16    ธ ค 2555 13.20 น.  ณ. โรงพยาบาลทหารเรือ แสดงธรรมโดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน ญาติโยมชาวบ้าน ผู้รับชมรายการ วิถี

ธรรม วิถีไทย คุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนินรายการ

เมื่อวาน ใครไปเจริญมนต์ถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไหน ลองยกมือให้ดู

หน่อย โอ้ เยอะเหมือนกันนะ เมื่อวานซักปะมาณ จัดของเอาไว้แจก 2,000 แจกไป

ประมาณซัก 1,500 -1,600 มันก็มีคนมาเวียนเทียนบ้าง พวกนี้ชอบเวียนเทียน

อ้ายคนเดินวน

บางทีเราก็ทำใจยาก เมื่อวานชั้นกลับไป ชั้นยังนั่งตำหนิตัวเองเลย อ้ายเราว่า ตอนเราแจก

ของ เราก็ทำใจให้ว่างๆ พยายามจะไม่ให้ ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน มัน

ขับเคลื่อนจิตวิญญาณตัวเอง เข้ามาครอบงำ แต่พอเจออ้ายคนเวียนเทียนเข้า มัน แหม มัน

อยากจะถวายแหวน ทั้งที่ เราก็พูดแล้ว เตือนแล้ว บอกแล้ว ว่า การครั้งนี้ เราอยู่ในพื้นที่

ราชสำนัก เรามาถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าอยู่หัว ท่าน

มักจะตรัสสอนเราอยู่เนืองๆ ก็คือ ให้มีสติ ให้มีสติที่จะหาอยู่หากิน ทำหน้าที่ของตน มีสติรู้

ทั่ว ปัญญารู้พร้อม

งั้น คนที่มีสติปัญญา มันจะเป็นคนที่รู้จักระงับกิเลสตนได้ ความอยากและตัณหาตนได้ ใน

ระดับหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอด สุดท้าย มันก็เดินวนมาอีกรอบหนึ่ง แล้วเราก็แปลกใจมาก

อ้ายลูกศิษย์เราเนี่ยนะ มันก็ยืนเย้วๆ อยู่ข้างๆ มันจำไม่ได้ มันดันๆเข้ามาเอาอีก มันดันผลัก

เข้ามาเอาอีก ผลักเค้าเข้ามาเข้าแถวอีก
คุณมนัส       รู้กันหรือเปล่า
หลวงปู่     อันนี้ เดี๋ยวจะฝากไปถามให้ แล้วก็เดี๋ยวจะให้มาตอบโดยตัวต่อตัว
เราก็เลยรู้สึกว่า อืม มันอะไรวะ คือ อ้ายคนยืนกั้น อ้ายลูกศิษย์นะ มันยืนกันเป็นสิบ สิบคน

ก็ปาเข้าไป กี่ตาละ เออ 20 ตา, 10 สมอง แล้วก็ 20 หู มันยังสู้เราไม่ได้ แค่ 2

ตา, 1 สมอง, 2 หู เรายังมองคน เออ อ้ายนี่ มาแล้ว อ้ายนี่ยังไม่มา มันแยกแยะ

ไม่ได้
คุณมนัส     ท่านหลวงปู่เป็นทศกัณฑ์ หรือเปล่า เมื่อวาน
หลวงปู่      หา, ไม่ใช่ ปกติ เวลาชั้นแจกของ ชั้นก็จะมองหน้าทุกคน ใช่ไม๊ล่ะ เพราะเรา

ไม่ได้ให้โดยเหลือเดนไง เราให้เพราะความเคารพ เราก็ต้องมองหน้า ให้เป็นที่ประจักษ์
คุณมนัส      ภาษาพุทธพาณิชย์ เค้าบอกว่า เป็นการเพิ่มมูลค่า
หลวงปู่      มองหน้าเนี่ยเหรอ
คุณมนัส        ไม่ฮะ  ภาษาพุทธพาณิชย์ เวลาไปรับของเยอะๆ แล้วเวียนเทียนเข้าไปบ่อยๆ

แสดงว่า ของนี้มีค่ามาก เอ้า จริงนะ เค้าคงอยากได้
หลวงปู่        เราก็เลยมีความรู้สึกว่า เอ๊ มองหน้า อ้ายนี่ มาแล้วนี่, เอ๊ อีคนนี้ มาอีกรอบ

แล้วเว้ย เออ มันหลายเที่ยว เราก็มีความรู้สึกว่า เอ๊ ทำไมคนเรานี่ไม่เห็นแก่คุณธรรม ไม่

รู้จักมีน้ำใจ ไม่มีคุณธรรมในหัวใจ ใช้ความอยาก พอดีพอร้าย ถาม เอ้า มาอีกแล้ว, เอา

ไปให้หลาน, เลย ไป๊ เลย มึง, เลยต้องไล่ลงเลย เลยต้องไล่, ไป๊, ต้องใช้วิธีนี้
งั้น ก็เลย มีความรู้สึกว่า กลับไปก็ไปนั่งโทษตัวเองว่า เรานี่ ยังไม่ถูกต้องนัก ยังเป็นผู้ที่

โดนครอบงำ เพราะเป็นผู้ที่ไม่มีขันติธรรม คือ คนที่มีขันติธรรมเนี่ย ดี เค้าก็จะขันติ, ชั่ว

เค้าก็จะขันติ อ้ายเรานี่ พอดี ก็เฉย แต่ชั่วนี่ ขันไม่ได้ ขันแตก, พอมาชั่วต่อหน้านี่ มัน

ขันแตกทันทีเลย เอาไว้ไม่ได้เลย  ขืนปล่อยให้มันเอาเปรียบ
เหมือนกับที่แจกมหาทานวันเฉลิมฯ นะคุณ

คุณมนัส      ครับ
หลวงปู่     คน 3,000 กว่า แจกไปซัก 2,000 กว่า อ้ายเราก็ เอ๊ อ้ายนี่ มาอีกแล้ว

มันมาอีกแล้ว อ้ายนี่พ่อ อ้ายนี่ มันหน้าเหมือนกัน จูงกันมาเป็นแถวๆ เลย เราก็ แจกไป

แล้วไม่ใช่เหรอ, เออ ไม่ใช่ ฝาแฝด, ฟังมันไปสิ มันไปได้น้ำใสๆ, เอ้า แฝดก็ไม่

เป็นไร มึง, นึกในใจ ขอให้ทุกอย่าง มึงแฝดติดกันไปหมด

อีกสักพักหนึ่ง มาอีกแล้ว พูดยังไม่ทันจบเลย แหม มันจูงกันมา แม่ ลูก 3 , แม่ 1

ถามเด็ก นี่หน้ามึงเหมือนกันหมดนี่ อยู่บ้านเดียวกันไม๊, บ้านเดียวกันค่ะ, พอมาถาม

ผู้ใหญ่, คนละบ้านๆ อ้ายนี่มันอยู่บ้านนู้น อ้ายนี่มันอยู่บ้านนี้, เราก็เลย นี่มันสอนให้

เด็กโกหกมดเท็จ เป็นผู้ใหญ่ไม่ถูกต้อง

แล้วเราให้ทานกับคนที่มีคุณธรรม อ้ายคนที่ไม่มีคุณธรรม ไปให้ทาน มันก็ไม่ต่างอะไรกับ

ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่ได้ประโยชน์อะไร อีกทั้งจะบอกว่า เป็นการเมตตาสงเคราะห์ นี่

มันโจร โจ๊น โจร โจร โจร โจร มหาโจร แล้วเราจะไปสงเคราะห์โจร ให้มันอ้วนอยู่ทำไม ก็

เลย, เลิก, กูเลิกแจก ลุกขึ้น ไปเลย, อ้ายพวกนั้น ก็ ยืน อาไรวะ กูมารอตั้งแต่เช้า
บอกแล้วไง คือ มันหลายครั้งไง มันบ่อยมาก
เดี๋ยวนี้ เลยไม่ค่อยอยากแจกทาน พอแจกทาน แล้วมันไม่ค่อยมีความสุข แรกๆ เราจะมี

ความสุข เออ มันก็คนแก่มา พิการมา คนเฒ่ามา คนชรา คนง่อย เปลี้ยเสียขา เออ เราก็ เค้า

ก็ไป เค้าก็มาโดยดุษฎี อ้ายคนที่มือตีนดีนี่สิ แล้วมันมาเอาเปรียบคนพิการ
คุณมนัส     อารมณ์เสียเลย กลายพระเกาหลีไปเลย
หลวงปู่      มัน คืออะไร
คุณมนัส     จีวรบิน
หลวงปู่       มันเกี่ยวอะไรกับพระเกาหลี
คุณมนัส     ภาษาเกาหลี เค้าจะมีจีวอน จูวอน วอนบิน อะไรอย่างนี้ ผมก็เลยยกให้หลวงปู่

