คราวที่แล้วได้หยิบยกเอากรรม ๑๒ มาวิสัชนาแก่ผู้สงสัยไปในระดับหนึ่งไปแล้ว
แต่ดู ดู เหมือนผู้รับรู้รับฟัง ยังจะไม่แจ่มชัดถึงรากเหง้าของกรรมทั้งปวง
วันนี้จึงขอนำกรรมทั้ง ๑๒ อาการ มาอธิบายขยายความให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ ให้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น หรือไม่ บางคนมีสติปัญญากล้าแข็ง อาจรู้สึกสว่าง กระจ่างแจ้งขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
ขอนำอุปปีฬกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่บีบคั้น ขับเคี่ยวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาวิสัชนาให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจถึงขบวนการทำงานของอุปปีฬกกรรม ว่าทำหน้าที่อย่างไรบ้าง
อุปปีฬกกรรม หาได้บีบคั้น ขับเคี่ยวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่กรรมที่เป็นฝ่ายกุศลอย่างเดียวไม่
แม้อกุศลกรรมและอัพยากตกรรม อุปปีฬกกรรมก็เข้าบีบคั้น ขับเคี่ยวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ผู้ประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์ล้ม กู้ภัย พลเมืองดี เข้าไปให้การช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุให้มาดู
ผลปรากฏว่า ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มนั้น ดันเป็นคนร้ายไปกระชากกระเป๋าของผู้หญิงแล้วหนีมา
ตำรวจจึงอายัดตัวไว้พร้อมของกลาง (นี้คือการทำงานของอุปปีฬกกรรม ที่เข้าทำหน้าที่บีบคั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ผลกรรมชั่วที่กระทำให้ได้รับผลทันตาเห็น ทั้งบาดเจ็บและถูกเจ้าหน้าที่จับ)
แม้อัพยากตกรรม กรรมที่วางเฉยอุปปีฬกกรรม ก็ยังสามารถแทรกแซงเข้ามาในสภาวะจิตให้มีสติระลึกได้ถึงพระพุทธธรรมคำสั่งสอนในเรื่อง ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
จนสามารถทำความเข้าใจได้ว่า แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่มีอยู่จริง
นี้คือการเข้าไปแทรกแซงในสภาวะจิตของอุปปีฬกกรรม เพื่อทำหน้าที่บีบคั้น ขับเคี่ยวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนลุถึงการเกิดสติปัญญา รู้เห็นชัดตามความเป็นจริง
ขบวนการทำงานของอุปปีฬกกรรม เป็นกรรมที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นผู้สร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือ อาจจะเรียกได้ว่า
เพราะอวิชชาทำให้ต้องทำกรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
หากเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายต่อผลแห่งกรรม เราท่านทั้งหลายคงต้องกำจัดต้นเหตุแห่งกรรมทั้งปวง นั่นคือ อวิชชา ความโง่ ความไม่รู้ ให้หมดสิ้น
เมื่อนั้นผลแห่งกรรม ก็จะไม่สามารถตามให้ผลได้
พุทธะอิสระ