เมื่อท่านมาสร้างวัดธรรมอิสระ (อ้อน้อย) แห่งนี้ ท่านก็ได้นำมาปลูกไว้ ณ ใจกลางวัดพอดี ก่อนที่ท่านจะปลูก ท่านได้สั่งให้พวกเราพระเณรขุดหลุมลึกและกว้าง ขนาดสามคนลงไปนั่งได้สบาย แล้วท่านก็สั่งให้นำโอ่งมังกรที่คุณสมหมายนำถวายมาใส่ลง ไปในหลุมแล้วท่านก็ให้พวกเรายกพระพุทธรูปที่ท่านสร้างบ้างมีคนมาถวายบ้าง พร้อมพระเครื่องรุ่นต่างๆที่ท่านสร้างมาแล้วแต่อดีต ใส่ลงไปในโอ่งมังกรจนเต็ม สุดท้ายท่านก็เอาผ้าแดง คลุม และร่ายอาคม แล้วจึงปิดด้วยผ้าขาวอีกชั้น แล้วท่านก็พาพวกเราแผ่เมตตา พร้อมกับหยิบก้อนทองแดง ซึ่งมีลักษณะสัณฐานเหมือนกับกระดูกข้อนิ้วคนวางไว้บนผ้าขาวอีกครั้งแล้วจึง ปิดด้วยแผ่นผ้าแดงที่ท่านเขียนยันต์สวัสดิกะเอาไว้แล้วจึงปิดฝาตุ่มด้วยฝา โลหะ
       
       พร้อมกับโบกปูนทับแล้วจึงกลบดิน หลังจากกลบดินได้พอประมาณแล้ว ท่านก็นำเอาดอกไม้แห้งที่ บูชาพระ มาโรยลงไปแล้วจึงปลูกต้นโพธิ์พร้อมกับอธิษฐานดังๆ ว่า
       
       ข้า..ได้มีศรัทธาสร้างวัดนี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา บูชาพระมหาโพธิ์สัตว์เจ้าบูชาพระอริยสงฆ์เจ้า บูชาคุณบิดามารดา บูชาคุณครูบา อาจารย์ หากการครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ ขอให้ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ จงเจริญงอกงามเติบโตด้วยดี หากมิสำเร็จขอให้ต้นโพธิ์นี้มีอันเป็นไป ด้วยสัจจะอธิษฐานกาลครั้งนี้ เทพยดาอารักษ์ และฟ้าดินจงเป็นสักขีพยานรับรู้ด้วยเทอญ
       
       เสร็จแล้วหลวงปู่ก็เอาดินกลบโคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น พร้อม ทั้งนำดอกไม้สดที่เตรียมไว้มาโปรยลงที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้นพร้อมกับรดน้ำ ลงที่โคนต้น แล้วจึงพาพวกเราก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง แล้วจึงหันมาสั่งว่า ต่อนี้ไปทุกคนที่ มาสู่สถานที่นี้ ให้ถือว่าต้นโพธิ์นี้เป็นเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพ กราบไหว้ เปรียบดังเป็นตัวแทนของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ พระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตาอันเหลือล้น และเป็นตัวแทนของผู้มีคุณพร้อมกับเป็นตัวแทนของครูผู้ประเสริฐ ผู้ใดจะล่วงเกิน แสดงกิริยาไม่เคารพมิได้เด็ดขาด
       
       ต้นศรีมหาโพธิ์สามต้นที่หลวงปู่ท่านทำการปลูกรวมกันวันนั้น หลังจากที่ปลูกต้นโพธิ์เรียบร้อยแล้ว ท่านก็บอกให้พวกเราเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะจะมีคนอื่นมากราบต้นโพธิ์ พวกเรามาอยู่ตรงนี้พวกเขาไม่กล้าเข้ามา เมื่อพวกเราเก็บเครื่องมือกลับมาแล้ว ก็ปรากฏว่า เกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลวงปู่ท่านจึงได้เปรยขึ้นว่า "เออดี เทวดามาช่วยรดน้ำให้"
       