เป็น จีวรบิน โมโห ไปเลย
หลวงปู่      เคยได้ยินคำว่า วอนเสียแล้ว ไม๊  นี่กำลังเกาขาอยู่เนี่ย
คุณมนัส     ดีนะ มีโต๊ะบัง....
หลวงปู่      เออ มันต้องทันกันอย่างนี้แหละ

คุณมนัส     ผมเชื่อหลายท่านมาที่ สโมสรทหารเรือวันนี้ อยากจะมาฟังคำอวยพรปีใหม่ด้วย

ท่านหลวงปู่ เทปนี้ ต้องขออนุญาตท่านหลวงปู่นะครับว่า เราบันทึกเทปวันนี้ของเดือน

ธันวาคม.... เทปจะไปออกอากาศอีก 2 อาทิตย์ เพราะฉะนั้น นอกจากเรื่องธรรมะ

ที่ท่านหลวงปู่จะเมตตาสอนแล้วจะให้ท่านหลวงปู่ได้อำนวยพรให้กับท่านญาติธรรม รับพร

ปีใหม่ด้วย ผ่านทางรายการวิถีธรรม วิถีไทย รายการเดียว

หลวงปู่      ที่จริง เค้ามีรายการหลายรายการ เค้าเขียนหนังสือมานิมนต์นะ ให้ไปให้พรปี

ใหม่
หลวงปู่      ท่านหลวงปู่ตอบรับไม๊ฮะ
หลวงปู่     ไม่ เผื่อไว้รายการเราไง
คุณมนัส    นี่ ใจตรงกันๆ  ก็มีกำหนดออกมาจากทางวัดเยอะ......วันเกิดหลวงปู่ มี

การสวดมนต์ข้ามปี..........

หลวงปู่       ชั้นก็เกิดทุกวัน ตายวันเดียว มีเรื่องที่อยากจะคุยก่อนที่จะถึงเรื่องที่คุณจะคุยว่า
คุณมนัส      ครับ
หลวงปู่       พอดีไปอบรมกรรมฐาน แล้วก็สอนวิปัสสนากรรมฐานกับพวกที่ไปบวช

เนกขัมมะที่ทองผาภูมิ มีใครไปบ้าง ยกมือซิ เออ ก็เยอะเหมืนกันนี่

วันสุดท้าย วันที่พวกเรากลับกันหมดแล้ว แล้วก็มีแต่พระ ฆราวาสก็มีส่วนหนึ่ง ก็พูดถึงเรื่อง

จ่าฝูง คือ สัตว์ทุกหมู่เหล่า ทุกเผ่าพันธุ์ นี่มันจะมีจ่าฝูง และอ้ายตัวจ่าฝูงนี่ มันมีลักษณะที่

เป็นคุณ ที่สังเกตุได้ เพราะ อ้ายเรื่องของเรื่อง มันมาจากเหตุที่ มีพระเค้า เผอิญ ให้เค้าช่วย

สอนวิธีออกกำลังกายตอนเช้า แล้วเค้าก็พูดในลำคอ ไม่ชัดเจน ทำให้คนฟังไม่รู้ว่า เค้าพูด

ว่าอะไร
เราก็เลยบอกว่า คนที่จะเป็นครูบุคคลนี่ มันต้องชัดเจน ต้องแสดงพฤติกรรม คำพูด และ

สูตรที่คิด ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ จนกลายเป็นผู้นำของเค้าได้ นี่เรียกว่า ลักษณะจ่าฝูง

เหมือนๆ กับสัตว์แต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละสปีชี่ มันต้องหาจ่าฝูง คือ หาผู้นำ แล้วอ้ายจ่าฝูง ผู้นำ

เหมือนกับที่บ้านเรา ถ้ามีหมาซักครอกหนึ่ง มันต้องมีตัวหนึ่งใน 1 ครอกที่มีลักษณะอัน

เป็นคุณ แล้วมันก็จะเป็นจ่าฝูงกับอ้ายหมาตัวเอื่นๆ  ไก่ หมู แมว เป็ด ปลา กุ้ง หอย ปู สัตว์

ทุกชนิด มันจะมีจ่าฝูง แล้วมีลักษณะอันเป็นคุณสำหรับจ่าฝูง

ทีนี้มาถึงมนุษย์ มนุษย์จะอยู่แล้วไม่มีลักษณะอันเป็นคุณ คือ ไม่เป็นจ่าฝูงของใคร ไม่เป็นไร

แต่เป็นจ่าฝูงของตัวเองไม่ได้นี่มัน เลว เล๊ว เลว นะ เสียชาติเกิด เราก็ว่า เค้าไปอย่างนั้นน่ะนะ
แล้วเมื่อได้จ่าฝูงมาแล้ว จ่าฝูงต้องทำหน้าที่อะไร
บริหารความเสื่อม ตัวจ่าฝูงเนี่ย มันต้องเข้ามาบริหารความเสื่อม
มนุษย์ เสื่อมไม๊ (เสื่อม), สัตว์ เสื่อมไม๊ (เสื่อม), วัตถุ เสื่อมไม๊ (เสื่อม)

ความเสื่อม มีอยู่เป็นธรรมชาติ, ความเสื่อม มีอยู่เป็นปกติ, ความเสื่อม มีอยู่ทุกขณะ

เป็นอาจินต์ แต่ทำยังไง จะให้ความเสื่อมมันได้กำไร ความเสื่อม มันมีกระบวนการพัฒนา

ความเสื่อม มันกระบวนการที่จะหยุดยั้ง ชะลอ แล้วก็ทำให้ก้าวหน้า ทำให้พัฒนา ทำให้เกิด

มุมบวก เกิดวิธีการที่รุ่งเรืองเจริญกว่าความเสื่อมที่จะตามมาทัน

งั้น หน้าที่เหล่านี้ล่ะ เป็นหน้าที่ของจ่าฝูง เหมือนกับเรามีครอบครัวๆ หนึ่ง มีพ่อ มีแม่ มีลูก

งั้น พ่อก็มีหน้าที่เป็นจ่าฝูง ถ้าพ่อไม่อยู่ ก็แม่ทำหน้าที่จ่าฝูงของครอบครัว ก็ทำยังไงล่ะ อ้าย

หัวหน้า หรือ จ่าฝูง ต้องทำงาน ทำหน้าที่พัฒนา บริหารความเสื่อมในครอบครัว ให้ครอบ

ครัวนี้ หนีความเสื่อมไปถึงคำว่า ความเจริญให้ได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่จ่าฝูงมัน ไม่สามารถ

พัฒนาความเสื่อม บริหารความเสื่อม แล้วก็ย่ำอยู่กับความเสื่อม แล้วเสื่อม เสื้อม เสื่อม

เหมือนที่ประเทศไทย กำลังเสื่อมอยู่ทุกวันนี้นะ
อันนี้ไม่ได้ไปไหนนะ อยู่ในประเทศไทย
คุณมนัส        ครับ
หลวงปู่         เราก็ถือว่า เรามีจ่าฝูงที่บริหารความเสื่อมไม่ได้ คือ มีจ่าฝูงที่ไม่มีคุณลักษณะ

อันเป็นคุณ คือ ไม่มีลักษณะอันเป็นคุณต่อฝูง ไม่มีลักษณะอันเป็นคุณต่อแผ่นดิน ไม่มี

ลักษณะอันเป็นคุณต่อประเทศ ทีนี้ ความเสื่อมก็จะถาถมเข้ามา
เพราะปกติ ธรรมชาติของมนุษย์ มันเสื่อม สังคมมันเสื่อม ชีวิตมันเสื่อม สิ่งแวดล้อมมัน

เสื่อม สภาวะรอบตัว ใกล้ตัว ภายในตัว รอบๆ สังคม เสื่อมหมด
ไม่มีใครไม่เสื่อม เกิดมา มันก็เสื่อมแล้ว เห็นความเสื่อมเป็นปกติ เห็นความเสื่อมเป็น

ธรรมชาติ เห็นความเสื่อมคงที่ เห็นความเสื่อมถาวร เห็นความเสื่อมยั่งยืน

แล้วทำยังไงจะให้ความเสื่อมนี้ มันหยุดหรือชะลอ และให้ความเจริญ มันล้ำหน้าไปได้ นำ

หน้าความเสื่อมไปได้ ทีนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับจ่าฝูงละ

งั้น จ่าฝูง จึงมีวิธีคิด วิธีทำ วิถีพูด วิถีชีวิต ที่แตกต่างจากสัตว์ในฝูง หรือ ผู้คนในสังคม

