Print
Hits: 2207

5 ธ ค 55    ช่วงเช้า ธรรมะวันพ่อ แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

(กราบ)

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชน คนหัวใจสีเหลืองทุกท่าน วันนี้สีเหลืองครองแผ่นดิน สีเหลืองนี่ ไม่ได้หมายถึงการเมือง ไม่ได้หมายถึง ความเชื่อคตินิยม ความนิยมของบุคคลผู้ฝักใฝ่อำนาจ ฝักใฝ่วาสนา ฝักใฝ่บารมีการเมือง แต่สีเหลืองในหัวใจก็คือ ความจงรักภักดีที่เราระลึกถึงคุณแห่งพ่อหลวง ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของพวกเรา ที่ทรงมีพระประสูติกาลในวันจันทร์ สีประจำวันจันทร์ ก็สีเหลือง ทุกคนก็แสดงออกถึงความจงรักภักดี โดยพากันพร้อมใจใส่เสื้อสีเหลือง ซึ่งถือว่า เป็นสัญลักษณ์ชนิดหนึ่ง สัญลักษณ์ที่จริง ไม่มี ก็ไม่จำเป็น เราไม่มีก็ไม่ใช่หมายถึงว่า เราไม่จงรักภักดี ก็ไม่ใช่, เราไม่ได้ใส่สีเหลือง ก็ไม่ได้หมายถึงว่า เราไม่ได้ชื่นชมพระบารมี เราไม่เห็นคุณค่าของพระองค์ ไม่ใช่, แต่เป็นการอัญเชิญสัญลักษณ์เพื่อแสดงพลังของแผ่นดินให้ผู้คนทั่วโลกได้รับรู้ ได้ประจักษ์ว่า คนไทย แผ่นดินสยาม มีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยอย่างสุดชีวิตจิตใจ ยอมพลีได้แม้กระทั่งชีวิต เลือดและเนื้อ เพื่อเป็นพลี รองใต้เบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน เพราะตลอดระยะเวลา 60 กว่าปีที่พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจครองราชย์ขึ้นมาเนี่ย ก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ของปวงชนโดยไม่ได้มุ่งหวังว่า จะได้อะไรตอบแทน

ความดีเหล่านี้ เป็นน่าจะเป็นความดีที่เป็นที่ประจักษ์ได้ ไม่ใช่เฉพาะชาวไทย ชาวโลกก็น่าจะรับรู้และประจักษ์ได้ งั้น การแสดงออกซึ่งความรักอันสูงสุด ความบูชาอันสูงสุด ความเทิดทูนอันสูงสุด ความเคารพยอมรับอันสูงสุดของคนไทย ด้วยการทำดีในเชิงสัญลักษณ์ ก็ไม่ได้เสียหาย ไม่ได้ผิดอะไร

ดีเสียอีก มันกลายเป็นพลังให้กับคนที่จะคิดไม่ดี ทำไม่ดี หรือ พูดไม่ดี ต่อสถาบัน ต่อชาติ ต่อประเทศ ต่อความรักอันยิ่งใหญ่ที่เรามีต่อล้นเหล้าทั้ง 2 พระองค์ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้รู้สึก สำนึก รับรู้ได้ว่า เค้าไม่ควรจะทำอะไรเหิมเกริมมากเกินไปนัก เพราะการกระทำเช่นนั้น มันเป็นการย่ำยี เหยียดหยาม เบียดเบียน เรียกว่า ทำร้ายทำลายหัวจิตหัวใจของผู้คนในชาติทั้งประเทศ เค้าจะได้ระมัดระวัง

งั้น การใส่ ทำดีเชิงสัญลักษณ์ ก็ถือว่า ส่วนหนึ่ง ก็เป็นการแสดงความจงรักภักดี อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นการปรามผู้คน หรือ ปรามคนที่มันจะไม่ดี หรือ คิดไม่ดี ให้ตระหนักสำนึก ระลึกรู้ได้ว่า อย่า เหิม   เกริมเกินไปนัก อย่าทำตัวมีอำนาจบาตรใหญ่มากไปนัก ถ้าเราได้ไปสัมผัส เหมือนกับตอนที่หลวงปู่ไปอุดรฯ แล้วนั่งเครื่องบินลำเดียวกับมันมาเนี่ยนะ เราจะรู้ว่า มันอำนาจบาตรใหญ่มาก มันเหิมเกริมมาก มันคับประเทศ คับแผ่นดิน ถึงได้บอกว่า อยากภาวนาให้เครื่องบินมันตก กูตายไม่ว่า ให้มันตายด้วย เพราะว่า ไปกันหมดเลย โหวงๆ เหวงๆ ไปหมดแหละ เจอกันหมดล่ะ

แต่ว่า อันนั้น มันเป็นเรื่องของอารมณ์ชั่ววูบ คิดชั่วแวบหนึ่งว่า คือ คนไม่ดี อยู่แล้วมันจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย แผ่นดินเดือดร้อน และสังคมต้องมีอันแตกร้าว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เค้าได้ตระหนักสำนึกระลึกรู้

ที่จริง คนไม่ดี มันพัฒนาได้ไม๊

พัฒนาได้ ลูก โจรมันยังเป็นอรหันต์ได้เลย พัฒนาได้ ถ้าเค้ารู้ เค้าเข้าใจ แล้วเค้ามีสติปัญญาพอ แล้วก็ลดคำว่า อัตตา อีโก้ ตัวกู

อ้ายอัตตา อีโก้ ตัวกู นี่ มันเป็นตัวสร้างชาติภพนะ

พวกท่านทั้งหลายจะรู้หรือไม่ว่า เด็กที่เกิดมาในท้องแม่แรกๆ มันยังไม่มี เค้าถือว่า เป็นภพชาติแต่อดีตที่สั่งสมมา แต่มันยังไม่มีภพชาติต่อไป แต่ถ้าเมื่อใดที่มันมีคำว่า ตัวกู ปุ๊บ ภพชาติมันจะอุบัติขึ้นทันที ภพชาติที่มันจะสืบเนื่องเป็นวันต่อๆ ไป มันจะอุบัติขึ้นทันที

แต่ถ้าเด็กคนไหนที่ไม่มีคำว่า ตัวกู เหลืออยู่เลย เด็กคนนั้นเป็นอรหันต์

งั้น พระอรหันต์ นี่ไม่มีคำว่า ตัวกู ไม่มีคำว่า ญาติกู พวกกู เผ่าพันธุ์กู วงศาคณาญาติกู ไม่มี, พระอรหันต์ ถ้ามีชีวิตอยู่ ก็มีแบบไม่มี ตัวกู ถ้ามี ตัวกู ก็มีชาติ มีภพ ทันที

งั้น พระอรหันต์ เป็นผู้ตัดแล้ว ตัดขาดจากสันดานและวาสนา

สันดานและวาสนา มันเป็นกระบวนการที่เกิดจากคำว่า มี อัตตา, มี ตัวกู, มี อุปาทาน ในขันธ์ทั้ง 5 แล้วมันก็สร้างกระบวนการให้เกิดภพชาติขึ้น, สร้างกระบวนการให้เกิดตัณหา ความทะยานอยาก, เกิดอุปาทาน ความยึดถือ แล้วก็เกิดชาติ เกิดภพ เป็นวันๆ เป็นเดือนๆ เป็นปีๆ เป็นนาที เป็นชั่วโมง แล้วก็ เป็นสัปดาห์ เป็นทุกลมหายใจ

งั้น ชาติภพนี่ เราไม่ได้สร้างกันแค่ลมหายใจเดียว แต่ว่าเป็นชาติเป็นภพ เราสร้างกันทุกลมหายใจ วันนี้ เราถึงได้เป็น นายนี่ นางนี่ ชื่อนี้ ชาตินี้ ตำบลนี้ บ้านนี้ ครอบครัวนี้ นามสกุลนี้ ญาติกูเป็นอย่างนี้ เหล่านี้ ไม่ใช่มาแว๊บหนึ่งแล้วเป็นนะ มันสั่งสมอบรมมาเท่าชีวิตเรา

เมื่อใดที่เราออกมาจากท้องแม่ แล้วก็ยังไม่มีคำว่า ตัวกู แล้วก็มองโลกให้เป็นกลางๆ แสดงว่า นั่น อรหันต์มาเกิดละ งั้น อรหันต์ ก็ไม่ได้เกิดแบบนั้นอีกล่ะ อรหันต์ ถ้าจะเกิดแบบนั้น ก็อยู่ได้ไม่นาน 7 วัน ก็ต้องนิพพาน ต้องดับสูญ แต่เด็กที่เกิดมาแล้วเป็นอรหันต์เลย ไม่มี เพราะเหตุผลว่า พอเกิดมาแล้วมันก็มีคำว่า ตัวกู ปรากฏ

ตัวกู ปรากฏ ตอนไหน

ตอนเด็กมันร้อง, ตอนเด็กมันร้อง, เด็กมันร้อง กูร้อง เออ กูร้อง กูแสบ กูหิว กูกระหาย กูเจ็บ กูปวด

