หลังจากมีคำสั่งปลดฟ้าผ่า ๓ เจ้าคณะจังหวัด ก็มีบรรดาลูกหาม พ่อหาม แม่หาม และพวกเกาะผ้าเหลืองหากินทั้งหลาย พยายามออกมาโพนทะนาว่าอดีตเจ้าคณะจังหวัดทั้ง ๓ ถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากใครก็ตามที่สั่งปลด
ทั่งที่สำนักพุทธก็ประกาศให้ได้ทราบแล้วว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ที่จะต้องออกมาชี้แจ้งต่อผู้สงสัยให้ได้ทราบ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ได้ชี้แจ้งไปแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ หรือเพราะไม่มีสื่อเอาไมค์ไปจ่อปากท่าน เรื่องก็เลยเงียบ อึมครึมไม่เป็นที่กระจ่างในหมู่พุทธบริษัทผู้สนใจ (แต่ก็ยังมีพุทธบริษัทที่เขาไม่สนใจอีกจำนวนมาก)
พวกลูกหาม พ่อหาม แม่หาม และกลุ่มคนที่เกาะผ้าเหลืองหากิน ก็ยังกังขา สงสัย ถึงขนาดมโนสร้างเรื่องทำบัตรสนเท่ห์ ให้ร้ายองค์มนตรีและอดีต ผอ.สำนักพุทธ ว่ามีหลังบ้านไปตระเวนเรียกเก็บเงินทอนจากวัดใหญ่ๆ ดังๆ โดยอ้างเบื้องสูง
พอฉันได้รับบัตรสนเท่ห์ดังกล่าว ก็รีบโทรไปถามเพื่อนพระผู้ใหญ่ที่เป็นวัดดังหลายวัด ก็ได้รับแจ้งกลับมาว่าไม่มี ไม่เป็นความจริง และไอ้บัตรสนเท่ห์ที่ว่านี้ ก็กระจายแพร่หลายไปทุกวัดในคณะสงฆ์ โดยเฉพาะบรรดาพระผู้มีชื่อเสียง เพื่อให้มีความเห็นในเชิงลบต่อสถาบันและองค์กรปกครองคณะสงฆ์
ที่นำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ก็มิใช่มีเจตนาจะขยายวงบัตรสนเท่ห์ แต่ต้องการจะสื่อให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รับรู้ว่า “มันเริ่มขึ้นอีกแล้ว” ขบวนการบ่อนทำลาย บัตรสนเท่ห์ ซึ่งใช้นามว่า องค์กรยุวพุทธภาคอีสาน เมืองฟ้าแดนสยาม อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
พล่ามมาเบื้องต้นว่า บัตรสนเท่ห์ดังกล่าว แท้จริงแล้ว มันเกิดมาจากใจกลางเมืองกรุงเทพนี่เอง ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับคณะสงฆ์สายอีสาน ทั้งที่แท้จริงแล้ว คณะสงฆ์สายอีสานส่วนใหญ่ พอท่านได้รับรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของการสั่งปลดอดีตเจ้าคณะจังหวัดแล้ว ท่านก็เข้าใจ และยุติการเคลื่อนไหว
จะมีก็แต่นักบวชในกรุงเทพที่เคยปกครองพระในอีสานนี่แหละ ที่ยังไม่ยอมเข้าใจ และไม่ยอมหยุด พยายามจะต่อกับขั้วนักการเมืองที่ไม่ชอบสถาบัน พยายามก่อหวอด สร้างเรื่องเท็จ ใส่ร้ายใส่ความให้สถาบันแปดเปื้อน
งานนี้สันติบาลคงต้องเร่งทำงานให้มากกว่านี้แล้วล่ะ ไม่เช่นนั้น จะลุกลามบานปลายเป็นไฟลามทุ่งไม่รู้จบ
พุทธะอิสระ