อธิบาย คำว่า ความประพฤติพรหมจรรย์ หมายถึง การงดเว้นขาดจากการซ่องเสพ กามคุณ อันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
บุคคลผู้เคร่งครัดในการประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องเป็นผู้ไม่หลงในรูป ไม่ถูกรูปใดๆ ครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของรูปใดๆ และต้องไม่แสวงหารูปใดๆ มาซ่องเสพ
บุคคลผู้เคร่งครัดในการประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องเป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในรส ไม่ถูกรสใดๆ ครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของรสใดๆ และไม่แสวงหารสใดๆ มาซ่องเสพ
บุคคลผู้เคร่งครัดในการประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องเป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในกลิ่นไม่ถูกกลิ่นใดๆ ครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของกลิ่นใดๆ และไม่แสวงหากลิ่นใดๆ มาซ่องเสพ
บุคคลผู้เคร่งครัดในการประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องเป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในเสียง ไม่ถูกเสียงใดๆ ครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของเสียงใดๆ และไม่แสวงหาเสียงใดๆ มาซ่องเสพ
บุคคลผู้เคร่งครัดในการประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องเป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในสัมผัส ไม่ถูกสัมผัสใดๆ ครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของสัมผัสใดๆ และไม่แสวงหาสัมผัสใดๆ มาซ่องเสพ
บุคคลตัวอย่างของผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันเลิศ ได้แก่ พระมหากัสสปเถระ
พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ ๒๐ ปี มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นนี้ได้จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ ๘ คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น เมื่อได้พบนางภัททากาปิลานี จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ทั้งปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมายขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันแต่หาได้มีสัมผัสฉันคู่สามีภรรยาอื่นๆ ไม่ ทั้งสองฝ่ายต่างถือพรหมจรรย์ แรกตอนแต่งงานใหม่ๆ ก็อยู่กันคนละฟากฝั่งของห้อง พอมารดาท่านตายลง ทั้งสองจึงแยกกันอยู่คนละห้อง พร้อมถือศีลพรหมจรรย์
ออกบวช
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ ท่านสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ถึงเวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลกแล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว
บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชได้ครบ ๗ วัน เข้าวันที่ ๘ พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน ๓ ข้อ คือ
๑. มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ และผู้เป็นมัชฌิมะ
๒. ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม
๓. ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี
พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น
"บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว"
รวมความว่าเป้าประสงค์ของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ก็เพื่อจักปลดเปลื้องพันธนาการออกจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือที่เรียกว่า เบญจพิธกามคุณทั้ง ๕ อันมีพิษ ฤทธิ์ และรส ที่ทำให้ผู้เสพต้องลุ่มหลงตกเป็นทาส ผูกพันธนาการสรรพสัตว์ ตกอยู่ในความเป็นทาส เป็นทุกข์ เป็นทาส เป็นทุกข์ วนเวียนซ้ำซากอยู่เช่นนี้ไม่มีวันจบสิ้น
ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ว่า
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นแรกได้แก่ รักษาศีล ๕ ผัวเดียว เมียเดียว ซื่อตรงต่อคู่ครองของตน
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสองได้แก่ การรักษาศีล ๘ งดเว้นจากการเสพกามคุณทั้ง ๕ ชั่วระยะเวลาที่กำหนด เช่นวันโกน วันพระ ทำอยู่เช่นนี้เป็นกิจวัตร
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุดได้แก่ การขาดจากการเสพติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรียกว่า
เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
จมูกได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น
หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าเสียง
กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส
มีความสำรวม สังวร ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ทุกขณะลมหายใจ เช่นนี้ชื่อว่า ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุด
อานิสงส์ของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในแต่ละขั้นมีดังนี้
ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นแรกได้ จักได้เกิดเป็นราชา พระมหากษัตริย์
ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสองได้ จักได้เกิดเป็นเทพยดาหรือพรหม
ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุดได้ จักได้เกิดเป็นท้าวมหาพรหมหรือบรรลุพระอรหันต์
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
พุทธะอิสระ
Practicing celibacy
July 7, 2021
Practicing celibacy means refraining from sensual pleasure from pictures, tastes, smells, sounds, and touch.
Person who strictly practices celibacy must not be infatuated or reigned by any object, must not become slave of or have desire for any object.