       เวลาต่อมาพระเณรหลายรูปต่างเห็นผู้ชายแต่งชุดขาวแบบคนถือศีลมานั่ง บ้างเดินบ้าง อยู่รอบๆ ต้นโพธิ์ เมื่อหลายคน เห็นเช่นนี้บ่อยๆ เข้าก็เกิดการสงสัย จึงพากันเข้าไปถามหลวงปู่ หลังจากเลิกสวดมนต์เย็นแล้ว
       
       ท่านก็บอกว่า "อ๋อ คนชุดขาวพวกนั้นนั่นหรือ พวกเค้ามาบอกกับผมว่า จะขอมาอยู่รักษาต้นศรีมหาโพธิ์นี้ และผมก็อนุญาตพวกเค้าไปแล้ว พวกเค้าเป็นเทวดานะ ไม่มีอะไรหรอก อย่ากังวลไปเลย ไปพักผ่อนเถิด พวกคุณก็อย่าประมาทก็แล้วกัน ให้สำคัญอยู่เสมอว่า มีผู้คอยเฝ้าดูแลเราอยู่เสมอ จะทำอะไรก็ใคร่ครวญพิจารณาให้ดีก็แล้วกัน" ได้ผล หลังจากวันนั้นมาดู พวกเราจะสงบกิริยาวาจาลงได้มากทีเดียว
       
       วันหนึ่งเวลาประมาณตีหนึ่งเศษ เป็นวันข้างขึ้น รู้สึกจะ 15 ค่ำ เพราะพระจันทร์สว่างมาก เณรจกได้ลุกขึ้นมาจากที่นอน เพื่อจะมาเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดคุยอะไรกับใครก็ไม่รู้ จึงเดินออกจากกุฏิมาดู เห็นหลวงปู่ท่านกำลังนั่งเอาพลั่วขุดดินอยู่ ท่านขุดไปแล้วก็หันมาพูดกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งเณรจกก็มองไม่เห็น เณรจกเล่าว่าเขาก็รู้สึกงง ไอ้จะเดินเข้าไปถาม ด้วยตนเองก็ยังรู้สึกง่วงนอนอยู่ ก็เลยเดินกลับกุฏิ พอรุ่งเช้าหลังจากฉัน อาหารเช้าแล้ว หลวงปู่ได้เล่าว่า เมื่อคืนตอนตีหนึ่งผมกำลังขุดดินเพื่อจะปลูกกล้วยอยู่ ย่าศรีนวลเขามาขออยู่ด้วย ผมก็เลยรับปากเค้าไปว่าอนุญาต และจะบอกให้คนเขามาสร้างศาลให้ พอดีโยมหนูเข้ามาหาหลวงปู่พอดี ท่านก็เลยบอกว่าโยมไปหาศาลา 4 เสาที่เป็นไม้มาให้สักหลังหนึ่งซิ ฉันจะตั้งศาลให้แม่ศรีนวลเค้าหน่อย คุณโยมหนูรับคำจัดหาให้ แล้วกราบเรียนถามว่า จะทำพิธีตั้งศาลเมื่อไหร่และทำการตั้งศาลที่ไหนหละครับ หลวงปู่ท่านก็จึงบอกว่าพรุ่งนี้เช้าตอน 9 โมงเช้าก็แล้วกัน ตั้งบริเวณริมน้ำหน้ากุฏิฉันก็ได้ ให้เตรียมของไหว้บูชามาให้ด้วยก็แล้วกัน ไม่ต้องนำเอาอะไรมามากหรอก ผลไม้ อาหาร ดอกไม้ ธูปเทียน และน้ำก็พอ คุณโยมหนูรับคำแล้ว ก็ขอตัวลงไปจัดหาของตามที่ต้องการ
       
