13    ม ค 2556   15.00 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (เดินขั้นที่1 ภาคที่ 1,2,3, ขั้นที่ 2, 3, จิตตั้งมั่นที่กลางกระหม่อม, เพ่งจิต, เพ่งอารมณ์,เพ่งอาการ)

(กราบ)
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำหน่อย
..................
เดินเพื่อฝึก ตัวรู้ ไม่ใช่ฝึกตัวเลอะเลือน เดินล่องลอย
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน รู้ ทุกขณะที่ก้าว
................
อย่าลืมว่า เราไม่ได้ฝึกสมาธิ
สมาธิ มันต้องการความนิ่ง ความสงบ ความเงียบ
สิ่งที่เราฝึก คือ วิถีของปัญญา นั่นคือ สติ สัมปชัญญะ
ขอเพียงมี ตัวรู้, รู้ อยู่ในขณะที่ทำ
ให้ ตัวรู้ ตั้งมั่นอย่างต่อเนื่อง
................
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
เพราะขาดความต่อเนื่อง ขาดอธิษฐานธรรม ขาดสัจจะ
.................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่แนะนำ
................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
รุ่นพี่ช่วยแนะนำด้วย
.................
ขยับขึ้นขั้นที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
.................
ขยับขึ้นขั้นที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือ รุ่นพี่ช่วยชี้แนะ
................
หยุดอยู่กับที่
หลับตา
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
กัก ลมทั้งไว้
...............
แล้ว ผ่อนออกมา เบาๆ ยาวๆ ให้หมดจด อย่างผ่อนคลาย
..................
หายใจเข้า ไปใหม่ ช้าๆ กว้าง ลึก ต็ม
...............
แล้วค่อยๆ คลายลมออก เบาๆ ยาวๆ ช้าๆ อย่างหมดจด แล้วก็ผ่อนคลาย
..................
ส่งความรู้สึก เข้าไปในกาย
ดูซิ 2 เท้า รับน้ำหนักเท่ากันไม๊
ไม่ใช่ก้ม แต่ส่งความรู้สึก
....................
ตะโพก เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเปล่า
จัดระเบียบของกาย ของอารมณ์ และ จิต และความนึกคิด
2 แขน ทิ้งดิ่งข้างลำตัว มือเกร็ง กำไม๊
นิ้ว กำอยู่หรือไม่ ให้ผ่อนคลายที่สุด
หัวไหล่ ไม่ลู่ไปข้างใดข้างหนึ่ง
ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ให้ขนานกับพื้น
คอ ให้ตั้งฉากกับหัวไหล่
คาง ไม่เชิด ไม่ก้ม ไม่เงย
ตา มองตรงไปข้างหน้า ลืมตา เปลือกตาลงต่ำเล็กน้อย
......................
จิต ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม, รู้ อยู่ที่กลางกระหม่อม
สัมผัส ได้ที่กลางกระหม่อม, เข้าใจ รับรู้ อยู่ที่กลางกระหม่อม
เพ่งจิต ไว้ที่กลางกระหม่อม
 จิต เมื่อตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม ก็มีตัวรู้ อยู่ที่กลางกระหม่อม
 ตัวรู้ นั้น คือ พระพุทธะ แต่ยังไม่ตื่น ยังไม่เบิกบาน มีแต่ ตัวรู้ เฉยๆ
................
ให้ รู้ ให้ได้ที่กลางกระหม่อม, นิ่ง อยู่ที่กลางกระหม่อม
ตั้ง อยู่ที่กลางกระหม่อม, มั่นคง อยู่เฉพาะกลางกระหม่อม
..................
ลืมตา
................
รู้ อยู่เฉยๆ ที่กลางกระหม่อม
...............
ลองค่อยๆ กลับหลังหัน แล้ว ตัวรู้ ยังอยู่กลางกระหม่อม หรือไม่
....................
ขณะที่หัน ก็ยัง รู้ อยู่ที่กลางกระหม่อม
..................
ไม่ให้ ตัวรู้ หลุดเลื่อน หรือ เคลื่อนไปไหน
.....................