ตัวกู ปรากฏตอนนั้นแหละ

แต่ถ้าหากเด็ก คนไหนเกิดมา เป็นพระเตมีใบ้ ไม่หือ ไม่อือ ไม่ร้อง ไม่ใช่ลูกชั้นเป็นใบ้ อย่างนั้น ก็เป็นอรหันต์ ไม่ใช่นะ เออ จะบอก โอ้โห อย่างนั้น ลูกเรานี่ถ้าจะเป็นอรหันต์เว้ย เพราะ 7 วันนี่ มันไม่ร้องซะแอะ ที่ไหนได้ เป็นใบ้ ลิ้นไก่สั้น ไม่ใช่นะ อ้ายพันธุ์นั้น ไม่ใช่ เพราะไม่มี ตัวกู ไม่ใช่เป็นใบ้ แต่มันไม่มีอยู่ในอุปาทาน คือ ไม่มีความยึดถือ, ตัวกู ไม่มีอยู่ในความยึดถือ

งั้น โจร มันสามารถพัฒนาได้ ถ้าไม่มีคำว่า ตัวกู อีโก้ หรือว่า ตัวกู ของกู เยอะเกินไปนัก มันลดลงได้ มันสามารถพัฒนาได้ ให้เป็นอรหันต์ได้ สีเหลือง สีแดง สารพัดสี เหมือนกัน ถ้า ตัวกู เยอะไป กลายเป็นสีน่าเกลียด งั้น ถ้า ตัวกู น้อยลงๆๆ แล้วมันก็จะกลายเป็นเหมือนกับบริวารบริษัท ที่ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมไม้ร่วมมือ

เราจะสังเกตุเห็นว่า คนที่มาอยู่รวมกันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ถ้าทำความเข้าใจแต่เบื้องต้นว่า เค้าลดความเป็นอัตตาลงไปในระดับหนึ่งนะ จึงจะมาอยู่รวมกับคนอื่นได้ แต่เผอิญอ้ายกระบวนการลดอัตตา มันมีช่องว่างที่คน มาใส่พวก ใส่บริษัทบริวาร ใส่พรรค ใส่ญาติ ใส่อุดมการณ์ อุดมคติ และใส่ความเชื่อ มันก็เลยกลายเป็นว่า อ้ายสิ่งที่ลด คือ ลดอัตตา แต่กลายเป็นไปเพิ่มทิฏฐิ พอลดอัตตาได้แล้ว ดันไปเพิ่มทิฏฐิ ความเห็น ทิฏฐิซึ่งไม่ใช่ มิจฉา ไม่ใช่สัมมา เป็นความเห็น แต่ถ้าไปเจออ้ายคนที่ยัดใส่ทิฏฐิ ความเห็นที่ผิดๆ ก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามีคนมาพูด มายัดใส่ความเห็นที่ถูก มันก็จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ

ทีนี้ คนที่มารวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมากๆ เป็นร้อย เป็นพัน แล้วถ้าได้ฟังสิ่งที่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ เค้ามารวมกันนี่ เค้าลดอัตตาในระดับหนึ่งละ เหมือนๆ กับพวกคุณ มานั่งรวมกันอยู่ตรงนี้ ลดไม๊ อย่างน้อยก็ ตังค์ในกระเป๋าก็ลด เพราะมันต้องเดินทางไกล มันต้องเสียตังค์มา เห็นไม๊ สตางค์ในกระเป๋าก็ลด มันก็ลดในระดับหนึ่งล่ะ ตังค์ในกระเป๋าลด, ท้อง ปกติถ้าอยู่บ้านก็กิน ผึ่งพุง นอนอิ่ม ดูโทรทัศน์ ผึ่งพุง ก็ลดลงในระดับหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ความเป็น ตัวกู มันจะลดลง ลดลง แล้วพอมารวมกัน แล้วมาฟังในสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ฟังนะ พวกนี้จะฟัง ฟังแล้วก็จะเชื่อ เพราะมาด้วยความลดตัวกู ลดอีโก้ลงไง ลดอัตตาลง พอฟังแล้วเชื่อ แล้วถ้าเผอิญมีคนมาพูดเรื่องสัมมาทิฏฐิให้ล่ะ ก็เชื่ออีกเหมือนกัน เพราะลดแล้วไง ลดแล้วมัน ก็ว่าง เพราะงั้น อย่าไปว่า พวกเสือเหลืองก็ตาม เสื้อแดงก็ตาม จริงๆ เค้ามาด้วยใจที่มันลดอัตตานะ แต่เผอิญ เค้ามีผู้นำที่ไม่เป็นบัณฑิต ไม่เป็นปราชญ์ หรือ มีผู้นำที่เป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิต ก็จะแนะนำ สั่งสอนอบรมที่เป็นวิชาการ เป็นความรู้ เป็นสาธารณะ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศ ต่อแผ่นดิน แล้วถ้าเผอิญ มีผู้นำที่เป็นคนที่เป็นคนพาล เป็นคนไม่ดี มีมิจฉาทิฏฐิ ก็จะพูดกรอกหูแต่สิ่งที่วนอยู่ในอ่าง พายเรืออยู่ในอ่าง พูดในสิ่งที่เลวร้าย พูดในสิ่งที่ไร้สาระ พูดในสิ่งที่ฟังแล้วไปเชื่อในทางที่ผิดๆ ผิดจากอะไร ผิดจากทำนองคลองธรรม

ทำนองคลองธรรม คือ อะไร มีอะไรบ้างในความหมายของคำว่า ทำนองคลองธรรม

มันเริ่มต้นจากคำว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กตเวทิตา มนุษย์ต้องมีทำนองคลองธรรม เริ่มต้นเลย ก็คือ เครื่องหมายของคนดี ต้อง กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ ถ้าอ้ายโจรห้าร้อย หรือ พวกคนพาล มันก็จะพูดให้ผิดจากทำนองคลองธรรม คือ ไม่ต้องกตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่ต้องกตัญญูต่อผู้มีคุณ ไม่ต้องกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ไม่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ต้องกตัญญูต่อสถาบัน ไม่ต้องกตัญญูต่อชาติ ต่อทรัพยากร อย่างนี้ ก็ถือว่า ผิดทำนองคลองธรรม

แต่ถ้าคนพูดคนนั้น หรือว่า เรามารวมตัวกัน แล้วมาฟังผู้พูด ผู้พูดผู้นั้น เป็นผู้ที่มีชีวิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ ก็จะพูดให้เข้าใจถึงวิถีแห่งทำนองคลองธรรม ทำนองคลองธรรมเบื้องต้น ก็อย่างที่ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กตเวทิตา

ต่อมาก็ หิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป, สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว, ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม นี่ เหล่านี้ เป็นทำนองคลองธรรม เรียกว่า มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว

ทั้งหมดนี่ เป็นทำนองคลองธรรมที่ปราชญ์ บัณฑิตจะพูดให้กับคนที่ลดอัตตาแล้ว ลดตัวกูแล้ว แล้วมารับฟัง แล้วจะได้เอามาใส่ในสิ่งที่เป็นช่องว่างในส่วนที่เราลดลง คือ ความไม่ดีเราลดลง เราก็จะเพิ่มความดีขึ้น

แต่ณ.วันนี้ เราต้องยอมรับว่า มันมีผู้พูดที่พูดแล้ว เอามัน เยอะ แล้วเราก็บางทีบางครั้ง เราชอบไปฟังเพื่อความมัน บางคนไปไม่ได้มีการลดอัตตาลดอะไร ไปดูว่า มันไม๊, ไปดู สนุกไม๊, ดูว่า บันเทิงไม๊, ดูว่า รื่นเริงไม๊ เหมือนๆ กับเมื่อเช้า กูดูข่าวหนังสือพิมพ์ อ้ายอะไร อ้ายที่เขาใหญ่ เค้าจัดอะไร เออมหกรรมคอนเสิร์ตอะไร มโหฬาร ผู้คนพากันไปเรือนหมื่น ร่วมครึ่งแสนนะ เราก็ยังมานึกว่า คนเหล่านี้ ถ้าได้ฟัง คือไป ได้ลดอัตตาในระดับหนึ่ง ถ้าได้ไปฟังบัณฑิต ฟังปราชญ์ ฟังผู้รู้ มันจะมีประโยชน์ข้ามภพข้ามชาติ เผอิญไปฟังความมัน ความมันกับความเมา มันก็เลยมีโทษ ข้ามภพข้ามชาติ นอกจากเสียตังค์ เสียสุขภาพ เสียอนาคต บางคนเดินทางกลับ ขับรถเมา ชนกันกลางทาง เอ่อ ลงข่าวหนังสือพิมพ์ ตาย โดนประสานงา ตาย เพราะไปดูคอนเสิร์ต ลูกเพิ่งจะเรียนหนังสือชั้นมัธยมปลาย กับเรียนมหาวิทยาลัย น่าเสียดาย ตายทั้งคู่ ทั้งพี่ทั้งน้อง

งั้น ก็เลยอยากบอกว่า การเสพอะไรก็แล้วแต่เถอะ ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือว่า คนเลว มันมีสิทธิ์พัฒนา ขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกเสพ ถ้าเราเลือกเสพในสิ่งที่งดงาม สิ่งที่ดีงาม เสื้อแดง ก็ไม่ใช่ว่า เค้าเป็นคนไม่ดี ถามว่า เค้ามีความจงรักภักดีไม๊ หลวงปู่คิดว่า เค้ามีความจงรักภักดี แต่เผอิญ พวกมากลากไปไง พวกมากลากไป แล้วทำสิ่งที่มันเหมือนกับฝืนโลก ฝืนสังคม ฝืนความคิดเห็นของสังคมและสิ่งแวดล้อม

