้จักตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้ได้ แล้ว
เราจึงจะวางสิ่งที่เราผูก เรายึด เราตกเป็นทาส จึงเรียกว่า เราไม่มีอะไรเป็นเครื่อง
พันธนาการได้เลย
แต่ณ. วันนี้ มันมีคนยันภาคเหนือ เห่อสมาธิ ฝึกกันเป็นเรื่องเป็นราว เป็นล่ำเป็นสัน
ถามว่า ดีไม๊
ดี ลูก ดี ถ้ามันไม่ยึดติด ไม่มีตัวกูเข้าไปใส่ไว้ในสิ่งที่เรากำลังทำ เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามีตัวกูเข้า
ไป อะไรมันก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้มีคำว่า กูทำบุญ ก็ยังไม่ดีเลย กูรักษาศีล กูให้ทาน กูภาวนา
เพราะอยู่ในหลักของสังโยชน์ 3 และสีลัพพตปรามาส ยึดถือศีลพรตเป็นใหญ่ เออ กูดีกว่า
คนอื่น คนอื่นแย่กว่ากู เพราะมีตัวกูอยู่ในศีล ในพรต อย่างนี้เป็นต้น ศีลพรต นี่มันหมายถึง
คุณงามความดีทั้งหลายที่เรายึดถือเอาไว้ เค้าเรียกว่า ศีลัพพตปรามาส ยึดความดีของตน
เป็นใหญ่ หรือไม่ก็ ไม่ได้ใหญ่กว่าผู้อื่น แต่ก็ยึดติดไว้ กูดีแล้ว กูดีแล้ว
งั้น ก็ต้องภาวนาออกไปคนละแบบว่า กูยังไม่ดี กูยังไม่พอดี กูยังไม่มีดี กูยังดีไม่พอ หรือกู
ยังต้องขวนขวายทำดีเรื่อยๆ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นผู้ที่ไม่เบื่อในคุณงามความดี แต่ถ้าเมื่อ
ใดที่กูดีแล้ว กูดีแล้ว มันจะกลายเป็นความอิ่ม ความเบื่อ แล้วก็จะเลิกดีในที่สุด มันก็ไม่ได้
ถึงดีวิเศษ ดียิ่ง ดีใหญ่ มันกลายเป็นดีหลอกๆ นานๆ ดีที ดีแบบขอไปที ไม่ใช่ดีถี่ๆ ไม่ใช่ดีที่
เป็นที่พึ่งของตนข้ามภพข้ามชาติได้
ก็อย่างที่บอกเมื่อสัปดาห์ก่อนนู้น ก่อนๆนู้นว่า สมาธิมันจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีอะไรก่อน
มีอะไรก่อน
มีสติก่อน เพราะสัมมาสมาธิ มันเป็นข้อไหน
ข้อสุดท้ายของมรรควิถี
กว่าจะถึงสัมมาสมาธิ ต้องมีอะไรก่อน
สัมมาสติก่อน มีสติ ความระลึกได้ ระลึกรู้ตัว ระลึกถูกต้อง ระลึกผิดชอบชั่วดี แล้วกว่าจะมี
สัมมาสติได้ ต้องพัฒนามาจากข้อต้นเลย คืออะไร
สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นตรงถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วก็มี
ชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรมอย่างชัดแจ้งชัดเจน
ในทำนองครองธรรม ในที่นี้ มันมีอะไรบ้าง ก็เชื่อกรรม เชื่อกฏของกรรม เชื่อว่า สัตว์โลก
เป็นไปตามกรรม อย่างนี้เค้าเรียกว่า มีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม มีหิริ ความละอายชั่ว
โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม กตัญญู รู้คุณ
กตเวทิตา ตอบแทนคุณ หน้าที่ถูกต้อง ทำเรื่องดีๆ ไม่บกพร่อง ทั้งหมดนี่ เป็นทำนองครอง
ธรรม
แล้วพัฒนาจากทำนองครองธรรมไปสู่กระบวนการอะไร
ก็ไปสู่กระบวนการให้เห็นเหตุปัจจัยว่า
ทุกข์นี่มันมีอยู่จริงๆ เพราะมันเกิดจากเหตุ
แล้วก็เห็นว่า เหตุเกิดทุกข์นี่มันมีทาง มันเป็นทางที่ต้องเดิน มันมีทางอยู่ที่จะต้องหาวิธีดับ
มันให้ได้
แล้ววิธีดับทุกข์นั้น มันมีอยู่ ต้องทำให้เจริญ อย่างนี้เป็นต้น
พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไป
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจะต้องต่อยอดท้ายอยู่ในอะไร
ในสัมมาสติกับสัมมาสมาธิ เพราะขณะที่เห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค ต้องทำ
วิธีชีวิต วิถีทำ วิถีคิด ให้อยู่ในมรรคาปฏิปทามาก่อน
เหล่านี้ เค้าเรียกว่า วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ หมายความว่า อะไร
ก็หมายความว่า วิชชาและจรณะของท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
สัมปันโน แปลว่า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันจะทำให้หลุดพ้น
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ คือ พระองค์ทรงเป็นศาสดา หรือ ผู้ที่รู้วิชชา จรณะ แล้ว
ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้อย่างนี้เนี่ย ควรจะเป็นศาสดาเอกของโลก สอนได้ทั้งมนุษย์ พรหม
มาร ไม่มีใครจะมีความยิ่งใหญ่ที่จะสอนได้เท่ากับพระผู้มีพระภาคเจ้า
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นศาสดาที่สามารถฝึกได้ ยิ่งกว่าในสารถีทั้งปวง สามารถ
ฝึกมนุษย์ ฝึกเทวดา ฝึกพรหมได้
งั้น วิชชาจะระณะสัมปันโน มันก็อยู่ในมรรควิถี ไม่ได้มีมากกว่ามรรควิถี อยู่ในมรรคมีองค์
8 ประการ มันอยู่ในชีวิตถูกทำนองครองธรรม มันอยู่ในอริยสัจ 4 มันอยู่ในทุกข์อริยสัจ
สมุทัยอริยสัจ มรรคอริยสัจ แล้วก็นิโรธอริยสัจ แล้วมันก็อยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว
ทั้งหมดมันก็อยู่ในวิถีชีวิตของตัวเรา
ทุกข์อริยสัจ อยู่ที่ไหน
อยู่ที่คนอื่นหรืออยู่กับเรา
(อยู่กับเรา)
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ที่ไหน
(อยู่ที่เรา)
เออ ไม่ใช่อยู่กับคนอื่น
งั้น คำสอนที่สอนในวันไหว้ครูพระกรรมฐาน หลวงปู่จะสอน ให้หัวใจกรรมฐานไว้ว่า
(เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต)
เออ เมื่อเราเรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา วิชชาที่มีอยู่ในชีวิต ในวิถีทำ พูด คิดของเรา ก็จะลุถึง
ปัญญา แล้วก็นำพาชีวิตนี้ให้พ้นจากความผิดชั่วอยากได้ เหลือแต่ความถูกชอบธรรม
ทำนองครองธรรม
เออ เราจะปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดได้อย่างหมดจด ผ่องแผ้ว และธรรมนั้น
เป็นที่พึ่งของเราได้อย่างยั่งยืนถาวร ถ้าเป็นทอง ก็ไม่ต้องลอก เดี๋ยวนี้ มันชอบใส่ทองเก๊น่ะ
เออ ถ้าเป็นทอง ก็ต้องเอาแท้ ทองจริงๆ ไม่ใช่ทองเทียมๆ เออ เป็นทองอันประเสริฐยิ่ง
แล้วมันก็จะทำให้เราข้ามภพข้ามชาติ ทองนั้นก็ยังสีไม่ตก
ธรรมอันใดที่เป็นพระบริสุทธิธรรม หลวงปู่จึงเรียกธรรมเหล่านี้ว่า พระบริสุทธิธรรม และ
วิมุตติธรรม พระบริสุทธิธรรมเหล่านี้แหละจึงเป็นธรรมอันบริสุทธิยิ่ง มันก็จะเป็นที่พึ่งอัน
บริสุทธิ์กับเราทั้งภพนี้ ภพหน้า ชาตินี้ชาติหน้าได้อย่างยั่งยืนถาวร
แต่ถ้ามันไม่ใช่ วิชชาจะระณะสัมปันโน มันเป็นวิชชาอะไรก็แล้วแต่เถอะ ซึ่งมันไม่มีคำว่า
อยู่ในมรรคาปฏิปทา ไม่มีสัมมาปฏิปทา มันจะเป็นวิชชาอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันก็กลาย
เป็นทองเทียมๆ ทองปลอม ทองลอกได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่สามารถทรงฌานได้ แต่ยังติดในองค์ฌานอยู่
มันพ้นจากภพชาติไม๊
ไม่พ้นภพชาติ ดูตัวอย่างอุทกดาบส กับอาฬารดาบส เป็นผู้ทรงฌาน เป็นสมาบัติ 8 สมาบัติ
7 ก็ยังมีภพมีชาติ ปัจจุบันนี้ยังอยู่ในชั้นพรหมอยู่เลย ก็ยังเป็นภพเป็นชาติอยู่ มันก็ไม่เป็น
วิชชาจะระณะสัมปันโน พอไม่เป็น วิชชาจะระณะสัมปันโน
พระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไร มิจฉาวิชชา แล้วถ้าเป็นสมาธิ ก็มิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสติ ก็มิจฉาสติ
ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสติ เออ ไม่ใช่สัมมาปฏิปทา มันเป็นมิจฉาปฏิปทา คือ ข้อ
ปฏิบัติอันนำมาซึ่งความผิดพลาด ถ้าสัมมาปฏิปทา มันก็เป็นข้อปฏิบัติอันนำมาซึ่งความถูก
ต้องชอบธรรม
พักนี้ กูจะคุยธรรมะสูงเกินไปไม๊เนี่ย พวกมึงนั่งมึนกันไปหมด
สูงไปไม๊ เฮอะ กูรู้สึกจะสูงมากไปแล้วนะ ดูตาปรือกันเป็นแถวๆ พิธีกงพิธีกรตาปรือเลย ก็
มันจำเป็นต้องพูดน่ะ ลูก เพราะเรียนมาถึงวันนี้แล้ว มันต้องพัฒนาแล้ว จะเห็นว่า เวลา
หลวงปู่สอนกรรมฐาน สอนธรรมะ หลวงปู่จะไม่ค่อย กูสอนเป็นลำดับขั้นไม๊
จะพยายามสอนให้เป็นลำดับขั้น
หวังว่า มึงไม่ตายก่อนกูสอนจบก็ใช้ได้แล้ว หรือว่า มึงจะมาจนกระทั่งกูสอนจบ ก็ถือว่า กู
ได้ครบประโยชน์ ชาตินี้กูกำไรล่ะ แต่ถ้ามึงมาบ้าง ผลุบๆ โผล่ๆ มึงก็ได้บ้างเสียบ้าง ได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง ก็ยังมีกำไรอยู่ ดีกว่าเท่าทุน หรือไม่ได้อะไรเลย
แต่อ้ายประมาณพันธุ์ว่า มาปุ๊บ อุ๊ย อยู่ไม่ได้แล้วเว้ย เจอ พ่อขุนรามองค์ที่ 2 ถ้าอย่างนั้น
ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ ดันทะลึ่งแดกทุเรียนทั้งเปลือก
อ้าว ต้องพูดอย่างนี้เลย เพราะทุเรียนมันมีเปลือกไม๊
(มี)
เวลากินทุเรียน มันกินตรงไหน
อ้าว เค้าก็ต้องปอกเปลือกทิ้ง มึง กู มึงก็อย่าไปฟังสิ มึงก็ฟังอ้ายตรงที่มันมีปัญญาสิ
เออ ก็โง่เอง เล่นกินทุเรียนทั้งเปลือก มันก็ช่วยไม่ได้
ก็ถือว่า เป็นกรรมของกูไป เพราะว่า หลวงปู่ไม่ใช่พระอริยเจ้า ไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ผู้วิเศษ
ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ผู้หมดกิเลส แล้วอีกทั้ง ก็ยังไม่ใช่พุทธสาวก
งั้น ผู้ที่ปฏิบัติโพธิสัตว์ โพธิญาณ ก็จะมีสัญลักษณ์และเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็น
สัญลักษณ์และเอกลักษณ์ ไม่ใช่เพิ่งสั่งสม ลูก มันข้ามภพข้ามชาติ มันกี่ภพ กูก็เป็นอย่างที่
กูควรจะเป็น เหมือนกับที่หลวงปู่พูดกับเจ้าประคุณสมเด็จหนกลาง สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ไปหาท่านใกล้จะตายแล้วล่ะ ก็ใกล้จะไปแล้ว ไปเยี่ยมท่าน ท่าน เรียกมาใกล้ๆ เราก็คลาน
เข้าไปหา เตรียมตัวไว้นะ ปีนี้ ผมจะขอยศให้ท่าน
พระเดชพระคุณครับ ผมชอบเป็น ในสิ่งที่ผมอยากเป็น แต่ไม่อยากเป็น ในสิ่งที่คนอื่นให้
เป็น
งั้น ให้คนอื่นเค้าเป็น อย่ามาให้ผมเป็น เพราะผมไม่ชอบที่จะเป็น อย่างที่คนอื่นเค้าเป็นกัน
ฟังกู รู้เรื่องไม๊เนี่ย
เออ ตอนนั้นก็มีเจ้าคุณวัดไร่ขิงกับวัดพนัญเชิงเค้าไปด้วย เค้าโผล่เข้าไปพอดี เราก็เลยบอก
นี่ไง 2 องค์นี้ เออ 2 องค์นี้ เค้าอยากเป็น แต่ผมน่ะไม่อยากเป็นหรอก ผมเป็นอย่างที่
ผมควรจะเป็น แล้วชอบที่จะเป็น ดีกว่าจะให้คนอื่นเค้ามาชี้ให้อยากเป็นอะไรและเป็นอะไร
นั่น ไม่ชอบ
นี่คือ ชีวิตหลวงปู่ แล้วก็สั่งสมอย่างนี้มาตลอด ไม่ใช่เพิ่งจะสั่งสม
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า มาสำนักนี้ ก็ต้องทำใจหน่อย อย่าทะลึ่งโง่ กินทุเรียนทั้งเปลือก กิน
เงาะทั้งเปลือก แกะออกทิ้งบ้าง เพราะว่า แม้แต่ที่เราบอกว่า ไป จ๊ะจ๋า นั่น เชื่อหรือว่า ไม่มี
มลพิษ อ้ายที่เค้าพูดเพราะๆ น่ะ เชื่อเหรอว่า ไม่มีเปลือก ไม่มีกะพี้ มันมีแต่แก่นอย่างเดียว
กูเห็นจ๊ะจ๋าทีไร ก็อยากจะเตะโทรทัศน์ เตะอ้ายวิทยุทิ้ง โยมจ๊ะ โยมจ๋า เออ ใครจองตั๋วหรือ
ยัง ครบหรือยัง พักนี้เค้ากำลังมีทัวร์ 9 วัด จองหรือยังจ๊ะ จะไปทัวร์ 9 วัด จองน้าราคา
พันห้าเอง โยม จะได้ทำบุญถวายกับวัด กำลังสร้างนู่นสร้างนี่ อะไรก็ว่าไป เอ๊อ ทำอะไร
ของมัน
กูทำไม่เป็น อายเค้า ถ้ากูทำแบบนั้นได้ หลวงปู่จะอยู่อย่างไม่ภาคภูมิ อยู่แล้วไม่ภาคภูมิ
เค้ามีคนเอาอ้ายโซล่าเซลล์มาวางไว้ให้
ถามว่า มึงวางทำไม
เค้าบอก เอามาให้ทำบุญวันเข้าพรรษา
อ้าว ทำบุญไง
ก็เวลาคนจะถวายเทียน ก็บอก ต่อไปนี้ ไม่ต้องถวายเทียนแล้ว ถวายโซล่าเซลล์
เออ เราก็เลยบอกว่า ถ้ากูอยากติด กูไม่ต้องเดือดร้อนชาวบ้านหรอก ไม่อยากจะกวนชาว
บ้านเค้า
โซล่าเซลล์เอาไปติด มันก็เป็นประโยชน์ต่อวัด เพราะงั้น ยังไม่มีอานิสงส์ใดบอกว่า ถวายโซ
ล่าเซลล์แล้วจะเกิดเป็นอะไร แบบถวายเทียน เค้ามีอานิสงส์แน่นอน
กูก็อธิบายไม่ได้ว่า อานิสงส์ในการถวายโซล่าเซลล์ แล้วจะทำให้เกิดเป็นอะไร เออ กูจะมี
พลังแสงอาทิตย์ท้าวกวงออกจากตัว จากหัวเยอะแยะ
บอก ไม่เอาๆ เดี๋ยวกูจ่ายตังค์เอง กูหาจ่าย กูไม่มีจ่าย กูก็ผ่อนส่ง
บอก มึงอยากเอามา ก็เอามา เดี๋ยวกูผ่อนให้ ผ่อนให้เดือนหนึ่งกี่ตังค์ ก็ว่ามา
นี่ ก็เลยให้เค้าติดตามหลังคา หลังคาฝั่งนี้มันรับแดดตลอด มันจะได้ประหยัดค่าไฟ ลูก
เดือนหนึ่งเดี๋ยวนี้ก็แสนกว่าบาท ค่าไฟทั้งวัดแสนกว่าบาท ก็ใช้วิธีนี้ มึงแดดออกเมื่อไหร่ กู
ก็ได้ตังค์เมื่อนั้น เออ รอแดดออกแล้วได้ตังค์ แต่พักหลังนี่ ตั้งแต่ติดโซล่าเซลล์ ไม่ค่อยเห็น
แดด เทวดามันแกล้งเราหรือเปล่าไม่แน่ใจ เออ อ้ายตอนไม่ติดล่ะ แดดจ้าๆๆ อ้ายห่า พอ
ติดแล้วไม่เห็นแดดเลย เออ จะตากผ้าให้แห้ง ยังไม่มีเลย
นี่ เค้ากำลังติดกันอยู่ กำลังให้เค้าคำนวณต่อตรงมาใช้กับไฟ ใช้กับเครื่องป๊มน้ำ ใช้กับเครื่อง
จักรยนต์ ก็กำลังทำอยู่
เพราะคิดว่าพลังงานบ้านเรานี่มันไม่ยั่งยืน คิดมานานแล้วล่ะ หาวิธี ก็อ้ายเสาไฟนั่นไง ที่จริง
เค้าให้มาเรี่ยไร กูบอก ไม่เอา กูทำของกูเอง กูอยากทำ ทำเอง เสาไฟนั่นน่ะ ลูก เสาไฟ
ถนนน่ะ ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า เพราะเอาโซล่าเซลล์นี่มาติด นี่เป็นปีล่ะ พอถึงเวลามันก็เปิด
พักนี้มันไม่ค่อยเปิดเพราะว่า พระอาทิตย์ไม่ขึ้น เออ พอถึงเวลามันก็ปิดอัตโนมัติ นั่นเป็น
ปีแล้วนะ แล้วก็สว่าง ตอนนั้นต้นหนึ่งประมาณเท่าไหร่ 30,000 กว่าบาท หลวงปู่ก็
จ่ายไปประมาณ 2 แสนกว่าบาท ที่เหลือก็อ้ายเสถียรเค้าออก เค้าช่วย ก็ใช้เงินไปประมาณ
4 แสนกว่าบาท ก็ใช้มาได้เป็นปีแล้ว
นี่ก็จะติดให้หมดทั้งวัดแหละ เพราะเราได้แผงโซล่าเซลล์มาถูก ปกติเค้าซื้อกันแผงหนึ่ง 3
หมื่นกว่าบาท เราก็ได้มาไม่ถึง 5 พันบาท เออ กูก็เลยเอาเลย แล้วกูค่อยผ่อนส่งมึงก็แล้ว
กัน ผ่อนไปเรื่อยๆ กูตายก็เลิกผ่อนล่ะ เออ ก็ต้องคิดเผื่อข้างหน้าเอาไว้ เพราะวันข้างหน้า
พลังงานมันจะแพงขึ้นๆ พอพลังงานแพงขึ้น เราก็ต้องจ่ายอ้ายค่าไฟ เดือนนี้มึงจ่ายถูก
เดือนหน้า มึงเตรียมตัวไว้เถอะ เพราะเค้าผลัดกันมาหลายรอบแล้ว
เออ ตอนนี้ก็พลังงานที่ใช้ พลังงานน้ำก็ไม่ต้องพูดถึง แค่จะทำให้น้ำท่วม น้ำแห้งนี่ก็แย่แล้ว
ก็ลำบากหัวแล้ว ไฟฟ้าเค้าก็ใช้แก๊สมาปั่น แก๊สบ้านเราก็ใช้ไม่พอ ก็ต้องไปซื้อพม่า ถ่านหิน
ก็ไปซื้อลาว บ้านเราไม่มีอะไรเหลือ หมด แล้ววันข้างหน้า มันมีซื้อก็ยังดี แต่วันข้างหน้า อีก
10 ปี 20 ปี ถ้าเกิดลาว พม่า เค้าไม่ขายขึ้นมา เราจะเอาอะไร คิดเผื่อเอาไว้ ก็เลย เอ้า
ลงทุน กูยังอยู่ ยังมีปัญญาลงทุน ถ้ากูตายไป ไม่มีใครจะลงทุน อ้ายลูกหลานชั้นหลังๆ มันจะ
ไม่มีปัญญาคิด ไม่มีปัญญาทำ ก็เลยติด จะติดหมดทั้งวัดแหละ แล้วก็บอกกับเค้าว่า ให้ไป
ขอกับไฟฟ้าว่า ถ้ามันเหลือใช้ จะขายคืนได้ไม๊ แล้วกูจะทำให้แดดออกทั้งวันทั้งคืนเลย คือ
ถ้ามันเหลือ กูก็จะได้ขายคืนได้ไง ศาลาหลังนี้ มาติดร่วม 500 แผ่น 500 แผ่น ไฟ
แผ่นหนึ่งก็ประมาณ 280 วัตต์ 500 แผ่น มันก็เป็นหมื่นวัตต์ แล้วหมื่นวัตต์มันใช้ไม่
หมดนี่ในศาลา มันก็จะต้องตีกลับ ขาย เออ เดี๋ยวกูจะผลิตไฟขาย
แดดออก ก็ได้ตังค์ล่ะ กูคิดเอาไว้ นั่งฝันหวานเอาไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีตังค์จะจ่าย
ไม่เป็นไร ลูก ค่อยๆ ทำไป
พักหลังนี่ ไม่ค่อยได้แสดงธรรมนี่ แม่ค้าขายน้ำก็บ่น
นั่งบ่นอยู่นั่นแหละ โยม โยมย่า พักนี้ ไม่ค่อยมีตังค์เลย
ถาม ทำไม
ก็ท่านไม่ค่อยได้แสดงธรรม
ไม่มีตังค์ทำบุญ เออ ไม่แสดงธรรม
อย่าว่าแต่แม่ค้าขายน้ำบ่นเลย พวกบริวารทั้งหลายก็เหี่ยวหัวโตกันเป็นแถวๆ เพราะป่วย
มากไง ป่วยบ่อย ก็เลยไม่ค่อยได้แสดงธรรม
เออ เราก็มานั่งนึก เอ๊อ หรือถ้ากูไม่อยู่ กูตาย มึงจะอยู่กันยังไง ต้องหาวิธี
เดี๋ยว กูก็ต้องไปทำโคลนนิ่ง
เอ้า เปิดโอกาสให้ถามคำถาม เชิญ
คุณมนัส ขอต้อนรับทุกท่านนะครับ เข้าสู่รายการปุจฉา วิสัชนา อย่างเป็นทางการนะครับ
กราบนมัสการท่านหลวงปู่พุทธะอิสระอีกครั้งหนึ่งนะครับ แล้วก็กราบคารวะในศีลจริยา
วัตรของผู้ทรงศีลทุกท่านและกราบสวัสดีท่านญาติธรรมวัดอ้อน้อยทุกท่านนะครับ
วันนี้เช่นเคย นึกว่าจะไม่ได้พูดเสียแล้ว เพราะท่านหลวงปู่ก็เหมาไปคนเดียว ท่านเปิด
รายการน่าสนใจนะครับ ไปรับงาน ภาษาเราเรียก รับงาน แต่ภาษาพระเรียก รับกิจนิมนต์
ก็ไปชำระหนี้กรรมเก่าก่อน แล้วหลังจากนั้น งานใหม่ก็เข้ามา ก็คงจะได้มีการเดินทัวร์สาย
ภาคเหนือมากขึ้น แล้วญาติโยมที่ขายอาหาร ขายน้ำ ก็จะเหี่ยวลงอีก เพราะว่า งานก็เข้า
มากขึ้น
แล้ววันนี้มีปุจฉาหลายเรื่องทีเดียว ตรงกับที่หลวงปู่ได้เปิดวงสนทนาธรรมวันนี้ด้วยซ้ำไป
นะครับ เพราะว่า มีเรื่องที่เกี่ยวกับสมาธิ เรื่องของฌาน เรื่องของญาณมาโดยตรงเลย ผม
เริ่มเลยก็แล้วกันนะครับ...