ประคอง ตัวรู้ ให้ตั้งมั่นอยู่เฉพาะ กลางกระหม่อม
..................
ยัง รู้ อยู่ที่กลางกระหม่อมไม๊
.................
ถ้าแนบแน่น มั่นคง แล้ว
นั่งลง พร้อม ตัวรู้ ตั้งอยู่กลางกระหม่อม
....................
รักษา ตัวรู้ ไว้เฉพาะที่กลางกระหม่อม
....................
ไอร้อน ไออุ่น เย็น ไม่ต้องสนใจ
...................
รู้ เฉยๆ อยู่ที่กลางกระหม่อม ไม่มีเรื่องอะไรต้องรู้
...................
อาการอย่างนี้ เค้าเรียก เพ่งจิต
...............
ต่อไป เพ่งอารมณ์
เพ่งอารมณ์ ก็คือ ให้ รู้ ว่าที่กลางกระหม่อม ปรากฏอะไร
ร้อน หรือ เย็น ปราณที่พวยพุ่งขึ้นมา
เพ่งปราณ เรียกว่า เพ่งอารมณ์
คือ ความรับรู้ในสิ่งที่ปรากฏ
..................
ถ้า รู้ เฉยๆ เรียกว่า เป็นการเพ่งจิต
....................
ถ้า รู้ สิ่งที่เกิดขึ้น เรียกว่า เพ่งอารมณ์
................
เพ่ง ไอร้อน ที่ปรากฏขึ้นที่กลางกระหม่อม
หรือ ไอเย็น บางคน ที่ปรากฏขึ้นที่กลางกระหม่อม
เพ่ง แล้วนิ่งอยู่เฉยๆ
.................
ลืมตา ไม่ให้หลับตา
.................
พระพุทธะ ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม
แต่ยังไม่ตื่น แล้วยังไม่เบิกบาน แค่ รู้ เฉยๆ
...................
อย่าให้ จิต เคลื่อนจากปราณที่ปรากฏ
....................
รักษา ปราณ เอาไว้
......................
อย่าหลับตา เดี๋ยวจะวูบ
...................
ไม่ต้องสนใจ ลมหายใจ
...................
ทีนี้ เพ่ง อาการ
อาการ ก็คือ ชีพจรที่เต้นอยู่ที่กลางกระหม่อม
สัมผัสให้ได้
....................
ได้ไม๊ ชำแรกจิตเข้าไป
สัมผัส ชีพจร ที่เต้นอยู่ที่กลางกระหม่อมให้ได้
..................
นิ่ง อยู่กับชีพจรที่เต้นอยู่ที่กลางกระหม่อม
อย่าให้เคลื่อน
.................
พอ รู้ ชีพจร ที่กลางกระหม่อม
ก็ดันไป รู้ ชีพจรที่เต้นอยู่ที่คอ ลำคอทั้ง 2 ข้าง
ก็ไม่ต้องสนใจ เอาเฉพาะที่กลางกระหม่อม
..................
เอ้า ทีนี้ คลาย จิต ออกจาก การเพ่ง ชีพจร, ทำให้ว่าง
....................
ไม่มีการเพ่ง มีแต่ความ วาง แล้ว ว่าง ผ่อนคลาย
ลืมตา
...............
สมองว่าง กายว่าง ใจว่าง วาจาว่าง อารมณ์ว่าง ความรู้สึกว่าง
ความว่างมีอยู่ 2 ลักษณะ
สภาวะธรรม ว่าง กับ อารมณ์ ว่าง
สิ่งที่กำลังทำ คือ ทำอารมณ์ ว่าง
.....................
แต่สภาวะธรรมว่าง ต้องใช้ปัญญาสูงสุด
ในการมองสรรพสิ่งให้เป็นของว่าง
...................
นั่นเป็นเรื่องของ พระอริยเจ้า ที่ต้องพัฒนาขึ้นไปอีก
.................
ตอนนี้ แค่ทำอารมณ์ให้ ว่าง
..................
สมองว่าง ใจว่าง อารมณ์ว่าง จิตว่าง กายว่าง วาจาว่าง
.................
ในความว่าง ไม่มี ลมหายใจ เพราะงั้น อย่าไปสน ลมหายใจ
....................
มีแต่คำว่า ว่าง กับ ว่าง
..................
ในความว่าง ไม่มีชีพจร
...................
คลาย จากชีพจร ซะ
......................
คลาย อย่างไร
รู้ อยู่, แล้วไม่ปรุง ไม่ยึดถือ
มันจะเป็น มันจะเต้น มันจะดิ้น
ปล่อยมันเป็นธรรมชาติ
......................
เหมือนกับ ตา เรามองทุกอย่าง แต่จับเฉพาะ จุดใดจุดหนึ่ง
แต่ทุกอย่าง ไม่ใช่ไม่เห็น, เห็น แต่ไม่สนใจ
................
เราเห็น และสนใจ เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง นั่นคือ ความว่าง
.................
