Print
Hits: 2762

27 ก พ. 2554  14.15 น.  ถอดเทป ระหว่างปฏิบัติธรรม ธรรมะ

อาทิตย์ที่ 4  โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
ใครคนใหม่ ยกมือขึ้น เดี๋ยวรุ่นพี่เข้าไปแนะนำฝึกกรรมฐาน เอ้า บอกซะ เตรียมพร้อม
มาฆะฯ ที่แล้ว สอนให้หลาวปราณแล้วใช่ไม๊ กำหนดให้จุดเล็กลงแล้วใช่ไม๊ ทำได้ไม๊ ใครที่

ใหม่ๆ ก็ถามรุ่นพี่เค้า ใครที่ไม่เคยฝึกเลย ยกมือ  เอ้า ช่วยแนะนำหน่อย บอกหน่อย

อนุเคราะห์ สร้างกัลยาณธรรม กัลยาณมิตร มิตรที่มีน้ำใจ มีธรรม
เดินในจังหวะ ในขั้นที่ 1 รุ่นพี่ให้เอาจิตไว้ในเท้าด้านหลัง ขาด้านหลัง กำหนดจิตอยู่ที่ขา

ด้านหลัง คนใหม่ๆ ยังไม่ต้อง  เดินตามจังหวะไปก่อน เพราะจะทำยาก
ตามรู้ให้ชัดถึงที่ตั้งแห่งจิตที่ขาหลัง ตั้งแต่ท้องขา ขาพับ น่อง ส้นเท้า เฉพาะขาหลัง รู้ให้ชัด

ตั้งแต่ท่อนขาลงไปใต้ตะโพก ท่อนขาด้านบน ท่อนขาพับ ท่อนขาด้านล่าง ส้นเท้า เป็นเส้น

ทางของการเดินปราณ มันจะทำให้พัฒนาการของกระดูกเราดีขึ้นด้วย อายุยิ่งมาก เอาแต่

นั่งๆ นอนๆ น่ะ กระดูกไม่พัฒนาแล้วจะอ่อนแอลง การเดินมันจะทำให้เซลล์กระดูกแข็งแรง

และมีพัฒนาการที่ดี อย่าสนใจความเย็นและความร้อนที่เกิด ตามรู้เฉยๆ
ทีนี้เคลื่อนจิตมาจับอยู่ที่กลางฝ่ามือในเท้าหน้าที่ก้าว  ดูอาการเต้นของกลางฝ่ามือในขณะที่

ก้าวเท้าหน้า ก้าวเท้าข้างไหน ดูกลางฝ่ามือข้างนั้น พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊ เคยสอนมาแล้วใช่ไม๊

เออ ดูซิว่าใจกลางฝ่ามือจะเต้นตุ๊บๆ ไม๊ เวลาก้าวเท้าไปข้างหน้า ฝ่ามือข้างที่อยู่เท้าหน้าข้าง

เดียวกันกับเท้าหน้าที่ก้าว นั่นแหละ มันจะเต้น
จากเท้ามาอยู่กลางฝ่ามือทีละข้าง ก้าวเท้าขวาก็เต้นอยู่ที่ฝ่ามือขวา ก้าวเท้าซ้ายก็จะเต้นอยู่ที่

ฝ่ามือซ้าย ตามดูที่กลางฝ่ามือสลับกัน
เคยสอนแล้วไม่ใช่หรือว่า อย่าเดินกระแทกตีน ไม่อย่างนั้น เส้นกลางฝ่ามือจะกระตุกแรง

มันทำให้ชีพจรหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ ถ้าเดินแบบไม่กระแทกตีน ไม่ลงส้นเท้าเนี่ย เราจะ

รู้สึกได้ว่า ชีพจรกลางฝ่ามือมันจะเต้นน้อยลง เบาลง คนที่มีจิตละเอียดมากๆ จะรู้สึกได้แม้