เพราะว่า วิธีคิดของจ่าฝูง นี่มันต้องแข็งแรง รวดเร็ว รวบรัด แล้วก็สำเร็จประโยชน์ เพื่อ

บริหารความเสื่อม ชะลอความเสื่อม แล้วก็ทำให้ความเสื่อมมันกลายเป็นกำไร เป็นมุมบวก

แล้วก็มีกระบวนการพัฒนาตามมา

ทีนี้ ถ้าสังคม ครอบครัว ตัวเราเอง ไม่สามารถเป็นจ่าฝูงให้กับใครได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็น

จ่าฝูงของตัวเองไม่ได้เนี่ย แย่มาก เค้าเรียกว่า เป็น อัปปภะบุรุษ, เป็นบุรุษ ก็เป็น อัป

ปภะบุรุษ, เป็นสตรี ก็เป็นอัปปภะสตรี แปลว่า บุรุษ สตรี ผู้ไม่มีประโยชน์ โมฆะบุรุษ

โมฆะสตรี ก็คือ ผู้เปล่า ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสารอะไร

ที่พูดอย่างนี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ความเสื่อมเนี่ย กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง แล้วมันก็กัดกิน

ชีวิตสัตว์ เราไม่คิดจะเป็นจ่าฝูงให้ใคร แต่ขอเพียงเป็นจ่าฝูงให้ตัวเราเอง แล้วบริหารความ

เสื่อมที่มันมีอยู่ภายในกายเรา และนอกกายเรา เราไม่อาจจะหนีความเสื่อมไปได้หรอก

แม้บริหารให้ตาย มันก็ยังเสื่อมอยู่ แต่ที่สุดแล้ว มันก็แข่งกันล่ะ ระหว่างความเจริญกับ

ความเสื่อม อันไหนมันจะล้ำหน้ากว่ากัน

ถ้าได้จ่าฝูงที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญ ชำนาญ มันก็จะทำให้ความเจริญ ล้ำหน้าความเสื่อม แต่ที่สุด

เมื่อมันไปเจอกันข้างหน้า มันก็ต้องเสื่อมอยู่ดี ก็ต้องมีจ่าฝูงในรุ่นต่อๆ ไป ที่จะต้องบริหาร

ความเสื่อมไปเรื่อยๆๆๆ ไม่หยุดหย่อน ไม่หยุดนิ่ง
งั้น ชีวิตเราก็จะจมปลักอยู่แต่เรื่องพวกนี้ บริหารความเสื่อม หนีความเสื่อม ไล่ความเสื่อม

อยู่กับความเสื่อม โดนความเสื่อมครอบงำ ตกเป็นทาสของความเสื่อม
แล้วสุดท้าย เราก็เสื่อม แล้วเราจะอยู่กับมันยังไง

เราก็อยู่กับมันอย่างเป็นผู้มีสติ มีปัญญา อย่างชาญฉลาด แล้วรู้จักบริหารจัดการให้มัน

เหมาะสม เรารู้ว่า เราต้องเสื่อม แต่เสื่อมแล้ว มันมีอะไรกลับมาบ้าง ได้ไม๊ ไม่ใช่เสื่อม

แล้วก็นอน รอวันเสื่อม, เสื่อมแล้วก็นั่งกินความเสื่อม, เสื่อมแล้วก็จมปลักอยู่ในความ

เสื่อม, เสื่อมแล้วก็เศร้าซึมอยู่กับความเสื่อม แล้วไม่คิดจะทำอะไรในความเสื่อม

พระพุทธเจ้าทรงรู้อย่างนี้ พระองค์จึงทรงชี้ในมรรคาปฏิปทาข้อแรกไง ข้อแรกว่า สัมมา

ทิฏฐิ คนที่เห็นความเสื่อม เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ จ่าฝูงทั้งหลาย ถ้าไม่เห็นความเสื่อม ก็ถือว่า

ไม่มีสัมมาทิฏฐิ เพราะคนที่ไม่เห็นความเสื่อม มันจะเป็นยังไง มันก็จะมัวเมาประมาทไง

มันจะขาดสติ แล้วมันก็จะปล่อยให้กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง กัดกินชีวิตสัตว์ แล้วตัวเองก็

ไม่พัฒนาอะไร นอนรอ นั่งรอ เฝ้าแต่รอ ร้อ รอ แล้วความเสื่อมก็เข้ามาถาถม ครอบงำตัว

เองจนหมดสิ้น
แล้วสุดท้าย พอจะคิด จะทำ ก็เสื่อมหมดแล้ว ร่างกายก็เสื่อม สุขภาพก็เสื่อม กำลังกายก็

เสื่อม กำลังใจก็เสื่อม กำลังปัญญาก็ยิ่งเสื่อม

งั้น ตอนนี้ เรามีกำลังที่จะสามารถที่จะวิ่งแข่งกับความเสื่อมได้ เราไม่คิดจะเป็นจ่าฝูงของใคร

ก็เป็นจ่าฝูงของตัวเอง หาวิธี ทำยังไงจะให้ได้ประโยชน์จากความเสื่อม ไม่ต้องเอาชนะความ

เสื่อม เพราะ ไม่มีใครชนะความเสื่อมได้

แม้สุดท้าย พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้ที่ชนะความเสื่อมได้ แต่ก็ยังอยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง

อนัตตา คือ รูปขันธ์ของท่าน ก็ยังต้องเสื่อมอยู่ดี แต่ที่สุด ท่านก็ไม่ต้องมารับความเสื่อมได้

อีก อันนั้นแหละ เรียกว่า ชนะความเสื่อมได้ที่สุด หรือ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่ไม่ต้องมา

เสื่อมอีก นั่นแหละ เรียกว่า ชนะความเสื่อมได้ที่สุด ที่เรียกว่า ถึงวิโมกขศักดิ์ ถึงวิโมกขศักดิ์

ได้

งั้น ปัญหา หน้าที่ ภาระ ธุระ และกิจกรรม การงานของเรานี่ มันมีอยู่แค่ 2 สิ่งเท่านั้นแหละ

เสื่อม กับ เจริญ แล้วเราก็เฝ้าปรารถนา รอคอย ขอพรพระเจ้า วิงวอนสวรรค์ ขอให้ได้ความ

เจริญ และอย่าเสื่อม สวรรค์ยังเสื่อมเลย แล้วสาอะไรกับเทวดา เออ จะไม่เสื่อม ชีวิตเราจะ

อยู่รอดเพราะความไม่เสื่อม คงเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร

เราก็ต้องหาวิธี พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน เรื่องนี้เป็น

เรื่องจริงแท้ จริงอย่างไร ก็รู้จักที่จะแข็งแรงทั้งกายและจิตใจ แข็งแรงทางสติปัญญา แข็ง

แรงทางจิตวิญญาณ
เมื่อความแข็งแรงมันเกิดขึ้น เราก็จะแกร่งกล้า และพร้อมพอที่จะบริหารความเสื่อมได้

อย่างเหมาะสม และรุ่งเรืองเจริญในความเสื่อม, รุ่งเรืองเจริญในความเสื่อม เพราะเราทิ้ง

มันไม่ได้

คนรวยที่สุด มันก็ตาย, จนที่สุด มันก็ตาย, ก็เป็นความเสื่อม, รวยที่สุด ก็ป่วย,

จนที่สุด ก็ป่วย, ก็เป็นความเสื่อม, รวยที่สุด ก็มีโรค แล้วก็ จนที่สุดก็มีโรค ก็เป็นความ

เสื่อม งั้น รวยที่สุด จนที่สุด แก่หง่อม เหมือนกัน เท่ากัน ไม่มีใครหนีมันไปพ้น แล้วเราจะ

อยู่กับมันอย่างชนิดที่บริหารได้ไม๊
ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราต้องฝึก ศีกษา สั่งสม อบรม สติปัญญา มามากน้อยแค่

ไหนอย่างไร

อันนี้ คือ สิ่งที่คุย ที่บอกกับพระ แล้วก็วันที่กลับมา ก็ไปปั้นหลวงพ่อผาสุก เพราะว่า จะ

หล่อหลวงพ่อผาสุก องค์น้อง องค์จำลอง วันขึ้นปีใหม่ ถามว่า ทำไมหล่อ
ก็เพราะว่า มีคนเค้ามาไหว้แล้วไม่มี คือ เค้าปิดทองไม่ได้ เพราะว่า องค์ใหญ่เค้าปิดทองไป

หมดแล้ว ก็เลย เค้าอยากมีโอกาสได้ปิดทองหลวงพ่อผาสุก หลวงปู่ก็เลยปั้นขึ้นมาใหม่
ก็มีช่างผู้ช่วย เราไม่อยู่ มันก็หยุด เออ เราไม่อยู่ มันก็หยุด ไปทองผาภูมิ มันหยุด พอกลับ

