คราวที่แล้วเขียนอธิบายความถึงความเท่าเทียมของมนุษย์ในโลกนี้มันมีอยู่จริงหรือ
มาวันนี้ของต่อเรื่องความเท่าเทียมขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรจะมี ควรจะเป็น
ตอนแรกได้อธิบายขยายความ เรื่องความเท่าเทียมที่พระพุทธเจ้าชี้ว่า ต้องประกอบด้วยศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ เหล่านี้เป็นกรรมในฝ่ายกุศล เพื่อทำให้ห่างไกลจากกรรมในฝ่ายอกุศล ที่ใครผู้ใดขืนไปทำเข้าก็จะยิ่งห่างไกลจากความเท่าเทียมไปมากเท่านั้น
อธิบายต่อในประเด็นของความเท่าเทียมในขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ก็ต้องมาตั้งข้อสงสัยกันต่อว่า มันมีอยู่จริงหรือ
เพราะถ้าจะว่ากันถึงขั้นพื้นฐาน ก็ต้องว่ากันตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย
หยิบเอาตอนเกิด มีใครเกิดมาเท่าเทียมกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด สถานที่เกิด ฐานะของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด มีใครเท่าเทียมกันบ้างไหม
อย่าว่าแต่พ่อแม้ มีลูกคนเดียวเลี้ยงดูอย่างดีเลย ต่อให้มีลูกหลายคน เลี้ยงดูเสมอกัน ส่งให้เรียนโรงเรียนดีๆ ด้วยกัน ลูกยังมีพฤติกรรม นิสัย สันดานไม่เหมือนกันเลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมก่อนที่จะ แก่ เจ็บ และตาย ยิ่งหาความเท่าเทียมใดๆ ไม่ได้เลย
ด้วยเพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกิดมาจากผลจากการกระทำของตนทั้งนั้น ที่ทำให้ไม่เท่าเทียมกัน และหากจะไปยกเอาเรื่อง ความเท่าเทียมที่รัฐควรจะมีหน้าที่สร้างขึ้น เพื่อให้พลเมืองของตนได้รับอย่างเท่าเทียม
ถามจริงๆ เถิด พวกที่เรียกร้องให้รัฐสนับสนุนความเท่าเทียมน่ะ
เคยมองย้อนกลับมาดูภายในบ้านตนเองบ้างหรือเปล่า ว่ามันเท่าเทียมกันหรือยัง
และหากพวกคุณต้องการให้รัฐสนับสนุน สร้างสรรค์ความเท่าเทียม
ถามกลับไปว่า มีรัฐบาลของประเทศไหนในโลกนี้ ที่สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
ความเฟ้อฝันของคนกลุ่มนี้คงจะไม่ค่อยได้เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมใดๆ เลย
เคยได้ยินคำว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบไหม
เคยได้ยินคำว่า การเป็นผู้มีบุญอันทำด้วยดีมาแต่กาลก่อนไหม
เคยได้ยินคำว่า ความเป็นอยู่ในประเทศอันสมควรไหม
และเคยได้ยินคำว่า ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มีได้ด้วยตนเองไหม
ด้วยเพราะ เคยทำดีไว้แต่กาลก่อน จึงส่งผลนำมาให้เกิดอยู่ในประเทศอันสมควรที่มีผู้รู้ ปราชญ์ บัณฑิต คอยอบรมสั่งสอน
เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนจากผู้รู้ จึงสามารถยกลำดับชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้เจริญรุ่งเรืองได้
ไม่ใช่เอะอะ อะไร ก็เอาแต่เรียกร้องความเสมอภาค ความเท่าเทียม ทั้งที่ไม่เคยคิดจะพัฒนาตนเองเลย
วันๆ คิดเอาแต่จะถามว่า รัฐบาลให้อะไร ประเทศนี้ให้อะไร พ่อแม่มีอะไรให้
แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ตนจะทำตัวอย่างไร จะให้อะไรต่อประเทศนี้
มีหน้าที่อะไรที่ต้องทำเพื่อพ่อแม่ และใครๆ ได้อย่างไรบ้าง
ยิ่งทวงถามความเท่าเทียมมากเท่าไหร่ ยิ่งเอามากเท่านั้น ก็ยิ่งห่างไกลความเท่าเทียมมากขึ้นไปเรื่อย
เหล่านี้คือสิ่งที่มีอยู่จริงในชีวิต ไม่ใช่ความฝัน
ส่วนที่พยายามจะบอกว่า รัฐควรทำนู่นให้ ทำนี่ให้
รัฐบาลไหนๆ ในโลกนี้เขาก็ทำให้กันทั้งนั้น ส่วนจะทำให้มาก ทำให้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้าน
๑ ในปัจจัยเหล่านั้น ก็คือ คนในประเทศนั้นๆ พอใจไหม หากยังไม่พอใจ ก็คงต้องให้รัฐรีดภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อเอามาสร้าง มาทำจนกว่าคุณๆ ทั้งหลายจะพอใจ
เคไหม