ปุจฉา ปุจฉาแรก น่าจะตอบคำถามไปได้แล้วนะครับ คือ ปุจฉามาว่า ปรารถนาสมาธิ
ฌานเบื้องต้น ต้องทำอย่างไร แต่ท่านหลวงปู่พูดรวมๆ ไปแล้วนะครับ แต่เค้ามีคำถามต่อ
มาว่า วิชาปราณโอสถ ที่หลวงปู่เมตตาสอนมา มันจะเอาไปใช้ด้วยกันได้หรือไม่ ต้องใช้
เวลานานเท่าไหร่
วิสัชนา ที่จริง วิชาปราณโอสถ มันทำได้ถึงสมาบัตินะ ฝึกได้ถึงสมาบัติ ส่วนจะพัฒนาให้
ถึงขั้นวิปัสสนา ก็เคยสอนไปแล้วใช่ไม๊ ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขณะที่เคลื่อนไหว
กาย เรียกว่า มีวิชาสมาธิปราณโอสถ เค้าเรียกว่า ปราณทิพย์ หรือ ขั้นปราณทิพย์ แล้วก็
ทิ้งอัตตา ทิ้งขันธ์ 5 ทิ้งสังขาร ทิ้งการยึดถือทั้งปวง มันต้องพัฒนา
งั้น การเจริญกรรมฐานในข้อปราณโอสถ ที่จริง มันเป็นกุสโลบายที่จะเป็นเครื่องผูกจิตให้
มันง่าย และตื่นตัวอยู่เสมอ ก็บอกแล้วว่า นิสัยหลวงปู่จะไม่ชอบสอนคน 2 ประเภท คือ
คนหลับกับคนตาย อ้ายตายน่ะ ไม่กลัว ไม่ต้องสอนมันล่ะ อ้ายคนหลับนี่ น่ากลั๊ว น่ากลัว
เพราะมันหลับได้ทุกโอกาส บางทียืน มันยังหลับเลย เออ เดิน มันก็ทำเคลื้มไปเรื่อย อย่างนี้
เค้าเรียกว่า คนหลับ หรือไม่ก็ ตายจากความตื่น เบิกบาน
งั้นก็ต้อง หาวิธีปลุก หาวิธีกระตุ้น มันก็ต้องมีกระบวนการอบรมสั่งสอน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทำให้จิตสงบระงับ แล้วมีสติปัญญาตั้งมั่น ก็ใช้ได้แล้วล่ะ วิธีใดก็ใช้ได้ทั้ง
นั้น ถ้าทำให้สติปัญญามันตั้งมั่นได้ จิตสงบระงับได้ เราไม่ต้องวุ่นวายต่ออุปกิเลสทั้งปวง
ไม่ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และไม่อยู่ในอำนาจของกามคุณ ก็
ถือว่า เราเป็นผู้ที่เจริญฌาน เจริญสมาธิ เจริญสติ เจริญปัญญา จบ
ปุจฉา ความสว่างของพระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา ความสว่างของพระโพธิสัตว์ ก็คือ พระอาทิตย์ ความสว่างของพระอรหันต์ก็คือ
แสงจันทร์ พระอรหันต์นี่ จะตรัสรู้เองโดยชอบได้ไม๊
ไม่ได้ ต้องมีครูสอน เหมือนกับพระจันทร์ แสงของพระจันทร์ได้มาจากแสงอะไร
แสงพระอาทิตย์ งั้น พระอาทิตย์มีแสงในตัวเอง ก็เหมือนดั่งพระโพธิสัตว์ที่ตรัสรู้เองได้โดย
ชอบ ไม่ต้องมีใครมาสอนสั่ง จบ
ปุจฉา ทำไมบางครั้ง บทสวดมนต์หลายๆ บท มีการกล่าวถึงพระพุทธเจ้า 5 องค์ บาง
บทก็ 7 องค์ บางบทก็มีหลายพระองค์
วิสัชนา มันแล้วแต่คนที่จะยก พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ในตำราของพระโพธิสัตว์ ในสูตรที่
ว่าด้วยเรื่อง การกำเนิดพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านว่าไว้ว่า นับดวงดาวในท้องนภา ยังน้อย
กว่าจำนวนที่พระพุทธเจ้ามาเกิด หรืออุบัติแล้วในโลกนี้
พระพุทธเจ้านี่มีอยู่ 2 ประเภทนะ มีพระปัจเจกพุทธเจ้ากับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระ
ปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่สอนคนอื่นไม่ได้ คือ ไม่สอน เพราะชอบทำตัว
เองเป็นอิสระ ไม่สอน ไม่สั่ง เบื่อ รำคาญ ขี้เกียจ อะไรก็ว่าไป แต่ท่านไม่สอน สอนไม่ได้
เพราะท่านไม่ได้สั่งสม
ถามว่า ทำไมสอนไม่ได้
ก็ท่านไม่ได้สั่งสมไง ท่านไม่ได้สั่งสมบริษัท บริวารเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้จะไปสอนใคร สมัยที่
สั่งสมบารมีธรรมแรกๆ ที่จะตรัสรู้เองโดยชอบ ชาติแรกจนถึงชาติสุดท้าย ท่านก็ไม่คบใคร
เลย อยู่ป่าลำพังโดดเดี่ยว โด่เด่ตัวเดียว ไม่สนใจใคร จนกระทั่งบรรลุธรรม ตรัสรู้ชอบ
แล้วจะไปสอนใคร ก็เหลืออยู่คนเดียว
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่ทั้งในป่า อยู่ทั้งในเมือง อยู่ทั้งชุมชน อยู่กับผู้คน อยู่กับ
หมู่สัตว์ อยู่กับฝูงชน ก็มีบริษัท บริวารหลากหลายที่จะต้องคอยอบรมสั่งสม สะสม เป็น
บารมีธรรมปรากฏขึ้น เป็นชาติเป็นภพ ชาตินี้ 2,000 ชาติหน้า 30,000 อะไรก็
ว่าไปเรื่อย ก็สอนกันไปจนกระทั่งพวกเหล่านั้นที่เป็นสาวกเกิดมาร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน
ร่วมประเทศ ร่วมยุคสมัย ร่วมพระธรรมวินัย ก็ได้ฟังธรรม จนบรรลุธรรมจนหมด อย่างนี้
เป็นต้น
งั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสั่งสม พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องสั่งสม แต่พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าท่านสั่งสมใช้เวลานานมากกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสั่งสมใช้
เวลา 4 อสงไขย กับแสนมหากัป พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านสั่งสม 2 อสงไขย กับครึ่งแส
นมหากัปป์
มันต่างกัน เอาตัวรอด กับ พาคนอื่นรอด มันต้องใช้บารมีมากกว่า
แล้ว 1 อสงไขยนี่ มันเท่าไหร่
ท่านว่าเอาไว้ว่า ขุดแผ่นดินลึกลงไป 16 กิโล กว้าง 16 กิโล แล้วก็เอาเมล็ดผักกาดเทลง
ไปจนเต็ม นั่นแหละ คือ 1 อสงไขย แล้วเมล็ดผักกาดเทียบกับอะไร เทียบกับ 1 ชาติต่อ
1 เมล็ด แล้วเทลง 16 กิโลนี่มันเท่าไหร่ เออ แล้วพระอรหันต์สาวกเนี่ย เป็นหลุม ไม่ใช่
เป็นบ่อ พระอรหันต์สาวกสั่งสมบารมีแค่ชาติ แค่ภพ แค่กัป แค่กัลป์ ไม่ใช่เป็นมหากัป
มหากัลป์ ยกเว้นพระอรหันต์ที่เป็นอัครสาวก พวกนี้ต้องสั่งสมนาน พระสาวก ซ้ายขวา
พุทธอุปฐากนี่ต้องสั่งสมนาน ต้องใช้เวลานานมาก แล้วก็ต้องได้รับพุทธพยากรณ์จากพระ
พุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
เพราะงั้น การกล่าวนามพระพุทธเจ้า 5 องค์ ก็ดี 7 องค์ ก็ดี มันมีมากกว่า 5 องค์ 7
องค์ด้วยซ้ำไป ถ้าเราสาธยายมนต์ว่าด้วยเรื่อง นะโม เม สัพพุทธานัง เราจะเห็นว่า พระ
พุทธเจ้ามีมากมาย ตั้งเท่าไหร่ ท่านว่าไว้ว่า ตั้ง 8 แสนสี่หมื่นเก้าพันอะไร ตามตัวเลขเป็น
ภาษาบาลี ต้องไปเปิดคำแปลในพระสูตรเยอะมาก ไม่ใช่แค่องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ที่ท่านยก
เอาไว้ 5 องค์ 7 องค์ ก็ยุคพุทธันดร พุทธกัปนี้ ยุคนี้มีพระพุทธเจ้า 5 องค์ ยุคนี้มีพระ
พุทธเจ้า 7 องค์ ยุคนี้มีพระพุทธเจ้า 2 องค์
ยุคหน้าจะมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะอะไร ถามว่า ทำไมมีองค์เดียว
ที่จริง จะเรียกว่ายุคหน้าไม่ได้ เพราะท่านจัดว่าอยู่ในยุคนี้ เพราะพระศรีอารยเมตไตรก็จัด
อยู่เป็น 1 ใน 5 องค์ แล้วยุคหน้านี่เป็นยุคที่มนุษย์ทั้งหลายจะต้องมีอายุขัยไม่ต่ำกว่า 6
หมื่นปี มนุษย์เนี่ย นั่งๆ กันอยู่เนี่ย อายุยืนถึง 6 หมื่นปี แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าอายุไม่
ต่ำกว่าแสนปี แล้วใช้เวลาเรียนอริยสัจ 4 ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นปี จึงจะเรียนบรรลุอริยสัจ 4
แสดงว่า ยุคหน้านี่ คนมันสุขมากไง คนมันมีความสุขมาก เราจะไม่เห็นคนเจ็บ มีแต่เกิด
แล้วก็ตาย แก่มีไม๊ ก็มี แต่ใช้เวลานานมาก แต่ไม่มีคนเจ็บ มีแต่คนเกิด แล้วก็ตาย รอวัน
ตายก็อีกเป็นแสนปีหรือเป็นหมื่นปี แล้วจะเรียนธรรมะแต่ละข้อ คนมันสุขนี่ มันอิ่มสุข
เหมือนกับคนมีตังค์ เราเอาขนมไปขายให้กับคนมีตังค์ ไม่อยากซื้อ ไม่อยากกิน เพราะมัน
มีอยู่แล้ว แต่ถ้าเอาลูกไม้ซักลูกหนึ่ง ไปให้กับเด็กขอทานที่ไหน อุ๊ย มือสั่น หยิบแล้วด้วย
ความรู้สึกอยากได้
คนมันอิ่มสุข มันก็ไม่เห็นทุกข์ พอไม่เห็นทุกข์ จะไปสอนอริยสัจ ก็ใช้เวลานาน
งั้น ยุคพระศรีอารย์ตรัสรู้เนี่ย บางทีบางครั้งใช้เวลาเป็นหมื่นๆ ปีกว่าจะได้ตรัสรู้อริยสัจ 4
สำหรับพวกชาวบ้านสามัญธรรมดาที่จะเรียนรู้ ผู้เป็นอรหันต์สาวกยุคนี้ ก็ใช้เวลานาน
หมายถึงยุคพระศรีอาริยเมตไตร เค้าก็เชื่อกัน เค้าก็ถือกันว่า นับกันว่า พระศรีอารย์เป็นยุค
สุดท้ายของพุทธันดรนี้ แล้วก็จะนับขึ้นต้นใหม่
แต่บางตำนาน บางตำรา เค้าก็บอกว่า พระศรีอารย์เป็นยุคองค์ที่ 1 เป็นการเริ่มต้นใหม่
แล้วก็บางตำนานในบางสำนักแถวๆ ปทุมฯ เค้าก็บอกว่า อ้ายแถวๆปทุม เค้าบอกว่า ยุค
องค์ปัจจุบันนี่ แย่งพระศรีอารย์มาเกิด แถวๆ ปทุมฯ ล่ะนะ เออ แย่งพี่มาเกิด พี่คือ พระศรี
อารย์ต้องมาเกิดก่อน แต่องค์นี้แย่งมาเกิด งั้น เค้าก็เลยมีธรรมเนียมประเพณี ถึงเวลาไป
