28 เม ย 2555 กลางคืน วัดอ้อน้อย ถอดซีดี ปัจฉิมโอวาท พระเณรบวชภาคฤดูร้อนโดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• สอบไม่ผ่าน ก็เพราะว่า เรายังไม่ดี ยังไม่คงทน คือ ทำดีได้ยังไม่ต่อเนื่อง
ยาวนาน สังเกตุดู เราไม่ทนที่จะทำดี แต่เวลาทำไม่ดี เราทนที่จะทำ
• งานที่เราสั่งสม อบรมจิตสาธารณะให้เกิดขึ้น ไม่ใช่งานที่ใครทำก็ได้ แต่
ถ้าทำได้ มันก็จะเหมือนกับผู้ที่สร้างความสุขกับการได้ทำ
• ถ้าทุกคนคิดเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม เราจะไม่ต้องทนทำ แต่เราจะ
ตั้งใจทำ
• ในฐานะความเป็นครู หลวงปู่พยายามทั้งชีวิต ชั่วชีวิต ทำดีให้เค้าดู เป็นครู
ให้เค้าเห็น
• อยากเป็น แต่แค่อยาก แต่พอลงมือทำแล้วทนไม่ได้ เรียกว่า ทำดีไม่ทน
• อย่างที่หลวงปู่เริ่มต้นไว้แต่เบื้องต้น เราทำดีไม่ทน เพราะจิตใจไม่รักที่จะทำ
• ทำไมกูไม่ป่วย เพราะใจมันรักที่จะทำ ใจมันรักที่จะให้
• ป่วย ไม่ใช่ไม่ป่วย แต่พอเห็นงานแล้ว มันหายป่วย
• ว่า คนนี่ ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อว่าเป็นคน แต่มันดีเพราะต้องฝึก ต้องศึกษา
ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาเป็นคน
• ทำถี่ๆ แล้วต้องทำด้วยใจรัก
ทำดีจนกระทั่ง เรามีความรู้สึกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับความดี
• อยากบอกลูกหลานว่า อะไรที่เรียนรู้ไปแล้ว มันเป็นชีวิต สิ่งที่หลวงปู่สอน
มันเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วมันก็สามารถเอามาใช้กับชีวิตได้ มันไม่ใช่บทท่องจำ ไม่ได้อยู่ในตำรา
มันจึงเป็นโรงเรียนแห่งลูกผู้ชาย โรงเรียนแห่งนักสู้ ที่จะสอนให้เราแกร่ง แข็งแรง แล้วกล้า
ที่จะเผชิญต่อทุกสถานการณ์ อย่างองอาจ งดงาม แล้วก็ยั่งยืน
• ลูกรัก จงอย่าอวดดี แต่จงมีดีให้เค้าดู
อย่าอวดที่จะดี แต่จงมีดี ทำดีให้เขาดู
มีดีและทำดีให้เขาดู
ขอแสดงความยินดีกับบรรดาพระภิกษุสงฆ์องค์สามเณรที่ภาระกรรมหน้าที่ของการได้เข้า
มาอบรมบ่มเพาะนิสัย เรียนรู้วิถีคิด วิธีทำ วิถีชีวิต ในวิถีพุทธ
จะบอกว่ายินดีทั้งหมด ทั้งที่ทุกคนมาร่วมรับวุฒิบัตร ก็คงจะไม่ได้มากนัก
ถามว่า เพราะอะไร
ก็เพราะว่า ถ้าว่าด้วยหัวใจของความเป็นครูจริงๆ แต่ละคนที่นั่งอยู่นี่ สอบไม่ผ่าน แต่ด้วย
เงื่อนไขของเวลา เงื่อนไขของสถานการณ์ แล้วก็เงื่อนไขของบุคคล มันก็เลยทำให้ต้องจบ
การอบรม
ถามว่า ทำไมสอบไม่ผ่าน ก็เพราะว่า เรายังไม่ดีคงทน คือทำดีได้ยังไม่ต่อเนื่องยาวนาน สัง
เกตุดู เราไม่ทนที่จะทำดี แต่เวลาทำไม่ดี เราทนที่จะทำ
หลวงปู่ลองสังเกตดู เวลาเราไปช่วยหลวงปู่ขนมันขึ้นรถ เก็บมัน หลายคนก็พยายามทนที่
จะทำ แต่ในขณะที่คนก็เกิดสภาวะอารมณ์หลากหลายเข้ามาบีบคั้น หลายคนก็ไม่พยายาม
ที่จะทน แล้วก็ไม่พยายามที่จะทำ แล้วก็หลายคนนอกจากไม่ทน ไมทำแล้ว ก็ยังทำตัวเป็น
ตัวถ่วงของคนอื่น เป็นตัวปัญหาของคนอื่น
มันทำให้เห็นถึงสภาวะธรรมของสังคมในอนาคตว่า คนมันจะเริ่มมีจิตใจที่คับแคบมากขึ้น
ทำดีได้น้อยลงเยอะขึ้น หรือน้อยมากขึ้น ทำแต่เรื่องส่วนตัว ทำแต่เรื่องเห็นแก่ตัว ทำแต่
เรื่องประโยชน์ส่วนตน ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม แล้วก็เป็นส่วนตนที่คับแคบ คือ เอาแค่
ปากท้องตัวเองรอด แล้วสังคมไม่รอด สิ่งแวดล้อมไม่รอด เพื่อนอยู่ร่วมรอบกายไม่รอด
ครอบครัวไม่รอด แค่เอาตัวรอดเฉยๆ
ถามว่า รอดยั่งยืน รอดถาวรไม๊
ก็ไม่ได้ยั่งยืน ไม่ได้ถาวร รอดไปวันๆ ใช้คำว่า รอดไปวันๆ
รวมๆ สรุป ก็คือ หลวงปู่อยากบอกอะไร
อยากบอกว่า ถ้าหลวงปู่เป็นคนที่จะต้องให้คะแนนพวกเรา ก็ไม่ได้สอบผ่าน สอบไม่ผ่าน
ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก งานใหญ่ งานมาก งานน้อย งานที่ทำให้กับโลกและสังคม งานที่ทำให้
กับส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม งานที่ทำให้แก่สาธารณะประโยชน์ งานที่เราสั่งสม อบรมจิต
สาธารณะให้เกิดขึ้น มันเป็นงานที่ไม่ใช่ใครทำก็ได้ แต่ถ้าทำได้ มันก็จะเหมือนกับผู้ที่สร้าง
ความสุขกับงานได้ทำ
แต่ถ้าคนใดที่มันพยายามทำ หรือไม่อยากทำ หรือไม่ก็ปฏิเสธในการทำ ก็จะกลายเป็นอีก
คนที่คนละโลก คนละประเภท แล้วจะมองคนที่ทำว่า เป็นคนโง่ ไม่รู้จักหาประโยชน์สุข