Person who strictly practices celibacy must not be infatuated or reigned by any taste, must not become slave of or have desire for any taste.
Person who strictly practices celibacy must not be infatuated or reigned by any scent, must not become slave of or have desire for any scent.
Person who strictly practices celibacy must not be infatuated or reigned by any sound, must not become slave of or have desire for any sound.
Person who strictly practices celibacy must not be infatuated or reigned by any touch, must not become slave of or have desire for any touch.
An example of person who excellently practiced celibacy is Phra Maha Kassapa, one of the principal disciples of Lord Buddha.
Phra Maha Kassapa’s former name was Pippali and he was born as a son of a Brahmin named Kapila in a village called Mahatittha, in the kingdom of Magadha, present-day India. When he was almost twenty years old, his mother wanted him to get married. He refused because he intended to take care of his parents till their death and would enter monkhood. However, his parents insisted that he get married to maintain their lineage. Therefore, Pippali hired a craftsman to create a golden sculpture of a young girl in red dress with flowers and ornaments. He told his mother that if she could find a woman of this similar features, he would get married with her. His mother told eight Brahmins to search for a woman with those characteristics. When they found a lady named Pattakapilanee, they informed Kapila Brahmin. Both Pippali and Patta did not want to get married. So, they secretly sent their letters to each other to look for a new spouse. However, the messenger changed the letter’s content. As a result, they got married, but they did not have any sexual intercourse like other married couples. They practiced celibacy. When they newly got married, they stayed in different corners of the room. After their parents’ death, they lived separately in different rooms and practiced celibacy.
Ordainment :
One day, Pippali went out to look at his rice field and saw a flock of birds eating earthworms. He asked his servants upon whom the sins of these animals would fall. His servants that he would be the person to get these sins. He felt pity for himself that he would be born in next thousand lives and would still suffer. After returning home, he told his wife that he would become a priest. His wife also wanted to be ordained. They removed their hair and wore clothing of monks. They intended to enter monkhood for attaining arahant. Then, they separated in their different paths. At the moment of their separation, earthquake happened.
Attaining Arahant :
After the seventh day of his ordainment, Phra Maha Kassapa met Lord Buddha while staying at the Pahuputta Pagoda. The Lord Buddha gave him three directives to practice as follows.
1. Phra Maha Kassapa should develop a lively sense of fear and regard towards his fellow monastics regardless of their status, whether they are senior, junior, or in between.
2. Phra Maha Kassapa should attentively listen and practice the teachings or Dharma of the Lord Buddha.
3. Phra Maha Kassapa should live in mindfulness.
After listening, Phra Maha Kassapa attained arahant. Then, he laid down his outer robe for the Buddha to sit. Therefore, the Buddha gave his linen robe to Phra Maha Kassapa. At that moment, the earthquake took place, because it was unprecedented that the Buddha gave his used robe to any disciple. Phra Maha Kassapa felt very impressed while realizing that he was “an heir who was born at the Buddha’s chest, mouth, and the Buddha’s teaching (Dharma), or he was transformed by magic of the Dharma. He was an heir of the Buddha’s Dharma and received the Buddha’s used linen robe.”
In sum, objective of people who practice celibacy is to liberate themselves from object, taste, scent, sound, touch, or namely called the five sensual pleasure, of which their poison, power, and taste would enslave those who have tasted them. They will bind living creatures to be their slaves and these creatures will suffer and will be trapped in these endless cycles.
It is said in the Buddhist scripture that.
The basic step for those who practice celibacy is to observe the five precepts, practice monogamy, and be faithful to one’s spouse.
The second step for those who practice celibacy is to observe the eight precepts, refrain from the five sensual pleasure on the day before the new moon and Buddhist holy days, and practice this regularly.
The highest step for those who practice celibacy is to abstain from object, taste, scent, sound, and touch
Merely see objects without any mental formation
Merely smell some scents without any mental formation
Merely hear sounds without any mental formation
Merely touch things without any mental formation
Practicing self-restraint of one’s eyes, ears, nose, tongue, body, and mind at every breath is regarded as the highest level of celibacy practice.
Merits for those who practice each step of celibacy practice are as follows.
Those who practice the first step of celibacy will be born as kings.
Those who practice the second step of celibacy will be born as angels or Brahma.
Those who practice the highest step of celibacy will be born as the great Brahma or attain arahant.
This is the most auspicious factor in one’s life.
Buddha Isara