๗. หากอยากให้ครอบครัวรักสามัคคีกัน ต้องภาวนา
อธิบายว่า ๑ ในหลายประโยชน์ที่ผู้ภาวนาจะได้รับ คือ การมีความเห็นอันตรง ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม
และด้วยความเห็นอันตรง ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมเช่นนี้แหละที่ทำให้บุคคลในครอบครัวนั้นๆ รู้จักแยกแยะดี ชั่ว ถูก ผิด รู้เล็ก รู้ใหญ่ รู้สูง รู้ต่ำ รู้หน้าที่ ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบในหน้าที่ของกันและกัน ทั้งยังให้การยอมรับ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เมื่อทุกคนถูกต้อง ไม่บกพร่องในหน้าที่ ต่างฝ่ายทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ก็ไม่มีเหตุให้ต้องมาตำหนิ จับผิดซึ่งกันและกัน
จึงกลายเป็นความรักความสามัคคีต่อกันไปโดยปริยาย อีกทั้งเมื่อทุกท่านมีความเห็นอันถูกต้องดังกล่าวจนเป็นอาจิน สิ่งนั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่า ภาวนา
 
๘. อยากเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อเอาชนะโรคต้องขยันภาวนา
อธิบายว่า มีผลวิจัยที่ทั่วโลกยอมรับกันว่า การรักษาจิตให้สงบ ราบเรียบ สม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา มีผลให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานโรคจนถึงกับรุกไล่ กำจัดให้เชื้อโรคต่างๆ สงบราบคาบลงไปได้
อีกทั้งยังสามารถทำให้เลือดลมโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้อย่างสม่ำเสมอ
และหากสามารถเจริญภาวนาจนถึงขั้นองค์ฌาน จะสามารถยืดอายุขัยของเซลล์ต่างๆ ในทุกอวัยวะของร่างกาย แม้แต่การเพิ่มเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง ก็สามารถใช้ผลของการเจริญภาวนา สร้างเม็ดเลือดได้ภายในหนึ่งเดือน
ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง
โดยการภาวนาในวิชา ปราณโอสถผสมกับยาบำรุงเลือด ๔ เม็ด ๒ เวลา ภายในหนึ่งเดือนก็สามารถเพิ่มเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวได้เป็น ๑,๐๐๐ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน
ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผลการตรวจเลือดในแต่ละปี เม็ดเลือดทั้ง ๒ ล้วนต่ำกว่าเกณฑ์มาตลอด เช่นนี้ผู้เขียนจึงขอยืนยันว่า การภาวนาสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันได้จริง
 
๙. อยากสมปรารถนา ต้องขยันทำและแบ่งเวลาภาวนา
อธิบายว่า การภาวนาทางกาย เรียกว่า การทำการงานนั้นๆ อย่างขยันขันแข็ง จดจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจ ยิ่งเพิ่มการภาวนาทางจิตใจเข้าไปด้วย จนบังเกิดผล คือ ความสงบตั้งมั่นของจิต สติตั้งมั่น ปัญญารุ่งเรืองเช่นนี้
เรื่องที่จะทำ คำที่จะพูด สูตรที่คิด ไม่มีอะไรที่ท่านผู้มีภาวนาทั้งทางกายและทางจิตใจจะไม่สำเร็จ
เช่นนี้จึงชื่อว่า ขยันทำและภาวนา สามารถสมปรารถนาได้จริง
 
๑๐. อยากมีชีวิตอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ต้องภาวนา
อธิบายว่า ก่อนจะรู้ว่า อะไรคือ โลกแห่งความเป็นจริง ก็ต้องเข้าใจรู้จักโลกทั้งสองที่มีอยู่ให้แจ่มชัดเสียก่อน คือ โลกสมมุติ และ โลกปรมัติ
เมื่อท่านทั้งหลายได้ศึกษา พิจารณา ให้ถ่องแท้ก็จะรู้ชัดแจ้งได้ว่า โลกสมมุติเป็นเพียงบุคคลบัญญัติขึ้น แล้วให้ค่าราคาเพื่อการยอมรับ
ทั้งที่จริงแล้วทุกสรรพสิ่งของโลกสมมุติล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยหลายสิ่งรวมกันเป็นหนึ่งสิ่ง แล้วเรียกสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นว่า ชื่อนี้ ทำประโยชน์เช่นนี้ ให้ประโยชน์ดังนี้
เมื่อหนึ่งสิ่งชื่อนั้น ชนิดนั้น ถึงกาลที่เสื่อมถอย หลายสิ่งที่เกาะกุมรวมตัวกันก็มีอันต้องแยกแตกสลาย
หนึ่งสิ่ง ชื่อนั้น ชนิดนั้น ก็หมดความสำคัญ ไร้ประโยชน์ ความดังกล่าวเหล่านี้หากไม่ภาวนา ไม่ศึกษาปรมัติโลกหรือปรมัตถธรรม ก็จะไม่สามารถรับรู้ได้เลย
เหตุผลดังกล่าวมานี้แหละ เรียกว่า จะเรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงได้ ก็ต้องขยันภาวนา
วันนี้ขออธิบายถึงแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ มีเวลาจะอธิบายในข้อต่อไป
 
พุทธะอิสระ