ความสุขใส่ตัว แล้วคนพวกนี้ก็จะกลายเป็นคนที่มีจำนวนมากในสังคม เป็นคนที่มีจำนวนมาก
มีปริมาณมาก มีคนที่เหลืออยู่จำนวนน้อยที่เหลืออยู่ที่ทำประโยชน์ส่วนรวมให้โลก ให้สังคม
ก็กลายเป็นคนที่ต้องแบกภาระ แบกโลก แบกงาน แบกเรื่องราวที่มันเป็นประโยชน์สุขต่อ
ส่วนรวม ต่อสังคม
แต่ถ้าทุกคน 60 กว่าล้าน ช่วยกันแบกคนละนิดคนละหน่อย มันจะเบาลง มันจะเบาแล้ว
มันจะทำให้งานยากกลายเป็นงานง่าย งานใหญ่กลายเป็นงานเล็กงานยาวกลายเป็นงานสั้น
งานไม่ดีก็กลายเป็นงานดีไปได้
แต่ถามว่า ณ. วันนี้ สังคมเป็นอย่างนี้ไม๊ สังคมไม่ได้เป็นอย่างนี้
สังคมไม่ได้เป็นอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมรอบกาย มันจึงได้ทุรนทุราย มันจึงทำร้ายทำลาย
ทุกวันนี้ ร้อนไม๊
ทุกคนก็ต้องบอกว่า ร้อน ร้อนตับแทบแตก อกแทบแตก หัวแทบระเบิด อะไรก็แล้วแต่
ร้อนแบบทุรนทุราย เหมือนกับอยู่ในเตาไฟ
ทั้งหมดนี้มันมาจากน้ำมือใคร ก็น้ำมือมนุษย์ มนุษย์ที่เห็นแก่ตัว มนุษย์ที่เอาเปรียบ มนุษย์
ที่จิตใจคับแคบ มนุษย์ที่แสวงหาแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม
แล้วถ้าเรายังเป็นกันอย่างนี้อยู่ ความร้อนของโลกมันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จาก 40 องศา
ก็กลายเป็น 45 จาก 45 ก็กลายเป็น 50 สุดท้าย เราสุก เราสุกแล้วเราก็จะอยู่ไม่ได้
แล้วเราก็จะกลายเป็นเหมือนกับไดโนเสาที่สูญพันธุ์ เพราะว่าโลกมันโดนพระอาทิตย์แผด
เผาจนมอดไหม้ เป็นจุล เป็นมหาจุล ความร้อนมันเกิดขึ้นมโหฬารจนสัตว์ยากที่จะอยู่ได้ ยก
เว้นพวกจุลทรีย์ที่อยู่ใต้ๆ ดิน มันเอาตัวรอดได้
เพราะงั้น ถ้าทุกคนคิดเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมเนี่ย เราจะไม่ต้องทนทำ แต่เราจะตั้งใจทำ
แต่ถ้าทุกคนคิดเพื่อประโยชน์สุขส่วนตน ทำเรื่อง แม้กระทั่งกวาดพื้น ก็ต้องทนทำ ทำเรื่อง
แม้กระทั่งตักน้ำใส่ cooler ก็ลำบาก ก็ทุข์ยาก ต้องทน แต่ถ้าคิดเพื่อประโยชน์ส่วน
รวม เอาภูเขาออกจากทาง ก็ง่ายมาก ไม่ต้องทน ไม่ลำบาก ทำง่าย ถากหญ้า ฟันดิน รดน้ำ
ต้นไม้ ทำประโยชน์ให้แก่โลก ให้แก่สังคม ทำได้สบาย ทำได้สนุก ทำได้บันเทิงเริงใจ
ถามว่า ทำไมหลวงปู่ทำได้ต่อเนื่อง
พระใหม่เค้าไปคุยกัน หลวงปู่เนี่ยลุย ขาลุย ลุยไม่หยุด ก็เพราะว่า หลวงปู่ไม่ต้องทนทำ
แต่ทำด้วยใจรักที่จะทำ ทำโดยสำนึกความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ต่อโลก ต่อสังคม
เมื่อวาน หลวงปู่เอาปัจจัยไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ร่วมสมทบ ทุนมูลนิธิ
อุทกพัฒน์ เพื่อจะช่วยบริหารจัดการน้ำให้มีระบบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแผ่นดิน แล้ว
ป้องกันภัยพิบัติอันจะพึงเกิดขึ้น
ไหน ลองยกมือขึ้นซิว่า ปีที่ผ่านมา บ้านใครที่กระทบต่อน้ำท่วมบ้าง
โอ๊ เยอะมาก มี ไม่ใช่ไม่มี แล้วทรมานไม๊
(ทรมานครับ)
เออ งั้น มันก็เป็นความทุกข์เดือดร้อน หลวงปู่น้ำไม่ท่วม แต่ก็ทำ เพราะทำกับข้าววันหนึ่งตั้ง
6,000 กล่อง ต้องตื่นตั้งแต่ตี 1 กว่า ลุกขึ้นมาทำกับข้าว นอน 4 ทุ่มกว่า ทำวันหนึ่ง
3 อย่าง 5 อย่าง 4 อย่างแล้วแต่ ทั้งพระทั้งฆราวาสเค้าก็มาช่วยกัน หมดสตางค์ไป
ประมาณ 20 กว่าล้าน 24 ล้านบาทกับการที่ทำกับข้าวส่งทุกวัน เป็นระยะเวลาร่วม 3
เดือน ตั้งแต่เริ่มน้ำท่วมที่ภาคเหนือ ส่งโรงครัวไปอยู่ที่พิจิตร อยู่ที่นครสวรรค์ ลงมาอยู่ที่
อยุธยา ลพบุรี แล้วสุดท้ายก็มาตั้งมั่นอยู่ที่วัด แล้วก็ทำส่งรอบบริเวณปริมณฑล กรุงเทพ
มหานคร กรุงธนบุรี แล้วก็นครนายก
งั้น งานอย่างนี้ ถ้ามีใจรัก มันทำสนุก มันไม่ต้องคำว่า ทน แต่ถ้าใจไม่รัก วันเดียวก็อยู่ไม่ได้
นิดหน่อยแค่ล้างชามก็อยู่ไม่ได้แล้ว จะล้างชามให้คนอื่นกินยังทำไม่ได้เลย เพราะใจไม่รัก
อ้ายคนที่ใจไม่รักประโยชน์ส่วนรวม คือพูดง่ายๆ อยู่ ไม่ได้พึ่งตัวเอง แล้วไม่เป็นที่พึ่งของ
คนอื่น คอยจ้องแต่จะพึ่งคนอื่นตลอดเวลา แค่ที่ซุกหัวนอนยังซกมกเลย ยังอยู่ไม่ได้ ยังทำ
ความสะอาดไม่ได้ เพราะว่าใจมันไม่รักที่จะทำไง มันก็จะทำทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์แค่
ปากแค่ท้องตน ถ้าอะไรที่ไม่ใช่ปากไม่ใช่ท้อง ก็ไม่ทำ เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อตน