มา มันก็โผล่หน้ามา กลับมาอีกที หน้าหลวงพ่อผาสุก เป็นหน้า อีที เลยล่ะ จมูกโต แก้มตอบ

คางโย้ ฟัน     เหยิน อะไรไม่รู้มัน มันปั้น แล้วเราก็ต้องมานั่งแก้ แก้อยู่ซักพักหนึ่ง พอใช้

ได้เสร็จแล้วก็

พระเค้ากลับมาถึงวัด ตามมาทัน เค้าก็มากราบ แล้วมหาอานนท์เค้าก็เลยบอก ผม เออ เราก็

ชวนเค้าก่อน มหาฯ มาแล้ว ก็ดูพระปริวาส ดูพระบวชใหม่ไปสิ อ้ายใจเราก็นึกว่า จิตเค้าเนี่ย

มันยกมาในระดับที่ถือว่า สูงในระดับหนึ่งละ คือ ออกมาจากป่า ออกมาจากการปฏิบัติ

กรรมฐาน จิตคนเรามันจะนุ่ม จิตมันจะปราณีต จิตมันจะสุขุม

อ้ายความนุ่ม ปราณีต และสุขุม มันควรจะต้องรักษาเอาไว้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แล้ว

เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะต้องพยายามทำ ประคบประหงม เก็บงำ ไม่ให้มันไปกระทบกระเทือน

หรือ ไม่ให้มันมีอันเพลี่ยงพล้ำ โดนครอบงำจาก ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา

อุปาทานอีก
เค้า ว่าไง
เค้าบอกว่า ไม่ได้หรอกครับ งานเยอะเลย
ถามว่า งานอะไร
สวดผี, สวดผี สวดมนต์ ฉันเพล เพราะนี่ ช่วงเทศกาล คนจะนิมนต์เยอะ พระก็หายาก

เลยต้องไป
เราก็มานั่งคิดในใจ เออ อนิจจา คนเรานี่มันเห็น หรือ เค้าอาจจะคิดในอีกรูปแบบหนึ่งว่า  

สงเคราะห์ชาวบ้าน ช่วยเหลือชาวบ้าน ช่วยเหลือสังคม หรืออะไรก็ตามที แต่ถ้ามองในเรื่อง

ของวิถีจิต แล้วมันไม่ถูกต้อง เพราะว่า กว่าเราจะดึงจิตออกมาจากเครื่องร้อยรัดและเครื่อง

ครอบเนี่ย มันใช้เวลานาน แล้วพอได้มาซักหน่อย ความบริสุทธิ์นิดหน่อย ดันจมปลักลงไป

ใหม่อีก มันลำบากมาก มันยุ่งยากมากกว่าจะจับ มาขัดอีก

มันเหมือนกับ เราทำของตกไปในหลุมขี้ ของมันก็เล็กอยู่แล้ว กว่าจะควานหาเจอ ก็เปียกขี้

ไปทั้งตัวแล้ว แล้วได้มาแล้ว ล้างสะอาดแล้ว ก็ยังทำหล่นลงไปอีก ก็ต้องกระโจนลงไปใน

หลุมขี้ใหม่อีก โอ๊ มันไม่รู้จะกระโจนกี่รอบๆ ก็คิดในใจน่ะนะ

แล้วหลวงปู่ก็เลยมานึก เออ เรานี่มัน คนที่มันมีศรัทธาน้อย หรือ มีความเพียรน้อย มันก็

จะทำให้สติน้อย สัมปชัญญะน้อย สมาธิน้อย ถ้ามีศรัทธามาก มีความเพียรมาก  สติ

สัมปชัญญะก็จะเจริญรุ่งเรืองได้ง่าย
งั้น ทั้งหมดนี่ มันมาจากความเพียรไม่ต่อเนื่อง ความสำเร็จของจิตมันก็เลยไม่ปรากฏขึ้น

หลวงปู่เห็น บางทีบางครั้ง คนไปกรรมฐาน กลับมานี่ จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน พอกลับมา ผัว

ไม่อยู่เท่านั้นแหละ เครียด ถามลูก ไปไหน พ่อมึงไปไหน, ตีกอล์ฟ, ไปตีมากี่วันแล้ว,

2 วันแล้วยังไม่กลับเลย แม่, มันตีหลุมโคตรพ่อโคตรแม่มันที่ไหน มันตีเข้าหลุมอะไร

ทำไมตีกอล์ฟไม่กลับ

เราก็เลย เออ อีตอนไปปฏิบัติธรรม มันไม่ได้เอาผัวไปด้วย เพราะ หลวงปู่บอกว่า ต้องมา

คนเดียวไง มาคนเดียว คือ นั่งอยู่กับไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ต้องอยู่คนเดียว ห้ามพกพ่อ

พกผัว พกครอบครัว พกญาติ พกเพื่อนฝูง พกศัตรู พกมิตร พกการงาน พกปัจจัย ไม่ต้อง

พกอะไรทั้งนั้น ไปตัวคนเดียวโดดเดี่ยว โด่เด่ ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่ต้องอยู่เกี่ยวข้อง ไม่ต้อง

ขุ่นข้อง หมองมัวกับใคร จิตใจก็จะได้มีอิสระ มีเสรีภาพ คือ ปลดเปลื้องพันธนาการจาก

เครื่องครอบ เครื่องร้อยรัด และเครื่องงำ ที่เราได้จากราคะ จากโทสะ จากโมหะ จากอวิชชา

จากตัณหา อุปาทาน

ชีวิตหนึ่ง ขอเพียงมีโอกาสได้ปลดเปลื้องมันสักครั้งหนึ่ง มันก็จะเป็นเหตุปัจจัยใ ห้มันได้

สะอาดขึ้นในระดับต้น ต่อๆ ไป เหมือนกับหม้อเรา ถ้าเราขัดมันสักครั้งหนึ่ง มันก็มีโอกาส

ได้เห็นแวว แต่ถ้าไม่ขัดมันเลย มันก็จะดำสนิทอยู่อย่างนั้น ทีนี้มาขัด ก็ยากละ ขายเถอะ

ทุบทิ้งเถอะ เปลี่ยนหม้อใหม่เถอะ มันจะเป็นประมาณนั้นไง

จิตนี้ ก็เหมือนกัน งั้น จึงอยากจะฝากท่านทั้งหลายว่า ทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นจ่าฝูงของตัวเอง

อย่าได้ไปแสวงหาจ่าฝูงข้างนอก คือ ฝูง คือ ตัวของเรา มีโอกาสจะทำ

แล้วถามว่า เรามีเอกลักษณ์ เอกบุรุษ เอกสตรี คุณลักษณะที่เป็นจ่าฝูง และเป็นผู้นำของเรา

อย่างไร

ถ้าหากว่า มี เราก็จะเป็นผู้ที่ทำตามพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน

ได้
แต่ถ้าหากว่า เราไม่สามารถ คือ คนบางคน มันก็แย่นะ มันก็ยาก ให้นำยังไง มันก็ไปไม่ได้

หรือว่า พยายามยังไง ก็เป็นผู้นำใครไม่ได้ แล้วก็นำตัวเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องตามเค้า

ไป ตามเค้าไปเรื่อยๆ เพราะว่า เรายังพัฒนาได้แค่นั้น มันต้วมเตี้ยม  ป้อแป้ มือเท้าอ่อน

เค้าเรียก อินทรีย์มันยังอ่อนด้อย ก็ตามเค้าไปเรื่อยๆ จนว่า วันหนึ่งข้างหน้า ชาติหนึ่งล่ะ อีก

ซักโอกาสหนึ่ง ถ้ามีโอกาสให้เกิดเป็นคน กูคงได้นำมึงได้บ้างล่ะ แต่ตอนนี้ กูตามมึงไปก่อน

แต่ในมุมกลับกัน ถามว่า อ้ายความเป็นจ่าฝูง หรือเป็นผู้นำ มันใช้เวลาสั่งสมไม๊

มันใช้เวลาสั่งสมนะ คุณ ไม่เชื่อ ลองไปสังเกตุลูกคุณอยู่ในบ้าน 3 คน คุณลักษณะแต่ละ

คนที่จะเป็นผู้นำ มันแตกต่างกัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่คนเดียวกัน อุปนิสัยใจคอ ก็ยังต่างกัน ความ