ถวายข้าวพี่ เออ เค้าจะต้องถวายข้าวพระพุทธเจ้าองค์พี่ เค้ามีวิธีการของเค้า แล้วคนก็โง่บ้า
ตามเค้านะ เชื่อ เออ ก็คือ คนโง่มันมีมากในประเทศนี้ไง ถ้ามันไม่โง่ มันเห็นโจรเป็นกะหัง
เหรอ ใช่ไม๊ เล่นเป็นตุเป็นตะ อุ๊ย มันวิ่งทะลุกำแพง โทษใครที่ไหนได้ โธ่ อ้ายหำนี่เอง ไม่มี
ใครเลย มึงนี่เอง จะมาข่มขืนลูกกู อะไรอย่างนี้ แล้วว่ากันเป็นตุเป็นตะ เนี่ย ลิงลม มีรอยตีน
มองไม่เห็นเงา
เนี่ย คนโง่มันมีมาก มันทำให้เห็นว่าบ้านเรามีคนโง่มากกว่าคนฉลาด
แล้วมันโง่อย่างนี้เยอะไม๊
โง่ทั้งชาติ โง่ทั้งประเทศ แล้วมันโง่แบบนี้ เชื่อกันแบบนี้เกือบทั้งประเทศ แล้วมันก็เลยกลาย
เป็นว่า นี่มันยุคอะไรแล้ว ฝรั่ง อายเค้านะ พูดไปก็อายต่างชาติ เค้าว่า อู้หู ประเทศไทย
ทำไมงมงายได้ขนาด โง่ไม่โง่ ก็ขนาดอ้ายต้นไผ่ออกดอกมาเหมือนกับอ้ายพญานาคหน่อย
ก็ไปไหว้มันแล้ว ไม่ใช่ภาคเดียวนะ ภาคใต้ก็มี อย่าว่าแต่ภาคอีสาน มันมีทุกภาคแหละ
ภาคกลางมีไม๊ มี๊ ไม่งั้น ก็ต้นโพธิ์ ต้นไม้ ต้นไทร ข้างๆ แถวสะพานลอยอะไร วิภาวดี มัน
ยังไหว้กันให้เกลื่อนไปหมดเลย มีศาลตั้ง มีคนไปเซ่น วันดีคืนดีก็มีคนไปรำ แก้บนอะไรไป
เรื่อยเปื่อย คือ มันโง่ได้ใจ
ประเทศเรานี่มันโง่ได้ใจ ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงมีระบบลากตั้งไม่จบไม่สิ้น มันผูกพันไป
ถึงกระบวนการลากตั้งด้วยนะ ถ้ามันโง่ได้ใจอย่างนี้ มันลากไปตั้งได้ง่ายไง แต่ถ้าโง่เสียใจ
มันลากไม่ได้ไง โง่แบบมันมีปัญญาขึ้นมา ใครจะมาดึงกูลากกู ก็ต้องคิดหน่อย
พวกนี้ลากตั้งง่ายมาก ก็ไปยึดถือเอากระบวนการลากตั้งเป็นใหญ่ ครอบงำ สิ่งอื่นๆ ก็ผิด
พลาดไปหมด แล้วตัวเองลากตั้งมาได้ ก็มาเย้วๆ
นี่ว่าด้วยเรื่องอะไร เรื่องอะไรจ๊ะ
คุณมนัส ผมกำลังคิดว่า วิสัชนาที่ท่านหลวงปู่ให้มา มันเหมือนกับที่มีพระสายวิปัสนาที่มี
ท่านๆ หนึ่งพูดเอาไว้ว่า มียุคๆ หนึ่งที่ถ้าเกิดจะต้องสิ้นโลก วันสิ้นโลก ภัยธรรมชาติเข้ามา
คุกคามทุกภัยนน้ำท่วมจังหวัดนู้น จังหวัดนี้ กรุงเทพฯจะอยู่ไม่ได้ โคราช สระบุรีก็อยู่ไม่ได้
น้ำท่วมหมด จะไปอยู่ที่ไหน
หลวงปู่ วัดอ้อน้อย
คุณมนัส ภูเขาสูงๆ ก็ท่วม เขาใหญ่ท่วมหมด เค้าก็เลยบอกว่า คนที่จะอยู่ได้ มันต้องเป็น
คนที่มีวิชชาจะระณะสัมปันโน อย่างที่ท่านหลวงปู่บอก คือ คนที่ไม่อิ่มในคุณงามความดี
เค้าบอกแบบนี้ คนเหล่านี้ถึงจะรอดอย่างที่หลวงปู่บอก
หลวงปู่ อุ้ย อีกนาน อีกนาน อย่าเพิ่งพูดไปเลย เห็นคนพูดแบบนี้ ก็กลัวอย่างนี้มาตั้งแต่ปี
29 สมัยนั้นก็ 22-23 ก็เตรียมเก็บเสื้อผ้าใส่ถุงปุ๋ยแล้ว เดินแบกมาเลย รถจักรยาน
คันหนึ่งใส่รถกะบะมาข้างหลัง มันมาชวนชั้นไป
ถามว่า ไปไหนวะ ก็โลกมันจะแตกแล้วไง อ้าว แล้วมึงจะให้กูไปไหน
ก็เตรียมไว้ ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ข้าวสารอาหารแห้ง
กูถามจริงๆ เถอะ ถ้าโลกแตก มึงจะไปหุงตรงไหน มึงมันปัญญาอ่อน เออ แล้วโง่แบบนี้มัน
มีมานาน อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาคุยในเวลาช่วงจังหวะชีวิตของคน เดี๋ยวมันจะทำให้คนหมด
อาลัยตายอยาก ตอนนี้สิ่งที่คุยได้ ก็คือ ต้องทำให้กระตือรือร้น กระชุ่มกระชวย กระฉับ
กระเฉงที่จะหาวิธีที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ว่า เราจะทำยังไงที่จะฝ่าฟันต่อปัญหาเศรษฐกิจ
อุปสรรคขวากหนามที่มันมี แล้วก็แสงสว่างปลายอุโมงค์มันไม่ปรากฏเลย จะทำยังไงให้
มันปรากฏขึ้นมาให้ได้ ทุกคนต้องยืนด้วยลำแข้งตนเองให้ได้
จะไปรอโลกแตก น้ำท่วมโลก ปลาจะกินดาว มดจะไต่พระอาทิตย์ อะไร ยังอีกนาน
คุณมนัส ทำจิตว่างๆ ให้มีสติ
หลวงปู่ พวกนี้เค้าว่างมากเกินไปไง ว่างมากเลยไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ก็พูดเรื่องที่มันยัง
ไม่มาถึงตัว มันยังเป็นอาจินไตย พระพุทธเจ้าไม่ได้ยกย่องนะ พูดเรื่องพวกนี้ ไม่ได้ยกย่อง
เลยนะ
ท่านจะถามว่า ว่างมากหรือไง ไม่มีงานทำเหรอ ไม่มีอะไรจะทำหรือไง เหมือนกับท่านจะ
ถามกับภิกษุอยู่ พวกละเมอเพ้อพก พวกโลกจะแตกแล้ว ภัยธรรมชาติมันจะเกิดอย่างนั้น
อย่างนี้ ท่านจะถามว่า “ภิกษุ เธอกำลังทำอะไรอยู่” ท่านพูด เน้นเสียงดังๆ “ภิกษุ เธอ
กำลังทำอะไรอยู่”
คำว่า ภิกษุ คือ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ แล้วยังมานั่งฝอย นั่งบ่นแต่เรื่องอะไรที่มันยังมาไม่ถึงตัว
แสดงว่า ปัจจุบัน ไม่เห็นภัยอะไร ไม่ต้องรอโลกแตกข้างหน้า ท่านหมายถึง แม้ปัจจุบันนี่
จะตายเมื่อไหร่ รู้หรือยัง ปัจจุบันนี่ มัวเมาประมาทนี่ พูดๆ ไป เกิดฟันปลอมหลุดเข้า
กระเดือก หลุดหลอดลมตายขึ้นมา เตรียมหรือยัง
เพราะงั้น อย่าไปสนใจ
คุณมนัส แล้วถามดีไม๊
หลวงปู่ ก็อย่าถามเยอะมาก
คุณมนัส มีเด็กวัย 12 ขวบถามมา บอกว่า ทำบุญอะไรได้ แล้วจะเกิดเป็นพญายม
หลวงปู่ ทำบุญอะไรที่จะเกิดเป็นพญายม ทำไมอยากเกิดเป็นพญายม
คุณมนัส เด็กถามมา ปุจฉา
หลวงปู่ พญายมนี่ เค้าต้องเป็นสัปเหร่อนะ ลูก จริ๊ง
คุณมนัส ไปสมัครเป็นสัปเหร่อ
หลวงปู่ เอ้า ใช่ เพราะพวกจะเป็นยมราช พญายม ยมทูต ต้องมีหน้าที่ไปเก็บศพนะ อยาก
จะทำได้ไปเกิดเป็นพญายม ก็ไปสมัครเป็นลูกน้องเฮีย ป., เฮีย ป. กับเฮีย ร., ป.
ร. ปอเต๊กตึ้ง กับ ร่วมกตัญญู อย่างนี้น่ะ นั่นแหละ ทำไปเรื่อยๆ แล้วอย่ารังเกียจด้วยนะ
ไม่ใช่เจอเน่าเหม็น แล้ว อี๊ ปิดจมูก อย่างนี้ ไม่มีสิทธิ์จะเป็นพญายมนะ ต้องเห็นความตาย
เป็นปกติ เห็นความเน่าเหม็นเหมือนกับอยู่ในร่างกายเราเป็นปกติ จะไป อี๊ รังเกียจปุ๊บ นี่ไม่
ได้อานิสงส์นะ พญายม ไม่มีสิทธิ์หรอก
งั้น พวกที่เกิดเป็นพญายม หรือ ท่านผู้เป็นพญายมได้แล้ว คือ ผู้เห็นซากศพ สมัยก่อนนี้
เค้ามีเรื่องในพระชาดก ผู้ที่จะได้เป็นพญายม คือ เก็บซากศพชาวบ้าน เก็บโดยที่ไม่ได้
รังเกียจ ลอยน้ำมาก็ช่วยเก็บขึ้นมา เอามาฝังมาเผา อย่างนี้เป็นต้น ผีไม่มีญาติ ผีในป่าช้าไม่
มีใครเผา ขึ้นอืด หมาคาบเอามากัดกิน ก็เห็นเดินผ่านไป ถ้าเจอ ก็เก็บเอาไปเผาไปฝัง อย่างนี้
ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ ถ้าอย่างนี้มีสิทธิ์จะได้เป็นพญายม จบ แต่ต้องทำถี่ๆ
คุณมนัส ไม่เคยได้ยิน
หลวงปู่ ทำไม
คุณมนัส อยากเกิดเป็นพญายม แปลก
หลวงปู่ อ๋อ มันคงแค้นใครสักคนหนึ่งน่ะ มันแค้นสาวหรือเปล่าไม่รู้ อ้ายคนนี้มันต้อง
แค้นใครสักคน
คุณมนัส ท่านผู้นี้บอกว่า มีปุจฉาบอกว่า ความฝันของคนเราบางครั้งก็เป็นความจริง บาง
ครั้งก็ไม่เป็นความจริง คนเราทั่วๆ ไป ไม่มีญาณวิเศษ แล้วอย่างนี้จะรู้ได้ยังไงว่า ความฝัน
นั้นเป็นจริงหรือไม่
วิสัชนา ความฝันนี่ เคยบอกบ่อยๆว่า มันเกิดจากเหตุ 4 อย่าง เทพบันดาล ลางสังหรณ์
จิตอาวรณ์ นอนไม่หลับ ธาตุพิการ เค้าเรียกนอนไม่หลับ ธาตุพิการ คือ กินมาก ลมมันตี
มันผลัก มันดัน ผายลม ระบายลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ก็ทำให้ฝันได้ ธาตุพิการ
เทพบันดาลก็ อาจจะเป็นไปได้ว่า เราเคยมีเพื่อนฝูงที่เป็นเทพยดา ไปเกิดในชั้นดาวดึงค์ ชั้น
กามาวจร แล้วเห็นว่า จะมีเหตุปัจจัยอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา ท่านก็มาดลบันดาลให้เราได้
พบเห็นก่อนจะเกิดเรื่องนั้น เรียก เทพบันดาล
พวกลางสังหรณ์ ก็ต้องฝึก ลูก ต้องฝึกจิตอยู่ในระดับขั้นที่ต้องเป็น ปฐมฌาน หรือ เคยมี
คุณสมบัติแบบนี้มาเก่าก่อน พวกนี้ก็จะมีลางสังหรณ์ คือ จะบอกเหตุได้ก่อนล่วงหน้าที่จะเจอ
จิตอาวรณ์ ก็คิดถึง คิดถึงคนึงหา หวนคำนึงนึกถึง วิตกกังวล เค้าเรียก จิตอาวรณ์
แล้วอะไรจึงเรียกว่า เป็นความฝันที่แม่น ความฝันที่แม่นก็มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น เทพ
บันดาลกับลางสังหรณ์ อ้ายธาตุพิการกับจิตอาวรณ์ เค้าไม่เรียกว่า เป็นความฝันที่แม่น จบ
คุณมนัส หลวงปู่ มีปุจฉาเข้ามาเกี่ยวกับท่านหลวงปู่ บอกว่า วันนี้ 29 กรกฎาคม มี
การจำหน่ายวัตถุมงคลเป็นรูปของหลวงปู่นะครับ แล้วก็ราคาจำหน่ายสูงมาก แต่ไม่ได้
จำหน่ายที่มูลนิธิฯ ที่วัดอ้อน้อย ปุจฉามาถามว่า มันเป็นของแท้หรือเปล่า แล้วถ้าบูชาไปแล้ว
ซื้อไปแล้ว รายได้ไปอยู่ที่ไหน เข้าวัดหรือเปล่า มีไม๊ฮะ มีวางจำหน่าย
หลวงปู่ รูป ?