งั้น จิตใจของคนคับแคบอย่างนี้ ในฐานะความเป็นครู ถามหลวงปู่ว่า ผ่านไม๊ ไม่ผ่าน ไม่
ผ่านแล้วแถมยังน่ารังเกียจ ต้องหาวิธีบริหารจัดการให้เป็นคนที่ใจกว้าง มองประโยชน์กว้างๆ
เห็นประโยชน์กว้างๆ ให้ประโยชน์มุมกว้าง แล้วพ่อแม่พี่น้องผู้ปกครองทั้งหลาย ถ้าสอนลูก
ให้เป็นคนใจกว้างอย่างนี้ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายที่มีลูกหลานแบบนี้ จะเป็นคนเย็นกายเย็นใจ
อากาศร้อนอย่างไร ก็ยังเย็นภายในจิตใจ เพราะลูกหลานเราทำประโยชน์
แล้วเวลาทำประโยชน์ ก็ไม่ต้องทนทำ ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากทำ เพราะว่าเค้าจะมีความสุข
ที่จะทำ แต่อ้ายคนที่ไม่คิดจะทำประโยชน์แล้วคับแคบ ตระหนี่ เอาเปรียบ งานง่ายๆ แค่
กวาดพื้นก็ลำบากแล้ว แค่กวาดที่นอนของตัวเองให้สะอาด ทำหญ้าไม่ให้รกรุงรัง กินข้าว
แล้วเก็บเป็นที่เป็นทาง ฉันข้าวแล้วดูแลความสะอาด ยังลำบากแล้ว
แล้วเรื่องนี้ มีต้นแบบตัวอย่าง ในวัดนี้ ก็มี แล้วหลวงปู่ก็เฝ้าดูด้วยความสมเพช เวทนาว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่ง ก็ได้แค่นี้ วิวัฒนาการของความเป็นมนุษย์ก็ได้แค่ยี่ห้อ ไม่ได้
คุณลักษณะ ได้แค่ยี่ห้อของคำว่ามนุษย์ติดไปเฉยๆ แต่คุณลักษณะของมนุษย์ยังไม่มี ยังไม่
เกิดขึ้น
งั้น ในฐานะความเป็นครู หลวงปู่พยายามทั้งชีวิต ชั่วชีวิต ทำดีให้เค้าดู เป็นครูให้เค้าเห็น
ถามว่า ดูไม๊ เห็นไม๊
ดู เห็น แต่ทำไม๊
ไม่ทำ เพราะทำไม่เป็นหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ไม่ลงมือทำ
งั้น จึงอยากจะบอกว่า หลวงปู่ควรยินดีด้วยหรือไม่ ก็ไม่รู้
แต่ว่า อยากจะบอกว่า ทนถึงวันนี้ ก็ถือว่า น่ายินดีพอสมควร แม้ว่าพยายามผ่านด่านต่างๆ
ผ่านกระบวนการอบรม ซักฟอก สั่งสอน ชี้นำ หลากหลาย แต่ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่
เพื่อจะดึงเอาศักยภาพความรู้ความสามารถที่มีอยู่ภายในสันดานตน ในแรงขับเคลื่อนใน
กายของตน ออกมาให้เป็นประโยชน์ แล้วคิดวิธีที่จะแปลงสภาพต้นทุนภายในของตนให้
กลายเป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวมให้ได้
มีคนเค้าถามหลวงปู่ว่า ทำไมต้องเอาสตางค์ไปถวายในหลวง ด้วยเหตุผลอะไร เพราะ
ในหลวงท่านก็มีมากแล้ว แล้วหลวงปู่ก็ยังต้องลำบากหาเงิน ทำงาน ทำภาระกรรมอะไร
เยอะแยะมากมาย
ก่อนจะมานี่ ก็เพิ่งจะเลิกจากตัดแต่งต้นไม้ ไม่อยู่เสียหลายวันกลับมา ต้นไม้ตายไปหลายต้น
เพราะมันเป็นงานของผู้ที่มีใจรักที่จะให้ถึงจะทำได้ งั้น คนที่จิตใจคับแคบ ทำไม่ได้ ก็ต้อง
ปล่อยให้ต้นไม้มันตายไป
งั้น ก็เลยบอกกับเค้าว่า หลวงปู่บอกกับพวกเค้าที่ถามหลวงปู่ว่า เอาตังค์ไปถวายในหลวง
ทำไม
หลวงปู่บอกว่า อยากได้บุญ อยากสอนให้ลูกหลานได้เห็นว่า อย่าเอาแต่ประโยชน์ตนเป็น
ใหญ่ จนไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวม
น้ำท่วมนี่ มันประโยชน์ส่วนรวมไม๊
(เป็นครับ)
เออ แล้วมันก็เป็นโทษให้เห็นๆในรอบปีที่ผ่านมา ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ว่า ไม่ให้ ไม่จ่าย ไม่
ถวาย ไม่ช่วย ในหลวงท่านทำต้นแบบให้เห็นแล้ว เราเป็นลูกหลานท่าน เราบอกว่า เรารัก
ท่านเหลือเกิน แต่ไม่คิดจะให้ ไม่คิดจะช่วยสนับสนุน
ก็เหมือนกับพระในวัดนี้ หลวงปู่ลองมานั่งตรง นั่งนึก เหมือนกันเลย หลวงปู่ไม่ได้เอาตัวเอง
ไปเทียบกับในหลวง คือ ในหลวงท่านทำงานมาก ทำงานหนักมาก 60 กว่าปีนี่ ท่านทำอยู่
ตลอด แม้ทุกวันนี้ ท่านก็ยังทรงงานอยู่ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อส่วนรวม
(เพื่อส่วนรวมครับ)
แล้วเราว่า หลวงปู่ทำงานหนักไม๊
(หนักครับ)
หนักหรือไม่ ก็ไม่รู้ล่ะ แต่บางวัน อย่างเมื่อวานนี้ ไม่ได้ฉันข้าว หนักหรือเปล่า ก็ไม่รู้ แล้ว
ทำเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ส่วนรวม
(ส่วนรวมครับ)
คนเห็นไม๊
(ไม่เห็นครับ)
อ้ายคนที่อยู่ในวัดนี้ เห็นไม๊
(ไม่เห็นครับ)
เพราะงั้น ถ้าคนไทยทุกคนคิดแบบไม่เห็นเนี่ย ในหลวงจะลำบากไม๊
(ลำบากครับ)
เหมือนกัน พระ เณร เถร ชี คน สัตว์ หมู หมา กา ไก่ เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา ที่อาศัยใน