คนบางคนนี่ วันนั้น หลวงปู่ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง นักปาฐก นักพูด เค้าเป็นลูกของหม่อมอะไรก็ไม่รู้ ที่เป็นอดีตรัฐมนตรีคลัง แล้วก็มาพูดถึงเรื่อง อ้ายสิ่งที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ จารีต ขนบธรรมเนียมและประเพณี มันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นเองทั้งนั้น เค้ากำลังจะสื่อความหมายให้คนที่ฟังเค้าให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ มันไม่จำเป็นต้องทำ มันไม่มีสาระ มันไม่มีประโยชน์ เพราะว่า ทำไมเราต้องไปเชื่อ ไปฟังคนที่เค้าคิดมาให้เราทำ ทำไมเราไม่ทำด้วยตัวเราเอง แต่เค้าลืมไปว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สังคมมันต้องมีกติกา มีไม๊ แล้วกติกา ใครเป็นคนสร้างขึ้น พระเจ้าเหรอ นั่นสิ

จริงๆ มันไม่ได้มาพูดต่อหน้าหลวงปู่ ถ้าพูดต่อหน้าหลวงปู่ งั้น มึงก็ไม่ควรมีพ่อ มึงก็ไม่ควรมีแม่ แสดงว่า มึงต้องออกมาจากรูกระบอกไม้ไผ่ หรือไม่ก็ รูไส้เดือน

เหตุผลก็เพราะว่า อ้ายคำว่า พ่อ กับ แม่ นี่ มนุษย์ก็สร้างขึ้น ถูกไม๊ เป็นระเบียบ กติกา สังคมว่า เราต้องไหว้พ่อ บูชาแม่ เราต้องระลึกได้ว่า กตัญญู กดเวทิตา ต่อพ่อแม่ เป็นอย่างไร ถูกต้องไม๊

นี่คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น งั้น ถ้าคิดว่า อ้ายกฏ กติกา ของสังคม ระเบียบ แบบแผน ธรรมเนียม จารีต ประเพณี มันไม่มีประโยชน์ มันไม่มีเหตุผล เพราะเหตุผลว่า ก็คือ มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้น แล้วมากั้นคน มาขวางคน มาเป็นเหมือนเส้นแบ่งระหว่างคนนั้นกับคนนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่างนั้น ก็คุณก็ไม่ควรจะต้องมีผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ควรจะต้องมีพ่อ มีแม่ ไม่ควรจะต้องมีลูก มีเมีย มีผัว คือ คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ มีเสรีภาพ เค้าเรียกว่า พวกอะไรล่ะ เหมือนกับ 20-30 ปีสมัยก่อน เค้าเรียกอะไร พวกฮิปปี้ พวกดอกไม้บาน อะไรประมาณนั้น พวกไม่ยึดถืออะไร แต่งตัวก็ตามอำเภอน้ำใจ ผมยาว หนวดยาว เสพยา ว่าเรื่อยเปื่อยไป พวกไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ เพราะไม่ยึดติดในกติกาสังคม

งั้น ความหมายของคำว่า ระเบียบ กฏเกณฑ์ กติกา ที่สังคมสร้างขึ้น เค้าต้องการให้มนุษย์อยู่กันด้วยความงดงาม มนุษย์อยู่ด้วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม

แม้ปัจจุบันในขณะนี้ วันนี้ ก็เหมือนกัน ถ้ามองในวิถีธรรมแล้ว มันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเรามากนัก ถ้าเลือกวิถีของปรมัตถแล้ว ก็ต้องถือว่า ทั้งหมดนี่ มันเป็นแค่สมมุติบัญญัติ เป็นสมมุติสัจจะ มันไม่ใช่ปรมัตถบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ เหตุผลก็เพราะว่า

ดีในเชิงสัญลักษณ์ มันไม่สามารถนำพาเราให้พ้นทุกข์ได้

ดีในเชิงสัญลักษณ์ มันไม่สามารถนำพาเราให้พ้นจากความทรมาน เดือดร้อน จาก ภพ ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ

แต่ดีที่มันสามารถพาให้เราพ้นทุกข์ พ้นจากความเดือดร้อน จาก ภพ ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ ก็คือ ต้องดี ไม่มี ตัวกู ดีไม่มีพรรคพวก ไม่มีเผ่าพันธุ์ ไม่มีสี ไม่มีอะไร เรียกว่า ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไร กูตายแน่ ประมาณนี้

นั่นคือ ดีแบบประมาณว่า ปรมัตถ คือ ดีไม่มี ตัวกู แม้กระทั่ง สีเสื้อ ก็เป็นการแสดงออกซึ่ง ตัวกู

ถ้ามองอย่างนี้ มันก็ถือว่า ศาสนานี้ ไม่เอาโลก ไม่เอาสังคม ไม่มีประเทศ ไม่เอาแผ่นดิน ไม่เอาผู้คน ไม่เอาสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่ใช่ นักเทศน์บางคน ก็ชอบจะพูดแต่เรื่องปรมัตถ โดยไม่ใส่ใจสัจจะ คือ สมมุติสัจจะ เหมือนกับพระทาง อะไรนะ ที่เค้าเอาเท้าไปเหยียบพระพุทธรูป อยู่ทางนู้นน่ะ ทางอะไรนะ หล่มสัก เพชรบูรณ์ อะไรทางนั้นน่ะ ทางเหนือๆ อาจารย์อะไร ที่เอาเท้าไปเหยียบพระพุทธรูป เอามือไปตบหัวพระพุทธรูป อะไรประมาณนี้ ก็คือ นี่เป็นสมมุติทั้งนั้น อะไรประมาณนั้น เราก็มานึก เออ คนเรามันมีตาข้างเดียว ถ้ามันมีตา 2 ข้าง ก็จะรู้ว่า มนุษย์ มันไม่ได้พัฒนามาจากทองคำหรือว่าเพชร มันพัฒนามาจากก้อนดิน มันพัฒนามาจากมูตคูต เหมือนกับดอกบัวที่มันพัฒนามาจากโคลนตม

งั้น ถ้าดอกบัวดอกใด มันปฏิเสธโคลมตม มันก็ไม่ควรจะเป็นดอกบัว ถูกต้องไม๊

ดอกบัวดอกใด ถ้ามันปฏิเสธโคลมตม มันก็ไม่ควรจะเป็นดอกบัว ที่บานรับแสงอาทิตย์ ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์ถ้าปฏิเสธสิ่งที่เป็นกติกาของสังคม ระเบียบของสังคม ข้อปฏิบัติของสังคม มนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ ก็ไม่ควรอยู่กับสังคมมนุษย์ ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องหนีไปอยู่ไหนล่ะ ไปอยู่ป่าเขาลำเนาไพร ก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันมีสังคมของสัตว์อีก มีสังคมของสัตว์ มีกติกาของธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อมอีก สรุปแล้ว เราปฏิเสธกติกาไม่ได้ ถ้าตราบใดที่เรายังใช้คำว่า สมมุติบัญญัติ

งั้น หลวงปู่ จึงเขียนบทโศลกเอาไว้เมื่อร่วม 30 กว่าปี 40 กว่าปีว่า ลูกรัก รู้จักสมมุติ ใช้สมมุติ ให้ประโยชน์กับสมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ แล้วก็อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ งั้น เราปฏิเสธสมมุติไม่ได้ เขียนบทโศลกไว้อีกบทว่า ลูกรัก คนฉลาด ใช้กิเลส คนโง่ โดนกิเลสใช้

ใส่สีเหลืองนี่ เป็นกิเลสไม๊

อยากไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นกิเลสไม๊

เนี่ย มันนอนอยู่กันเมื่อวาน หรือ เมื่อวานซืน นอนเฝ้าลานพระบรมรูป เป็นกิเลสไม๊

เออ แล้วก็ อ้ายกิเลสที่ลงทุนไป แค่เพียงแค่ชั่วได้เห็นพระพักตร์ แว็บเดียว, ใกล้ หรือไกล, ไกลมาก แต่มันทำให้เกิดอะไร ความสุขไง ความสุขแม้น้อยนิด มันมีผลไปทำลายความทุกข์อันยิ่งใหญ่ คนจึงแสวงหาความสุขกันมากไง ทั้งๆ ที่รู้ ความสุขนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืน แต่มันนิดเดียว มันทำให้ความทุกข์มลาย เหมือนกับภูเขาทลายลงไป

งั้น ความสุขจึงเป็นที่ปรารถนา อย่าว่าแต่มนุษย์ แม้พรหม เทวดาก็ต้องการ เพราะถือว่า ความสุขมีฤทธิ์มาก มีเดชมาก มีอานุภาพมาก มีศักดามาก คนจึงปรารถนาว่า ทำยังไงก็ได้ให้เกิดความสุขให้ได้ แม้กระทั่ง บางคนตะกายมาจากเหนือสุดนะ บางคนมานู่นน่ะ ใต้สุด เมื่อวานนี้มา มันมาแวะที่นี่ก่อน มาจากสงขลา ถาม มึงจะไปไหนกัน, ไปลานพระรูป, ดูมัน, แล้วไปทำไม, ก็ให้ได้ไปเห็นพระพักตร์ หรือไม่ก็ ไปร่วมพิธี แล้วก็มีความสุข