ละเอียด รอบคอบ สุขุม ความลุ่มลึก ความรู้จักคิด วิเคราะห์ ความหยาบกระด้าง ความมัก

ง่าย ความเอารัดเอาเปรียบ ความตระหนี่ คับแคบ ความเห็นแก่ตัว มันมีแตกต่างกัน

 ทีนี้ อ้ายจ่าฝูง มันจะต้องดูอย่างไร

จ่าฝูง มันต้องดูว่า มีลักษณะอันเป็นคุณ
ลูกเรา จะดูว่า มันเป็นจ่าฝูงได้ไม๊
ต้องดูว่า มีลักษณะอันเป็นคุณหรือเปล่า ถ้ามันไม่มีลักษณะอันเป็นคุณ แสดงว่า อ้ายนี่

ไพร่มาเกิด ไม่ใช่อำมาตย์มาเกิด เออ มันเป็นพวกไพร่มาเกิด มันไม่มีลักษณะอันเป็นคุณ

เหลืออยู่เลย มันมีลักษณะอันเป็นผู้ตามอยู่เนืองนิจ แต่ถ้าเมื่อใด ลูกเรามีลักษณะอันเป็นคุณ

เช่น ซื่อสัตย์ กตัญญู โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด รอบคอบ สุขุม จิตใจ

เยือกเย็น
เยือกเย็นนี่ ไม่ใช่ขี้เกียจ สันหลังยาวนะ อ้ายสันหลังยาว นี่ไม่ใช่ลักษณะอันเป็นคุณนะ อ้าย

นิ่งๆ เฉยๆ ไม่พูดไม่จา อ้ายนั่น ไม่ใช่ลักษณะอันเป็นคุณนะ, ใบ้, อย่าเข้าใจผิดว่า คน

ใบ้ มีลักษณะอันเป็นคุณ
งั้น ลักษณะอันเป็นคุณ เค้าเรียกว่า ผู้มีคุณลักษณะที่จะเป็นจ่าฝูงได้
ทีนี้ ก็กลับไปถาม ดูตัวเอง ดูลูกเรา ดูคนในครอบครัวว่า มีใครบ้าง มีลักษณะอันเป็นคุณบ้าง
คุณมีลักษณะอะไรบ้างล่ะ
คุณมนัส     ผมมีหมด
หลวงปู่      หา
คุณมนัส    ผมมีหมดทุกอย่าง
หลวงปู่     จริงอ่ะ
คุณมนัส    ยกเว้นอ้าย 2 อันหลัง
หลวงปู่     ทำไมล่ะ
คุณมนัส    ขี้เกียจน่ะ ไม่เป็น ขยันเกินคน
หลวงปู่    อ๊อ
คุณมนัส    ผมขออนุญาตท่านหลวงปู่สักครู่นะฮะ
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส       ท่านสมาชิกท่านใดที่ขับรถ ฮอนด้า ซีวิค หมายเลข...........

กรุณาไปที่รถของท่านด่วนเลยฮะ
หลวงปู่       ทำไมอ่ะ
คุณมนัส      ไปจอดในที่ห้ามจอด
หลวงปู่      อ๋อ พูดซะตกใจ นึกว่า โดนงัด  โดนทุบ
คุณมนัส   ผมอุตส่าห์ไม่ใส่รายละเอียด หลวงปู่ยังทักอีก
......สรุปท้ายเบื้องต้น .....ท้ายที่สุด ต้องใช้สติ ระลึกรู้ว่า ทำอะไร กับใคร ที่

ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร.....ใช่ไม๊ครับท่านหลวงปู่
หลวงปู่     ใคร อะไร ทำที่ไหน ทำอย่างไร ทำกับใคร ทำเมื่อใด เค้าเรียกว่า เป็นลักษณะ

ของสัตบุรุษ บุรุษที่เป็นสัตว์อันประเสริฐ เป็นบุรุษอันประเสริฐ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ

รู้กาล รู้สถานที่ รู้บุคคล รู้ชุมชน คนใดชนใด ที่มีความรู้แบบนี้ ก็ถือว่าเป็นสัตบุรุษ หรือ

บุรุษอันประเสริฐ เป็นสตรีอันประเสริฐ เป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะอันพิเศษ ที่เรียกว่า

สามารถเป็นจ่าฝูงได้

ทีนี้ มันมีจ่าฝูงโดยตน กับจ่าฝูงโดยรวม เรียกว่า มหาสัตว์
อ้ายจ่าฝูงที่นำตัวเองได้ นำครอบครัวได้ ก็ยังไม่เรียกว่า จ่าฝูงในระดับ มหาสัตว์
อ้ายจ่าฝูงที่นำท้องถิ่น นำตำบล นำจังหวัดได้ ก็ยังไม่เรียกว่า เป็น มหาสัตว์ แต่ก็ถือว่า นำกัน

เป็นชั้นๆ
แต่จ่าฝูง ที่สามารถนำเอามหาชน คนทั้งโลกที่เคารพศรัทธา ให้บูชาเลื่อมใส เค้าเรียกว่า

มหาสัตว์

จ่าฝูง แบบนี้ มันมีได้หนึ่งเดียว ในหนึ่งกัปป์ หรือ ในทศกัปป์ ก็คือ 10 กัปป์ จะมีได้คน

เดียว หรือ องค์เดียว หรือ รูปเดียว หรือ ท่านเดียว ด้วยเหตุผลว่า มันหาได้ยาก เพราะไม่มี

ใครหรอก ที่จะพัฒนาจากจ่าฝูงเล็กๆ คือ นำตัวเอง จนถึงมานำครอบครัว นำสังคมระดับเล็กๆ

เรียกว่า จุลภาค แล้วก็มานำสังคมระดับมหาภาค และก็ไปนำเอาทั้งโลกและจักรวาล มัน

ต้องสั่งสมมากี่ภพ กี่ชาติ กี่แสนอสงไขย จึงจะสามารถไปนำมหาสัตว์ได้
งั้น ไม่ง่าย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีคนที่จะทำ มีผู้ที่คิดที่จะทำ แล้วก็มีท่านที่ทำได้แล้ว สำเร็จ

ประโยชน์แล้ว ก็คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ที่พระองค์ทรงได้ทำ

เหมือนอย่างที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านพยายามที่จะทำ แล้วก็ทำอยู่เนืองๆ จน

กระทั่ง พวกเรารู้สึกตื้นตันจิตวิญญาณที่ได้เห็นพระรูปพระโฉม เห็นพระพักตร์ เมื่อวาน

ชั้นยังรู้สึกขนลุกเลย ตอนที่เค้าไปจุดเทียนชัยถวายพระพรแล้วร้องเพลง สดุดีมหาราชา อุ๊ย

เสียงดังกึกก้องโรงพยาบาล ชั้นกลัวคนไข้มันจะ แต่ทุกคนก็ปิติ, ปิติไม๊ เออ เป็นสุข เดี๋ยว

สัปดาห์อีก เดือนหน้าวันปีใหม่ ปีใหม่ไปแล้ว สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน วันเสาร์ เดี๋ยว เราไป

ร้องกันใหม่ เอ้า ก็ถวายพระพรวันปีใหม่ไง เออ วันที่เท่าไหร่นะ
คุณมนัส       19 มกราคม
หลวงปู๋    เออ เดี๋ยวเราไปจุดเทียน ทีนี้ ก็ต่างคนต่างเอาไปกันบ้างนะจ๊ะ ลงทุนกันซะบ้าง
ก็วันเสาร์ที่ 3 ของเดือนมกราฯ วันที่ 19 มกราฯ แล้วก็ไปเจอกันใหม่ แล้วก็ไปจุด

เทียนชัย ถวายพระพร เจริญพุทธมนต์ แล้วจุดเทียนชัย เนื่องในวโรกาสวันขึ้นปีใหม่ เราก็

ไปถวายพระพร ให้ใครแต่งอาเศียรวาท ราชสดุดีเพราะๆ เป็นคำถวายพระพรไปอ่าน แล้ว

เราก็จุดเทียนชัย

แต่ติตรงนิดหนึ่ง ตรง ทรงพระเจริญ มันน้อยไป มันต้องตะเบ็งให้สุดเสียง ทีไปกรี๊ด อ้าย

คอนเสิร์ต เสียงดังอย่างกับปีศาจ เออ ทรงพระเจริญ มันต้องดัง เออ ต้องดังหน่อย
ก็เข้ารายการได้แล้ว ทำมาหากิน
คุณมนัส     กราบสวัสดีท่านญาติธรรมทุกท่านนะครับ เข้าสู่รายการ วิถีธรรม วิถีไทย อีก

ครั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการ กราบนมัสการท่านหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ ก็ได้เวลาทำงาน