วัดนี้ ถ้าทำตัวเป็นผู้ไม่เห็น หลวงปู่จะลำบากไม๊
(ลำบากครับ)
เออ ลำบากไม่ลำบาก ก็ไม่รู้ล่ะ อ้ายน้ำข้างศาลา หลวงปู่กลับมาจากทองผาภูมิ มันแห้ง ยัง
ต้องบอกให้ดูดน้ำเข้า เพราะรู้ว่า พอน้ำมันแห้งปุ๊บ อุณหภูมิในน้ำมันจะร้อน แล้วปลาที่มัน
อยู่ในน้ำ มันจะทรมาน ทุรนทุราย
เพราะคนไม่เห็นไง ไม่เห็นความลำบากของสัตว์ หลวงปู่ยังต้องบอก พระองค์ไหนให้ไป
บอกให้ดูดน้ำเข้า ยกมือซิ พระใหม่ เออ ใช่ไม๊
(ครับ)
เออ ไม่ได้เป็นที่พึ่งของมนุษย์อย่างเดียว แม้แต่เดรัจฉานที่อยู่ในน้ำ ก็ต้องเป็นที่พึ่งของเรา
เพราะอะไร ก็เพราะว่า หลวงปู่ออกไปหลังวัด เอาเท้าไปแตะน้ำ น้ำร้อนจี๋เลย น้ำที่อยู่ในบ่อ
ร้อนจี๋ แล้วน้ำที่นี่ นอกศาลานี่ รอบๆ มันมีปูนทั้งนั้น ปูนเป็นคัน เป็นเขื่อน มันยิ่งร้อน
มากกว่าอ้ายบ่อดินด้วยซ้ำ แล้วปลาก็ทุรนทุราย ทรมาน เหมือนกับอยู่ในน้ำต้ม เราก็สงสาร
ก็ต้องให้พระไปบอกสมภารว่า ช่วยดูดน้ำเข้าตรงนี้ที อย่างนี้เป็นต้น
งั้น อย่างนี้ เห็นไม๊ ไม่เห็น มันไม่เห็นหรอกว่า ความลำบากคนอื่นเป็นอย่างไร
งั้น จะไปถามว่า ขนาดอยู่ใกล้ที่สุด ยังไม่เห็น แล้วหลวงปู่ทำตรงนู้น ทำตรงนี้ ทำตรงนั้น ทำ
รอบๆ ตัวไปหมด ยิ่งไม่เห็นใหญ่ พอไม่เห็น ก็เหมือนกับที่ในหลวงท่านต้องแบก แบก
แผ่นดินไว้ทั้งแผ่นดิน ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือว่า น้ำมันท่วม จะหาวิธีแก้ไขอย่างไร ก็แก้
ไปตามสถานการณ์ของบ้านเมืองที่รัฐบาลพยายามช่วยแก้ แต่แก้ไปแล้ว ก็ไปจ้างคนทำ
เขื่อน
ก็ลูกศิษย์เป็นผู้ไปรับเหมา ทำคันทำนบกั้นน้ำ ทำทำนบดินกั้นน้ำ
เออ 30 นะ ก็ต้องหัก % ไป 30 % คือ ร้อยหนึ่งต้องหัก 30 บาท
จะเหลือไม๊
เหลือเหมือนกัน เหลือน้อย จากทำนบหนา 3 เมตร ก็กลายเป็นเหลือ 2 เมตร อย่างนี้
เป็นต้น เพราะว่า มันโดนหักไปร้อยละ 30 บาท หลวงปู่มีลูกศิษย์ที่ไปรับเหมา รับประมูล
งั้น ในหลวงท่านเห็นว่า มันไม่ได้ มันแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านก็เลยต้องลงทุนลงแรงตั้งมูลนิธิ
อุทกพัฒน์ เพื่อใคร
(ส่วนรวมครับ)
เออ หลวงปู่ก็ไม่ได้เดือดร้อนนะ วัดหลวงปู่น้ำมันไม่ท่วมนี่ ไม่เดือดร้อน แต่อยู่ไม่ได้ มัน
ทุรนทุราย เหมือนๆ กับเนี่ย เดี๋ยวจะเปิดเทอม ตอนนี้ ค่าไฟก็ขึ้น น้ำมันก็ขึ้น ของทุกอย่าง
ขึ้นหมด แม้จะบอกว่า ค่าแรงขึ้นมาแล้ว 300 บาท แต่ค่าครองชีพมันขยับขึ้นไปแล้วถึง
4-500 บาท
หลวงปู่คุยกับอ้ายคนที่รับจ้างอยู่ในโรงงานใกล้ๆ เค้าบอก เมื่อก่อนนี้ ค่าแรงวันละ 200
กว่าบาท โรงงานมีให้กินข้าว 1 มื้อ น้ำดื่มให้ฟรี แล้วก็เย็นๆ ก็มีรถรับส่ง ทุกวันก็มีโอที
ตอนนี้ 300 บาท ข้าวไม่มีให้กิน น้ำไม่มีให้ดื่ม รถไม่มีรับส่ง โอทีไม่มี อยู่ได้ไม๊
(ไม่ได้ครับ)
ก็ได้มาเพิ่มขึ้นไปร้อยหนึ่ง แต่ทุกอย่างต้องจ่ายเองหมด เหมือนกับว่า มันไม่ได้ แล้วหลวง
ปู่พอฟังเข้า เราก็เลยทุรนทุรายอีกว่า เออ แล้วเค้ามีลูกมีเมีย มีครอบครัว เค้าจะอยู่อย่างไร
ถามว่า บ้านมึงทำงานกี่คน
ทำ 2 คน ผัวเมีย
ทำ 2 คนผัวเมีย มึงแรงงานผู้หญิงก็ได้ไม่เท่าแรงงานผู้ชาย แล้ววันหนึ่งก็อย่างน้อยได้ 4
-500 แล้วรายจ่าย
หลวงปู่ ลูก 3 คน แค่ให้มันไปโรงเรียนวันหนึ่งคนหนึ่งกินข้าวทั้งวัน 50 บาทก็ไม่ไหว
แล้ว แล้วยังต้องมีหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต้องจ่ายทุกวันด้วย
เราก็เลย เออ เค้าทรมาน เราจะทำยังไงช่วยปลดเปลื้องความทรมาน ก็เลยเป็นที่มาของทำ
ร้านค้า ขายสินค้าราคาครึ่งหนึ่ง
ครึ่งหนึ่งอย่างไร
ก็ซื้อข้าวสารเค้าข้างนอก 5 โล 200 มาซื้อในวัดนี่ได้ ร้อยหนึ่ง ซื้อหมูข้างนอกโลละ
130 ก็มาซื้อในวัดนี่ ก็ 70 บาท ซื้อไข่ ซื้อไก่ ซื้อน้ำปลา ซื้อน้ำมันพืช ซื้อสบู่ ซื้อยาสี
ฟัน ปกติซื้อยาสีฟันหอมจัง ขายหลอดละ 50-60 ก็ขาย 20-25
เพื่ออะไร
เพื่อช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์ของชาวบ้าน
ถามว่า คนในแผ่นดินนี้เห็นไม๊
เห็น
คนรวย มีไม๊
มี
คนแข็งแรง มีไม๊
มี แต่มันไม่คิดจะทำ
งั้น ในหลวงจึงมีองค์เดียว พระผู้ประเสริฐจึงมีองค์เดียว
แล้วถามว่า คนอยากจะเป็นเหมือนดั่งพระผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีบารมีธรรมมากมายเหมือน
ในหลวง
