จริต ซึ่งหมายถึงความประพฤติอันจำเจ ซ้ำซากอันเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ จนกลายเป็นลักษณะนิสัยฝังแน่น ติดอยู่ในจิตสันดาน ยาวนานเป็นหลายภพหลายชาติ
ซึ่งแยกออกเป็น ๖ จริต
หรืออาจจะเรียกอีกอย่างว่าเป็นโรคทั้ง ๖ ของมนุษย์ พรหม มาร เทวดาและสัตว์ โดยไม่มียาชนิดใดรักษาได้ นอกจากการภาวนา
จริตทั้ง ๖ มีดังนี้
๑. ราคะจริต ผู้มีอุปนิสัยจิตใจชมชอบของสวยงาม จนกลายเป็นผู้คลั่งไคล้ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และติดยึดในกามคุณทั้ง ๕ ดังกล่าวจนตกเป็นทาสอยู่ในอำนาจของตัณหา ความทะยานอยาก ยากที่จะหลุดพ้นหากไม่หมั่นภาวนา
และบทภาวนาที่สามารถเยียวยารักษาราคะจริตนี้ได้คือ การหมั่นระลึก นึกถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสวยงามอยู่เนืองนิจ
อันได้แก่ อสุภกรรมฐาน ซึ่งมีวิธีพิจารณาอย่างแยบคายด้วยการมองให้เห็นความจริงแท้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในความสวยงามนั้น
อีกทั้งกายคตานุสสติภาวนา คือการแยกแยะดูองค์ประกอบของร่างกายให้เข้าใจถึงความสวยงาม ใช้สติปัญญาชำแหละออกดูให้แจ่มชัดในอาการทั้ง ๓๒ สิ่ง ที่รวมตัวกันเป็นร่างกายของมนุษย์และสัตว์
ด้วยผลแห่งการภาวนาในอสุภะและกายคตานุสสติกรรมฐานทั้งสองนี้ จักทำให้เกิดปัญญาญาณรู้เห็นตามความจริง จนบังเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย จนสามารถคลายความหลง ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ขณะที่โลกกำลังหวาดกลัวอยู่กับสารพัดเชื้อโรคร้าย ที่ถาโถมกันเข้ามาทำร้ายมนุษย์โลก อาจทำให้ผู้ติดเชื้อตายในชาตินี้
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าโรคระบาดก็คือ จริตทั้ง ๖ ซึ่งหาได้ทำร้ายมนุษย์และสัตว์แค่ชาติปัจจุบันไม่
แต่จริตทั้ง ๖ ยังสามารถติดตามทำร้าย ทำลายชีวิตมนุษย์ไปจนกว่าจะเปลื้องพันธนาการของจริตทั้ง ๖ ให้หมดไปได้
วันนี้ขอนำจริตแรกที่น่ากลัวกว่าโรคระบาดมาให้ท่านศึกษา
วันหน้าจะนำจริตข้อต่อไปมาเตือนย้ำให้ท่านทั้งหลายเห็นเภทภัยที่สุดแสนจะอันตราย ที่ร้ายแรงหาสิ่งใดเปรียบได้ให้ศึกษาต่อไป
โอกาสหน้าจะนำเอาตัวอย่างพระเถระที่ครั้งหนึ่งท่านตกอยู่ในอำนาจราคะจริตมาเล่าสู่กันฟัง
พุทธะอิสระ