เราก็มานั่งนึก กำลังปั้นพระ หลวงพ่อผาสุกอยู่ กูกำลังปั้นหลวงพ่อผาสุก องค์จำลอง เราก็นึก เอ๊อ คนเรานี่มัน แค่ความสุขเนี่ยนะ มันก็ปรารถนา คือ ความสุขนิดเดียว มันทำให้ลงทุนได้ทั้งวันทั้งคืนเลย เดินทางมาจากสงขลา มานี่ ลงทุนขนาดไหน แล้วก็ต้องไปนอนให้ยุงกัดอีก ไม่ใช่ว่าไปเช่าโรงแรมอยู่ ถาม แล้วมึงจะไปนอนกันที่ไหน, นั่นแหละ ลานพระรูป เออ เอาเต๊นท์มาด้วย เอาเสื่อมาด้วย แล้วก็ไปขี้ เยี่ยว ก็แถวๆ นั้นนั่นแหละ ถามมันน่ะ เอ๊อ มันก็ลงทุน แล้ว สุดท้ายเป็นไง ยังไม่รู้ เดี๋ยวรอให้กลับมา จะสัมภาษณ์มันว่า มึงได้อะไรมาบ้าง ได้ธงมา 2 อัน แล้วก็ได้อะไรมาบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ ได้ความสุข

ความสุข นี่มันศักดิ์สิทธิ์มาก เราถึงนึกแสวงหากันเหลือเกิน อะไรที่จะทำให้เกิดความสุข ถ้าหากจะมาวัดและชั่งกิโลกันแล้วเนี่ยนะ อ้ายลงทุนเดินทางมาจากสงขลาก็ดี จากเชียงใหม่ก็ดี กับอ้ายความสุขแค่แว็บเดียว แค่เข็มเล่มเดียวนะ แต่อ้ายความทุกข์ที่ทรมาน เดินทาง ตะกายมา ใช้เวลา ใช้เงิน ใช้ทรัพยากร ทั้งเสียโอกาส อู้หู เป็นภูเขาเลากา เป็นเข่งๆ ถ้าชั่งกันดูแล้ว อ้ายความสุข อ้ายเข็มเล่มเดียว หนักกว่า ก็เพราะว่า มันไปทำลายอ้ายสิ่งที่มันทุกข์ แล้วยังไม่พอนะ พอสุขแว็บเดียว นี่กลับไปอีก อีตอนเดินทางกลับอีก อีกเท่าไหร่

งั้น คนจึงชื่นชอบความสุข อะไรที่ทำให้เกิดความสุข แล้วมันจะทำลายความทุกข์ได้ เหมือนดั่งพังทลายภูเขา

แต่ในมุมกลับกัน ถ้าความสุขที่มันเกิดจากการบริโภคกามคุณ มันไม่สามารถทำลายภูเขา

อ้ายความสุขที่ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่นี่ เป็นกามคุณไม๊ ลูก

ไม่จัดว่า เป็นกามคุณ เป็นตัณหา ความทะยานอยาก แต่ไม่เป็นกามคุณ ไม่ใช่เป็นเบญจพิษ คือ มันไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจ มันไม่ทำให้จิตใจนี้เศร้าหมอง ขุ่นมัว แต่มันทำให้จิตใจเฟื่องฟู มันทำให้จิตใจผ่องแผ้ว ทำให้จิตใจสงบเย็น มันทำให้เกิดความอะไร ความปลื้มปิติสุข มันมีคุณลักษณะไม่ต่างอะไรกับการเข้าสมาบัติ เข้าสมาบัติในขั้นปฐมฌาน เพราะปฐมฌาน มันมี ปิติ สุข, ปิติสุข ที่เราได้เห็นพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว น้ำหูน้ำตาไหล นึกถึงพระองค์ แล้วก็ทำให้เกิดปิติสุข เอิบอาบ ซาบซ่าน ชุ่มฉ่ำหัวใจ ซึ่งมันไม่ใช่กามคุณ

ถ้าเป็นกามคุณ มันก็ เป็นรูป เป็นรส เป็นกลิ่น เป็นเสียง เป็นสัมผัส แต่นี่ไม่ใช่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แบบธรรมดา แต่มันเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่มันเป็นของละเอียด ที่เรียกว่า สุขุม สุขอันสุขุม กามคุณมันเกิดขึ้น มันเป็นสุขที่หยาบกระด้าง มันเป็นสุขที่ต้องแลก เป็นสุขที่ต้องลงทุน สุขที่ต้อง เค้าเรียกว่า อะไร, มึงได้ กูได้ อะไรประมาณนี้ แต่สุขที่ได้จากปิติ สุขที่ได้จากการเสียสละ สุขที่ได้จากการมองเห็นสิ่งที่งดงาม สิ่งที่ดีงาม แล้วเกิดปิติขึ้นมา เป็นสุขที่ถือว่าใกล้เคียงกับอมฤตสุข ใกล้เคียงกับ ไม่ใช่โลกียสุข ใกล้เคียงกับโลกุตตระสุข อยู่ในชั้นองค์ฌานที่อยู่กลางๆ ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ ถ้าจะเป็นโลกียะ ก็เป็นโลกียะอย่างละเอียด ไม่ใช่อย่างหนา หรืออย่างหยาบอย่างที่เราเสพจาก ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส แล้วก็รู้สึกพอใจพึงใจ กายสัมผัส อย่างนี้เป็นต้น

งั้น ทั้งหมดนี้ แม้แต่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อปรมัตถสัจจะ ก็ตามที

ถามว่า ทำไมมันเป็นปฏิปักษ์ เพราะว่า ถ้าไปยุ่งกับมันมากนัก ก็จะกลายเป็นตัวกูใหญ่ขึ้น ตัวกูสำคัญขึ้น กูรู้สึกสำคัญในตัวกูมากขึ้น อะไรประมาณนี้ เค้าถือว่า เป็น ถ้าพวกเราได้เคยฟังคำสอนของท่านพุทธทาส ท่านจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะถือว่า เป็นสิ่งที่มันทำให้เราล่าช้า

แต่ก็ไม่ได้มองว่า คำสอนท่านไม่ดี แต่ต้องมองว่า ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ ตราบใดที่เราอยู่ในโลกของสังคม ตราบใดที่เรายังเป็นสัตว์สังคม และตราบใดที่เรายังต้องอาศัยสังคมอยู่ กติกา ระเบียบ กฏเกณฑ์ วินัย และข้อปฏิบัติ ในสังคม ถือว่า เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมรวมกันได้อย่างเป็นปึกแผ่น และเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมสามารถดำรงค์อยู่ได้อย่างมั่งคั่งและมั่นคง เราก็ไม่พึงที่จะปฏิเสธมัน ด้วยเหตุผลว่า มันทำให้สังคมอยู่กันอย่างสงบสุขได้ในกติกาและระเบียบปฏิบัติ และข้อวินัยเหล่านั้น ถ้าเราปฏิเสธมัน สังคมก็จะไม่สงบสุข

ทีนี้ ปรมัตถมันก็จะไม่ได้ เพราะ เมื่อสังคมมันไม่สงบสุข แล้วคนปรารถนาจะหลุดพ้นทุกข์ มันก็จะยากขึ้นละ เพราะเราทุรนทุราย เรามีโจรรอบตัว สังคมไม่ยอมรับ สังคมเบียดเบียน สังคมเอาเปรียบ สังคมเข่นฆ่า สังคมจองล้างจองผลาญ สังคมอาฆาตพยาบาท แล้วเราจะอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างไร

งั้น หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกสอนลูกหลานเอาไว้ว่า ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่ โดนกิเลสใช้ การที่เราได้มีโอกาสได้มาแสดงความจงรักภักดีด้วยการใส่เสื้อสีเหลือง ตักบาตร ทำบุญ ถวายทาน ฟังธรรม รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา แม้เราจะบอกว่า นี่เป็น ดีในเชิงสัญลักษณ์ แต่มันก็คือ ดีที่ตัวเราได้ ด้วยเหตุผลว่า การจะพ้นทุกข์ได้นั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจะมีปรมัตถอย่างเดียว เหมือนกับมีคำถามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทั้งชีวิต ชั่วมาตลอด แต่มาอาศัยดีตรงจิตสุดท้าย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปสู่สุคติภพ

งั้น ทั้งชีวิต มันจะต้องสั่งสม อบรม กุศล บุญ คุณงามความดี มาในระดับที่มันมีกำลังวังชา ที่จะส่งผลให้จิตสุดท้าย คือ จิตสุดท้ายที่จะตายและด่าวดิ้นออกไปเนี่ย ไปสู่สุคติได้ แต่ถ้าทั้งชีวิต ชั่วมาตลอด คือ เค้าเรียกว่า อะไรล่ะ ปฏิเสธกติกาสังคม เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ไม่รู้จักบิดามารดา คุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ไม่เคารพนบนอบ เอาเปรียบสังคม เห็นแก่ตัว ฉ้อราษฎร์บังหลวง คดโกง โลภโมโทสัน ยะโส จองหอง อวดดี ทรนง ก้าวร้าว รุนแรง เป็นคนเห็นแก่ได้ มักมาก อีกทั้ง ก็เป็นผู้ไม่ซื่อตรง

