องคุลีมาลกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "สมณะ จงหยุดก่อน สมณะ ท่านจงหยุดก่อน"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "เราหยุดแล้ว องคุลีมาล แต่ท่านสิยังไม่หยุด"
องคุลีมาลคิดในใจว่า ได้ยินว่าสมณะศากยบุตรผู้นี้เป็นคนพูดจริง แต่นี่ท่านเดินไปอยู่แท้ๆ กลับพูดว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ท่านกลับพูดว่า ท่านสิยังไม่หยุด จึงตะโกนถามไปด้วยความสงสัยว่า "ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินไป กลับกล่าวว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ ท่านกลับว่าเรายังไม่หยุด ที่ท่านกล่าวมานั้นหมายถึงสิ่งใด"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "ดูกร องคุลีมาล เราเว้นจากการฆ่าสรรพสัตว์ได้แล้วจึงชื่อว่าหยุดแล้ว
ส่วนเธอยังมีกิจในการฆ่า จึงชื่อว่ายังไม่หยุด
แม้ว่าบัดนี้เธอจะหยุดยืนอยู่ แต่เธอก็ต้องวิ่งต่อไปในนรก เปรต อสูรกาย และดิรัจฉานในภายหน้า"
องคุลีมาลได้ฟังดังนั้นก็ฉุกคิดได้ จึงทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก กราบทูลขอบรรพชา
พระพุทธเจ้าจึงทรงบรรพชาด้วยองคุลีมาลด้วยเอหิภิกขุ จากนั้นพระองคุลีมาลก็ตามเสด็จกลับพระเชตวัน
ทางด้านพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้นำขบวนทหาร ๕๐๐ คน ออกมาปราบโจรองคุลีมาล เมื่อเสด็จผ่านพระเชตวันมหาวิหาร จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระอาราม กราบทูลราชกิจให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า "ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าบัดนี้องคุลีมาลปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ บวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว และประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะทำอย่างไรกับเขา"
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะไหว้และบำรุงเขาอย่างสมณะ แต่องคุลีมาลนั้นเป็นคนทุศีล จะมีความสำรวมด้วยศีลได้ที่ไหน" พระพุทธเจ้าจึงยกพระหัตถ์ชี้ให้ดูองคุลีมาลซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรัสบอกว่า "มหาราช นั่นไง องคุลีมาล"
พระเจ้าปเสนทิโกศลและทหารผู้ติดตามพากันตกใจ สะดุ้งหวาดกลัวไปตามๆ กัน
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า "อย่ากลัวเลย องคุลีมาลนี้เป็นผู้ไม่มีภัยต่อใครๆ อีกต่อไปแล้ว"
พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปถามพระภิกษุรูปนั้นจนแน่ใจว่าเป็นจอมโจรองคุลีมาลที่กลับใจแล้วจริงๆ พระองค์จึงปลดผ้าคาดเอวออกถวาย
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นักที่พระองค์ไม่ได้ทรงใช้พระอาญา ไม่ทรงใช้ศาสตราวุธ แต่พระองค์ก็ทรงทรมานบุคคลที่ใครๆ ทรมานไม่ได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้ดับไม่ได้ ให้ดับได้ "
อธิบายตามหลักธรรมาธิษฐาน มีมุมที่ต้องมอง คือ ใครเป็นผู้สร้างโจรองคุลีมาลขึ้นมา
ตอบ
๑. ความริษยา ที่มีอยู่ในหมู่ศิษย์ร่วมสำนัก
๒. ความหูเบา ใจแคบ ของตัวอาจารย์ทิศาปาโมกข์
๓. สันดานดิบที่ฝังรากลึกอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ หากไม่พยายามพัฒนา ที่จะควบคุม กำจัดมัน สุดท้ายมันก็จะแสดงตนออกมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน ซึ่งสันดานดิบตัวนี้มันมีอยู่ในตัวศิษย์ร่วมสำนัก มีอยู่ในตัวอาจารย์ทิศาปาโมกข์ และแม้ที่สุดก็มีอยู่ในตัวขององคุลีมาลรวมทั้งมีอยู่ในตัวของเราทุกคนด้วย
วิธีที่พระบรมศาสดาทรงใช้กำราบองคุลีมาลก็คือ พระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และสัจจะ ความจริงใจ ที่หยิบยื่นให้องคุลีมาล สัมผัสได้จนกระตุ้นคุณธรรมที่ถูกสันดานดิบกดทับไว้ให้แสดงตนออกมา จนได้ปัญญาเห็นธรรม
เรื่องโจรองคุลีมาล เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เราท่านทั้งหลายได้ว่า มนุษย์ทุกตน มีสิทธิ์จะพัฒนาตนเองได้เสมอ
ด้วยวิธีค่อยเป็นค่อยไป สั่งสมอบรมบ่มเพาะสิ่งดีงาม ความงดงามไว้บ่อยๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็นบารมี แล้วความงดงาม ความดีงามเหล่านั้น ก็จัดส่งผลให้ชีวิตได้พ้นความทุกข์ยากในที่สุด
พุทธะอิสระ