คุณมนัส เค้าไม่ได้ใส่รายละเอียดมา ท่านใดถามมา แสดงตัวหน่อยได้ไม๊ครับว่า เป็นรูป
แบบไหน หรือว่า เป็นรูปภาพ เป็นเหรียญ หรือเป็นอะไร
หลวงปู่ อาตมาขายได้ก็ดีแล้ว ลูก ขายที่ไหน ขายอย่างไร มีคนเอาไปขาย อ๋อ อ้ายตั้ง
ข้างหน้านี่ พระคเชนทร์เค้าเก็บค่าเช่า มันมาขาย พระคเชนทร์ก็เลยเก็บค่าเช่า เค้าเป็น
อะไรนะ เป็นเทศกิจ หลวงปู่เลยแต่งตั้งให้เป็นเทศกิจ เอ้า มันขายพระอะไรล่ะ ไม่เคยไปดู
มันซักที เค้ามีคนเอามาวางแผง แต่เห็นบอกว่า ขายของเฉพาะวัดนี้
แต่ของวัด ของวัดไม่ได้มีวางขายแล้ว ของวัดเอาไว้แจกเวลามีกิจกรรมพิเศษๆ เดี๋ยวนี้ มัน
ไม่รู้ ถ้ามีสวัสดิกะ ก็ยัดใส่วัดอ้อน้อยทั้งนั้น ไม่รู้มัน ของเก๊เยอะ ของเทียมก็มาก มันขายได้
เหรอ เค้าขายได้ไม๊
คุณมนัส ขายได้ ราคาสูงมาก
หลวงปู่ เหรอ
คุณมนัส แต่เค้าไม่แน่ใจว่า เป็นของแท้
หลวงปู่ เอ้า มันขึ้นอยู่กับความพอใจของคนซื้อกับคนขายตกลงกัน แต่ถามว่า เป็น
ประโยชน์กับวัดไม๊ ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับวัด ถามว่า ถ้ามาตั้งในวัด วัดก็ได้ค่าเช่า
เค้าเก็บเป็นรายองค์หรือเปล่า ไม่แน่ใจ หรือ เป็น %
คุณมนัส สมมุติว่า เป็นรูปภาพสักร้อยแผ่น เก็บรายรูปเหรอ
หลวงปู่ เป็น % ได้ยินว่า เป็น % ไม่รู้ ต้องไปถามพระคเชนทร์
คุณมนัส น่าจะเป็นข้างนอก
หลวงปู่ เออ ต้องไปถามพระคเชนทร์
คุณมนัส เรื่องวัตถุมงคล มีปุจฉาเข้ามา เรื่องของน้ำหมาก น้ำเหลือง ปัสสาวะ เส้นผม
ของท่านหลวงตามหาบัว อันนี้ไม่ใช่ของท่านหลวงปู่นะฮะ ที่กลายเป็นพระธาตุไปแล้ว เป็น
ไปได้เช่นนั้นหรือไม่
วิสัชนา อืม กูก็ไม่เคยเห็นนะ อ้ายเราก็ไม่เคยรู้เลย ว่าอ้ายน้ำเยี่ยว น้ำเหลือง น้ำหมาก นี่
มันเป็นพระธาตุได้ ในตำนานพระธาตุมันก็ไม่มีนะ ราหรือเปล่า เออ มันเป็นรา
คุณมนัส ติดโรค
หลวงปู่ เออ บางทีมันอยู่นานๆ มันอาจจะเป็นเชื้ออะไรต่ออะไรออก อ้ายน้ำเยี่ยวนี่ ทิ้งไว้
นานๆ มันก็ตกตะกอนนะ มันก็เป็นหินปูนนะ เออ แต่มันจะเป็นเม็ด เป็นอะไร ก็แสดงว่า
แกเป็นนิ่ว เยี่ยวพร้อมนิ่วหรือเปล่า มันไม่แน่ใจ เรื่องนี้ ไม่รู้หรอก ลูก เราก็ไม่เห็นด้วยตา
วิจารณ์เค้าไม่ได้
แต่พระธาตุน่ะ มันเป็นการอธิษฐาน อธิษฐานของผู้มีจิต เรียกว่า จิตตานุภาพที่สามารถจะ
ทำได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่อธิษฐานน้ำให้เป็นพระธาตุ ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานน้ำเหลือง น้ำ
เลือด น้ำหนองให้เป็นพระธาตุ ไม่มีอยู่ในตำราเล่มใด ไม่มีอยู่ในกระบวนการที่เค้าไหว้
พระธาตุ ไม่มี กูยังไม่เคยเห็น หลวงปู่เห็นแต่ทัณฑธาตุ สมัยที่ไปอยู่พม่า พระทัณฑธาตุ
ของพระโมคคัลลานะ ท่านสังฆราชองค์เก่าท่านอายุมากแล้วร้อยกว่าปี ท่านเอามาอวดให้ดู
แล้วท่านก็ยกมือไหว้แล้วก็อธิษฐาน โยนขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ตกถึงพื้น ลอยอยู่อย่างนั้น
เหมือนกับมีคนไปรองรับ แต่เรามองไม่เห็น แต่เห็นพระธาตุลอยอยู่เฉยๆ แล้วท่านก็โยน
ลงน้ำ แล้วก็กระทบน้ำ ก็ลอยอยู่เหนือน้ำโดยที่ไม่แตะน้ำ
นั่นแหละ พระธาตุ พระทัณฑธาตุของพระโมคคัลลานะ เออ พระอานนท์ ไม่ใช่พระโมคคัล
ลานะ
แต่พระธาตุที่พวกเราไหว้ๆ กันเนี่ย โยน ป๋องๆ กูก็ไม่รู้ธาตุปีไหน ธาตุโลกไหน หินก็เป็น
ธาตุอย่างหนึ่งเหมือนกัน บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เค้าคิดอะไร มีคนเอามาให้หลวงปู่เยอะ
บอก เอ้อ กูมีแล้ว มึงเอาเก็บไว้เฮอะ มึงเอาไปเฮอะ เค้าเอามา เกจิเค้าจะเอามาให้ มากัน
เยอะเลย บอก ไม่เอา กูมีแล้ว เอาไปเฮอะ ขี้เกียจมานั่งเก็บ อ้ายเราจะไปบอกว่า ไหนลอง
โยนซิ ก็จะทำลายน้ำใจเค้า ก็เลยไม่เอา เอาไปเถอะ เค้าบอก เนี่ย พอบูชาแล้วมันเพิ่มขึ้นๆ
เอ๊อ ก็เอาไปเพิ่มต่อไป ขี้เกียจเป็นภาระ
คือ หลวงปู่เป็นคนที่ไม่ใช่ไม่เชื่ออะไร แต่จะเชื่อต้องมีที่มาที่ไปอย่างให้ชัดเจน ต้องพิสูจน์ได้
เห็น ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเชื่อส่งเดช
เลือดชั้นเนี่ย วันนั้นพวกนี้มันไป เจาะตั้งแต่ปี 34 ตอนทำพระหลวงปู่ทวดแช่เลือด ปะสะ
โลหิต จนถึงวันนี้ ยังไม่แข็งเลย มีเหลืออยู่ในขวดคนโทแก้ว ไม่แข็ง ไม่ตกตะกอน หรือว่า
ไม่นอนก้น ก็ยังอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปใส่น้ำหยูกน้ำยาอะไร เค้าก็ยังอยู่ในขวดนั้น จับขึ้นมา
ตะแคงดู ก็ยังไหล เหมือนกับเลือดธรรมดา
เอ้า อย่างนั้น มันไม่ดีกว่าเหรอ เยี่ยวของหลวงตาบัวเหรอ เอ้า อ้ายนี่ไม่ได้ไปว่าแกนะ แต่
มันเป็นไปได้อย่างไรที่น้ำเหลืองน้ำลายน้ำมูด น้ำคูด อ้ายเส้นผมนี่ก็ยังพอมีส่วนด้วยเหตุผล
แต่ก็ไม่เคยเห็นนะเส้นผมกลายเป็นพระธาตุ สมัยก่อนนี่ เกจิดังๆ อู้หู พอตายแล้ว ไม่เน่าไม่
เปื่อย พระธาตุขึ้น ไปดูใกล้ อ้ายห่า นี่ราทั้งนั้น ขาวน่ะ อ้ายราขาวๆ ขึ้นตามตัว ว่าพระธาตุ
สมัยก่อน อืม เลอะเทอะ
ก็บอกแล้วว่า บ้านเมืองเราเนี่ย โจรก็เป็นกะหัง ดีว่ามันไม่บอกว่า เป็นผู้มีฤทธิ์บันดาล
เพราะเค้าบอกเป็นผู้มีวิชาอาคมแข็ง เออ ปล่อยของอะไรก็ว่าไป คือ คนบ้านเราปัญญาอ่อน
จนเชื่อทุกอย่างง่ายมาก เค้าพูดอะไร ก็เชื่อไปหมด เพราะเราเชื่อในเบื้องต้นแล้วไง เป็นทุน
เดิมแล้วไง ท่านผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
ผู้ที่จะมีพระธาตุเมื่อหลังตาย จะไม่มีคำว่า ลืม จำไว้ ถ้ามีคำว่า ลืม ออกมาจากปาก ไม่น่า
จะใช่ ลองไปรีวายเทปของคนที่บอกว่า ตายแล้วมีพระธาตุ มีพระธาตุองค์นั้นองค์นี้ดู เดี๋ยว
ก็บอกว่า เค้าเอาตังค์มาถวาย อ้าว เหรอ เออ ลืมไป อ้าว แล้วจะมีพระธาตุได้ยังไง ลองไป
หาดู
เพราะว่า ผู้มีสติในกาย กายไม่ลำบาก ผู้มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก ผู้มีสติในใจ ใจนี้ ไม่
ลำบาก
ระดับของผู้มีพระธาตุ มหาสติต้องอย่างยิ่ง ลูก ไม่มีคำว่า ลืม เพราะ ลืม มันก็คือขาดสติ ถูก
ไม๊
อ้าว ขาดสติแล้ว จะเป็นอภิจิตได้ยังไง เป็นจิตที่ยิ่งกว่าจิตทั้งปวงได้ยังไง
ยังไม่ใช่
นี่ หลวงปู่ไม่ได้ว่าใครนะ ก็มึงไปฟังย้อนหลังกันดูแล้วกัน ใครบอกว่า ลืม แสดงว่า นั่น ไม่ใช่
เลอะเทอะ จบ
คุณมนัส หลวงปู่ครับ เดือนนี้เป็นเดือนวันแม่ด้วย เทปนี้จะออกอากาศ ที่วัดนี้มีกิจกรรม
เยอะมากนะครับ เมื่อเช้าที่ผ่านมาก็มีบรรพชาอุปสมบทหมู่ แล้วพอเดี๋ยวใกล้วันแม่ก็คงมี
งานใหญ่อีกงานหนึ่ง แต่เข้าพรรษา บอกว่า ทางวัดอ้อน้อยได้รับความเมตตาจากสมเด็จ
พระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานเทียนพรรษาเข้ามาให้กับทางวัดอ้อน้อย
ด้วย
หลวงปู่ ชั้นไม่ทราบ เค้าคงติดต่อกับสมภาร เพราะชั้นไปเหนือ เพิ่งกลับมา ไม่รู้เรื่องเลย
คุณมนัส ก็เรียนเชิญวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคมนะครับ มีพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝนแล้วก็เทียน
พรรษา...
มีปุจฉาเรื่องสุขภาพเยอะครับ ท่านหลวงปู่ คงต้องไล่ตอบเป็นข้อๆ อาจใช้เวลาเยอะนิดหนึ่ง
ปุจฉา ตอนนี้ใช้สายตาได้อยู่ด้านเดียว คือ ด้านซ้าย หมอบอกว่า ทำอะไรไม่ได้ ท่าน
หลวงปู่เมตตา
วิสัชนา เพราะอะไร เพราะมีสาเหตุอะไร ประสาทตาเสื่อม หรือว่า แก้วตาเสื่อม กระจก
ตาเสื่อม มันมีหลายสาเหตุมากที่ตาใช้ไม่ได้ มาจากสาเหตุอะไร บางทีกระจกตาหลุดก็มีนะ
งั้น ต้องไปเช็ค ให้หมอเค้าเช็คดูสาเหตุให้ชัดเจน ว่างๆ ก็ไปหายาบำรุงประสาทตากินบ้างได้
ก็น่าจะดี จะทำให้ตาสว่างขึ้น จบ ยิ่งอายุเยอะๆน่ะ อยากบอกว่า สมองมันจะเสื่อมเร็ว บ่อยๆ
เดี๋ยวจะหลงจะลืม มียาบำรุงสมอง กินแล้วมันจะทำให้ความจำดีขึ้น ลองไปหากินดูบ้างก็ได้
นี่ไม่ได้มาขายยานะ แต่สงสาร
วันนั้นมา จะเอาของมาถวาย แต่เดินมาตัวเปล่า
ถาม มาทำไม
อ้าว จะเอาของมาถวาย
อะไร
อ้าว ตายห่า อยู่บนรถ เดินกลับไปใหม่
โอ้โห มึงนี่ประมาณนี้เลยเหรอ
คุณมนัส ลืม
หลวงปู่ บ้า จะเอาของมาถวาย แต่มาตัวเปล่าๆ ถามว่า เอาอะไรมา อ้าว อยู่ในรถ เดิน
กลับไปใหม่อีกรอบหนึ่ง โอ้โห บอก มึงไปหายากินเสียบ้าง ไป ยาบำรุงสมองน่ะ มันจะ
ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น อ้ายเซลล์สมองมันจะได้ไม่ตายเร็วลง จบ
คุณมนัส หลวงปู่ครับ มีปุจฉาครับ ทั้งครอบครัว เป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำหมดเลย ล่าสุดลูก
ชายอายุ 12 ขวบ ป่วยด้วยโรคนี้ครับ
หลวงปู่ น่าจะเป็นกรรมพันธุ์
คุณมนัส บรรเทายังไงครับ
หลวงปู่ อาหาร ลูก หาอาหารบำรุงเลือด บำรุงเกล็ดเลือด วิตามินบางอย่างที่เค้าใช้บำรุง
เกล็ดเลือดต่ำ ที่วัดเค้ามีอยู่ กินยาสมุนไพร ก็เป็นยาบำรุงเลือดมันก็จะช่วยได้ จบ
ปุจฉา เป็นลมพิษ ทานยามาตลอด แต่พอยาหมดฤทธิ์ ก็เป็นอีก คันด้วย จะทานยาอะไร