แล้วถึงเวลา จะมานั่งสมาธิให้สงบ, สงบไม๊

มึงเอาอะไรมาสงบล่ะ

เดี๋ยว อ้ายที่ไปโกงเค้ามา ก็ เอาของกูคืนมาๆ, เอาถนนกูคืนมา ตอนนี้ก็ เอาข้าวกูคืนมา, เอาตังค์จำนำข้าวกูคืนมา, เอาตังค์จำนำยางกูคืนมา อะไรมันจะประมาณนั้นน่ะ

เพราะฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก จะมาสงบเอาจิตสุดท้าย มันจะต้องสั่งสมอบรม

งั้น วิถีโลก จึงเป็นวิถี ที่สนับสนุนวิถีธรรม อย่าไปมอง พวกนักปฏิบัติชั้นสูง เค้าจะบอกว่า เออ เค้าไม่จำเป็นต้องไปหรอก เค้าไม่จำเป็นต้องแต่งสีเหลืองหรอก ไม่จำเป็นต้องแสดงความจงรักภักดี ไม่จำเป็นอะไร เพราะว่า อัตตา หิ พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน แต่พระพุทธเจ้าสอนคำว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน หลังจากที่พระองค์ทรงสอนเรื่อง เรื่องอะไร บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

พระองค์ทรงสอนให้เราทำบุญก่อน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนา แผ่เมตตา ทำหน้าที่ถูกต้อง มีสติ จึงจะมีสมาธิ มีสัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ เหล่านี้ จึงจะเรียกว่า เป็นวิถีแห่งการพัฒนาจิต พัฒนากาย พัฒนาวาจา และใจ จนกระทั่งถึงคำว่า เราแข็งแรงละ เราเป็นที่พึ่งของตัวเราเองได้ เพราะเรามีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ, 3 ใน 10 ของบุญกิริยาวัตถุ

งั้น อย่าไปมองว่า เออ เรารอนั่งสมาธิอย่างเดียว ก็ดีแล้ว และดีที่สุดแล้ว เรารอนั่งบรรลุธรรม ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ไม่ต้องทำอะไร ใส่บาตรก็ไม่ต้อง รักษาศีลก็ไม่ต้อง แผ่เมตตาก็ไม่ต้อง ทำดีกับคนอื่นก็ไม่ต้อง กตัญญู กตเวทีก็ไม่ต้อง อะไรๆก็ไม่ต้องทั้งนั้น รอเอา หลับตาอย่างเดียว

มันจะเอาตาที่ไหนมาหลับ พวกนี้หลับไม่ลงหรอก ด้วยเหตุผลว่า คือ ชีวิตเค้าไม่ได้ยืนอยู่บนลำแข้งตัวคนเดียวตั้งแต่เกิด เค้ามีพ่อไม๊ มีแม่ไม๊, มีพ่อ มีแม่ มีญาติ มีผู้มีคุณ มีผู้มีอุปการะคุณ มีเจ้ากรรมแล้วก็มีนายเวร

อ้าย 2 ตัวหลัง นี่สำคัญมาก

คนเรา เวลามันจะสงบเนี่ยนะ ถ้า เจ้ากรรม และ นายเวร ไม่ยอม นี่มันก็สงบไม่ได้เหมือนกันนะ

อ้าว ไม่เชื่อ ลองดูก็ได้ ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่จะนั่งหลับตา สุดท้าย มันก็หลับไม่ลง แล้วอ้ายที่อยากหลับ กูก็หลับจริงๆ เหมือนกัน เวลานี้ อาตมากำลังเป็นเจ้ากรรมนายเวร คุณโยม นะจ๊ะ, อย่านะจ๊ะ อ้ายพวกเคลิ้มๆ น่ะ เออ นี่แหละ ตัวเจ้ากรรมนายเวร นั่งอยู่ข้างหน้าพวกมึงนี่แหละ

เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกว่า ไม่ง่ายหรอก ลูก คนเรา ถ้าจะตัดชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิ แล้วไม่ยึดติดอยู่ในอะไร แล้วสุดท้าย เรามีจิตเป็นเอก เป็นเอตทัคคาจิต มีจิตเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีเป็นสอง ทำไม่ได้ง่าย ทำไม่ได้ง่าย แม้เราบอกว่า เราไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่เคยลักทรัพย์ ไม่เคยประพฤติในกาม ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำอกุศล

ถ้าไม่เคยเลย ก็ไม่ได้เกิดมาถึงชาตินี้หรอก ก็แสดงว่า นั่น อรหันต์แล้ว อ้ายที่มาเกิดนี่ แสดงว่า มันต้องมีของไม่ดี สะสมมาเหมือนกัน

อ้าว ถูกไม๊

เออ ถ้าดีมาตลอด อุ้ย ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก ไปเป็นอะไร ไส้เดือนหรือเปล่า ก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่ที่ได้เป็นมนุษย์นี่ เพราะมันต้องมีไม่ดีมาบ้าง

ไม่ดี ในอะไรบ้าง

ก็ดูนิสัยตัวเองเป็นหลัก เพราะนิสัย คือ พิมพ์ และวาสนา

อยากรู้ว่า ชาติที่แล้ว เรามีอุปนิสัยอย่างไร ดูชาติปัจจุบัน ดูวิถีชีวิตและความคิดในปัจจุบัน

อยากรู้ว่า ชาติที่แล้ว เรามาจาก นรก สวรรค์ หรือ สัตว์เดรัจฉาน ก็ดูวิธีคิด และวิถีชีวิตในปัจจุบัน

ไม่ต้องไประลึกชาติ เป็นอตีตังสญาณ หรือ ใช้อนาคตังสญาณ ใช้วิจารณญาณของตัวเอง สติ สัมปชัญญะ เราจะเห็นว่า บางคน อู้หู มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก พ่อแม่ปู่ย่าตายาย มันก็ไม่เว้น มันตี มันฆ่า มันทำร้าย มันทำลาย นั่นแสดงว่า สันดานสัตว์เดรัจฉานมาเกิด อ้ายบางคนนี่ มันดี บริสุทธิ์ สุดยอด โอ๊ย ใครด่าใครว่า มันก็ยิ้มตลอด ทำตัวเป็นคนเสมอต้น เสมอปลาย นั่นแสดงว่า เทวดา พรหม มาเกิด อ้ายบางคนนี่ เกิดมาในที่ที่ดี อยู่บนหอคอยงาช้าง มันก็ดันตะกายลงไปอยู่ใต้หอคอย ทำตนเป็นคนซกมก ไม่รู้จักรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทำตนเป็นคนทำร้ายทำลายตนเองและทำร้ายคนอื่น นั่นแสดงว่า สัตว์นรกมาเกิด

งั้น ดูได้จากพฤติกรรม เราอยากรู้ว่า เราเป็นมนุษย์ มากี่ชาติ ชาติที่ผ่านมา เราเป็นมนุษย์หรือไม่ ก็ดูว่า นิสัยมันเป็นยังไง เค้าถึงได้บอกว่า พระอรหันต์ตัดขาดจากสันดานและวาสนา แต่พวกเรานี่ ยังตัดไม่ขาด มันจึงมีริ้วรอยมาให้เห็น ยังมีนิสัยใจคอ มีอารมณ์ มีความรู้สึกนึกคิด มีสันดาน มีวาสนา ที่สั่งสมอบรมมา แล้วมันส่งผล

พวกนี้มันเหมือนกับกระจกเงา มันส่งผลให้เรารู้ตัวเราเองได้ ถ้าเรามีสติพอนะ คนบางคนก็มีเมตตาเสมอต้นเสมอปลาย บางคนก็ฆ่าเสมอต้นเสมอปลาย ชอบฆ่าเป็นอาจินต์ ฆ่าเป็นกีฬา เออ สุดท้าย ก็ยินดีในการฆ่า อยู่ดีๆ ก็คว้าปืนไปไล่ยิงสัตว์ คว้าหนังสติ๊กไล่ยิงนก คว้าเบ็ดไล่ตกปลา ไม่มีปืน ไม่มีหนังสติ๊ก ก็ใช้ก้อนหิน ใช้ไม้ เห็นสัตว์อะไรก็ตี ก็ตบ ก็ฆ่า นั่น ธรรมชาติสันดานมันแสดงออกพฤติกรรมในอดีตชาติ คนบางคน ละอายชั่วกลัวบาป ไม่กล้า มีความสำนึกคิดอยู่ในใจ รู้จักผิดชอบชั่วดี นั่น แสดงว่า เทวดา พรหม มาเกิด

งั้น ดูได้ ลูกเรามีกี่คน อ้ายคนไหนมาจากนรก อ้ายคนไหนมาจากสวรรค์ อ้ายคนไหนมาจากสัตว์เดรัจฉาน ดูได้ ดูได้ไม๊ ลองไปสังเกตุ ว่างๆ ก็ลองนอนมอง นั่งมอง ผัวกู นี่มันมาจากขุมไหนวะเนี่ย วันๆ เอาแต่นอนครอกๆๆ สงสัยจะเล้าหมูแน่ๆ เลย กิน นอน กิน นอน นี่ หมูชัดๆ อย่างนี้ ลองมองดูผัวตัวเองบ้างก็ได้ อ้ายผัว ก็ลองมองเมียตัวเอง นี่ มันดุเหลือเกิน มันอยู่ป่าไหนวะ เออมันทั้งบ่น อย่างกับแมว เง้าๆ อยู่ตลอดเลย มันจ๊อกแจ๊กๆ จ้ำจี้จ้ำไช พูดซอกแซก ๆ