กระทั่งหลังมือ
จิตจับกลางฝ่ามือไว้ อย่าให้เคลื่อน ก้าวเท้าข้างไหน ก็ให้รู้แรงกระตุกของกลางฝ่ามือของ

ข้างนั้น ข้างเดียวกับเท้าที่ก้าวไปข้างหน้า
สำหรับคนใหม่ๆ ยังไม่ชำนาญเคยชิน ก็เดินรักษาจังหวะ เพื่อประคองจิตให้นิ่งอยู่ก่อน ลูก

เพราะรุ่นพี่ กว่าเค้าจะทำได้ขั้นนี้ เค้าฝึกมา 2 ปีแล้ว ไม่ง่าย เพราะจิตเรายังหยาบอยู่ กว่า

จะรับรู้ได้เนี่ย มันเป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่หลวงปู่มาสะกดจิต หรือมาเสก

บันดาลให้มันเกิด มันเป็นความมหัศจรรย์ของจิตเราที่ละเอียด ลุ่มลึก มีปัญญา รู้แจ้งชัด

ตามความเป็นจริง กล่อมเกลาขัดปราณให้แหลมคม ยิ่งเล็ก ยิ่งคมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น

ประโยชน์ต่อต่อมหมวกไตภายในได้มากเท่านั้น
มันจะต้องเดินเข้าไปในหลอดเลือดฝอยให้ได้
ลองพิสูจน์ความจริงดังต่อไปนี้  ลองเดินกระแทกตีนดูซิ แล้วดูซิว่า ใจกลางฝ่ามือจะเต้น

แรงกว่าเก่าไม๊ แรงกว่าเก่าไม๊ เออ เดินไปซักพักนึง แล้วเดี๋ยวต้องเปรียบให้ได้ว่า เดิน

กระแทกตีนแล้วกลางฝ่ามือกระตุกแรง กับเดินเบาๆ เนิบนาบ ใจกลางฝ่ามือจะมีปราณสุ

ขุมปรากฏไม๊ คราวนี้เดินไปก่อน ปราณลักษณะนี้ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ ยังรุนแรงเกินไป

มันไม่สามารถชำแรกลงไปในเส้นเลือดฝอยได้ อาจจะทำให้โป่งพองถึงแตก
ต้องทำให้ปราณแหลมคม และสุขุม สงบ มีฤทธิ์ทะลุทะลวง แต่ไม่เบ่งดัน
เอ้า ทีนี้ ลองปรับมาเดินแผ่วเบาซิ ไม่ต้องกระแทกตีน ดูซิว่า กลางฝ่ามือเต้นสุขุมลงไม๊
ทีนี้ดูทั้ง 2 ฝ่ามือ สังเกตุดูซิว่า ทั้ง 2 ฝ่ามือ มีการเต้นไม๊ จิตจับอยู่ที่กลาง 2 ฝ่ามือ

ต้องตอบให้ได้ว่า ข้างไหนเต้นแรง เต้นเบา ตรึก รู้จักตรึก ขั้นนี้อยู่ในขั้นปฐมฌาณแล้ว 

การตรึก การตรอง การวิเคราะห์ วิตก วิจารณ์ ตรึกอยู่ในกรรมฐานที่ตัวเองกำลังทำ ซ้าย

หนักกว่าขวา หรือขวาหนักกว่าซ้าย แล้วสาเหตุของการหนักมาจากอะไร จากการที่เราก้าว

ไปข้างหน้า ข้างขวาจึงหนัก หรือก้าวไปข้างหน้า ข้างซ้ายจึงหนัก หรือข้างเดียวกับข้างที่เรา

ก้าว มันจึงหนัก ต้องวิเคราะห์ให้ได้ด้วย ค้นหาคำตอบ อย่าทำด้วยความเชื่อ ต้องพิสูจน์