เมื่อ ว่าง แล้ว ลุกขึ้น ยืน, พา ความว่าง ยืนขึ้น
...................
ยืนขึ้นมา แล้วสำรวจดูว่า ยัง ว่าง อยู่ไม๊
...................
กายว่างไม๊ สมองว่างไม๊ อารมณ์ว่างไม๊ จิตว่างไม๊
ความรับรู้ รู้สึก ว่างไม๊
..................
เมื่อความว่าง ตั้งมั่น
ลองมองไปในทิศทั้ง 4 ให้ครบซิ แต่ละทิศ ว่างไม๊
....................
ต้องให้ ว่าง ให้ได้ทั้ง 4 ทิศ จึงจะเป็นมงคลกับชีวิต
................
 ว่าง ทีละทิศ
อย่าทำพฤติกรรม อำพราง และคลุมเคลือ ต้องชัดเจน
.................
ทิศไหน ไม่ว่าง หยุดอยู่กับที่ เพื่อทำให้ว่าง
เพราะถ้าทิศไหน ไม่ว่าง ทิศนั้น เป็นอัปมงคลสำหรับเรา
มันจะมี ราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีตัณหา มีอวิชชา มีอุปาทาน
มีกิเลส มีอาสวะ แสดงว่า เป็นอัปมงคล เป็นของสกปรก
................
ถ้า ว่าง ได้ในทิศทั้ง 4 ถือว่า เป็นมงคลกับชีวิต
....................
ว่าง ครบทั้ง 4 ทิศ แล้ว
พา ความว่าง เดินไป ด้วยพลังขับเคลื่อนแห่งความว่าง
ไม่ใช่เดินด้วยความอยาก ไม่ใช่เดินด้วยตัณหา
ไม่ใช่เดินด้วยอวิชชา ไม่ใช่เดินด้วยอุปาทาน
ไม่ใช่เดินด้วยราคะ ไม่ใช่เดินด้วยโทสะ ไม่ใช่เดินด้วยโมหะ
แต่เดินด้วย ความว่าง
.....................
ไม่ได้สอนคนพิการ ไม่ได้สอนคนตาย
แต่กำลังสอนคนที่เป็นปกติ ที่สามารถจะพัฒนา
ให้กลายเป็นมนุษย์ ที่มีใจสูงได้
.................
ใจสูง ไม่ใช่มีเฉพาะนั่ง ไม่ใช่มีเฉพาะยืน
ไม่ใช่มีเฉพาะเดิน หรือไม่ใช่เฉพาะนอน
ความเป็นมนุษย์ที่พัฒนา เป็นผู้มีใจสูง ต้องทำได้ทุกอิริยาบถ
ต้อง สูง ให้ได้ทุกอิริยบถ
....................
หยุดอยู่กับที่ หลับตา
..................
สำรวจดูซิยัง ว่าง อยู่ไม๊
.....................
ดู กาย ก่อนว่า, กาย ว่างไม๊
...................
ดู สมอง ก่อนว่า, สมอง ว่างไม๊
.................
ดู วาจาว่า, วาจา ว่าง ไม๊
..................
แล้วดู ใจว่า, ใจ ว่าง อยู่หรือเปล่า
................
เมื่อ ความว่าง ปรากฏขึ้นชัดเจน เพ่ง ความว่าง ไว้
......................
ลืมตา
แผ่เมตตา ไปในทิศทั้ง 4 ว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข หายใจเข้า
สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์ หายใจออก ครบ 4 ทิศ
.....................
จิตที่ว่าง เมื่อแผ่เมตตา มีอานิสงส์มาก เพราะไม่มี ตัวกู
ก็ย่อมมีเหลือเฟือทุกอย่าง ที่จะให้กับสัตว์ทั้งปวงได้
..................
แต่จิตที่ ไม่ว่าง มี ตัวกู ย่อมมีส่วนแบ่งสำหรับกูก่อน แล้วคนอื่นจึงได้
สัตว์ทั้งปวง จึงจะให้ได้ทีหลัง
เพราะงั้น อานิสงส์ ก็จะน้อย และเบาบาง
เพราะ ตัวกู ต้องมีมาก่อน ครึ่งหนึ่ง หรือ มากกว่าครึ่ง
เหลือแล้ว จึงจะเป็นสัตว์ทั้งปวง
....................
ทำให้ครบในทิศทั้ง 4
...................
เราจะแผ่ให้ใคร ก็ได้ประโยชน์สมบูรณ์ในขณะที่จิตว่าง
เพราะ ไม่มี ตัวกู มาขอส่วนแบ่ง
...................
เรียกว่า มีเท่าไหร่ ก็ให้ได้หมด ไม่เสียดาย
.................
เสร็จแล้ว ยกมือไหว้พระกรรมฐาน แล้วเข้าที่ ลูก
.................
(กราบ)
ถวายทาน ว่า นะโม 3 จบ
................
(กราบ)
ผ้าบังสุกุลและสังฆทาน ที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วนะ ลูก ยกให้เป็นสมบัติของวัดและ