อยากเป็น แต่แค่อยาก แต่พอลงมือทำแล้วทนไม่ได้ เรียกว่า ทำดีไม่ทน
อย่างที่หลวงปู่เริ่มต้นไว้แต่เบื้องต้น เราทำดีไม่ทน เพราะจิตใจไม่รักที่จะทำ บางคนทำแว๊บๆ
หลบไปแล้ว
เมื่อวาน หลวงพี่บ๊าด เค้าไปหา
ถาม อ้าว ท่านหายไปไหนมา เมื่อวานไม่ได้ไปสวดมนต์ถวายพระพร
ป่วยครับ
อ้าว ไปกับใคร
เออ ไม่ได้ไปกับพระอ้วน เพราะป่วยครับ
ตอนอยู่ทองผาภูมิ หลวงปู่ออกแดดทุกวันไม๊
(ออกครับ)
เวลาเราไปขุดมัน หลวงปู่ไปขุดด้วยไม๊
(ขุดครับ)
แล้วไปทุกวันไม๊
(ทุกวันครับ)
แล้วไปมากวันกว่าพวกเราไม๊
(มากครับ)
แล้วหลวงปู่สอนกรรมฐานพวกเราด้วยไม๊
(สอนครับ)
เออ แล้วทำไมกูไม่ป่วย ทั้งที่กูก็แก่กว่าพวกนี้ทั้งนั้น
ทำไมกูไม่ป่วย เพราะใจไง ใจมันรักที่จะทำ ใจมันรักที่จะให้
ถามว่า ป่วยไม๊
ลองถามพวกเณรอุปฐากดู พอตกเย็น หลวงปู่ก็เรียกฉันยา เณรอุปฐาก เค้าต้องเตรียมยา
เตรียมน้ำ ป่วย ไม่ใช่ไม่ป่วย แต่พอเห็นงานแล้ว มันหายป่วย เพราะถ้าเราขืนป่วยเข้าไปอีก
งานจะเสร็จไม๊
(ไม่เสร็จครับ)
ไม่เสร็จ งานไม่เสร็จ แล้วคนพันธุ์นี้มีเยอะไม๊
(เยอะครับ)
อยู่ไหนวะ มันอยู่ไหน คนพันธุ์นี้
ลองชี้ให้ดูหน่อยซิ ลูก มันอยู่ไหน
อ้ายคนพันธุ์ที่เห็นงานแล้วใจรักเนี่ย มันอยู่ไหนวะ
เออ ไหน ลองชี้ซิ
ไม่ต้องมาชี้กู
งั้น อ้ายคนพันธุ์เห็นงานแล้วเบื่อ แล้วเซ็ง แล้วหน่าย แล้วทุกข์ยาก แล้วลำบาก แล้วทนไม่ได้
ทรมานเหลือเกิน คนพวกนี้หาความเจริญไม่ได้ ถ้าจะเป็นมนุษย์ ก็ต้องถือว่า มนุษย์ชั้น
กาฝาก
แล้วมนุษย์กาฝาก มีนั่งอยู่ในนี้ไม๊
(มีครับ)
หลวงปู่เคยบอกใช่ไม๊ ตอนไปอยู่ทองผาภูมิ มีมนุษย์ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์กาฝาก กับพันธุ์
อะไร
(มะละกอ)
เออ พันธุ์มะละกอ
มนุษย์กาฝากเป็นยังไง มันคอยเกาะต้นโพธิ์ ต้นไม้ใหญ่ ดูดน้ำเลี้ยงจนต้นตาย แล้วมันก็โต
แล้วมันก็ตายตามไป มันได้ประโยชน์แค่นั้นแหละ มนุษย์กาฝาก
วัดนี้ มีไม๊
(มีครับ)
แล้วที่นั่งอยู่ข้างหน้านี่ มีไม๊
(มีครับ)
เพื่อนๆ เรา มีไม๊
(มีครับ)
อ้ายปลื้ม มีไม๊ อ้ายปลื้ม ใช่ไม๊
อ้ายปลื้มนี่จะเป็นภาคกาฝากนะ แต่เผอิญมันไม่ทนทำดี ไม่รู้พ่อแม่มันตั้งชื่อมันผิดหรือเปล่า
จะเรียกอ้ายกลุ้มหรือเปล่า แล้วมันมาแปลงชื่อใหม่ว่า เป็นอ้ายปลื้ม คือมีมันแล้วกลุ้ม มีมัน
แล้วกลุ้มใจเหลือเกิน แต่ดันมาเปลี่ยนชื่อเป็นอ้ายปลื้ม
แต่รวมๆ สรุปก็คือ มนุษย์กาฝากนี่ เมื่อไหร่มันจะสูญพันธุ์ไปเสียที เมื่อไหร่มันจะหมดไป
จากแผ่นดินนี้เสียที ในหลวงจะได้ไม่ต้องทำงานมาก หลวงปู่ไม่ได้หมายเพียงแค่อยู่ในวัด
อ้อน้อย อยากหมายไปทั่วแผ่นดินเลยว่า เมื่อไหร่มนุษย์กาฝากมันจะหมดไปเสียที
แล้วมันจะหมดไปได้ ก็ด้วยพยายามพัฒนาพวกเราเนี่ยให้เป็นมนุษย์แก่น ไม่ใช่มนุษย์
กาฝาก ไม่ใช่มะละกอ
แล้วถามว่า ณ.วันนี้ เราแก่น และแกร่ง แข็งแรงโดยไม่ต้องทนทำดี แต่ทำดีอย่างยั่งยืน
ยาวนาน ทำดีถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ ทำที
หลวงปู่ก็เลยบอกเมื่อครู่นี้ไงว่า ถ้าในหัวใจของความเป็นครู เราไม่ผ่าน เราไม่ควรแม้จะได้
รับวุฒิบัตร เพราะเราไม่ได้ทนทำดี เรายังหนีไม่พ้นมนุษย์อะไร
(มะละกอ)
มนุษย์มะละกอ มนุษย์มะละกอ คือ มนุษย์อะไร
(ไส้กลวง)
เออ มนุษย์ไม่มีแก่น ไม่มีสาระ
คุย เวลามันคุย อุ๊ย มีแฟน 6 คน เออ มีอะไรคู่นะ คู่ลงทุน คู่ธุรกิจ เออ ทำธุรกิจ
ธุรกิจอะไร
ขายเพชร
เพชรอะไร
เพ็ดดีกรี
แล้วอ้ายแฟน 6 คนที่มันเลี้ยงไว้ที่บ้านน่ะ 6 ตัว หมา
ขายเพ็ดดีกรีให้หมากิน
เออ มีคู่ จับคู่ธุรกิจ
งั้น อยากบอกลูกหลานว่า เรายังเด็กๆ เล็กนัก เรายังอายุน้อย เรายังมีโอกาสที่จะฝึกได้ สมัย
หลวงปู่เด็กๆ ไปถามย่าได้ เรียนอยู่แค่ ป. 3 ป. 4 เท่านั้น
เอ้า ป. 3 ยกมือซิ ลูก
ข้างหน้า
ป. 4
เออ ขนาดนี้ โตไม่มาก โตกว่านี้นิดหน่อย เอามือลง
กูไปรับจ้างเค้ายกปูนนะ หิ้วปูนขึ้นชั้น 2 วันเสาร์อาทิตย์ เค้าหยุดงาน ก็ไปรับจ้างเค้ากรอก
เกลือ ไปเรียนหนังสือ เย็นๆ กลับมา ต้องมาพับถุง
เพื่ออะไร
เพื่อจะเอาถุงนี่เช้าไปแลกกับสตางค์ เพราะว่า ย่าไม่ได้ให้สตางค์ แล้วไปถามย่าได้เลยชั่ว
ชีวิตหลวงปู่ ไม่เคยแบมือขอตังค์ ถ้าให้ ก็เอา ถ้าไม่ให้ ก็ไม่ขอ
งั้น ตังค์ต้องหา พับถุงยังไง ก็ไปเดินเก็บจากขยะ เอากระดาษมานั่งคลี่ เอากระดาษโรงงาน