ที่ทำให้หายจากโรคนี้ และต้องทานไปนานแค่ไหน
หลวงปู่ เค้าบอกกินยาอะไรมาตลอด
คุณมนัส น่าจะทานยาปัจจุบัน
หลวงปู่ เป็นลมพิษ ก็ให้กินยาแก้แพ้กับยาบำรุงเลือด กินครั้งละ 5 เม็ด เช้าเย็น ซัก 2
พิกัด 2 ขนาน ก็น่าจะดีขึ้น
คุณมนัส ต้องเลิกทานยาฝรั่งไม๊ครับ
หลวงปู่ เออ ยาแก้แพ้ของฝรั่งนี่มันเป็นยากดภูมินะ แล้วมันไม่ได้แก้ที่เหตุ มันทำให้เรา
คือ ร่างกายเราไม่แสดงปฏิกริยาต่อสิ่งที่แพ้นั้น แต่มันไม่ได้ไปแก้ รักษาแพ้ได้
ยาแก้แพ้ มันทำให้ภูมิเราไม่ต้องแสดงปฏิกริยา ไม่ต้องไปต่อต้านเชื้อโรคหรือ สิ่งที่แปลก
ปลอมเข้ามาเฉยๆ แต่ถ้าหากมีโรคอะไรที่เข้ามา เราจะติดได้ง่ายกว่า คนที่กินยาแก้แพ้
บ่อยๆ มันจะติดหวัดได้ง่ายมาก ติดโรคต่างๆ ได้ง่ายมาก
งั้น ต้องระวัง อย่ากินจนเป็นอาชีพ เออ ต้องรู้จัก กินมันเฉพาะตอนที่เรารู้สึกว่า เรารำคาญ
แต่ถ้าเกินกว่านั้นแล้ว พอพ้นจากรำคาญ แล้วไม่รักษา แล้วก็ต้องหาวิธีอื่น นั่นไม่ใช่ ที่จริง
หลวงปู่ก็มีทำยาแก้แพ้ มันต้องกินยา 2 ขนาน ก็คือ ยาแก้แพ้กับยาบำรุงเลือด จบ
ปุจฉา พ่อกับแม่เมื่อ 4 ปีก่อน ไปตรวจเจอว่าเป็นโรคหัวใจโต และโรคหลอดเลือดใน
สมองตีบ บวกกับความดันสูง ถามว่า ถ้าทานชาตัวใหม่ที่หลวงปู่ผสมโสมตัวใหม่ จะเป็น
อะไรหรือไม่ เพราะที่ฉลากบอกว่า คนความดันสูงทานไม่ได้ แต่พ่อกับแม่กล้ามเนื้ออ่อน
แรง ถ้าทานไม่ได้จะต้องทานยาอะไร
วิสัชนา กลับมาจากเมืองจีน ก็มาผสมชา เรียกว่า ชาโสมฟ้า ใช้สำหรับชงดื่ม กินเข้าไป
แล้วจะทำให้เลือดลมเดินดี แล้วก็บำรุงหัวใจ ในมุมกลับกัน สำหรับคนที่ความดันสูงมากๆ ก็
ไม่ควรกินเยอะ กินได้ครั้งละเที่ยวพอ แต่ปกตินี่ ชาเค้ากินได้ทั้งวันใช่ไม๊ เช้า เย็น ก็กินได้
ครั้งเที่ยวพอ แล้วก็อย่ากินเยอะเกินไป ชานี่ ห่อหนึ่งมันชงได้ 2 ครั้ง เช้าครั้งหนึ่ง กับเย็น
อีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วก็ทิ้ง เพราะตัวยานี่มันเข้มข้น อยู่ในถุงน่ะ ลองไปทดลอง
ทานดู ดื่มแล้วมันจะทำให้กระชุ่มกระชวย กระปลี้กระเปล่า แล้วก็กล้ามเนิ้อก็จะดีขึ้น
แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจโต เป็นโรคความดันสูง ถ้าจำเป็นจะต้องกิน ก็
กินได้วันละครั้ง แล้วก็อ่อนๆ คือ ใส่น้ำให้เยอะ อย่าชงให้เข้มข้น ถ้าชงเข้มข้น ยามันจะแรง
มันก็จะทำให้หัวใจชุ่มชื้นได้ในระดับหนึ่ง มันมีทั้งโทษ แล้วก็มีทั้งคุณอยู่ในตัว แต่โสมนี่
หลวงปู่ทำเป็นชาเนี่ย ก็ใส่ตัวกำกับพิษและฤทธิ์ของโสมไว้แล้วว่า ไม่ให้ออกฤทธิ์รุนแรง
เกินไป งั้น ก็ไม่ต้องกังวลว่า จะทำให้ความดันขึ้นสูงปรู๊ดปร๊าดเร็วเกิน แต่ถ้ากินถี่ๆ กินมากๆ
ใน 1 วัน อย่างนั้นอันตราย จบ
ปุจฉา มีคำถามสำหรับคนที่ทานโสมไม่ได้เท่านั้นนะครับ บอกว่า ยาบำรุงกระดูก บำรุง
เลือด แล้วก็บำรุงสมอง มีส่วนผสมของโสมประกอบอยู่หรือเปล่า
วิสัชนา ไม่มีเลย ยาบำรุงกระดูก ก็ไม่มีโสม เออ บำรุงเลือด ก็ไม่มีโสม บำรุงสมองนี่ไม่มี
มีแต่ดีทั้ง 7 ดีจากพืช ดีจากสัตว์ ดีจากพืช ก็คือดีบัว ดีของเม็ดบัวจะขมมาก ใช้กับบำรุง
สมองกับบำรุงหัวใจ จบ
ปุจฉา เวลาเดินขึ้นบันได จะเจ็บช่วงข้อต่อสะโพก ทานยาบำรุงกระดูกได้หรือไม่
วิสัชนา เออ หลวงปู่ก็เป็นนะ บางทีเรารู้สึกเหมือนกับว่า อ้ายข้อน้ำมันมันเสื่อม นั่งนานๆ
แล้ว ลุกขึ้นยืน มันจะขัดจะเจ็บ งั้น ก็ต้องพยายามสร้างกล้ามเนื้อ ถ้าเป็นไปได้
หลวงปู่ก็ใช้วิธีดึงข้อ ดึงข้อแล้วก็ทิ้งตัวแล้วก็เดินลม สัปดาห์หนึ่งก็จะดีขึ้น ลองทำดู
คุณมนัส ไม่ใช่พังผืดนะครับ
หลวงปู่ พังผืดก็เป็นนะ วิธีทิ้งตัว ดึงข้อ เดินลม แก้ได้ ดึงข้อ ทิ้งลง ไม่ใช่ยกขึ้นยกลงนะ
ดึงแล้วก็ให้ตัวมันทิ้งถ่วงอยู่อย่างนั้น แล้วก็เดินลมหายใจให้ทั่วร่างกาย แล้วจึงจะปล่อย ถ้า
ไม่ไหวก็ปล่อยค่อยๆ ปล่อยช้าๆ อย่าปล่อยฮวบฮาบ ไม่งั้น กระดูกมันจะไปกระแทกใส่กัน
แล้วมันจะทำให้จุกในข้อกระดูก ค่อยๆ หย่อนตัวลงช้าๆ ทำซักอาทิตย์แล้วจะดี ไม่เชื่อลองดู
จบ
คุณมนัส ผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ญาติปุจฉามาครับ บอก ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว และมีแผล
ในกระเพาะแล้วเคยมีเลือดออกมา แต่ตอนนี้หายแล้ว สามารถเอายากระเพาะมาใส่น้ำแล้ว
ใส่ลงไปในสายให้อาหารได้หรือไม่
หลวงปู่ แสดงว่า กินด้วยตัวเองไม่ได้ ได้ พาร์กินสัน ก็ศาตราจารย์อะไรอยู่ในโรง
พยาบาลศิริราช เค้าเป็นอาจารย์หมอ สมัยที่มาหาหลวงปู่ใหม่ๆ มือเค้าอย่างนี้เลยนะ (สั่น)
ตรวจโรคไม่ได้เลยนะ จับหูฟังไม่ได้ จนเดี๋ยวนี้ ให้ยืนตรงๆ นิ่งล่ะ เค้าก็กินยาบำรุงสมอง
กับบำรุงเลือด เค้ารักษามาตั้งเป็น 10 ปีนะ เป็นศาตราจารย์อยู่โรงพยาบาลศิริราช เป็น
หมอกระดูก อายุมากแล้ว งั้น ลองไปกินดู จบ
คุณมนัส มีเรื่องสุขภาพอีก 2 คำถามครับ
ปุจฉา บอก เพื่อนป่วยเป็นมะเร็งที่กระดูก ตอนนี้รักษาโดยใช้เคมีบำบัด สามารถทาน
ยาบำรุงกระดูกของหลวงปู่ควบคู่กันไปด้วยได้หรือไม่
วิสัชนา กินยาบำรุงเลือด กับฟอกเลือดสลับกันไปก่อน ทำให้เลือดมันแข็งแรง มะเร็งทุก
ชนิด สำคัญก็คือ ทำให้เลือดมีพลังและแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง คืด เม็ดเลือดขาวมัน
แข็งแรงมากๆ อย่าเพิ่งไปกินยาบำรุงกระดูก จบ
คุณมนัส เวลาที่เจ็บป่วย ที่หลวงปู่บอกว่า แยกจิตออกจากกาย เป็นยังไงครับ
แล้วสามารถทำให้อาการป่วยหายจริงได้หรือเปล่า
หลวงปู่ มันเหมือนถอดดาบออกจากฝักน่ะ ลูก การแยกจิตออกจากกาย มันก็ไม่ต่างอะไร
กับถอดดาบออกจากฝัก หรือ ถอดเสื้อออกจากตัว มันจะไม่รับรู้ความรู้สึกของสิ่งที่ถอดออก
ไปแล้ว
และอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกาย
อ้าว ฝักดาบเป็นกาย จิต คือ ตัวดาบที่ถอดออกจากฝัก มันจะไม่รับรู้ความรู้สึกอะไร
ถามว่า วิธีนี้ทำได้ง่ายไม๊
ต้องทำสมาธิให้มาก เจริญสติให้ยิ่ง คือ ทำสติให้เจริญรุ่งเรือง แล้วก็ปฏิบัติสมาธิจนถึงขั้น
ฌาน แล้วก็ค่อยๆ ตัดความรู้สึกทีละน้อยๆ จากปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าขึ้นไป จนถึงที่สุด ก็คือ
ในกาย พอตัดความรู้สึกแล้ว ทีนี้เราก็จะรู้ว่า มีช่องทางที่จะถอดจิตได้ วิธีการก็เป็นอย่างนั้น
ตัดความรู้สึก แล้ววิธีตัด ตัดอย่างไร
สมัยก่อนนี้ หลวงปู่แช่อยู่ในหลุมขี้ คิดดู ถ้าวันหนึ่งก็ยังพอทำเนา
15 วันนี่อยู่ได้อย่างไรถ้าไม่ตัดความรู้สึก อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ตัดความรู้สึกอยู่ไม่ได้ แต่ก็ทำได้
ก็ค่อยๆ ตัดความรู้สึกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงแค่คอ ไปถึงศีรษะ
กายกับจิตแยกออกจากกัน ต้องฝึก
สำคัญที่สุด คือ ต้องฝึกสมาธิมาก ฝึกสติให้เยอะ แล้วเราจะแยกได้ระหว่างสุขเวทนากับ
ทุกขเวทนา
เรื่องนี้ มันมีสอนอยู่ใน กาย เวทนา จิต แล้วก็ ธรรม อยู่ในมหาสติปัฏฐาน 4 จบ
คุณมนัส มีปุจฉาสุดท้ายนะครับ ถามมา ไม่ใช่เรื่องโรค แต่เป็นโลกที่อยู่ในปัจจุบันนี้นะ
ครับ เล่าให้ฟัง มีเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจอยู่ด้วยกัน แล้วเพื่อนคนนี้ไม่ซื่อสัตย์กับเพื่อนหมด
ทุกคน แล้วคนทุกคนก็ไปช่วยเค้าให้พ้นจากความทุกข์ในขณะที่เค้ากำลังเดือดร้อนอยู่ แต่
คนๆ นี้ ก็ไม่มีจิตสำนึก ไม่รู้จักบุญคุณของเพื่อนๆ คือ เพื่อนคนนี้ เค้าอยู่อย่างไม่ทุกข์ไม่
ร้อน ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน ครอบครัวจะแตกแยกอย่างไร เค้าปุจฉามาว่า คนแบบนี้
เป็นคนที่ดวงดีมากๆ แล้วคนๆ นี้ ก็ไม่เห็นเค้าเป็นอะไรเลย ในขณะที่เพื่อนรอบตัวเค้าที่
คอยช่วยเหลือเค้ามาตลอด เค้าเดือดร้อนกันหมด แบบนี้จะทำยังไง
หลวงปู่ อ้ายเพื่อนรอบตัวน่ะ มันโง่ ควาย คนนี่มันจะช่วยเหลือคนนี่ มันต้องดูตัวเองว่า
ตรงกับความสามารถแค่ไหน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปช่วยจนกระทั่งตัวเองไร้สามารถ พิการ เปลี้ย
แย่ เพลีย หมดเรี่ยวแรง หัวทิ่มหัวตำ แล้วลำบากลำบน อ้ายนั่นน่ะ โง่ ควาย ไม่รู้จักตัวเอง
ไม่แยกแยะ แล้วจะมาร้องบ่น โวยวายอะไร
ถ้ามองให้เป็นมุมกลับ ก็ต้องมองว่า เออ เมื่อก่อนเคยเอาเค้ามา ชาตินี้มันเลยมาเอากู เท่า
นั้นแหละ จบ อย่าไปมองเยอะกว่านี้ ถ้ามองเยอะกว่านี้ ก็จะหาเหตุไม่ได้ เออ เมื่อก่อนกูไป
เอาเค้ามา เออ เมื่อก่อนกูไปหยิบเค้ามา เมื่อก่อนกูไปขโมยเค้ามา เมื่อก่อนกูไปโกงเค้ามา
ชาตินี้มันเลยมาหยิบ มาโกง มาเอาของกูไป เท่านั้นแหละ จบ แสดงว่า มันเป็นเจ้ากรรม
นายเวร แต่ถ้าชาติก่อนไม่มี ไม่ต้องคิด ก็ชาตินี้ ก็โง่ ชัดๆ โง่เห็นๆ ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จัก
วิเคราะห์ ไม่คำนวณใคร่ครวญ