มูลนิธิ ฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ สาธารณะสงเคราะห์ ขอท่านทั้งหลาย

อนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร
.................
ตั้งใจรับพร ลูก
..................
(สาธุ)
จำเริญ ลูก ธรรมะรักษา ให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพปลอดภัยทุกคน (สาธุ)
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
...................
พวกมึง ช่วยอะไรกูอย่าง ได้ไม๊
ไปช่วยเขียนหนังสือถึง กรมควบคุมมลพิษ ให้มาตรวจสอบอ้ายโรงงานอาหารสัตว์นี่ที แล้ว

อาทิตย์หน้า มาฟังธรรม เอามาให้หลวงปู่เซ็นต์ ไปช่วยกันเขียนมา หาหลักว่า จะทำยังไงจะ

จัดการ เพราะพูดกับมันมาหลายเที่ยวแล้ว
พวกมึงอยู่แค่นี้ เดี๋ยวก็กลับบ้าน แต่กูต้องทนอยู่ทั้งวันทั้งคืน มันก็พ่นใส่มาอย่างนี้ ทั้งวันทั้ง

คืน จนแสบคอ ระคายคอหมด ก็พูด ไปหาวิธี
มันต้องเขียน แล้วก็ส่งไปให้กรมควบคุมมลพิษ แบบเหมือนคริสตี้ ที่ศาลปกครองเค้าเล่น

งานน่ะ เขียนมาแล้วเดี๋ยวให้สมภารเซ็นต์ เออ มาให้หลวงปู่เซ็นต์ก็ได้ ช่วยกันเขียนมา
นี่ มันจะมาสร้างโรงงานอ้ายนั่นอีกนะ ถลุงเหล็กอยู่ใกล้ๆ ฝั่งตรงข้ามนี่อีก เขียน ไปหาข้อมูล

อ้ายโรงงานหล่อเหล็ก หลอมเหล็ก แล้วถลุงเหล็กเนี่ย มันมีมลพิษอะไรบ้าง แล้วก็เขียน

เดี๋ยวไปส่งให้ อบต. ค้านมันซะก่อน ก่อนมันจะสร้าง ถ้าสร้าง เราค้าน มันยังสร้างไม่ได้

เพราะ ถือว่า มีความผิด เพราะไม่ผ่านประชาวิจารณ์
หาวิธีหน่อยซิ ไปทำมาหน่อยซิ
(กราบ)