ธรรมที่ องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง แม้จะมีถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
แบ่งเป็นตะกร้าได้ ๓ ตะกร้าใหญ่ๆ เรียกว่า ๓ ไตรปิฎก คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก แยกประเภทออกเป็น ๓ สิกขา คือ สิ่งที่ควรเรียนรู้ศึกษา มี
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
ย่นย่อลงได้ความหมายใหญ่ๆ ได้สองฝ่าย คือ
ฝ่ายสมมุติธรรม
ฝ่ายปรมัติธรรม
ฝ่ายสมมุติ หรือโลกสมมุติ นั้นได้แก่สัตว์ บุคคล สิ่งของ สรรพสิ่ง ล้วนแต่ต้องทำหน้าที่อันพึงมีต่อกัน ตามที่โลกสมมุติมอบหมายบัญญัติขึ้น เช่น
กษัตริย์ ก็มีหน้าที่ปกครองด้วยทศพิธราชธรรม
เสนาบดี รัฐมนตรี ก็มีหน้าที่บริหารด้วยความสุจริต โปร่งใส
ทหาร ตำรวจ ก็มีหน้าที่ปกป้อง คุ้มกัน ให้แผ่นดิน ราชบัลลังก์ และอาณาราษฎร อยู่รอดปลอดภัย
ตุลาการ ศาล ก็มีหน้าที่ ชี้ถูก ชี้ผิด ให้การลงโทษแก่พวกทุจริตชน คนพาล
แพทย์ พยาบาล ก็มีหน้าที่ บำบัด รักษา ป้องกัน โรคภัย
ประชาชน ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตนตามบทบาทที่ตนได้รับมา และกติกาในการอยู่ร่วมกัน โดยทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
นักบวช สมณะ พระ ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตนให้เป็นต้นแบบของสังคม เรียกว่า ทำดีให้เขาดู เป็นครูให้เขาเห็น เพื่อให้ผู้พบเห็นทำตามเป็น โดยยึดหลักประโยชน์ตน และให้ประโยชน์ท่าน ในการทำหน้าที่ พร้อมทั้งชี้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ถ้าไม่อยากผิดก็จงอย่าประมาท มีสติ สมาธิ ปัญญาตั้งมั่น
ส่วนชนหมู่ใด ที่ไม่ทำหน้าที่ หรือทำอย่างทุจริต
พระบรมศาสดา ท่านก็ทรงแนะนำให้พุทธสาวก ปราชญ์ ราชบัณฑิตทั้งหลาย ให้การชี้นำ อบรม สั่งสอน ผู้หลงผิดเหล่านั้น ปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรม
แต่ถ้าบอกแล้ว สอนแล้ว ชี้นำ ทำให้ดูแล้ว ชนเหล่านั้น ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตน
พระบรมศาสดา ทรงแนะนำให้ใช้หลัก นิคคหะ ปัคคัยหะ คือข่มในเวลาที่ควรข่ม ยกในเวลาที่ควรยก
แต่ถ้าข่มก็แล้ว ยกก็แล้ว ชนเหล่านั้นยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พระบรมศาสดา จักทรงสอนว่า
อเสวนาจะพาลานัง การไม่คบคนพาล
ปัณฑิตานัง จะเสวนา การคบบัณฑิต
สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้คือ ภาระหน้าที่ ที่ต้องกระทำในโลกสมมุติ และเมื่อสัตว์ บุคคล เรา เขา ได้ทำหน้าที่ตามวิถีแห่งโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์แล้ว
ก็ วางภาระ วางหน้าที่ ที่มีต่อผู้อื่น สิ่งอื่น แล้วหันกลับมาทำหน้าที่อันสมบูรณ์ให้แก่ตนเอง คือ
ทำกาย ใจ ให้ว่าง
ดับความทุรนทุราย ฟุ้งซ่าน ทะยานอยาก ให้หมดสิ้น
ความเย็นสงบ เบา สบาย จึงจะบังเกิด
เช่นนี้ต่างหากเล่า ที่ควรจะเรียกว่า ท่านผู้เข้าถึงความเป็นกลาง
ไม่ใช่ เอะอะอะไร ก็อ้างว่า วางตัวเป็นกลาง
ทั้งที่หน้าที่ของตน ยังทำไม่ครบ ไม่แล้วเสร็จ
พอมีคนมาถามว่า ทำไมไม่ทำ
ดันแถกแถ บอกเขาไปว่า วางตัวเป็นกลาง
แบบนี้เขาเรียกว่า สันหลังยาว ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ รักตัวกลัวตาย เห็นแก่ตัว เอาตัวรอด แล้งน้ำใจ ขาดคุณธรรมความเพียร
เก็ตไหมจ๊ะ
พุทธะอิสระ

Being neutral does not really exist in the hypothetical world.
February 6, 2021
Lord Buddha’s teachings contain a total of 84,000 topics. The teachings are divided into three parts: Buddhist scriptures (called the Tipitaka in Pali). The Tipitaka consists of the Basket of Discipline, the Basket of Discourses, and
the Basket of the Higher Doctrine. Major areas of Buddhist practice are as follows.
Precept (moral conduct)
Concentration of mind (meditation)
Wisdom
Buddhist practice can be divided into two sides: hypothetical truth and ultimate truth.
Hypothetical side or hypothetical world means all beings and people all have their own duties according to their hypothetical roles.
For example,
Kings rule the country with the tenfold virtues of the king.
Ministers govern the country with honesty and transparency.
Military and police protect safety of nation, monarchy, people.
Judges and courts issue their rulings with impartiality and punish wrongdoers.
Doctors and nurses provide treatment and prevention of diseases.
Citizens do their best in performing their own duties and abide by regulations.
Priests and monks are role models for the society. They should practice and teach people moral conduct. When people see their practice, people will follow. Major principle for monks is to do beneficial things both for themselves and other people. At the same time, monks should tell people what is right and what is wrong. Monks should tell people to have consciousness and wisdom to avoid mistakes.
In case that some groups of people do not perform their duties or perform dishonestly, Lord Buddha recommended Buddhist disciples and sages give those people guidelines and teachings so that those misled people will improve and adjust their behaviors.
Lord Buddha’s recommended way of ruling is to reprove or praise people at the right time.
After trying both ways and seeing that they still do not change their behaviors, Lord Buddha taught that.
One should not associate with rascals.
One should associate with sages.
These are duties that one should perform in the hypothetical world. After having completely performed our duties according to the hypothetical world, then, it is time to leave our obligations towards other people and focus on fulfilling the duties for ourselves.
This means to make our body and mind empty.
To extinguish anxiety, distraction, and desires.
Then, cool peace, lightness, and comfort will arise.
This is called a person who has achieved neutralism.
It is not keep claiming to be neutral, even though one has not yet completed his or her duties.
When asked why you are not doing anything, one would give an excuse by claiming to be neutral.
This is called laziness, irresponsibility, fearfulness, selfishness, lack of kindness, and lack of integrity and diligence.
Have you got it?
Buddha Isara