คนหนึ่งเจอกัน มันก็ต้องอ่านกัน มันต้องรู้จักกัน ต้องรู้เขารู้เรา เออ รู้ว่า คนๆ นี้ช่วยได้แค่
ไหน แล้วก็เมื่อไหร่จึงจะหยุด แสดงว่าใช้ปัญญาในการเข้าสู่สังคม แต่อ้ายนี่ไม่ได้ใช้ปัญญา
แล้วจะเรียกว่า อะไร ก็โง่สิ มันก็สมควรแล้ว สมน้ำหน้า
คุณมนัส หลวงปู่ครับ แล้วคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐาน อยู่ไกลๆ
หลวงปู่ เอ้า มันก็ต้อง
คุณมนัส เรื่องวันเกิดของคนที่อยู่ไกลๆ บอกว่า เค้ากำลังจะกลับบ้าน อย่างนี้ เค้าเรียกว่า
ดวงดี ไหนๆ ก็ไหนๆ ล่ะ
หลวงปู่ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ยุ่งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร คิดไปมันก็ทำให้ใจเราเศร้า
หมองเปล่าๆ ก็ช่างพ่อช่างแม่มันไป โคตรพ่อโคตรแม่มันจะเกิดมันจะตาย ก็เรื่องของมัน
เราก็ไม่ได้กินอะไรกับมัน มันก็ไม่ได้ให้เรากิน ไม่เห็นจะต้องจำเป็น
เช้า ก็มีคนมารายงาน อุ๊ย จัดวันเกิดกันทุกจังหวัดอย่างกับ
เราก็ เออ งานโคตรพ่อโคตรแม่มัน ก็ปล่อยมัน เรื่องของมัน อย่าไปยุ่ง ทำตาไม่ต้องดู หูไม่
ต้องฟัง เค้าเรียกว่า เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซะ ไม่ต้องไปใส่ใจ เพราะว่า เวลานี้ อะไรก็ทำ
ได้หมด
นี่กูว่า จะโอนไปเป็นตำรวจแล้วล่ะ
คุณมนัส จากภิกษุย้ายมาเป็นตำรวจ
หลวงปู่ เออ ใช่ๆ อะไรก็ทำได้หมด เวลานี้
คุณมนัส เค้าบอก เค้าไม่รู้เรื่อง
หลวงปู่ เออ อะไรก็ทำได้หมด เวลานี้ มันจะเอามือปิดสวรรค์ ปิดฟ้า เปิดแผ่นดิน มันทำ
ได้หมดแหละ เค้ามีตังค์นี่ มีเงินนี่ มันจะจัดยังไง ทำแบบไหน พิธีกรรมอะไร
ก็ไปเชียงใหม่ หลวงปู่ไป 4 วัน ทุกโรงแรมมันจองเต็มหมด สัมนานั่น สัมนาหน่วยงานนี้
กระทรวงความมั่นคงมนุษย์ กระทรวงเกษตร สัมนากันบางที โอ้โห บางโรงแรม 3 ห้อง 4
ห้อง มันจองเต็มหมด แต่ละห้องก็มาหน่วยงานหนึ่ง คือ หน้านี้ มันหน้าใช้เงินน่ะ ลูก
ยุคนี้มันยุคใช้ตังค์ อ้าวสัมนาครั้งหนึ่งต้องจ่ายตังค์ไม๊ล่ะ
(จ่าย)
เออ แต่พระมันให้พันนึง พระน่ะ มันให้พันนึง กูพูดให้มันฟัง 2 ชั่วโมง นี่ไม่ได้ไปทวง
บุญคุณ พูดให้มัน 2 ชั่วโมง มันก็ให้ชั่วโมงละ 500 แค่นี้ แต่พวกมันกินกัน แหม
ปากมัน นอนโรงแรมชั้นหนึ่ง 5 ดาว อย่างดี
คุณมนัส Rate ท่านต่ำกว่าข้าราชการอีก
หลวงปู่ เออ
คุณมนัส ข้าราชการนี่ 1500 – 3000 ผมไปบรรยายที ก็ 3000 เค้าเห็น
เป็นธรรมทาน
หลวงปู่ ก็มันเห็นเป็นพระพันธมิตรไง มันก็ยังอุตส่าห์ฟังเราก็ดีแล้วล่ะ ชั้นก็ไม่ได้สนใจ
หร๊อก
ตอนที่ไปพระตำหนัก เค้าก็ยังมีคำถาม ถามเลย ข้าราชบริพารเค้าเขียนหนังสือขึ้นมาถาม
คนเค้าอ่านให้ฟัง พันเอกอะไร เป็นอนุศาสนาจารย์ ท่านรู้สึกอย่างไรกับมีพระบางองค์ รับ
นิมนต์มา แล้วก็ให้เลขาฯ โทรฯ มาบอกว่า จะต้องถวายไม่ต่ำกว่า 30,000 นะ ไม่งั้น
ก็จะไม่รับนิมนต์
เราก็เลยบอก อุ๊ย นั่นไม่ใช่พระ อย่าไปเรียกผิด นั่นมันกะหรี่
คุณมนัส มีค่าตัว
หลวงปู่ เออ มีค่าตัว ก็ต้องเป็นกะหรี่สิ พระที่ไหนล่ะไม่ใช่พระนี่ ไม่เอา เราไม่ใช่กะหรี่นี่
เราเป็นพระ เราก็ไม่มีค่าตัว มึงอยากให้ก็ให้
คุณมนัส ........
หลวงปู่ เอ้า เรียกเลยไง ต้องไม่ต่ำกว่า 30,000 เค้าเรียกเลย ไม่ต้องเอ่ยชื่อหรอก
วัดไหน วัดดังๆ ล่ะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 30,000 เค้าถึงได้ยอมมา เออ ของกูนี่ไปง่ายมา
ง่าย ถ้าคิดค่าตัว ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็เรื่องของมึง กูไม่สนใจ เพราะกูไม่ได้ถือว่า มาเอา มาให้
เท่านั้นแหละ ไปอบรมเณรในวัดศรีโสดา สำนักพุทธฯ เค้านิมนต์ เค้าถวายมา เราก็ดูในซอง
3,000 เราบอก เอ้อ เอาไปให้วัดเค้า ช่วยเค้า ถวายค่าอาหารพระเณร กูเข้ามาแสดง
ธรรมในวัด ไม่เคยเอาตังค์ออกจากวัด เราอย่าไปเอา แม้จะบอกว่า เงินนี้ไม่ใช่เงินวัด แต่
ลาภมันเกิดในวัด ก็ควรจะเป็นของวัดนั้น ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่เคยเอาออกมา
กูมีแล้ว ลูกหลานกูรวยหมด
(สาธุ)
คุณมนัส ผมมีคำถามส่วนตัว อย่างคนไกล เวลาที่เค้ารวมตัวทำบุญอุทิศให้ ทำแบบเยอะๆ
แล้วอุทิศให้ เค้าได้ไม๊ครับ
หลวงปู่ ก็ได้ความสะใจไง ได้ประกาศศักดา ได้แสดงอานุภาพ เดช
คุณมนัส พระก็มีส่วนให้ อันนี้เค้าได้ไม๊ครับ คิดในทางธรรมนะฮะ
หลวงปู่ อ้ายนั่นมันได้ตังค์ พวกนี้ทำพิธี ก็ได้ตังค์ เอ๊ ทำไมมันไม่มาเช่าวัดอ้อน้อยทำบ้าง
วะ กูจะได้สวด กุสลา เออ จะได้บังสุกุล สวดกุสลา เอารูปตั้งไว้ในโลง แล้วก็จุดไฟเผา
คุณมนัส เดี๋ยวเค้าก็มองในบวกอีก
หลวงปู่ บวกอะไร
คุณมนัส คิดว่า ต่ออายุให้เค้า
หลวงปู่ แต่อยากบอกว่า อย่าไปยุ่งกับเค้าเลย ปล่อยเค้าเถอะ เพราะว่า บ้านเมืองตอนนี้
มันเป็นของเค้า ทำอะไรก็ง่าย ทำอะไรก็ได้
คุณมนัส หลวงปู่ครับ นอกจากเรื่องมันสัมปะหลังที่หลวงปู่เป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะว่า
หลวงปู่ก็ปลูกมัน
หลวงปู่ ไม่ใช่
คุณมนัส ล่าสุด มันก็มีเรื่องของข้าวที่เรา..... ล่าสุดมีเรื่องของสวนมะพร้าว
มะพร้าวราคาตก แล้วก็ทิ้งสวนกันหมด แล้วเอามะพร้าวไปทิ้งไว้ที่ทำเนียบ หลวงปู่คงทราบ
มันควรจะแก้ยังไง เรื่องราคา
หลวงปู่ ที่จริง น้ำมันมะพร้าวเอามาทำหลากหลายผลประโยช์ได้ ทำครีมก็ได้ ทำสบู่ก็ได้
ทำยารักษาโรคก็ได้ ทำน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้ ทำอาหารการกินก็ได้ แต่บ้านเรามันทำอะไร
แบบชนิดที่ไฟไหม้ฟาง อ้ายไบโอดีเซลก็ไม่ได้สนับสนุนเป็นจริงเป็นจังเป็นเรื่องเป็นราวให้
คนหันมาสนใจ น้ำมันมะพร้าวมันก็เอามาทำไบโอดีเซลก็ได้ อ้ายโรงงานทำกะทิ ทำอะไร
สมัยก่อนก็แย่งกันซื้อมะพร้าว บางทีวัดมีงานที ไปซื้อมะพร้าวโลหนึ่งตั้ง 20 - 30
บาท เมื่อก่อนนี้ 10 กว่าบาท
เพราะงั้น ชั้นว่ามันเป็นจังหวะ เป็นช่วงน่ะ ช่วงนี้เศรษฐกิจโลกมันแย่ อะไรๆ ก็ไม่มีใคร
อยากซิ้อ แล้วถ้าหากว่ารัฐบาลยังมีนโยบายที่ไม่เป็นรูปธรรม ไม่ชัดเจน ไม่คิดจะจัดสรร
อาชีพของกำพืดเดิมของแผ่นดินตนให้เป็นแก่นเป็นสาร ไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง สิ่งที่เรา
จะได้ ก็อย่างที่เห็น มันก็มาเรียกร้อง มาขอ ชั้นก็เห็นมันมาเรียกร้องตั้งแต่ก่อนสร้างวัด จน
เดี๋ยวนี้สร้างวัดเสร็จแล้ว มันก็ยังเรียกร้องไม่เลิก ไม่ว่าทุกอาชีพ ถ้าเป็นเกษตรกรรม
กสิกรรม มันก็เรียกร้องกันมาตลอดยาวนาน ก็ไม่เห็นรัฐบาลยุคไหนที่จะจัดสรรให้มันมี
คุณภาพ คุณค่ายั่งยืน แบบชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องมาจัดกันอีกรอบหนึ่ง
เพราะงั้น บ้านเราไม่มีใครคิดยาว คุณ
คิดแบบชนิดแก้ปัญหาให้มันหมดไปวันๆ เฉยๆ อ้ายเรื่องหาคนคิดยาว เพราะคิดยาวนี่มัน
คุณมนัส เห็นผลช้า
หลวงปู่ เห็นผลช้าหนึ่ง สองก็คือ มันเป็นการลงทุนระยะยาว แล้ว สามก็คือ มันไม่จำเป็น
จะต้องมาซ่อมบำรุง เพราะว่า คิดเผื่อเอาไว้แล้วตลอดเวลาว่า กระบวนการซ่อมบำรุงมันจะ
เกิดขึ้นในตัวของมันเอง แต่ถ้าคิดสั้นๆ มันต้องเบิกงบประมาณอยู่ตลอด มันก็มี 5% 10%
เดี๋ยวนี้ 5 % 10% เค้าไม่เอาแล้ว 30, 35 งั้น คิดสั้นและคิดถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ คิด
ทีก็รวยทุกที คิดทีไรก็รวยทุกที
คุณมนัส ต้องคิดถี่ๆ
หลวงปู่ เออ ต้องคิดถี่ๆ เข้าไว้ แล้วมันก็จะรวยนานๆ แต่ถ้าคิดยาวนี่ โห กินครั้งเดียวก็
เลิกเลย อ้ายโครงการนี้มันยั่งยืน กูไม่รู้จะไปทำยังไงได้ อย่างนี้ ถ้าจะสนับสนุน ข้าว น้ำมัน
ปาล์ม ยางพารา พืชผลกสิกรรมให้มันยั่งยืน
ถ้าคิดยาวๆ ก็ต้องคิดว่า แบ่งโซนในการเพราะปลูก จำกัดผลผลิตให้มันเหมาะสมกับการ
ตลาด ดีมานกับซับพลายต้อง balance กัน แหม ไม่อยากพูด พอมัน balance
กัน ทีนี้มันก็ ในตลาดก็พอมีพอกิน เหลือแล้วก็จัดขาย เมื่อเหลือ ขาย ราคาก็จะต้องดี ก็
เพราะคุณภาพคุมได้
ขายของดีมีคุณภาพ ขายน้อยหน่อย ราคาแพงกว่าคนอื่น ก็ยังดีกว่าขายเยอะๆ แล้วราคาถูก
มันไม่คิดแบบนี้ เพราะคิดแบบนี้ มันเบิกเงินไม่ได้ไง เบิกเงินที่จะมารับจำนำไม่ได้ เบิก
เงินที่จะมาชดเชยพันธุ์ข้าว เกษตรกรรม กสิกรรม
ที่มันตรงนั้นมันไม่ควรปลูก ก็ดันไปปลูก พอปลูกแล้วน้ำท่วมบ้าง แล้งบ้าง เกิดอุทกภัย
วาตภัย อัคคีภัย อ้าว ก็เบิกเงินได้ เบิกเงินชดเชยได้ง่ายๆ เบิกไป 3 เดือน เดินทางไกล ยัง
ไม่ถึงสิงห์บุรีเลย 3 เดือนนี่มันเดินไปไม่ถึงสิงห์บุรีหรอก
คุณมนัส เบิกอีกแล้ว
หลวงปู่ ไม่ใช่ มันท่วมอีกรอบแล้ว เงินยังไปไม่ถึงเลย แต่เงินน่ะมันเบิกไปแล้ว แต่มันยัง
เดินไปไม่ถึงสิงห์บุรี นี่คือ บ้านเมืองเราไง มันไม่มีใครรักบ้านเมืองนี้จริงๆ หรอก ในหลวง
ท่านจึงเครียด พระราชินีท่านจึงเครียด เพราะมันแก้ปัญหาไม่ได้ในบ้านเมืองนี้ไง
ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ได้แก้ปัญหาบ้านเมืองเลย มันมีแต่แก้ตัวไปวันๆ ไม่เห็นจะมีใคร
ออกมายอมรับความจริงเลยว่า อ้ายสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ แม้กระทั่งการศึกษาน่ะ มันผิด
นโยบายมันก็ไม่ได้สนับสนุนให้คนมีความคิดเป็นของตัวเองที่จะมีพัฒนาการ มีแต่ตกเป็น
ทาสของสิ่งเร้าเครื่องล่อ
งั้น มันก็ยาก บ้านเมืองมันเกิดอยู่ในยุคของอะไร เรียกว่า ยุคของมืดมน มันหาคำตอบไม่ได้
ทุกวันนี้ เรายังไม่รู้เลยว่า อ้ายที่เป็นอยู่มันจะมั่นคงอยู่รอดไม๊ การเมืองจะมั่นคงไม๊
เศรษฐกิจทุกวันนี้ ข้างนอกดีไม๊ ลูก
ไม่มีใครดีหรอก มันดีอยู่อาชีพเดียว อาชีพก่อสร้าง สร้างทาง
คุณมนัส อาชีพนักการเมืองก็ดี
หลวงปู่ เออ อาชีพนักการเมืองกับอาชีพก่อสร้าง นักการเมืองถ้าบางพรรคไม่ได้เป็น
รัฐบาล ก็แย่เหมือนกันนะ แต่ละคนก็ให้รุ่มกันไปหมดนะ ก็นี่ไง วิธีปรองดอง เป็นวิธี
ปรองดอง ทีใครทีมันล่ะ เป็นประมาณนั้นแหละ
งั้น พูดไปก็เหมือนกับถุยน้ำลายใส่อ่าง
คุณมนัส นิ่งเสียตำลึงทอง
หลวงปู่ นิ่งเสียตำลึงทอง นิ่งก็เสียแน่ๆ ตำลึงทองก็ไม่เหลือ ตำลึงอะไรก็ไม่เหลือ ตำลึงต้น
ก็ไม่มีเก็บ แต่ว่ามันจะนิ่งไปได้อีกนานแค่ไหน วันนี้เราก็ยังได้แต่รอว่า อ้ายพวกที่โง่ๆ ทั้ง
หลายมันจะมีตาสว่างแล้วมองเห็นอะไรเป็นเรื่องราวจริงจังบ้าง ตอนนี้ก็ยังมาพะว้าพะวง
เปิดโทรทัศน์ เปิดวิทยุช่องไหน สื่อไหน ก็มัวแต่ยังมานั่งด่าศาลกันอยู่เลย เออ ได้บ้างไม่ได้
บ้าง วินิจฉัยถูกบ้าง วินิจฉัยผิดบ้าง มีอำนาจไม๊ ไม่มีอำนาจไม๊ ก็ฟ้องร้องกันไปฟ้องร้อง
กันมา
ถามว่า ประเทศได้อะไร
ก็ยังไม่รู้ว่า ประเทศมันได้อะไร พูดกันไปพูดกันมาเนี่ยนะ ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล พูดกัน
ไปพูดกันมา ประเทศได้อะไรกันมาบ้าง กูก็อยากให้พวกนี้ รวมๆ ตัวกัน เดินไปถามรัฐบาล
ว่า อ้ายที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ บ้านเมืองนี้มันได้อะไรมาบ้างวะ กูได้อะไรบ้าง แผ่นดินนี้ได้
อะไรบ้าง สังคมได้อะไร สิ่งแวดล้อมได้อะไร ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไรกับสิ่งที่
ทำกันอยู่ทุกวันนี้ มันแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบชัดเจนเลย แต่วันนี้ได้อะไร ก็ได้ซื้อ
ของถูก ร้านธงฟ้า แล้วร้านธงฟ้า ของที่ถูกๆไปซื้อมา ไม่ใช่ของดีมีคุณภาพทั้งหมดนา เห็น
บางคนเค้าบอก เมื่อวานบอก ปลากระป๋องนี่บวมเลย เค้าต้องไปซื้อเค้า เค้าก็ไปตัดมาจาก
บริษัทเค้าก็คงไม่เอาของดีมาขายถูกหรอก
คุณมนัส แล้วที่วัดยังมีขายไม๊ครับ
หลวงปู่ อะไร มีทุกเดือนแหละ เดือนนี้ก็มีขาย เค้าเปิดวันไหนล่ะ
(ที่ 5)
เออ วันที่ 5 ก็ขายจนกว่ามันจะดี หรือ จนกว่าไม่มีจะขาย
คุณมนัส ก็มาอยู่ที่วัดอ้อน้อยนี่แหละ น่าจะดีที่สุด หรือไม่ก็ไปทวงถาม ก็จากศิริราชสวด
มนต์เสร็จก็เดือนหน้าก็ไปที่ทำเนียบรัฐบาล
หลวงปู่ อย่าไปเลย เอ้ย ขี้กลากจะกิน ขี้กลากจะกินเท้า ไป อ้ายพวกนี้ไม่รู้สึกอะไรหรอก
จริง ก็จะอ้างว่า จัดตั้งมา มาโวยวาย อะไรก็เรื่อยเปื่อยไป
คุณมนัส ...
หลวงปู่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ บอกว่า เราต้องเอาตัวเราให้รอดก่อน คือช่วยกันระหว่างสังคมเราๆ
ท่านๆ ที่มีสติปัญญาชาญฉลาด ก็มาหาวิธียืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง เค้าเรียกว่า อัตตา หิ
อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตนให้ได้ก่อน แล้วก็พยายามทำตัวเองที่พึ่งได้ดีแล้ว เป็นที่พึ่ง
ของคนที่อ่อนแอและมี เค้าเรียกว่า มีโอกาสน้อยกว่า ให้เค้าได้พึ่งเราบ้าง
ไม่ใช่ว่า พอตัวเรารอด แล้วก็ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน ไม่สนใจใคร กูอยู่รอดแล้วพอใจ อย่างนั้น
ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเราเป็นสัตว์สังคม เราจำเป็นต้องอยู่ในสังคม แล้วสังคมพึ่งเราไม่ได้
เราก็ไม่ควรจะอยู่ในสังคม พอถึงเวลาสังคมเป็นสุขล่ะ เสนอหน้า พอสังคมเป็นทุกข์ล่ะ ตัว
ใครตัวมัน อย่างนี้ ถือว่าเลวร้ายมากในมนุษยชาติ
ชั่วชีวิตหลวงปู่ สิ่งที่อยากเห็นที่สุดคือ สังคมเอื้ออาทรกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ต่างคนต่าง
ภักดีแก่กันและกัน เค้าเรียก ภักดีแก่กันและกัน
คุณมนัส งั้น ถ้าเราอยากจะรอดได้ และคนรอบข้างเรารอดด้วยได้ ก็ต้องมาที่วัดอ้อน้อย
นะครับ ผมกำลังจะบอกว่า
วันพุธหน้านี้ จะมีพิธีบวชเนกขัมมะ ......
และวันอาสาฬหบูชา วันที่ 2 สิงหาคม 8 โมงเช้า จะมีใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้ง และ
ช่วงบ่ายโมง จะมีพิธีหล่อเทียนพรรษา
วันศุกร์ วันเข้าพรรษา 10.30 น. ตอนเช้าจะมีพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน และเทียน
พรรษาที่ได้รับความเมตตาจากสมเด็จพระญาณสังวรณ์ฯ
ส่วนเดือนสิงหาคม วันนี้ผมก็ใส่เสื้อสีฟ้ามา วันแม่ ก็อยากให้.............
หลวงปู่ เค้ามีเทศน์พระปริตรด้วย
คุณมนัส วันที่ 12 วันแม่ 10 โมง เช้า พิธีบังสุกุล บ่ายโมง พิธี สวดพระ
ปริตร....
หลวงปู่ เค้าจะมีกิจกรรมทำบุญวันเกิด เง๊กเซียนฮ่องเต้ด้วย
คุณมนัส วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม
หลวงปู่ เออ
คุณมนัส จะมีสมโภชองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้....... ตั้งแต่ 8.30 น.....
หลวงปู่ ที่จริงแล้ว ใครที่มีแม่ มีผู้เฒ่าแก่ๆ อยู่ที่บ้าน อยากให้พามาร่วมงานเพราะว่า จะมี
เทศน์พระปริตรครั้งสุดท้าย แล้วหลวงปู่จะไม่ทำแล้ว เทศน์ครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งที่แล้วๆ
มา อีกทั้งใครมีข้าวของอะไรที่จะเข้าพิธีปลุกเสก อัดพลัง หรือว่าสืบชะตา เสริมมงคล
อย่าพูดคำว่าสะเดาะเคราะห์ เพราะคนทุกคนมีเคราะห์ทั้งนั้น อยู่ในยุคนี้ ทุกคนมีเคราะห์
ทั้งนั้น กูก็มีเคราะห์ จะเคราะห์หนัก เคราะห์เบาก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะทำตัว ทำตัวให้ฉลาด
หรือว่าให้โง่
ถ้าโง่มาก ก็โดนเคราะห์มาก ถ้าฉลาดมาก ก็เคราะห์น้อย หรือว่า ไม่มีเคราะห์เลย มันขึ้น
อยู่กับโง่หรือฉลาด
งั้น ก็อยากจะบอกว่า ว่างๆ ก็พาแม่มาร่วมกิจกรรมตั้งแต่เช้า มาบังสุกุล สืบชะตา เสริม
มงคลชีวิต แล้วก็มาฟังเทศน์พระปริตร แล้วก็หลวงปู่จะทำพิธีปะสะโลหิตพระนามสกุลด้วย
ถ้าไหวนะ ทั้งเทศน์ด้วย แล้วก็ดูดเลือดออกด้วย มันจะไหวหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่จะ
พยายามทำให้ไหว เพราะเคี่ยวไว้แล้ว แล้วช่วงวันไหนที่จะมีบวงสรวงเจ้าพ่อกวนอู 11
เหรอ
หลวงปู่ไม่มั่นใจว่า อ้ายสิ่งที่สอนๆ ไป มันจะเป็นที่พึ่งของลูกหลานได้ไม๊ แต่วางใจได้อย่าง
หนึ่ง คือ รู้ว่า พวกเรารู้จักวางในเวลาที่ควรวาง รู้จักยึดในเวลาที่ควรยึด แล้วเมื่อถึงคราวจะ
ปล่อย หลวงปู่เชื่อมั่นว่า พวกเราปล่อยเป็น
เรื่องนี้ ไม่ใช่เพิ่งสังเกต คือ เฝ้าสังเกตมานาน ทำให้รู้ว่า ลูกหลานครอบครัวชาวธรรมะอิสระ
จะไม่โง่มากจนกระทั่งไปฆ่าคนอื่น หรือ ฆ่าตัวตาย จะไม่ฉลาดจนกลายเป็นผยอง ยะโส
อวดดี แล้วก็เอาเปรียบคนอื่น แต่จะรู้จักวางตัวให้เป็นกลาง แล้วก็อยู่กับโลกและสังคมได้
อย่างผ่อนคลาย เรียกว่า เอาตัวรอด มีความรู้ที่จะเอาตัวรอดได้ ไม่ทุกข์หนักมากถึงขนาด
โดนอัด ถาถมคณานับ แล้ววุ่นวายผูกคอตาย ยังไม่เคยเห็น
งั้น จึงเชื่อว่า พวกเรามีธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ มีธรรมเป็นเกราะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
แล้วเราก็เชื่อมั่นในธรรมที่เรามีอยู่ แล้วปฏิบัติตามธรรมนั้นอย่างจริงจังจนกลายเป็นที่พึ่ง
ของตนได้
ก็ดีใจ ในฐานะของครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ที่อบรมสั่งสอนลูกหลาน ถ้าได้ขนาดนี้
แต่อ้ายความสำเร็จในชีวิต ในจิตวิญญาณที่จะได้บรรลุมรรคผล ได้รุ่งเรืองเจริญในภพนี้
ภพหน้า ได้ ไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญาของแต่ละคน
แต่ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่ หลวงปู่มั่นใจว่า ทั้งหมดคือ วิถีพุทธ วิถีทำ วิถีคิด วิถีชีวิต เป็น
วิถีพุทธที่พระพุทธะท่านสั่งสอนอบรมมา แล้วหลวงปู่ก็มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสืบต่อ เล่าสู่
ให้ฟัง เพื่อจะนำเอาไปใช้ในกาลสืบไป
เจริญธรรม
(สาธุ)
คุณมนัส .......เทปนี้จะไปออกอากศ ช่อง TNN 2 วันเสาร์ตั้งแต่เวลา 9
นาฬิกา และรายการวิถีธรรม วิถีไทย ที่ช่อง 5 ทุกวันศุกร์ตอนตี5.............
ขอทุกท่านเปล่งสาธุการเป็นการกราบนมัสการท่านหลวงปู่ที่ได้เมตตาแสดงธรรมในวันนี้ครับ
(สาธุ)
เจริญธรรม
ไปพัก ลูก แล้วเตรียมตัวปฏิบัติธรรม