       พอรุ่งเช้า เวลา 9 โมงตรงหลวงปู่ก็ให้คุณโยมหนูตั้งศาล ที่ริมน้ำหน้ากุฏิท่าน และสั่งให้ตั้งเครื่องบูชา ท่านเดินไปในกุฏิของท่าน หยิบกาน้ำมาด้วย พร้อมกับเทน้ำลงบนพื้นดินเป็นทาง ตั้งแต่หลังกุฏิของท่านมาสู่ศาลที่ตั้งใหม่ แล้วก็สั่งว่า ห้ามใครข้ามหรือเหยียบรอยน้ำนี้เป็นอันขาด ต่อมาไม่นาน เผอิญภรรยาคุณโยมหนูคงจะลืม หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ โยมได้เหยียบรอยน้ำนั้น หลวงปู่เหลือบมาเห็นเข้า ท่านก็หัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอแต่ท่านก็มิได้พูดอะไร เมื่อราดน้ำเสร็จแล้วท่านก็บอกให้คุณโยมหนูและภรรยาจุดธูปเทียนบูชา แล้วท่านก็ขอตัวไปทำงานต่อ
       
       ต่อมาเวลาเช้าของวันใหม่ คุณโยมหนูได้พยุงภรรยามากราบ ท่านก็ถามว่า"อ้าวเป็นอะไรหละ เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย
       
       คุณโยมหนูได้เรียนต่อท่านว่า "เมื่อวานนี้ช่วงตั้งศาล ตอนที่หลวงปู่ราดน้ำเสร็จพอดีภรรยาผมเผลอไปเหยียบรอยทางน้ำนั้นเข้า พอกลับไปบ้าน เท้าข้างนั้นก็บวมขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ พาไปหาหมอหมอก็บอกว่า คงจะเป็นโรคบวมน้ำ แล้วก็ให้ยามาทาน ผมเห็นแกไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน แล้วเมื่อวานนี้แกก็เผลอไปเหยียบน้ำที่หลวงปู่ราดนั้นเข้า รุ่งขึ้นเช้าขาจึงบวม คงจะเกี่ยวกับรอยน้ำนั้นเป็นแน่ จึงพามากราบขอให้หลวงปู่เมตตาช่วยอนุเคราะห์ด้วยเถิด ครับ"
       
       หลวงปู่ท่านก็มองที่ขาของคุณโยมอีกครั้ง แล้วท่านก็บอกว่า ไม่มีอะไรหรอกศรีนวลมันคงจะหยอกเล่นน่า ไปกราบขอขมาเค้าที่ศาลซะ เดี๋ยวก็หาย คุณโยมหนูจึงได้พยุงภรรยาไปขอขมาต่อศาลย่าศรีนวล ผลปรากฏว่าพอรุ่งเช้าภรรยาของโยมหนูก็หายจากเท้าบวมเป็นปลิดทิ้ง ดูช่างประหลาดและแปลกดี
       
       ตั้งแต่ตั้งศาลขึ้นมา ก็มีผู้เดินทางมาจากที่ใกล้ไกล หลายคน รู้จักหลวงปู่มาก่อนแต่พอหลวงปู่ได้จากพวกเค้ามา พวกเค้าก็ไม่รู้จะไปหาหลวงปู่ได้ที่ไหน อยู่ๆ ก็นอนฝันไปว่า มีผู้หญิงผมยาวหน้าตารูปร่างสวยงามแต่งชุดแบบสาวชาววังโบราณ ไปบอกพวกเค้าว่า ให้มาทำบุญกับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านอยู่ที่จังหวัดนครปฐม กำลังจะสร้างวัด ทุกคนที่มาจากที่ไกลๆ ก็จะพูดกันว่าแปลก อยู่ดีๆ ก็ฝัน แล้วก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แถมยังเป็น จริงอีกเพราะมาแล้วได้พบหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็หัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ แล้วท่านก็พูดว่าคงจะเป็นอีศรีนวลมั้ง แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรต่อไปอีก
       
       มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ท่านป่วยมาก มีไข้ขึ้นสูง และถ่ายอยู่ตลอดเวลา ท่านใช้ให้เณรรัชดาไปตามโยมหนูให้มารับท่านไปส่งโรงพยาบาล แล้วท่านก็สั่งข้าพเจ้าให้เตรียมสบงและอังสะไว้ให้ท่าน เพื่อจะได้นำไปใช้ในโรงพยาบาล ครู่ต่อมาเณรรัชดา เดินมาบอกหลวงปู่ว่า รถมารับแล้วจอดอยู่ที่หน้าลานโพธิ์ ท่านลุกขึ้นมาห่มจีวร แล้วเดินออกจากกุฏิไม้ไผ่ของท่าน ข้าพเจ้าสะพายย่ามเดินตามหลวงปู่ ทีแรกข้าพเจ้าเดินตาม แต่พอเห็นท่านเดินนำข้าพเจ้าไปตั้งไกลแล้ว กลัวจะไปขึ้นรถไม่ทัน ข้าพเจ้าก็เลยต้องวิ่งตาม พอมาถึงรถเห็นท่านนั่งรอข้าพเจ้าอยู่ในรถแล้ว ข้าพเจ้าเหงื่อแตก แต่ดูท่านนั่งพิงพนักเก้าอี้หลับตาเป็นปกติอยู่ เมื่อขึ้นรถได้แล้วคนขับก็รีบขับรถออกไปทันที ขณะที่รถวิ่งไปโรงพยาบาลข้าพเจ้าก็มานั่งคิดในใจว่า อะไรวะ เราก็ทั้งเดินทั้งวิ่งตามหลังหลวงปู่ มองดูท่านเดินก็ธรรมดา แต่ทำไมเราวิ่งแล้วก็ยังไม่ทันมาเปิดประตูรถให้ท่านอีก หลวงปู่ท่านสั่งโยมหนูให้ไปส่งท่านที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา พอไปถึงหมอได้ถามอาการของหลวงปู่ เมื่อหมอทราบว่าท่านถ่ายบ่อยมาก และมีไข้ขึ้นอยู่ตลอด คุณหมอจึงนำปรอทมาวัดไข้ ปรากฏว่า ปรอทไม่ขึ้น นั่นก็หมายความว่า อาการไข้ไม่มีในตัวหลวงปู่ แต่ข้าพเจ้าลองจับแขนของหลวงปู่ดู ผลปรากฏว่าแขนท่านร้อนมาก จนต้องคอยเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวท่านอยู่เสมอ คุณหมอได้ขออุจจาระท่านไปตรวจ ผลปรากฏว่าอาการปกติ แต่คุณหมอบอกว่าหลวงปู่ดูจะอ่อนเพลียมาก หมอได้ขอให้หลวงปู่นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล สัก 3 วัน เพื่อดูอาการ แล้วคุณหมอก็ได้ให้น้ำเกลือแก่หลวงปู่
       
       ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ลูกศิษย์ของท่านได้พากันมาเยี่ยมท่าน นำโดยคุณชวลิต บุนนุช, คุณพงศักดิ์ และภรรยาพร้อมลูกๆ ขณะที่หลวงปู่พักที่โรงพยาบาลได้ 2 วัน ท่านบอกแก่ข้าพเจ้าและพระวสุให้ทราบว่า ให้ไปคอยรับ "ท่านชอบ" หรือที่พวกเราเรียก "หลวงปู่ชอบ" ลงจากรถ และมีบุรุษพยาบาลนำรถเข็นไปรับท่านที่หน้าโรงพยาบาล และห้องที่พวกเราพักอยู่มันก็อยู่ชั้น 3 หลวงปู่ของเราท่านก็นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง ไม่ได้ลุกออกมามองทางหน้าต่างเหมือนข้าพเจ้า น่าแปลกที่ท่านทราบได้อย่างไรว่า"หลวงปู่ชอบ" กำลังมาที่โรงพยาบาล แต่ก็ช่างเถิด เพราะเหตุลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ จนผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าและพระวสุได้พากันออกไปคอยรับ "หลวงปู่ชอบ" หลวงปู่ชอบท่านได้มาพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงพยาบาลนี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบนมัสการ "หลวงปู่ชอบ" พร้อมกันนี้ท่านเมตตาให้พระแก่ข้าพเจ้าและพระวสุด้วย
       