งั้น มนุษย์แสดงออกถึงพืดพันธุ์ธรรมชาติตน พฤติกรรมการกระทำ เค้าถึงได้เรียก บอกว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล การกระทำส่อความไพร่สถุน หรือผู้ดี อยู่ที่ภพชาติที่สั่งสมอบรม

งั้น เราอย่าไปมองว่า ถ้าเราเป็นมนุษย์ แล้วเราต้องแสวงหาแต่สิ่งที่มันเริดหรูอลังการอย่างเดียว แล้วก็ปฏิเสธสิ่งที่เป็นสิ่งแวดล้อมรอบกาย สิ่งที่เป็นกติกาสังคม สิ่งที่เป็นกฏชุมชน แล้วก็ สิ่งแวดล้อมที่เราคิดว่า มันจะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา สิ่งเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ ด้วยเหตุผลว่า เมื่อหลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง พูดความหมายนี้ เข้าใจไม๊ หลายสิ่ง ก็คือ ชุมชน เป็นหนึ่งสิ่ง ก็คือ ส่งผลให้เรา หนึ่งชีวิตเรา สุขหรือทุกข์ได้

ถ้าประเทศนี้ มันไม่สงบ มันไม่มีพลัง ไม่มีแรง ไม่มีความงดงาม ไม่มีความร่มเย็น ไม่มีความมั่นคงมั่งคั่ง หนึ่งสิ่งอย่างเรา จะอยู่รอดไม๊, อยู่ไม่รอด

งั้น เมื่อเราต้องอาศัยหลายสิ่ง แล้วก็ส่งผลให้หนึ่งสิ่ง เราก็ต้องช่วยทำให้หลายสิ่งนั้น เป็นปกติสุข สมบูรณ์พูลสุข มั่นคงที่สุด ดำรงค์ไว้ซึ่งความถูกต้องชอบธรรม มันก็จะส่งผลให้หนึ่งสิ่งนั้น ก็คือ หนึ่งชีวิตของเรา ยืนหยัด ดำรงค์ยั่งยืนอยู่ได้อย่างมั่งคั่ง มั่นคง อุดมสมบูรณ์ รุ่งเรือง เจริญ สุขกายสบายใจ

แต่ถ้าหลายสิ่งรอบตัวเรา มันเละเทะ มันแย่ มันอยู่ไม่ได้ สังคมมันอยู่ไม่ได้ สิ่งแวดล้อมมันอยู่ไม่ได้ ทรัพยากรมันอยู่ไม่ได้ ธรรมชาติมันอยู่ไม่ได้ แล้วก็ ชุมชนมันอยู่ไม่ได้ แล้วเราบอกว่า เราอยู่ได้ เราจะอยู่กับใคร อยู่ยังไง อยู่แบบไหน อยู่ด้วยอะไร แล้วถึงเวลาที่เรามีเพทมีภัย ใครจะช่วยป้องกัน ใครจะสนับสนุน ส่งเสริมเมื่อถึงคราวเราต้องการความช่วยเหลือ เกื้อกูล

งั้น หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง

เมื่อเข้าใจ ความหมายหลายสิ่ง ก็ต้องทำให้หลายสิ่งนั้น กลายเป็นหลายสิ่งที่มีพลวัต คือ มีพลัง เหล่านี้แหละเป็นที่มาของการที่ต้องเชิญชวนพวกเราให้ทำดี มีจิตสาธารณะ แม้จะเป็นดีเพียงเพื่อแค่สัญลักษณ์ ดีเพื่อให้ดูดี ดีเพื่อทำให้สังคมเค้ามองว่า เราเป็นสังคมผู้ดี มันก็ทำให้หลายสิ่งนั้น รวมกันเป็นปึกแผ่น ทำให้สังคมยั่งยืนได้ในระดับหนึ่ง แล้วสุดท้าย เราก็จะกลายเป็นคนที่ มั่งคั่ง มั่นคง และอุดมสมบูรณ์ในที่สุด

เรื่องพวกนี้ มันเป็นคุณลักษณะของผู้บริหาร ผู้นำ แล้วก็ผู้ที่จะพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามเป้าประสงค์อย่างถูกตรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านคิดแบบนี้มาตลอดไง ท่านถึงไม่หยุด ไม่หยุดที่จะทรงงาน เพราะท่านต้องการให้หลายสิ่ง รวมเป็นหนึ่งสิ่งที่มั่นคง เมื่อหลายสิ่งอุดมสมบูรณ์ หลายสิ่งเป็นผู้ที่มีความสุข ผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย หนึ่งสิ่งก็จะรู้สึกปลอดภัย ร่มเย็น

งั้น พวกเรา ที่พูดอย่างนี้ ก็เพื่อสอนให้เห็นว่า อย่าเห็นแก่ตัว การแสดงออกซึ่งพลัง ความมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย เป็นเงื่อนไขของการอยู่ร่วมกันในสังคม แล้วถ้าเมื่อใดที่เราปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ มันก็ทำให้สังคมเรารวมกันไม่ได้ แล้วสุดท้าย มันก็แตก เป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นเผ่าพันธุ์ ทีนี้ เราก็ไม่มีคำว่า ญาติละ ไม่มีคำว่า ญาติ ไม่มีคำว่า ชาติ ไม่มีคำว่าประเทศ แม้แต่คำว่า ญาติ ชาติ ประเทศ มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา เพราะอัตตา ปรมัตถสัจจะ ก็ตามที

แต่หลวงปู่ ไม่ใช่พระอรหันต์ บอกแล้วว่า หลวงปู่เป็นพระโพธิสัตว์

งั้น พระโพธิสัตว์ ต้องสอนให้หลายสิ่งอยู่รวมกันให้ได้ แล้วหนึ่งสิ่งนั้น ก็จะมั่นคงและแข็งแรง แต่พระอรหันต์ เค้าก็จะสอนอีกเรื่องหนึ่งว่า ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ ทำตนให้ปลอดภัย อยู่รอด แล้วก็อยู่แบบชนิดไม่เบียดเบียน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสียหาย เอาตัวรอดให้ได้ แล้วสังคมจะเป็นยังไง ก็เป็นไปตามกรรม ตามยถากรรม ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของครูที่จะสอนแบบนี้

ครูที่ดี ต้องไม่เห็นลูกศิษย์ ไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์เป็นไปตามกรรม พ่อแม่ที่ดี ก็ต้องไม่ปล่อยให้ลูกเป็นไปตามยถากรรม แต่ครูกับพ่อแม่จึงกลายเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลกไงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บุคคลผู้หาได้ยากในโลก 2 อย่าง คือ พ่อแม่ กับ ลูกกตัญญู เป็นบุคคลที่หาได้ยาก

งั้น ท่านทั้งหลายที่วันนี้ มาร่วมแสดงทำความดี แม้จะเป็นความดีเชิงสัญลักษณ์ และเป็นความดีที่ทำให้หลายสิ่งรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ ก็ถือว่า เป็นหลายสิ่งที่ส่งผลให้หลายๆ สิ่งทั้งประเทศ มีพลังที่จะผลักดันให้ล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์นั้น ทรงพระเกษมสำราญ

พ่อของเรา อายุมากแล้ว แล้วก็แม่ของเรา เวลานี้ก็ไปไม่ไหวแล้ว สำนักพระราชวังเพิ่งออกแถลงการณ์มาเมื่อคืนนี้ว่า พระองค์ก็คงเสด็จร่วมงานในหลวงไม่ได้ เพราะว่า พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นอัมพฤต ที่จริงน่ะ ท่านเป็นอัมพฤตมาหลายเดือนแล้ว อัมพฤต อัมพาต แล้วเค้าก็คงไม่บอกตรงๆ แต่หลวงปู่ ก็เล่าให้ฟัง เพราะได้คุยกับหมอ เมื่อพระองค์ทรงเป็นอัมพฤต หน้าที่ของพวกเรา ท่านทรงงานมายาวนาน หนักหนา แล้วปีนี้พระองค์ก็ทรงมีพระชนมายุตั้ง 80 ปี กี่สิบปีแล้วที่พระองค์ทรงทำงานเพื่อความสุขของประชาชนแผ่นดินสยาม ทำให้เอกลักษณ์ของชาติรุ่งเรือง เป็นที่ยอมรับ ทำให้ศิลปวัฒนธรรม เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนในโลก ทำให้สิ่งแวดล้อม ป่าไม้ ต้นน้ำ    ลำธาร ยังดำรงค์อยู่ได้อย่างชนิดที่แบบกระเบียดกระเสียน มันได้แบบกระเบียดกระเสียน แต่ก็ยังอยู่ได้ ผู้คนก็เริ่มเห็นความสำคัญ ก่อนหน้านั้น ผู้คนก็ไม่ใส่ใจ ตัดกัน ทำลายกัน แล้วพระองค์ก็มาเรียกร้อง มาพูดให้พวกเราได้รู้ว่า บ้านเรา เมืองเรา ป่า ก็คือต้นน้ำของแผ่นดิน ถ้าเราทำลายป่า ก็จะทำลายน้ำกิน แล้วก็ทำร้ายตัวเอง