แล้ว....วันนี้มีคำถามหลายคำถาม.....มี ทั้งเรื่องของสุขภาพ แล้วเรื่องของธรรมะ

ที่ยังติดข้อสงสัย ติดข้อนิวรณ์.....
หลวงปู่    เอ๊ วันนี้ ทำไม พูดอะไร วอนๆ อยู่ตลอด
คุณมนัส       .... มันอยู่ใกล้หลวงปู่
หลวงปู่     เออ นิวรณ์
คุณมนัส   ภาษาธรรมะไง ก็ซึมซับเข้าไปบ้าง
หลวงปู่      วอนเสียแล้ว
คุณมนัส     นิวรณ์ ก็คือ ความลังเลสงสัย
หลวงปู่         เอ้าๆ ศัพท์ สูง

คุณมนัส    ย้อนไปที่ทองผาภูมิ หลวงปู่บอกว่าให้เพ่งความว่าง มีความรู้สึกว่า ตัวตนมัน

หายไปรวมอยู่ในความว่าง นี่ไงนิวรณ์ สงสัยว่า ปฏิบัติถูกหรือผิด

หลวงปู่    นิวรณ์ นี่ คุณต้องเข้าใจว่า ทำพูดไป ไม่ใช่จีวร
นิวรณ์ นี่มันเป็นเครื่องร้อยรัดนะ คนที่อยู่ในความว่าง นี่ไม่มีเครื่องร้อยรัด
งั้น ความว่างมี อยู่ 2 ชนิด ก็คือ สภาวะ กับ อารมณ์ว่าง
อ้ายที่ให้เพ่ง คือ มันเริ่มต้นจาก เพ่งอารมณ์ แล้วก็มาสู่คำว่า สภาวะ
อ้ายที่คุณบอกว่า แม้แต่ตัวตนไม่มี แสดงว่า คุณเข้าสู่สภาวะละ งั้น ขอแสดงความยินดีด้วย

สาธุโนโมทนา ถ้าทำได้ขนาดนั้น ก็ดีมาก
แล้วก็อย่าไปกลัวมัน เพราะความว่างเนี่ย ผู้ใดที่อยู่กับความว่าง มัจจุราชเอื้อมมือไม่ถึง

ความทุกข์ก็ไม่มี ผู้ที่มีความว่าง  ไม่มีความแก่ อยากจะเป็นสาว 2,000 ปีอยู่ตลอดเวลา

ก็นั่ง ว่าง ไม่ต้องทำอะไร อาม่า อยากเป็นสาว ว่าง อย่างเดียว อั้วว่าง อั้วไม่ทำอะไร อย่างนี้

ใจมันว่าง จิตมันว่าง สมองมันว่าง กายมันว่าง อามรณ์มันว่าง พฤติกรรมมันว่าง มันไม่แก่

ไม่เจ็บ ไม่ตาย ในความว่าง ไม่มีอาการของการโดนครอบงำ ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ

ด้วยอวิชชา ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน
คุณมนัส    ความรู้สึกมันเป็นยังไงฮะ ท่านหลวงปู่ มันหวิวๆ
หลวงปู่       อยากรู้ไม๊
คุณมนัส     อยาก
หลวงปู่     ลองว่างดู พรุ่งนี้ ไม่ต้องไปทำงาน เค้าถามว่า ทำไม ไม่มา อ้าว ฝึกว่าง
คุณมนัส      ว่างนานเลยล่ะ
หลวงปู่     คือ ว่างอารมณ์ ก่อน ลองฝึกให้อารมณ์เราว่างๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้อง

วิเคราะห์อะไร ไม่ต้องตรึกอะไร ไม่ต้องกังวลอะไร แล้วก็ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร มีแต่ ตัวรู้

แล้ว ว่าง, ตัวรู้ แล้ว ว่าง, รู้ แล้ว ว่าง เฉยๆ ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่จะ ว่างกาย,

ก็ให้ ว่างใจ เสียก่อน ความรู้สึกก็ประมาณนี้แหละ

พอว่าง แล้ว ในที่ว่าง ในความว่าง พระพุทธเจ้าทรงสอนโมฆราช หรือ พระดมฆราชะว่า  

โมฆราช ถ้าเมื่อใดที่เธออยู่กับความว่าง เพ่งความว่างเป็นอารมณ์ เมื่อนั้น มัจจุราชจะไม่

เห็นเธอ
นั่นก็แสดงว่า พระองค์ทรงยืนยันว่า บุคคลผู้เข้าสู่ความว่าง หรือ สุญญตะ สุญญตสมาธิ คือ

ผู้ที่จะพ้นจากอำนาจครอบงำของมัจจุราชได้ ก็คือ จะเป็นผู้ที่พ้นจากการครอบงำของราคะ

โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา และก็อุปาทานได้

งั้น ที่สอนที่ทองผาภูมิ มันเป็นการสอนเบื้องต้น ก็คือ สอนให้มีสติ ที่จริง สอนให้มีสติมา

ตั้งแต่เป็นสิบปีแล้ว เพื่อเอาใช้กับสิ่งที่สอนในทองผาภูมิ ก็คือ นำมาใช้เพ่งความว่าง ให้เกิด

ความว่างในจิต ว่างในอารมณ์ ว่างในสภาวะธรรม เพราะคนเรา ถ้าเข้าถึงความว่าง ก็เข้าถึง

สุญตธรรม หรือ สุญตสมาธิ แล้วมันก็จะกลายเป็นผู้ที่พ้นจากอำนาจการโดนครอบงำ มี

อิสระอย่างสมบูรณ์แบบ มีเสรีภาพอย่างยิ่งใหญ่
ถ้าท่านทั้งหลายได้ศึกษาธรรมะกันมาต่อเนื่อง ก่อนหน้านั้นก็จะมีปราชญ์ของแผ่นดินคือ

ท่านพุทธทาส ท่านมักจะพูด แล้วจะสอนว่า จงทำงานด้วยใจว่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราจะ

รู้ว่า ตัวเราเนี่ย มันไม่ว่าง แล้วเราก็ทำงานด้วยกระบวนการขับเคลื่อน หรือ ผลักดัน แรงถีบ

แรงยันของราคะบ้าง โทสะบ้าง โลภะมั่ง  โมหะบ้าง คือ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นตัวผลักดัน

เรา

อ้ายที่ใจว่างๆ แล้วทำ ไม่มี
ที่จริง ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน มันเหมือนบ่อพลังงาน ที่ทำหน้าที่ขับ

เคลื่อนให้เราเดินไป พูดไป ทำไป กินไป อยู่ไป เสพไป แต่มันมีบ่ออีกบ่อหนึ่ง ซึ่งมันไม่

ได้มีพลังงานที่มันเป็นมลภาวะ มันไม่เป็นพลังงานที่มันเป็นมลทิน เป็นพลังงานสะอาด ที่

เรียกว่า ใจที่ว่าง จิตที่ว่าง อารมณ์ที่ว่าง แต่เราคิดว่า ความว่าง คือ สิ่งที่เราแตะต้องไม่ได้

เพราะมันไม่พัฒนา คือ มันไม่มันน่ะ มันไม่หวาน ไม่เผ็ด ไม่เปรี้ยว ไม่เค็ม อะไรอย่างนี้

เราก็เลยคิดว่า มันไม่มีตัวตน แล้วเราก็จะมาหาอ้ายพลังงานที่มันมีตัวมีตน มีรูป มีร่าง แล้ว

พลังงานอย่างนี้ ที่จริงแล้ว กินเข้าไปเป็นมลพิษนะ เป็นมลทิน เพราะมันจะทำให้เกิดควันดำ

จะทำให้เกิดโรคระบาด มันจะทำให้เกิดทุกข์พิษภัย มันจะทำให้เกิดล้มหายตายจาก เกิด แก่

เจ็บ ตาย มันทำให้ทุรนทุราย แล้วติดคุกติดตะราง ไปฆ่าเค้า ตีรันฟันแทง อาฆาตพยาบาท

ดูอย่างเมื่อเช้า เรื่องหมาๆ แท้ๆ คนตีกับหมา คนเลยไปตีกับคน เพราะหมา แล้วหมามันก็

ตายไปแล้ว เลยยกขบวนไปตีกับคน อ้ายคนที่ทำให้หมาตาย เรื่องของหมาๆ คนก็จะฆ่ากัน

ได้ เพราะ มันไม่ว่างไง

ถ้ารู้จักใจว่างเสียบ้าง ก็เออ มันเป็นกรรมของมัน หมาโดนคนตีตาย ก็เพราะว่า เป็นกรรม

ของหมา อ้ายหมาไปกัดคน ก็เป็นกรรมของคน ถ้าเข้าใจความหมายนี้ มันจะรู้ว่า เออ เป็น

ธรรมชาติ เป็นกรรมของสัตว์ผู้มีกรรมเป็นเจ้าเรือน มีกรรมเป็นนาย มีกรรมเป็นเครื่อง

ครอบงำ มันอยู่ในอำนาจของกรรม ก็เป็นไปตามกฏแห่งกรรม

ถ้าเข้าใจความหมายนี้ ก็ถือว่า ว่างในระดับหนึ่ง ไม่ต้องไปตีโพยตีพาย ร้องแรกแหกกระเชอ

อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ว่างโดยใช้ปัญญา ว่างโดยใช้วิจารณญาณ ด้วยใช้สติปัญญา แต่ถ้าว่าง

โดย ใจว่าง โดยเพ่งอารมณ์ว่าง เค้าว่างโดยใช้หลักเพ่งอารมณ์ที่เรียกว่า มีสมาธิจิต หรือ มี

สติตั้งมั่น รู้ชัดตามความเป็นจริง แล้วก็จะไม่ต้องโดนพลังใดๆ มาครอบงำเรา ให้ขับเคลื่อน

เลื่อนไปตามกระบวยการที่จะมาฉุดกระชาก รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เป็น แล้วถ้าจะทำงาน

ก็ทำด้วยความจำเป็น

เหมือนๆ กับที่หลวงปู่สอนที่ทองผาภูมิว่า คุณเดินไปข้างหน้า เดินเพราะความจำเป็น หรือ

เดินเพราะความอยาก ถ้าเดินเพราะความอยาก แสดงว่า ไม่ว่าง แต่ถ้าจำเป็นต้องเดิน นั่น

แสดงว่า ทำเพราะความว่าง เวลาเราดื่มน้ำ หรือ กินข้าว หรือว่า ชม เสพอะไรก็ได้ เราจำเป็น

หรือ เราว่าง

คนทำงานด้วยใจว่างนี่ มันจะวิเคราะห์ได้ว่า อันนี้ ร่างกายต้องการนะเราหิว มันจำเป็น

เพราะร่างกายขาดมันไม่ได้ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ไม่ได้อยาก แต่เพราะร่างกายมันจำเป็น
แยกกันชัด แต่กว่าจะรู้ระดับนี้ มันต้องฝึกสติมาก มีสตินานมาก

ชั้นสอนสติเป็นสิบปี กว่าจะได้มารู้เรื่องพวกนี้นะ จะให้คนได้รู้เรื่องพวกนี้ ต้องเรียนรู้สติ

เยอะมาก จึงจะแยกได้ว่า พฤติกรรมอย่างนี้น่ะ จำเป็น หรือ อยาก เพราะมันเป็นตัณหา

แล้วเมื่อเข้าใจอย่างนี้ เราก็จะรู้ว่า เราจะไม่โดนครอบงำจากตัณหา จากอุปาทาน จากอวิชชา

จากโลภะ โทสะ ราคะ โมหะ แต่เราจำเป็นสำหรับตัวเองชัดเจน
กินก็จำเป็น, นอนมันก็จำเป็น, ยืนก็จำเป็น, เดินก็จำเป็น ในหลัก คิริมานนทสูตร

ท่านบอกไว้ชัดว่า บุคคลผู้เป็นโรค ส่วนใหญ่มาจากบริหารเหตุ 4 อย่างไม่ครบ
เหตุ 4 อย่าง คือ อะไร
ยืน เดิน นั่ง และ นอน
ทำไม่ครบ คือ ทำไม่ตรงต่อความจำเป็น
ท่านบอกไว้ชัดว่า ทำไม่ตรงต่อความจำเป็น จึงเกิดโรค
ถ้าทำตรงต่อความจำเป็น ไม่เกิดโรค เช่น กิน เพราะร่างกายมันต้องการ มันจำเป็น เอ้า เอา

เฉพาะเหมาะสม กินเพราะว่า วันนี้เราขาดน้ำตาล ขาดแคลเซี่ยม ขาดแคลอรี่ ขาดไขมัน

ขาดคาร์บอไฮเดรท ขาดวิตามิน เอ้า ก็กินเฉพาะสิ่งที่มันจำเป็น แต่ อะไรที่มันไม่จำเป็น ก็

อย่าไปแตะมัน เพราะถ้ามันไม่จำเป็น แล้วเอาเข้ามา มันเป็นอะไร เป็นขยะ  เป็นโทษ ทำ

ร้ายตัวเอง แล้วคนเรา มนุษย์เรา เพราะมันไม่ว่างไง กินเพราะความไม่ว่าง มันอยาก มัน

ตะกละ มันมุมมาม มันอร่อย
มันมีทั้งอะไร
อยาก นี่ก็คือ ตัณหา, อร่อย ก็เป็นตัณหา, มุมมาม ตะกรุมตะกราม ตะกละ ก็คือ เป็น

ตัณหา
สรุปแล้ว เราอยู่เพราะตัณหา เราต้องไปแสวงหาอยู่ตลอดเวลา แล้วอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เรา

โดนครอบ โดนครอบงำแล้ว ไม่เป็นอิสระของตัวเราเอง

งั้น ก็ต้องหาวิธีการปลดเปลื้องตัวเอง

ปีหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง เดือนหนึ่ง นาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง ก็ปลดปล่อยตัวเองออกมาจากเครื่องครอบ

เครื่องงำเสียบ้าง จะได้ทำอะไรไม่เป็นไปตามตัณหา แต่เป็นไปตามความจำเป็น
ความจำเป็นที่ร่างกายมันต้องการ ความจำเป็นที่ร่างกายต้องเสพ ความจำเป็นที่เราต้อง

เคลื่อนไหว เรายืนขึ้นมาจากนั่ง ก็เพราะ มันจำเป็น เพราะนั่งนานๆ มันเมื่อย นี่มันเป็น

ความจำเป็น ไม่ใช่อยู่ดีๆ เอ้อ อ้ายนู่นเค้าไปมีอะไร เราไปดูเค้าหน่อย นั่นไม่จำเป็นละ อ้ายนี่

มันไม่จำเป็นเพราะว่า มันไม่ได้เป็นหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น

งั้น อ้ายคนที่ทำงานด้วยพลังงานบริสุทธิ์ ก็คือ ทำเพราะความจำเป็น และ ใจมันว่าง ไม่ใช่

เพราะความอยาก มันผลักดันให้ทำ จบ
เข้าใจไม๊
คุณมนัส    เข้าใจครับ กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นมารที่ต้อง......
หลวงปู่     สาธุ
คุณมนัส    กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็น.........
หลวงปู่      พระคุณเจ้า บวชอยู่วัดไหน
คุฯมนัส      ผู้ที่มาใหม่นะฮะ ตรงนี้ มีที่นั่งอยู่ประมาณ 5-6 ที่นั่ง ถ้าท่านไม่สะดวกจะ

นั่งกับพื้นนะฮะ เผื่อปวดหัวเข่า ตรงกลางนี้ก็ว่าง
หลวงปู่     ใหม่ที่ไหน พวกนี้มา จนหน้ามีสนิมหมดแล้ว จำหน้าได้
คุณมนัส    หลังจากสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา แล้วก็ล้มตัวลงนอน จะกำหนดดูลม

หายใจตลอดเวลา มันเหมือนไม่หลับ นอน มองอยู่ในความว่างนั้น พักหลังเป็นถี่ขึ้น
หลวงปู่    ไม่ถูกนะนั่นน่ะ
คุณมนัส     ไม่หลับ แต่ก็ไม่เพลีย
หลวงปู่     ไม่ถูก อย่างนั้นน่ะ โง่
คุณมนัส     ไม่รู้ มันคืออะไร
หลวงปู่     โง่ ก็จิตมันมีงานแล้วไง มันไม่พักแล้วไง
เคยบอกแล้วใช่ไม๊ ถ้าอยู่ในความว่าง ไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ แล้วมีคนถาม เมื่อสัปดาห์

ที่แล้ว เออ หนูผิดปกติไม๊คะ เวลาเข้าถึงความว่าง แล้ว มันจะหาวนอนตลอด แล้วรู้สึกง่วง

เราก็เลยบอก ไม่ผิดปกติหรอก มึงน่ะ ปกติ ไม่ผิดปกติ เพราะมึงนอนเป็นอาชีพ เป็นปกติ

อยู่แล้ว มึงไม่ว่าง มึงก็นอน งั้น ไม่ได้ผิด ถึงมึงไม่เข้าความว่าง มึงก็หลับ มึงพิงเสา มึงก็ยัง

หลับเลย ยืนมัน.. อย่างนี้ๆเลย  จะบอกว่า ผิดปกติ
คุณมนัส    ที่แท้ แรงโน้มถ่วงโลก แพ้แรงโน้มถ่วง
หลวงปู่     เหรอ ก็ให้นอนว่างๆ มันยังกรนเลย เสียงครืดๆๆ งั้น ก็เลยอยากบอกว่า เวลาจะ