ปูน เค้าทำปูน แล้วเค้าทิ้งถุง เราก็ไปเก็บมา แล้วก็ผ้าชุบน้ำ เช็ดๆ แล้วก็มาพับ สมัยก่อนมัน
ไม่มีถุงพลาสติก พับถุงไปขาย ตกเย็นๆ ดึกๆ มืดๆ กลับจากโรงเรียน ก็พับถุงขาย เช้า ก็เอา
ไปส่งร้าน เค้าก็เอาไว้ใส่ของ เราได้ตังค์ไปโรงเรียน เสาร์อาทิตย์ ก็ไปรับจ้างเค้าหิ้วปูน บาง
วัน ไม่มีข้าวจะกิน เค้าพักกันเที่ยง เราก็แอบไปหลบใต้ถุนตึก พอบ่าย เค้าขึ้นมาจากใต้ถุน
ตึก ทำงาน เราก็หิ้วปูนขึ้นชั้น 3 หมดแรง เป็นลม ล้มฟุบไปกับอ้ายถังปูน
ชาวบ้านเค้ามาช่วยพยุง อ้ายหนูเป็นอะไร
ไม่เป็นไรครับ พอมีสติได้
ทำไมมันเปลี้ย กินข้าวหรือยัง
ไม่เป็นไรครับ แต่ก็ไม่โกหก รีบลุก หิ้วกระป๋องปูนวิ่งขึ้น พอตกเย็น เบิกตังค์เถ้าแก่ ซื้อ
ข้าวสารกลับบ้าน
เพราะกูเกิดมาเพื่อแกร่ง ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กาฝาก
หลวงปู่เกิดมาเพราะแกร่ง เกิดมาเพื่อจะพึ่งตัวเองให้ได้มากๆ ไม่ใช่มานั่งกาฝาก เกาะคนนู้น
เกาะคนนี้ อายุขนาดนี้ เล็กๆ เนี่ย ตามคนข้างบ้านไปรับจ้างกรอกเกลือ โรงงานเกลือเค้าเอา
เกลือมากรอกใส่ถุง ร้อยละสลึง สมัยนั้นร้อยละสลึง ร้อยถุงได้สลึงหนึ่ง กรอกทั้งวัน ยังไม่ได้
2 บาทเลย แต่ก็กรอก นั่งกรอก กรอกจนขานี่เดินไม่ได้ ปวด ทรมานมาก เพราะมันต้อง
นั่งอยู่ทั้งวัน กรอกตั้งแต่ตี 5 ไปยัน6 โมงเย็น แล้วต้องไปเช้า ไปสายเค้าก็แย่งหมด เรา
ก็อด เพราะเมื่อก่อนนี้ มันต้องแย่งกันด้วยนะ
แย่งอะไร
แย่งถุงกรอกเกลือ
งั้น เล่าให้ฟังก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า คนนี่ ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อว่าเป็นคน แต่มันดีเพราะต้อง
ฝึก ต้องศึกษา ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาเป็นคน
เหมือนกับพระนักบวช ก็เหมือนกัน ไม่ใช่พอบวชปุ๊บ แล้วมันได้ดีปั๊บ ไม่ใช่ มันต้องฝึก
หลวงปู่ หลวงพ่อ กว่าจะได้มาเป็นหลวงปู่ หลวงพ่อได้ อยู่ดีๆ มาเป็น ไม่ใช่ ไปโฆษณาให้
ได้เป็น ก็ไม่ใช่ แต่มันต้องมีคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษ คุณประโยชน์ อยู่ดีๆ จะมาเป็น
หลวงปู่ หลวงพ่อ ไม่ได้
งั้น ลูกหลานจะเป็นคนดี ก็ต้องทำอะไร
ต้องทำดี
แล้วทำดี ดีนานไม๊
(นานครับ)
นาน ทำถี่ๆ แล้วต้องทำด้วยใจรัก
ทำดีจนกระทั่ง เรามีความรู้สึกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับความดี
ไม่ใช่นานๆ ทำที แล้วบอก กูดี
แล้วพวกนี้ ชอบคุยมาก ทำอะไรสักอย่าง คุย โอ้โห คุยซะใหญ่โตมโหฬาร อย่างกับมันทำ
ทั้งหมด เหมือนกับตอนประชุมมูลนิธิฯ หลวงปู่ทำงานมาทั้งปี มันเป็นคนจดงาน พอถึงเวลา
รายงานมูลนิธิฯทำนั่น มูนิธิฯทำนี่ หลวงปู่ฉันข้าวอยู่ ก็เลยต้องพูดออกไมค์ มึงแน่ใจหรือว่า
มึงทำ แล้วก็บอกว่า มึงชักเริ่มจะเป็นนักการเมืองเข้าไปทุกทีแล้ว
ถามว่า นักการเมืองเป็นไง
ก็หลวงปู่เอาข้าวสารอาหารแห้งไปแจกปทุมฯ น้ำท่วม แค่นี้น่ะ (อก) น้ำท่วมปทุมฯ แค่นี้
แล้วหลวงปู่นั่งเรือไปนะ เรือก็ต้องให้คนมาดึงซ้ายดึงขวา ไม่งั้น น้ำมันพัดพาไป แรงขนาด
นั้น ในถนนนะ
อ้ายนักการเมืองมันเอาป้ายไปติด อ้ายตรงไหนเป็นที่ดอน เป็นสะพาน มันเอาป้ายไปติด
แล้วก็มีลูกน้องไปกวักมือเรียก
เรียกทำไม
ให้รถ 10 ล้อที่บรรทุกข้าวสารหลวงปู่จอดที่นั่น
ถาม ทำไมต้องจอดตรงนี้
เพราะตรงนี้เป็นที่ดอนที่เดียว
อ้าว ก็ตรงนี้ มันเป็นที่นักการเมืองไม่ใช่เหรอ มีรูปมาติด
ก็ลงไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวนายเค้าจะมาช่วยแจก
อ้าว อย่างนั้น ก็รอให้นายมึงแจกต่อไป กูไม่แจกตรงนี้ เราก็เลยลุยน้ำลงไปอีก บอกให้รถ
เลื่อนไป ไปแจกที่อื่น อย่ามาแจกตรงนี้
ดู มันเอาเปรียบ
ตรงไหนเป็นที่ดอน มันเอารูปมันไปติด แล้วเวลาคนเค้าไปแจกของ ก็ต้องไปแจกในน้ำหรือ
ในที่ดอน
(ที่ดอนครับ)
ในที่ดอน แล้วมันก็สัมอ้างว่า นี่เป็นของมัน
นี่ นักการเมืองเลวๆ เมืองไทย มันมีคนที่เอาเปรียบแบบนี้เยอะมากไง งั้น ฟังไว้ให้เห็นว่า
อ้ายอุปนิสัยเลวๆ อย่างนี้ มันตัวทำลายชาติบ้านเมือง ทำลายแผ่นดิน ทำลายสังคม ทำลาย
สิ่งแวดล้อม แล้วที่สุด มันก็ทำลายตัวเอง และครอบครัว เพราะเอาเปรียบ
ลองถามพ่อแม่ใครก็ได้ว่า ถ้ามีลูกหลานเอาเปรียบ พ่อแม่มีความสุขไม๊
(ไม่..)