       หลวงปู่ได้นอนพักอยู่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ครบ 3 วัน อาการป่วยของท่านค่อยทุเลาขึ้นแต่ยังไม่หายขาด ท่านได้สั่งให้คุณหมอพินิจมารับท่านกลับที่พักสงฆ์ธรรมอิสระจ.นครปฐม ครั้นเมื่อมาพักฟื้นอยู่ที่กุฏิของท่านผ่านไปได้วันเดียว อาการไข้ของท่านก็เกิดขึ้นมาอีก ท่านได้ปรารภขึ้นมาว่า ขืนปล่อยให้ป่วยอยู่เช่นนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ เห็นทีจะต้องรักษาตัวเองเสียแล้ว ท่านจึงสั่งให้ข้าพเจ้าและเณรจกไปนำเทียนมาให้ท่าน 14 เล่ม เมื่อได้เทียนมาแล้วท่านสั่งให้ข้าพเจ้า และเณรจกจุดเทียนทั้ง 14 เล่ม นำเทียนไปปักที่มุมกุฏิ มุมละ 1 เล่ม รวม 4 มุม ปักไว้ใต้แคร่ที่ท่านนอน 6 จุด จุดละเล่มตามที่ท่านบอก ที่เหลืออีก 4 เล่ม ท่านสั่งให้ข้าพเจ้าและเณรจกนำออกมาปักไว้ที่หน้าประตูกุฏิทั้ง 4 เล่ม แล้วก็ห้ามพระเณรเข้าไปภายในกุฏิของท่าน โดยบอกให้กลับไปนอนได้ พวกเราก็ออกมาจากกุฏิของท่านด้วยความเป็นห่วงกังวลว่าไม่มีใครคอยดูแล อุปัฏฐากช่วยเหลือท่าน หลังจากเดินออกมาจากกุฏิของท่าน พวกเราก็ได้ยินท่านสาธยายมนต์ จนพวกเราไม่ทราบว่าท่านหยุดสาธยายมนต์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะพวกเราได้กลับมานอนกันหมด
       
       พอรุ่งเช้า พวกเรารีบลุกขึ้นแต่เช้า เพื่อจะมาเตรียมน้ำล้างหน้าและอาหารมาถวายให้แก่หลวงปู่ แต่ปรากฏว่าท่านตื่นก่อนพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าท่านล้างหน้าแล้ว และกำลังจะรดน้ำต้นไม้อยู่ สังเกตดูอาการของท่าน ไม่มีแววของผู้ป่วยอยู่เลย แถมท่านยังหันมาทักว่าตื่นกันแล้วหรือ เดี๋ยวกลับจากบิณฑบาตแล้ว ค่อยมาช่วยหลวงปู่รดน้ำ พวกเราก็รับคำแล้วก็ปลีกตัวออกมาบิณฑบาต หลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านได้แจ้งให้พวกเราได้ทราบว่า วันพรุ่งนี้จะมีคนมานิมนต์ไปฉันเพลที่ราชบุรีให้เตรียมตัวให้ดี ท่านบอกว่า "การเข้าไปสู่ในสกุลของมหาชนให้ถือว่า เป็นการเข้าไปเผยแผ่ศาสนธรรม ถ้าเรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งในสัจธรรมข้อใดมากนัก ก็ให้เอาอย่างพระอัสชิ ที่ท่านสงบสำรวมเรียบร้อยจนเป็นที่ยอมรับ และศรัทธาของผู้ที่ได้พบเห็น"
       
       เรื่องการประกาศเผยแผ่ศาสนาด้วยวิธีนี้ท่านจะเน้นย้ำพวกเราเสมอถ้ามี ความจำเป็นต้องออกไปสู่สังคมของมหาชน หรือสังคมของเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน หรือแม้แต่บางครั้งท่านจะส่งพระเณรให้ออกไปธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ทาง วิญญาณ ท่านก็จะเรียกมาสอนว่า