สิ่งเหล่านี้ จะอาศัยรัฐบาลพูดกรอกหูเรา ก็ไม่มีรัฐบาลชุดไหนทำ เป็นเรื่องเป็นราว แต่พระองค์ก็ทรงทำ และทำมาตลอดระยะเวลายาวนานเกือบ 40 กว่าปี เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราได้รับคุณูปการมหาศาลมากมายล้นพ้น สิ่งที่เราควรจะทำ หน้าที่ และตอบแทนได้ดีที่สุด ก็คือ แสดงพลัง แสดงน้ำใจ แสดงสิ่งที่งดงามให้เป็นที่ประจักษ์ ให้พระองค์ได้ทรงทัศนา มอง ทอดพระเนตรให้เห็นความงดงามของพวกเรา ความมีน้ำใจของพวกเรา และดีที่สุดก็คือ เดินรอยตามเบื้องยุคลบาทของพระองค์ พยายามปกปักษ์รักษา ทะนุถนอมทรัพยากรของชาติ แผ่นดินของประเทศ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วก็ดูแลรักษาศิลปวัฒนธรรม

ที่จริง เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่หลวงปู่ไม่ควรจะต้องมาพูด เพราะทุกคนน่าจะมีสำนึก เพราะทุกคนเป็นคนไทย เป็นคนไทยที่ได้ใช้แผ่นดินไทย ก็ควรจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง อย่ามาบอกว่า ทำงานแล้ว ก็เสียแค่เสียภาษี ก็จบ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใส่ใจอะไรเลย ไม่สนใจอะไรเลย

ถ้าเป็นอย่างนี้ เราอาจจะให้เงินโจร เสียภาษีแล้วไปโยนให้โจร แล้วโจรมันก็มาปล้นเราต่อไปไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็เป็นไปได้ถ้าเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ งั้น ต้องสนใจ ต้องใส่ใจ

ก็บอกแล้วว่า หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง ถ้าเราบอกว่า เราทุกคนเสียภาษีอย่างเดียว จบ เราจะรู้ได้ไง คนที่เอาเงินภาษีเรา ไปทำประโยชน์อะไร ไปรับจำนำข้าว หรือ ไปรับจำนำพืชผลทางเกษตร 15,000 ก็ได้ไปซัก 3,000 หรือ 7,000 อะไรประมาณนั้น ตัดหัวคิวไปอีก 5,000 แล้วเราจะพึงพอใจ เราจะรู้สึกสุขกาย สบายใจที่เราให้เงินภาษีกับโจรโดยไม่สนใจว่า โจรจะเอาเงินเราไปทำอะไร

ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลชุดนี้หรอก มันก็โกงกินกันมาทุกรัฐบาล แต่เราจะทำยังไง ถ้าเราไม่สนใจ เราก็จะปล่อยให้คนเหล่านี้ มาเอาเปรียบเราไม่รู้จักหยุดหย่อน

งั้น เราก็ต้องรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น แล้วก็ฟังสิ่งที่งดงาม สิ่งที่เป็นสาระ เป็นประโยชน์ แล้วก็สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ ฟังไม๊ หลวงปู่ เวลาเสื้อแดงพูด กูก็ฟัง ถ้าไม่ฟัง จะรู้เหรอว่า มันพูดอะไร เอ่อ ไม่ฟังจะรู้เหรอว่า นายปลื้มเค้าพูดอะไร เออ จำชื่อมันได้ละ เออ ไม่ฟังจะรู้เหรอ เพราะมาพูดตอนที่วันจะเฉลิม คนก็เริ่มจะออกไปแสดงพลัง แสดงความจงรักภักดี อะไรประมาณนี้

งั้น ต้องฟัง เราจะได้มาชั่ง แยกแยะได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด, อะไรใช่ ไม่ใช่, ได้ และ เสีย เหมือนๆ กันล่ะ เราก็อย่าไปว่า ไปตำหนิ คนที่เค้าใส่สีแดง เมื่อเช้านี้ มีข่าว คนเสื้อต่างสี อยู่บ้านใกล้กัน ยิงกันตาย สีแดงกับสีเหลือง ยิงกันตาย หลวงปู่ฟังแล้ว ก็ไม่ได้ตามว่า ใครตาย แต่ที่รู้ มีคนตาย คนหนึ่งล่ะ เพราะบ้านมันอยู่ติดกัน กำแพงเดียวกัน แต่คนละฝั่ง แต่มันอยู่คนละสี เออ ดู อะไรกันนักหนา เค้าเรียกว่า ใช้สมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ไม่ให้ประโยชน์แก่สมมุติ หรือ ให้ประโยชน์ ก็ดันไปยึดติดกับสมมุติ แล้วสุดท้าย ก็ตายเพราะสมมุติ เรียกว่า ไม่มีปรมัตถสัจจะ ไม่มีปรมัตถธรรม

เพราะงั้น พวกท่านทั้งหลาย เวลานี้เป็นสมมุติบัญญัติทั้งนั้นน่ะ แต่สมมุติบัญญัติ แล้วทำยังไงไม่ตกเป็นทาสของสมมุติ ก็ต้องมีปรมัตถสัจจะ มีปรมัตถธรรม ก็คือ ต้องรู้ว่า ทั้งหมด นี่มันเพียงแค่สมมุติอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นสมมุติที่งดงาม ที่ทำให้สังคมหลายสิ่งรวมกันได้ เราก็ต้องทำให้สมมุตินี้ มันงดงามสืบเนื่องไป

ที่จริงแล้ว หลวงปู่อยากบอกว่า อ้ายการที่จะทำให้ความงดงามในสมมุตินี่ มันดำรงค์คงอยู่ได้ มันไม่ใช่ง่ายนะ ลูก มันไม่ใช่ง่าย มันเหนื่อยๆ หลวงปู่นึกถึงในหลวงท่านทำ คงเหนื่อย ขนาดเราทำเล็กๆ น้อยๆ นี่ เรายังรู้สึกเหนื่อย สายตัวแทบขาด บางทีใจแทบหยุดเต้น แต่พระองค์ทรงทำสุดชีวิตจิตวิญญาณ พระองค์ทำ เหนื่อยขนาดไหน จะเหนื่อยมหาศาลขนาดไหน แล้วความเหนื่อยของพระองค์ ใครจะรับรู้ได้บ้าง รัฐบาลแต่ละยุคๆ เข้ามา เค้าก็ไม่ได้ผ่อนเบาให้พระองค์ไม่ทรงเหนื่อยเลย กลับเพิ่มให้พระองค์ทรงเหนื่อยในหลายเรื่องด้วยซ้ำไป

งั้น ก็เลยต้องบอกว่า ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันบ้าง ไม่แสดงพลังออกมาบ้าง ไม่ทำให้เป็นที่ประจักษ์ในสังคม ในสายตาชาวโลกบ้าง แล้วก็ไม่ปรามอ้ายคนที่อยู่ตรงกันข้ามที่มันจะทำให้พ่อของเรา แม่ของเราเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ให้รู้สึกหยุดบ้าง อย่าซนมากนัก อย่าทำร้ายทำลายแผ่นดินมากนัก เราก็จะกลายเป็นคนนิ่งดูดายเกินไป เค้าเรียกว่า ใจกระด้าง ใจหยาบ ไม่กตัญญู เพราะความกตัญญู มันจะสำเร็จประดยชน์ได้ ไม่ใช่มีแค่ระลึกรู้อยู่ในใจนะ มันต้องลงมือทำให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย

ถามว่า รักพ่อไม๊ รัก, รักแม่ไม๊ รัก แต่ปล่อยให้แม่อดตาย, รักไม๊ รัก แล้วมารอ เคาะโลง ป๊อกๆ อ้ายอย่างนี้ ไม่กตัญญู ถ้ากตัญญูจริง ต้องไม่ปล่อยให้พ่อแม่อดตาย ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ลูกกตัญญู

อ้ายลูกกตัญญู กับ ลูกรักพ่อรักแม่ มันคนละเรื่องนะ รักพ่อรักแม่ ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องช่วยเหลือพ่อแม่ทุกเรื่อง ทุกคนมีพ่อแม่ในดวงใจทั้งนั้นแหละ มีในวิญญาณ มีในสำนึก มีในจิต แต่ว่า มีสักกี่ครั้ง ที่เราคิดถึงพ่อแม่ในเวลาที่เราเป็นสุข เคยบ้างไม๊ เวลาเรากินเลี้ยงกับเพื่อนๆ แล้วก็นึกถีง โอ้ ข้าวเต็มโต๊ะ อาหารเต็มจาน พ่อกูกินอะไร แม่กูกินอะไร พ่อแม่กูอยู่อย่างไร เคยบ้างไม๊ เฮอ อย่ามาแหล อย่ามาแหล ถ้าเคย ทำไมมึงไม่ชวนพ่อแม่มึงไป ปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านไง ถ้าเคย ก็ต้องพ่อแม่นั่งอยู่ตรงนั้น เรียกว่า เคย เออ เคย คิดถึงพ่อถึงแม่ อ้ายนี่ พ่อแม่อยู่คนละที่ ดีไม่ดี ก็ชะเง้อคอ