เห็นไม๊ว่า แม้หลังฝ่ามือก็มีกระตุก
เดินขั้นที่ 2 ผ่อนคลาย เดี๋ยวจะเครียดเกินไป
อ้ายหนู ไปเอาน้ำเตรียมมาเลี้ยงกันซิ ลูก น้ำเก็กฮวย ใบเตยน่ะ
ขั้นนี้ผ่อนคลาย  แขนก็แกว่งไปตามเหตุปัจจัย บางคนอาจจะรู้สึกว่า มือบวม ตีนบวม หัว

บวม ตัวบวม หน้าบวม ให้รู้ไว้ด้วยว่า แสดงว่า ต่อมหมวกไตเริ่มจะแย่แล้ว ต้องทำจน

กระทั่งมันหยุดบวม  ไม่ใช่บวมแล้วก็เลิกทำ ไม่ได้  แสดงว่าเราไม่คิดจะรักษามัน เพราะ

ในขณะที่เราเดินเนี่ย สมดุลในการที่จะปรับดี คือคงที่ มันไม่กระโดด มันไม่วิ่งขึ้นวิ่งลงเร็ว

แสดงว่าท่อน้ำทั้งหลายที่อยู่ในกายเรา มันเริ่มอุดตันแล้ว
พอปรับความดัน ปรับความสมดุล ความดันเลือดเบาลง ชีพจรเต้นน้อยลง อาการในกาย

เหมือนดั่งปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติมันมีอยู่ มันก็แสดงอาการให้เห็น งั้นยิ่งต้องทำให้มากขึ้น

เพื่อละลายไขมันที่เกาะตามผนังท่อต่างๆ เรียกว่า ล้างท่อให้สะอาด เพราะในขณะที่เราเดิน

เพ่งปราณนั่นน่ะ เรายังไม่นำมันมาใช้ ความดันในเลือดก็จะเบาลง ชีพจรก็จะเต้นน้อยลง

หัวใจก็จะสูบฉีดน้อยลง แต่เลือดลมที่มันจะต้องเดินกับท่อว่างๆ มันก็จะเดินไปโดยอัตโนมัติ

แต่ทีนี้ท่อหลายคนมันไม่ว่าง มันตีบไปด้วยขยะไขมันตีบ  มันก็เลยต้องอาศัยความดันใน

กายมากขึ้น ความดันในต่อมหมวกไตเยอะขึ้น มันก็เลยเกิดอาการประท้วงขึ้นมาว่า เนี่ย

เลือดลมนี้เหนือต่อมหมวกไตทั้งหลาย มันทำงานไม่เหมือนกับคนที่ออกแรง
เพราะงั้น วิธีแก้ก็คือ ต้องทำให้เยอะขึ้น ทำให้มากขึ้น ทำจนกระทั่งมันหายบวม เห็นบาง

คนตกใจ เมื่อคราวที่แล้ววิ่งมาหา บอกนี่บวมทั้งตัวเลย ดูซิ มือบวม
ไม่มีวิชาที่ไหนในโลก เค้าทำแล้วเห็นผลได้ทันทีอย่างนี้หรอก แต่มันเห็นผล ไม่ใช่เห็นผล

ในทางบวกนะ เห็นผลอย่างนี้ เค้าเรียกเห็นผลในเชิงลบ ด้วยเหตุผลว่า มันแสดงถึงอาการ

ภายในกายที่มันบกพร่อง ทำให้เรารู้ตัวว่า เราต้องหาวิธีแก้ไขมัน
ให้เดินผ่อนคลาย ก็ผ่อนคลายให้เต็มที่ ขั้นต่อไปจะยากยิ่งกว่านี้อีก จะให้เดินปราณตาม

ปลายนิ้ว เพราะงั้น ตอนนี้ผ่อนคลายให้มากขึ้น
พอ  เข้าสู่ขั้นที่ 1  กำหนดปราณกลางฝ่ามือ 2 ข้างก่อน เริ่มเลื่อนมาที่ปลายนิ้วชี้ 2