เฮ้ย พวกมึงมีความสุขไม๊ ถ้าลูกมึง กิน นอน กิน นอน ไม่ทำห่าอะไรเลย เช้าแดก กลางวัน
นอน เช้าแดก กลางวันนอน พวกมึงมีความสุขไม๊วะ
(ไม่ครับ)
กูไม่ได้ถามมึง กูถามพวกนั้น
มีความสุขไม๊ ไม่ทำอะไรเลย ทำอะไรไม่เป็น เล่นแต่เกมอย่างเดียว เฝ้าแต่หน้าจอ ดูแต่
การ์ตูน วันๆ ไม่ทำห่าอะไร อ้าว ปิดเทอมนี่ พักผ่อน พักมันไปให้เต็มที่เลย ลูก นอนยันนู้น
น่ะ 9 โมงเช้า ตื่นมาเปิดการ์ตูนดู ยัน 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม นอนต่อ กิน นอน กิน นอน ชามก็
ไม่ล้าง ผ้าก็ไม่ซัก บ้านก็ไม่กวาด
พ่อแม่มีความสุขไม๊วะ
อ้าว ไม่ตอบ เดี๋ยวมันไปทำนะ เดี๋ยวมันไปทำแบบนี้
ไม่มีใครมีความสุขหรอก ถ้ามีลูกอัปรีย์ เอาเปรียบ
หลวงปู่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าทุกคนในอาวาสนี้ มันจ้องแต่เอาเปรียบ
มึงว่า หลวงปู่มีความสุขไม๊
(ไม่มีครับ)
อือ ไม่มีความสุขหรอก
ให้กูไปอยู่หัวไร่ปลายนา ถอนมัน สบายใจกว่า
ไม่ต้องมาเห็น มารู้ มาได้ยินอะไร ที่มันเปลืองหู เปลืองตา เปลืองจมูก ไม่ต้องมาสัมพันธ์
สัมผัสอะไร เพราะอยู่กับคนที่มันเอาเปรียบเนี่ยนะ มันทุรนทุราย มันเหมือนกับอยู่ในเตาอบ
ทุกคนมันจ้องแต่จะเอาเปรียบเราอยู่ตลอดเวลา คนพวกนี้ น่ารังเกียจไม๊
(น่ารังเกียจครับ)
แล้วสามเณร มีไม๊
(มีครับ)
ลองชี้หน้าซิ มันเป็นใคร
มึงน่ะ กูชี้มึงเองอย่างนี้
เอ้า ชี้ใหญ่เลยๆๆ
อ้ายนี่มันป่วย มันปัญญาอ่อน
ไปชี้คนปัญญาอ่อนได้ไง มันไม่ปกติ
งั้น อยากบอกลูกหลานว่า อะไรที่เรียนรู้ไปแล้ว มันเป็นชีวิต สิ่งที่หลวงปู่สอน มันเป็นสิ่งมี
ชีวิต แล้วมันก็สามารถเอามาใช้กับชีวิตได้ มันไม่ใช่บทท่องจำ ไม่ได้อยู่ในตำรา มันจึงเป็น
โรงเรียนแห่งลูกผู้ชาย โรงเรียนแห่งนักสู้ ที่จะสอนให้เราแกร่ง แข็งแรง แล้วกล้าที่จะเผชิญ
ต่อทุกสถานการณ์ได้อย่างองอาจ งดงาม แล้วก็ยั่งยืน
คนทุกคน อยากได้หน้าหมด
คนทุกคน ก็อยากสบายหมด
คนทุกคน ก็อยากได้ดีหมด
แต่คนทุกคน ไม่ยอมทำดี
นี่แหละ คือ ความอัปรีย์ของแต่ละคน
งั้น ถ้าอยากได้ดี อยากสบาย อยากมีความสุข เราลำบากวันนี้ พรุ่งนี้สบาย
ถ้าหากวันนี้ยอมสบายแล้ว พรุ่งนี้ลำบาก แล้วแก่ตัว ใกล้ตาย แล้วมาลำบาก แล้วมันจะเอา
ตัวรอดได้ยังไง ตอนนี้ เรายังมีแรง มีกำลัง
หลวงปู่เขียนบทโศลกไว้สมัยสร้างวัดใหม่ๆ อยู่หน้าหอพระกรรมฐาน
เหนื่อยนัก พักหน่อยก็หาย
ร้อนนัก อาบน้ำ ก็สบาย
หิวข้าว กินข้าวแล้วก็ผ่อนคลาย
ง่วงนัก นอนแล้วก็หาย
เพราะงั้น อย่ามาอ้าง เอาความเหนื่อย ความหิว ความง่วง ความเปลี้ย ความเพลีย มาเป็น
ข้ออ้างในการที่จะไม่ทำอะไร
ทุกวันนี้ มันร้อนไม๊
(ร้อนครับ)
เออ ก็มักจะเป็นข้ออ้าง ข้ออ้างของคนเห็นแก่ตัว ร้อน ทำไม่ได้ แต่เราทำให้เห็นแล้วไง
ตอนที่เราเก็บมันน่ะ ร้อนไม๊
(ร้อนครับ)
แล้วทำได้ไม๊
(ได้ครับ)
จริงอ่ะ
(จริงครับ)
เออ แต่ก็ไม่ทน ไม่ทนเพราะว่า หลวงปู่สังเกตดูสีหน้าแต่ละคน หลวงปู่ทำน่ะ ไม่ใช่ว่าไม่
มองพวกมึงนะ มองนะ มึงทำไป กูก็มอง กูสับมันไป กูโยนมันไป กูก็มองพวกมึงทำงาน เออ
บางคนนี่หน้ายู่ยี่เป็นปาท่องโก๋ตกลงถังส้วมเลย มึงไปนึกภาพเองแล้วกัน ปาท่องโก๋ตกถัง
ส้วม สีมันเป็นไง หน้าเป็นไง บางคนนี่ หน้าอย่างกับทิชชูแช่น้ำ ยับไปหมดเลย ทำหน้าปั้น
บางคนใส่อารมณ์ โวยวาย โหวกเหวกเป็นอ้ายบ้าเลย
มีไม๊
(มีครับ)
มี๊ เป็นอ้ายบ้าเลย โวยวาย เพราะอะไร อ้างไง กูดีแล้ว กูใหญ่แล้ว กูก็เลยต้องอ้าง เอาข้ออ้าง
กูได้ทำแล้ว กูต้องเสียงดัง พวกนี้ถ้าทำได้แล้ว เสียงดัง พอเสียงดัง ก็แสดงว่า หลงระเริงใน
ความดี
เรารู้ไม๊ว่า หลวงปู่สอนกรรมฐานพระใน 4 จังหวัดเนี่ย เมื่อวานนี้พระเค้ามานั่งคุย ลูก
ศิษย์ที่เค้าเป็นพระกรรมฐาน เค้ามาพูดถึงว่า พระสมัยนี้ หลังจากหลวงปู่ลาออกแล้วเนี่ย
เมื่อก่อนนี้ หลวงปู่นำเค้าฉันในบาตร อ้ายพวกนี้ก็ด่า ทำเรื่องไม่ถูกต้อง เค้ากินกันเป็นวง
สบายๆ มันก็กินลำบาก ฉันในบาตรทรมานทรกรรม ฉันในบาตร เพราะพระ 400-500
องค์ มันง่าย ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาล้างชาม เพราะวงหนึ่งมันไม่ใช่มีแค่ข้าวกับแกง มัน
มีน้ำปลา มีผัด มีต้ม มียำ มีสารพัด แล้วชามกี่ใบ ใช้น้ำเท่าไหร่ ใช้แฟ๊บ ใช้คนเท่าไหร่ ไป
กินในบาตรนี่ คนๆ เดียวรับผิดชอบ จบ อะไรๆ ก็เทใส่บาตร ง่ายต่อการบริหารจัดการ เค้า
ด่าหลวงปู่ พอถึงวันนี้ พวกมันทำ แล้วเค้าก็มานั่งบ่น ฮึ แล้วมาด่าเราทำไม หลวงปู่ อีตอน
เราทำ 10 กว่าปีแล้ว มันด่าเราทุกวัน ตอนนี้ มันกลับมาทำตามเรา
เอ๊ย ท่านอย่าไปคิดอะไรมาก คนเราไม่ได้ทำดีเพราะเห็น เค้าก็ไม่รู้ว่า อะไรดีกว่า เราจง
ภูมิใจว่า เราเป็นต้นแบบที่ดีให้เค้า หลวงปู่ก็ปลอบใจเค้า
