อาตมาได้เห็นท่านในสื่อโทรทัศน์ เห็นท่านพูดเรื่อง พส.ทั้งสองท่านที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ รู้สึกตกใจว่าเดียวนี้พุทธศาสนาก้าวหน้าถึงขั้นอนุญาตให้ภิกษุพูดตลกและหัวเราะจนปากกว้างจนเห็นเหงือก ในชนหมู่มากโดยลืมความเป็น สมณะ คือผู้สงบเสงียม ในจริยาวัฒน์ คือ ความสงบในกาย ในวาจา ในใจ ขาดหิริโอตตัปปะ ยังหลงในวัย ในวายุ ในสรรเสริญ โดยสำคัญผิดคิดเอาเข้าข้างตนเองว่า ตนจบมหาจะทำอะไรก็ทำได้ โดยลืมไปว่าศาสนาเป็นของทุกคน ท่านจะมีความรู้สูง - ต่ำ หาใช่ประเด็นสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญคือ จริยธรรม คือ ความประพฤติที่ดีงาม อยู่ในกรอบของพระวินัย พระสามารถเทศน์หรือสอนให้คนหัวเราะได้ แต่ไม่ใช่พระจะมาหัวเราะเสียเอง ขาดมาระยาทในอดีต มีพระรุ่นก่อนๆ เช่น พระยันตะ พุทโธภาวนา มหาบัว หลวงพ่อคุณ พระวริยะหลายองค์เทศน์หรือสอนให้ญาติโยมคลายทุกข์ และหัวเราะได้ โดยพระนั่งนิ่งยิ้มน้อยๆ พูดแล้วอายแทนพระสององค์ ขาดการสำรวมกาย-วาจา ดูคุณโยมแม่ชีสันศนีย์สอนธรรมะในรายการ ธัมมะสวัสดี สอนนิ่งสอนดี สอนให้คลายทุกข์และหัวเราะแต่แม่ชีนิ่ง ชาวพุทธทุกชาติชอบกันทั่วโลกไม่เห็นคนสอนต้องมานั่งหัวเราะเลย (อ้างข้างๆคูๆ)
ส่วนที่ว่าถึงอาบัติก็แค่ปาจิตตีย์ - แปลว่า ล่วงในศีลเบื้องต้น อาบัติปาราชิก ล่วงในศีลชั้นสูง เท่ากับโทษประหารทางโลก ส่วนโลกวัชชะ เหมือนปลาเน่าเหม็นทั้งบ่อ ต้องนำเอาไปทิ้งมิฉะนั้นปลาในบ่อจะเหม็นด้วย ท่านรู้บาลีแต่อย่าเลี่ยงบาลี พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ศาสนาจะเสื่อมเพราะภิกษุขาดความละอาย
เมื่อสมัยอาตมาอายุ ๑๔-๑๕ เป็นเด็กเรียงพิมพ์ โรงพิมพ์กรุงเทพฯ สามเหลี่ยมดินแดง เรียงตัวอักษรพระไตรปิฏก และเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ภาษาบาลีทุกตัวอักษรไว้ให้พระไปศึกษาจึงรู้มากกว่ามหาโดยไม่ต้องจบก็ได้ (มูลกระจาย) จึงรู้ว่า คำว่า โลกวัชชะ เทียบได้เท่าหรือมากกว่า ปาราชิก เพราะ อุตริมนุสธรรม แสดงธรรมอ้าปากหัวเราะ หรือ เช่นไหว้หมาดีกว่าไหว้พญานาค (คำพูดนี้อันตราย) หรือพูดว่าซื้อเรือแบบกตัญญูต่อพ่อแม่ (คำนี้อันตรายมาก) พระผู้ใหญ่ (บางองค์) ท่านไม่ได้จบมหาจึงไม่กล้าแตะเพราะท่านเองก็ไม่รู้ว่าโลกวัชชะนั้นตีความว่าอย่างไร (สบายท่านมหา) อาตมาขอชื่นชมท่านที่ช่วยกันดูแลศาสนา
เจริญพร