ข้างซิ
เลื่อนปราณลงมาที่ปลายนิ้วชี้ 2 ข้าง ตัองกระชับปลายนิ้วชี้ ไม่ใช่นิ้วชี้
ดูซิว่า ปลายนิ้วชี้เราเต้นตุ๊บๆ ไม๊ ข้างนิ้วก็ไม่ได้ แท่งนิ้วก็ไม่ได้ ต้องปลายนิ้วอย่างเดียว
บอกแล้วว่า ซื่อตรง มั่นคง แม่นยำ ปลายนิ้วชี้ของฝ่ามือ 2 ข้าง อย่าตกใจกับอาการไหล

ของปราณว่า เราจะสูญเสียปราณออกไปโดยเปล่าประโยชน์ ปกติธรรมชาติปราณมันก็

ไหลออกไหลเข้าอยู่แล้ว แต่นี่เราบังคับให้ท่อมันเล็กลง เราก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามัน

ไหลออกรุนแรง มีลมร้อนออกจากปลายนิ้วชี้อยู่อย่างต่อเนื่องและแรงขึ้นๆ อย่ากลัว นั่น

แสดงว่า เราทำให้ปราณมันเล็กลง เรียวลง แหลมขึ้น เรียกว่า สำเร็จประโยชน์ไปได้ใน

ระดับหนึ่งแล้ว ไม่ออกซ่านไปทั้งฝ่ามือ นิ้วมือ แท่งมือ
แค่ปลายนิ้วก็ถือว่า ใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ขั้นนี้ ยังนำเอามาใช้ไม่ได้ มันต้องเล็กดั่ง

ปลายเข็ม อยู่ที่ปลายนิ้ว 2 ข้าง
ฝึกต่อ  เคลื่อนจากปลายนิ้วชี้มาอยู่ที่ปลายนิ้วกลาง คนที่อยู่ในวิถีแห่งปราณแล้วเนี่ย

เหมือนน้ำที่อยู่ในแม่น้ำ มันจะไหลไปทางไหนก็ง่ายมาก ถ้าใครที่ยังไม่ได้อยู่ในวิถีแห่ง

ปราณ มันทำยากล่ะ
เดินในขั้นที่ 2  คลายปราณ
หยุดอยู่กับที่ หลับตา
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กว้าง ลึก เต็ม  ปวดตรงไหน เมื่อยตรงไหน ให้ลมผ่านไปจุดนั้น แล้ว

ขับเอาของเสียออกมา ปวดหลังก็ให้ปราณเดินผ่านไปที่หลังแล้วหายใจออก ปวดขาก็ให้

ปราณเดินผ่านลงไปที่ขา ปวดไหล่ ปวดบ่า ปวดคอ ตรงไหนที่มันสึกหรอ มันเปลี้ย มันปวด

ให้ปราณเดินผ่านจุดนั้น แล้วหายใจออก ขับเอาของเสียออกมา  ตรงไหนที่เมื่อย ที่ปวด ให้

ลมปราณเดินผ่านไปจุดนั้น แล้วขับของเสียออกมาจากลมหายใจออก หายใจเข้าแล้วนำลม

ไปผ่านจุดนั้น
เอ้า ทีนี้ สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม  หายใจออก เบา ยาว หมด
พักนิดนึง
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง ลงไปที่

กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ใต้สะดือ เหนือสะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ

ออกปาก
พักนิดนึง
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง ลงไปที่

กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ใต้สะดือ เหนือสะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ

ออกจมูก
พักนิดนึง
หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ทรวงอก ลิ้นปี่ ช่องท้อง เหนือสะดือ ใต้สะดือ หัวเห

น่า ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ต้นคอด้านหลัง กระโหลกศีรษะด้านหลัง

กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล

2 ข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก
สูดลมหายใจเข้า  จากปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน

หัวไหล่ 2 ข้าง มารวมกันที่ต้นคอด้านหลัง กระโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้า

ผาก ออกจมูก
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม หายใจออก  เบา ยาว หมด ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ไป

รับน้ำมาดื่ม ลูก  พอ