หลวงปู่สอนพระกรรมฐานเค้าเนี่ยนะ สอนมา 15 วัน 15 คืน จ่ายตังค์เองด้วยนะ หมด
เงินเป็นล้าน พระ 4 จังหวัดมารวมกันเนี่ย รู้ไม๊ว่า มันเขียนหนังสือมาว่าไง
อ้ายที่ท่านพูดมาทั้งหมด เหมือนลมตดของผม
หลวงปู่ว่าไง ขอบคุณคร๊าบ อย่างน้อยก็เห็นผมเป็นส่วนหนึ่งของตูดท่าน เออ ขอบคุณคร๊าบ
แล้วถ้าเป็นพวกมึงล่ะ ถ้าอ้ายพวกบ้าอำนาจ อ้ายโวยวายเนี่ย ถ้ามันพูดมาอย่างนี้แล้วเป็น
ไงบ้าง อ้าว ได้ฉะปากกันล่ะสิ เดี๋ยวก็บอกว่า อ้า กูบวชแต่ตัวนะ มือกับตีนกูยังไม่ทันรับศีล
อ้าว มันจะเป็นพันธุ์นั้นไปเสียอีก
ถึงได้บอกไง ดีไม่ทน อ้ายพวกนี้ ดีไม่ทน พอดีแล้ว เจอปัญหาเข้า ก็ต้องมีอุปสรรค
แต่หลวงปู่ไม่สน ใครจะว่าอะไรยังไง มันจะด่าจะว่า เราทำของเรา ก็ถือว่า เราทำดี ที่ทำ
เพราะสมเด็จพระสังฆราชท่านเสด็จมาวัด รูปท่านยังอยู่นี่ ท่านมาขอร้องให้ช่วยทำ สมัย
นั้นท่านยังแข็งแรง ท่านมาขอร้องให้ช่วยสอนกรรมฐานพระทั้ง จังหวัด ทั้ง 4 จังหวัด ทั้ง
ภาค ให้เป็นต้นแบบของมหาเถรสมาคม เพราะตอนนั้น ยังไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมเลย
แล้วพวกเรารู้ไม๊ หลวงปู่สอนกรรมฐานจนลูกศิษย์มีสำนักปฏิบัติธรรมกันทั้งทั่วไปหมดเลย
แต่วัดนี้ไม่ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรม เพราะไม่อยากเป็น ไม่ได้ทำเพราะอยากได้ ลูกศิษย์ที่
สอน มันเป็นเจ้าคณะตำบล มันเป็นพระครู เป็นพระครูชั้นเอก ชั้นโท เค้าเป็นกันเพราะมา
เรียนวิชากรรมฐาน
ถามว่า หลวงปู่เป็นอะไร
เป็นกูเนี่ย สบายที่สุด ไม่ต้องแบกอะไร ไม่ต้องหามอะไร
นี่ต่างหากล่ะ คือ ดีคน ดีแล้วไม่ต้องเรียกร้อง ดีแล้วไม่ต้องแสวงหา ดีแล้วไม่ต้องขอเสียง
ขอเสียงหน่อย อ้ายนั่น ดีมันนักแสดง ขอสนับสนุนหน่อย อ้ายนั่นมัน ดีขอร้อง ดีโปรโมท
คนดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกให้ปิดทองหลังพระ ดีแบบปิดทองหลังพระ
ไม่ใช่ดีแบบอวดดี หลวงปู่เขียนบทโศลกเอาไว้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน
ลูกรัก จงอย่าอวดดี แต่จงมีดีให้เค้าดู
เข้าใจความหมายนี้ไม๊
อย่าอวดที่จะดี แต่จงมีดี ทำดีให้เขาดู
มีดีและทำดีให้เขาดู
แล้วก็เขียนบทโศลกเอาไว้อีกว่า
ระฆังดี ไม่ต้องตี ก็ดัง คนไม่ดี ตีให้ตาย มันก็พัง เพราะมันดังได้ไม่ดี
งั้น ความดี มันจะต้องดีจากภายในจิตใจ ลูก ไม่ใช่ดี เพราะเสแสร้งแกล้งดี ดีให้มันเสมอต้น
เสมอปลาย ดีคงทน ดียาวนาน ดีนานๆ ดีถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ ทำดี นานๆ ทำที แล้วบอก กูดี
แล้วล่ะ อ้ายนี่ มันอัปรีย์ ไม่ใช่ดี อ้ายดีพวกนี้ มันเป็นดีหยาบๆ ดีไม่เห็นความสุขความทุกข์
ดีไม่เห็นประโยชน์สมบูรณ์แบบ ดีไม่เห็นความต่อเนื่องยาวนาน ดีไม่เห็นความเดือดร้อน
ในการทำ พูด คิด อย่างนี้เค้าเรียก คนอัปรีย์
งั้น ลูกหลานทั้งหลายต้องเข้าใจวิธีทำดีให้ถูก
พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ในเรื่องทำดีว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศล กุศล แปลว่า ความดีอย่างฉลาด กุสะลัสสูปะสัมปะทา
หมายถึง การทำดีอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่ทำดีแบบโง่เขลา แล้วก็อวดดีไปเรื่อยๆ ทำดีอย่าง
ชาญฉลาด
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะ สาสะนัง ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว และผ่องใส
ธรรม 3 อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เอาล่ะ ก็ควรจะจบ ควรแก่เวลา
ก็ขอให้ทุกคนจงจดจำ วิถีคิด วิถีชีวิต วิถีทำ ในวิถีพุทธที่เราได้ศึกษา สั่งสม อบรม ตลอด
ระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา อะไรที่เป็นประโยชน์ ให้นำเอาไปคิดมากๆ ทำมากๆ
วิเคราะห์มากๆ แล้วสารทุกข์สุขดิบ ใครมีก็ หลวงปู่บอกให้เค้าทำชมรม Internet
อะไรนะ เรียกชมรมอะไรนะ
(ทิด 55)
เออ ทิด 55 พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความสุขกัน ความทุกข์ มีปัญหาก็ถามพี่ถามน้อง
ปรึกษาหารือ ไม่ต้องไปถามครู ครูอะไร
(กูเกิลครับ)
กูเกิล เหรอ เออ กูไม่รู้ล่ะ กูเล่นไม่เป็น
เจ้าอาวาส เข้าน้อมถวายมาลัยดอกไม้แด่องค์หลวงปู่พุทธอิสระ ป็นเครื่องบูชาธรรม
สมาเณรตัวแทนน้อมถวายเครื่องปัจจัยไทยธรรมแด่คณะสงฆ์ผู้เจริญชัยมงคลคาถาในพิธี
หลวงปู่กรวดน้ำ
ลูกเณรกราบพระ อะระหัง สัมมา
พรุ่งนี้ 9 โมงมาพร้อมกัน สำหรับคนที่จะสึกนะ พระใหม่ยังสึกไม่ได้ สามเณรรูปไหนที่
โรงเรียน โรงเรียนเค้าเปิดเทอมเมื่อไหร่ สามเณรที่มาจากเหนือ รถมารับวันไหน จากชัย
ปราการ สามเณรที่มาจากเหนือ อย่าเพิ่งสึก รอรถมารับก่อน แล้วถึงจะสึก
(ครับ)
เอ้า กราบพระ อะระหังสัมมา
กราบ