Print
Hits: 1070

 

วันนี้เสนอคำว่า ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยนี้เปรียบประดุจดังความมหัศจรรย์ของมหาสมุทร

๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับ มิใช่ลึกมาแต่เดิมฉันใด

การศึกษาในพระธรรมวินัยนี้ ก็ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขั้น

จนทำให้พัฒนา กิริยา อาการ อุปนิสัยให้ปราณีตขึ้นตามลำดับ

จนถึงพัฒนาข้อปฏิบัติอย่างหยาบจับต้องได้ ไปถึงขึ้นจับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ด้วยจิต

แม้การบรรลุคุณธรรมจนถึงพระอรหัตผล ก็มิได้บรรลุมาแต่เดิม แต่เป็นการบรรลุตามลำดับขั้นตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงพระอรหัตผล นี่เป็นความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยฉันนั้น

๒. ดูกรภิกษุทั้งหลายมหาสมุทรมีปกติตั้งอยู่ตามธรรมดามีปกติ ที่ไม่ล้นฝั่งฉันใด สงฆ์สาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมจักไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทคือข้อห้ามและข้ออนุญาต แม้จะอ้างว่าเพื่อรักษาชีวิต ก็จักไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราตถาคตได้บัญญัติไว้ฉันนั้น

๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรนี้มีปกติที่จักไม่รวมกับสิ่งปฏิกูลและซากศพที่ตายแล้ว หากซากศพใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมซัดซากนำเอาสิ่งปฏิกูลและซากศพขึ้นมาทิ้งบนฝั่งฉันใด

ภิกษุใดในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิญาณว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้เน่าในโชกชุ่มไปด้วยกิเลส เป็นผู้เศร้าหมอง

หมู่สงฆ์ผู้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บริบูรณ์พึงตั้งข้อรังเกียจ แล้วประชุมกันขับบุคคลผู้เน่าในนั้นออกเสียจากหมู่

ถึงแม้บุคคลนั้นจักยังเป็นผู้เก้อยากไม่ละอาย พยายามนั่งอยู่ท่ามกลางบริสุทธิ์สงฆ์ก็หาได้ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ใกล้หมู่สงฆ์ไม่

หมู่สงฆ์ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์พึงตั้งข้อรังเกียจบุคคลผู้ทุศีลมีธรรมอันลามก มีความประพฤติไม่สะอาด ดุจดังมหาสมุทรรังเกียจสิ่งปฏิกูลซากศพ และซัดซากปฏิกูลเหล่านั้นให้พ้นจากมหาสมุทรฉันนั้น

๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำแม้จักใหญ่เพียงใด มีชื่อเช่นไร เมื่อไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว ย่อมเรียกว่ามหาสมุทรฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลายปุถุชนไม่ว่าจะมาจากวรรณะใด ฐานะ ตระกูลใด เมื่อบวชอยู่ในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมละซึ่งโคตร ตระกูลเดิมของตนเสียฉันนั้น

๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้แม่น้ำใหญ่หลายสายในโลกนี้จักไหลลงไปรวมอยู่ในมหาสมุทร อีกทั้งสายฝนจากอากาศตกลงมาผสมลงในมหาสมุทรเป็นอันมาก ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏให้เห็นฉันใด

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน หากยังไม่สามารถลุถึงความหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงจักไม่พึงรู้ได้เลยว่า ตนยังพร่องอยู่ หรือยังเต็มอยู่ฉันนั้น

๖. ดูกรภิกษุทั้งหลายมหาสมุทรมีรสเค็มอยู่รสเดียวฉันใด

พระธรรมวินัยนี้ก็มีวิมุตติ ความหลุดพ้นอยู่รสเดียวฉันนั้น

๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรมีแก้วรัตนะอันมีค่าและธาตุเงินธาตุทองอยู่มากมายฉันใด

พระธรรมวินัยนี้ก็มีแก้วรัตนะอันมีค่าคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ เหล่านี้คือแก้วรัตนะอันมีค่าในพระธรรมวินัยนี้ฉันนั้น

๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ลึกยาว ย่อมเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งเล็กทั้งใหญ่มากมายสุดจะคณานับฉันใด

พระธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลผู้เป็นใหญ่อยู่มากมายนับตั้งแต่

พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล

พระสกิทาคามีมรรค พระสกิทาคามีผล

พระอนาคามีมรรค พระอนาคามีผล

พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล

ดูกรภิกษุทั้งหลายเหล่านี้แลเป็นความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยนี้ดุจดังความมหัศจรรย์ของมหาสมุทรฉันนั้น

ที่อาราธนาพระวินัยปิฏก จุลวรรคภาค ๗ มาเล่าสู่กันอ่าน

ก็เพื่อเตือนสติบรรดานักบวช ที่จักคิดรวมกลุ่มกันเดินขบวนไปช่วยอลัชชีปาราชิก ในคณะกรรมการมหาเถรสมาคม จักได้ศึกษาพิจารณาว่า สิ่งที่ท่านทั้งหลายคิดจะปกป้องผู้ที่ถูกโจทให้ต้องอาบัติปาราชิกอยู่นั้นมันเป็นตามหลักพระธรรมวินัยหรือเป็นความชื่นชอบในตัวอลัชชี

หากพวกท่านชื่นชอบในตัวอลัชชีแสดงว่า พวกท่านทั้งหลายกลายเป็นผู้ทำลายหลักการของพระพุทธศาสนาเสียแล้ว

ซึ่งพวกเราเหล่าพุทธบริษัทผู้ศรัทธาในพระธรรมวินัยขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า คงจะไม่ปล่อยให้พวกอลัชชีเหิมเกริมที่จะออกเดินขบวนย่ำยีพระธรรมวินัยได้เป็นแน่ ขอบอก

พุทธะอิสระ