หลวงปู่ฉันข้าว เช้า เค้าเอามาส่งให้ทุกเช้า กลางวัน เราก็ต้องดูว่า อันไหนที่โยม ย่าเราชอบกิน กินได้ แล้วกินแล้วมีสุขภาพดี กูก็มีปลา กูก็ให้ปลาทุกวันๆ มีอยู่วันหนึ่ง ท่าน กินปลาจนจะว่ายน้ำได้อยู่แล้ว อ้าว อ้ายเราก็หวังดีล่ะนะ เออ เพราะว่า กินหมู กินไก่ คนแก่อายุมาก ก็เดี๋ยวก็จะย่อยยาก สุขภาพไม่ดี ก็ให้กินแต่ปลา พวกแซว บอก ท่าน กินปลาจนจะว่ายน้ำได้อยู่แล้ว เออ ก็เห็นคนแก่ไม่มีฟัน ก็เอาอาหารที่มันย่อยง่าย ทำกับข้าวให้ ก็ต้องตักให้ชิม เพราะตอนเย็นเราไม่ได้ชิม ชิมไม่ได้ ใช้ได้ไม๊ ต้มยำ อุ๊ย เผ็ด ต้องรีบไปเทน้ำทิ้ง แต่เนื้อไม่ทิ้ง เสียดายเนื้อ เทน้ำทิ้ง แล้วปรุงใหม่ ก็คำนวณเอา เพราะชิมไม่ได้ ใช้ดมกลิ่น

งั้น ถ้ารักพ่อ รักแม่จริง เรากินยังไง พ่อแม่ต้องกินอย่างนั้น เราอยู่ยังไง พ่อแม่ต้องอยู่อย่างนั้น อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ลูกกตัญญู อ้ายบอกว่า รักพ่อรักแม่เหลือเกิน เราอยู่สบาย นอนห้องแอร์ พ่อแม่แย่ นอนเสื่อขาดๆ เสื่อผืนหนึ่ง หมอนใบหนึ่ง มีมุ้งขาดๆ แล้วก็ที่นอน ก็ซกมกสกปรก ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ ไม่ได้

หลวงปู่นี่ บางทีแกไปจังหวัดมา เรากลับมา ต้องรีบเข้าห้องทำความสะอาดให้แก เอาผ้ามาสะบัด เอามุ้งมาสะบัด ที่นอนมาสะบัด แล้วก็ปูให้ใหม่ เพราะไม่อยู่หลายวัน ฝุ่นมันอาจจะจับ ไรมันอาจจะมี ยุงมันอาจจะเยอะ

งั้น คนเนี่ย ความดีเนี่ย ทำนองคลองธรรม คือ นิมิต ตัง สาธุรูปาณัง มีชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม

ทำนองคลองธรรมข้อที่ 1 ก็คือ กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ

ทำนองคลองธรรมข้อที่ 2 ก็คือ มีสติ ระลึกรู้ได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว

ทำนองคลองธรรมข้อที่ 3 ก็คือ หิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป

ทำนองคลองธรรมข้อต่อมา ก็คือ มีขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม

เหล่านี้ เป็นทำนองคลองธรรมขั้นพื้นฐาน ถ้าทำนองคลองธรรมขั้นสูงสุด ก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ถามทุกข์ มันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยอะไร ต้องหาเหตุ ต้องดับเหตุมันให้ได้

ทำนองคลองธรรมข้อต่อมา ขั้นสูง ก็คือ รู้จัก เค้าเรียกว่า รู้จักมรรคมีองค์ 8 ประการ คือหนทาง 8 ประการที่เริ่มต้นจาก สัมมาทิฏฐิ จบลงตรง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เห็นชอบ แล้วมีสติชอบ มีสมาธิชอบ

ข้อสุดท้าย ก็คือ รู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ทำนองคลองธรรมเหล่านี้แหละ เป็นทำนองคลองธรรมขั้นปรมัตถ

แต่ขั้นสมมุติสัจจะ ถ้าเราปฏิเสธ ไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม เราก็ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉานอยู่ในร่างมนุษย์ เดรัจฉาน หรือ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่อยู่ในร่างมนุษย์ พออยู่ในร่างมนุษย์ มันก็เลยไม่เหมือนมนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า มนุษเดรัจฉาโน มนุษเปรโต มนุษย์เหมือนเปรต มนุษย์เหมือนสัตว์เดรัจฉาน เพราะไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม

งั้น ความกตัญญู จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ถ้าเราสอนได้ ก็สอนลูกสอนหลานแต่ยังเล็กๆ สอนให้เค้าเข้าใจวิถีคิด วิถีชีวิตของคนที่อยู่ในทำนองคลองธรรมว่า ควรจะปฏิบัติอย่างไร

ถามว่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นความผิดไม๊ มันเป็นกติกา ระเบียบที่มันจำกัดสิทธิเสรีภาพของมนุษย์และสังคม เหมือนกับนายปลื้มเค้าพูดไม๊

ก็ปล่อยมันเถอะ พูด เราก็ฟังเฉยๆ แต่นี่คือ มันทำให้หลายสิ่งรวมกันอยู่ได้ แล้วหลายสิ่งนี้ มันทำให้เป็นเครื่องแสดงออกถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ เพราะมนุษย์มันควรจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างจากเดรัจฉาน เพราะอ้ายระเบียบ กติกาเหล่านี้แหละ ทำให้มนุษย์ต่างจากเดรัจฉาน ไม่งั้น มนุษย์กับเดรัจฉาน มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันนอกจากรูปลักษณ์เฉยๆ เพราะเดรัจฉานมีกิน เราก็มีกิน, เดรัจฉานมีกาม เราก็มีกาม, เดรัจฉานมีโกรธ เราก็โกรธเป็น, เดรัจฉานแสวงหาของที่โปรด เราก็แสวงหาได้ แต่ที่เราต่างจากเดรัจฉาน เพราะเรามีระเบียบ มีกฏเกณฑ์ มีกติกา มีจริยธรรม มีศีลธรรม มีคุณธรรม

แล้วอ้ายกฏเกณฑ์ กติกา ระเบียบ จริยธรรม ศีลธรรม มันเป็นเครื่องส่ง แสดงออกว่า อ้อ เรามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าเดรัจฉาน

พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า มนุษเทโว ไม่ใช่มนุษเปรโต หรือ มนุษเดรัจฉาโน

งั้น เมื่อพวกเรารวมตัวกันมาฟัง ก็ฟังผู้รู้ พูด แล้วเป็นสัมมาทิฏฐิ สิ่งที่ฟังนั้นจึงจะกลับไปเป็นประโยชน์ต่อชีวิต แต่ถ้าพวกเรารวมตัวกันไปฟัง แล้วฟังผู้ไม่รู้ พูด แล้วเป็นมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่ฟังได้นั้น มันจะกลับไปทำร้าย เป็นมลพิษ และทำลายตัวเอง สังคม และประเทศชาติ แผ่นดิน และสังคมในที่สุด

จบ ทิ้งเวลาให้ถามปัญหา

อนุโมทนาในบุญกุศล คุณงามความดีของทุกท่าน ที่มารวมตัวกันทำ ถวายพ่อหลวงของแผ่นดิน แล้วก็พ่อของพวกเราทุกคน แล้วเราไม่ได้มีพ่อแม่คนเดียวนะ ลูก เพราะกว่าจะเป็นตัวเป็นตน เป็นมนุษย์ถึงวันนี้ ชาตินี้ อดีตชาติเราก็เคยมีพ่อ แล้วพ่อของเราแต่ละชาติๆ เค้าจะอยู่กันยังไง ระลึกรู้บ้างไม๊ อุทิศส่วนกุศลให้เค้าบ้างสิ ทำความดีแล้วก็อุทิศส่วนกุศล แบ่งปันผลบุญ แล้วก็ส่งผลดีนั้นให้เค้าได้รับรู้ ได้อนุโมทนา ได้ผลดี แล้วก็ได้ไปสู่สุคติภพ ให้รุ่งเรือง เจริญ สำเร็จประโยชน์สืบเนื่องกันไป

เอ้า ตั้งใจถวายทาน แล้วเดี๋ยวกรวดน้ำ ลูก

....................

สาธุ

(กราบ)

สังฆทานและสิ่งของทั้งหลาย ที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วนะ ลูก ยกให้เป็นสมบัติของวัดและมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประโยชน์ แล้วก็เลี้ยงพระใหม่ ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)

เรื่อง อาหารแห้งทั้งหลายที่พวกคุณถวายเมื่อเช้านี้ ใส่บาตร หลวงปู่รับแล้ว เดี๋ยวให้เค้าไปจัดใส่ถุงไว้แจกเย็นนี้ 3,000 ครอบครัว ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ) ส่วนหนึ่งก็เป็นของวัด สำหรับใช้ทำเลี้ยงพระตลอด 1 เดือน ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)

เออ ใครไปบอกพระคเชนทร์ วันนี้ วันพ่อ เดี๋ยวแจกล๊อกเกตในหลวง อุทิศส่วนกุศลให้พ่อหน่อยเว้ย ใครไปบอก เอาไม๊ (เอา) เพิ่งจะเทศน์เมื่อกี้เอง ใครไปบอกพระคเชนทร์ ให้เอาล๊อกเกตในหลวง มา

เอ้า กรวดน้ำ มา ลูกมา ให้พ่อทั้งหลาย ที่มีมาแล้วในอดีต และปัจจุบัน

.................

ตั้งใจรับพร ลูก

.................

(สาธุ)

จำเริญ ลูก ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย อายุยืน สุขภาพดี (สาธุ)