นอน ถ้าคุณจะไปเจริญสมาธิจิต โดยการเพ่งจิตในกรรมฐาน แสดงว่า คุณไม่ได้นอน คุณ

ทำกรรมฐานอยู่
วิธีนอนให้หลับ คือ ใจต้องไม่มีงานการ กรรมฐานแปลว่า งานของจิตใจ ถูกไม๊
เหมือนกับคุณนอน ก็ต้องการพักร่างกาย ถูกไม๊ แต่มันไม่หลับ ก็แสดงว่า ใจคุณไม่ได้พัก
จิตใจไม่พัก เพราะอะไร
อ้าว คิดมาก ฟุ้งซ่าน คิดถึงลูก ถึงผัว ถึงครอบครัว ถึงละคร ถึงพระเอก เอ๊ มันจะได้กันไม๊

กับนางเอก อย่างนี้ มีงานไม๊
อ้าว แสดงว่า ใจมีกรรมฐาน แต่เป็นกรรมฐานชั้นเลว
แต่เอาล่ะ เราไม่ได้ทำกรรมฐานประเภท ราคะ โทสะ โมหะ ดันมาทำกรรมฐานประเภทกุศล

ก็คือ พิจารณาลมหายใจก็ดี ภาวนา นะโม พุทธายะ อะไรก็ดี นั่น มันก็เป็นงานของจิต แล้ว

คุณจะนอนได้ยังไง เมื่อจิตคุณมีงาน
งั้น ถ้าจะนอนจริงๆ ไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ คือ ทำให้จิตมันไม่มีงาน
ชั้นถึงได้บอกว่า คนที่ไปปฏิบัติธรรมทองผาภูมิ หลับสนิททุกราย ไม่เคยมีใครนอนไม่หลับ

เห็นมันหลับได้หลับดี หลับเป็นอาชีพ หลับเป็นนิจนิรันดร์ หลับยั่งยืน หลับถาวร หลับ

อัตโนมัติ ไม่เห็นมันต้องนอนไม่หลับ
เพราะฉะนั้น เมื่อใดถ้าคุณยังไปเสพกรรมฐานในขณะที่คุณนอน ก็มีอาการแบบนี้ มาให้

ชั้นรักษา บ่อยมาก คนไปเข้าคอร์สกรรมฐาน กลับมาเดินแก้ผ้า เป็นครูด้วยนะ เออ บ้าไป

เลย บอก ไม่มีอะไร ตัวเรา เราไม่มีอะไร แล้วทั้งคืนทั้งวัน ไม่ยอมนอน ไม่ยอมหลับ ใจมัน

จะตื่น ตามันตื่น แต่เค้าบอก ไม่เพลีย แต่สติ มันไม่อยู่กับตัวแล้วไง มัน  7 วันไม่ได้นอน

เลยอย่างนี้ มันล่องลอยละ ประสาทมันชักเบลอละ แล้วสุดท้ายก็มาระแวงละ มีเสียงกระซิบ

หูบ้าง เห็นภาพซ้อน หลอนบ้าง แว่วบ้าง เนี่ย เค้าเรียกว่า ฝึกกรรมฐานที่ผิด ทำร้ายตัวเอง
ที่จริง กรรมฐานไม่ได้ทำร้ายใคร ถ้าคนปฏิบัติ รู้
ทีนี้ อ้ายคนปฏิบัติก็ไม่รู้ ครูบาอาจารย์ก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ดันไปสอนว่า เวลานอน ก็ให้

ภาวนานะ
ภาวนา อาไร
ลูกแกะตัวที่ 1 โดดข้ามรั้ว ป๊อง ถ้าเป็นมอญ เค้าก็จะภาวนาว่า หนึ่ง มะพร้าวฮ้าวแฮ้ง

ป๊อง, อ้าว เวลามอญมันนับมะพร้าว ส่อง มะพร้าวฮ้าวแฮ้ง ป๊อง ยังไม่ทันจะสาม ฮ้าวเลย

ครอกละ

คุณมนัส     เมื่อกี้ ได้ยินหลวงปู่พูดถึงกุศลจิต กุศลจิต เกิดจากการปราศจากความอดทนได้

ไม๊ครับ
หลวงปู่        เออ ไม่ได้ กุศลจิตนี้ ต้องมีขันติธรรม กุศลจิตถ้ามันเป็นกุศลจิตชั้นปรมัติแล้ว

ไม่ต้องขันติ ถ้าเป็นกุศลจิตชั้นโลกียะแล้ว ต้องมีขันติธรรม เมื่อวานชั้นถึงได้ไปด่าตัวชั้นเอง

บนรถไง เราไม่ค่อยมีขันติธรรมกับคนไม่ดี ถ้าคนไม่ดี คนชั่วต่อหน้า เจอ นี่ไม่ค่อยมีขันติ

ธรรม อยากจะถวายแหวน อยากจะโวยวาย อยากจะจับมันมาจิกหัว แล้วก็เอานิ้วดีดจมูกมัน

อ้าว จะไปทำอะไรมันรุนแรง เดี๋ยวเค้าก็หาว่า โหดร้าย ก็ใช้แค่นิ้วดีดจมูกมันก็พอแล้ว

คือ ชั้นจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีขันติกับคนไม่ดี เพราะเราจะมีความรู้สึกว่า อ้ายคนไม่ดีนี่ มัน

น่าจะทำให้คนดีเดือดร้อน ก็มันเดินวนได้ 2 รอบ 3 รอบ นี่มันเดือดร้อนไม๊ล่ะ เมื่อวานนี้

ชั้นแจกของไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่มือชั้น มันสั่นเลยล่ะ มันหมดเรี่ยว หมดแรง แขน มัน

อาจจะล้า ทำงานหนัก เยอะละ เราก็เลยมีความรู้สึกว่า โอ๋ย แล้วทำไมกูต้องมาทนกับคนชั่ว

พวกนี้ด้วยวะ มันเอาเปรียบคน มันเอาเปรียบกูอีกต่างหาก เรามานั่งนึกในใจ

แล้วมันก็มีจิตหนึ่งเข้ามาแทรก เนี่ย แสดงว่า เราไม่มีขันติกับอกุศลจิต ไม่มีขันติกับคนชั่ว

แต่อ้ายคนดี เราไม่จำเป็นต้องใช้ขันติ ไม่เห็นต้องไปทนกับคนดี มันเป็นธรรมชาติของคนดี

ที่เค้าจะทำด้วยวิถีชีวิตของคน อ้ายคนชั่วเนี่ย ก็ต้องยิ่งมีขันติธรรม

คุณมนัส       หลวงปู่ ถ้าคนที่มีโทสะจริตบ่อยๆ แต่เค้าไม่แสดงออก กับคนที่วิตกจริต มัน

จะแก้ไขได้ยังไง
หลวงปู่        โทสะจริตกับ วิตกจริต มันคนละอย่างน้า อ้ายโทสะจริต นี่มันเป็นเหมือนไฟที่

ไหม้ฟาง แต่อ้ายวิตกจริต นี่มันเหมือนไฟที่สุมขอน
มองออกไม๊ ฟังรู้เรื่องไม๊
อ้ายไฟไหม้ฟาง วูบเดียว มันก็หาย อ้ายวิตกจริตนี่ อู้หู ไม่มีไฟ แต่ควันโขมงอยู่อย่างนั้น

กรุ่น
คุณมนัส    พร้อมจะจุดติดตลอดเวลา
หลวงปู่     เออ นั่นแหละ พวกวิตกจริต มันคนละอย่างนะ อันไหน มันทรมานกว่ากัน วิตก

จริตเนี่ย โอ๊ย นอนดิ้นหนังกลับ ไม่หลับ อ้ายไฟไหม้ฟาง อ้าว ไหม้หมดแล้วเหรอ เดี๋ยว ก็

หาใหม่เองแหละ มันคนละอย่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามว่า อันไหนดีกว่ากัน โทสะก็ไม่ดี

วิตกก็ไม่ดี ไม่มีอะไรดีกว่ากัน แต่อันไหนเลวกว่ากัน ก็ไม่มีอะไรเลวกว่ากัน เพราะมันยัง

ไม่ทำอะไรให้ใครเสียหาย แต่อันไหนทรมานกว่ากัน ก็ต้องบอกว่า วิตกจริต ทรมานที่สุด

คุณมนัส     แล้วข้อดีของจริต 6 ล่ะฮะ
หลวงปู่         จริต 6 ไม่ใช่เป็นข้อดี แต่เป็นโรค 6 อย่าง โรคที่ต้องหาวิธีรักษา ราคะจริต

โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต พุทธิจริต และศรัทธาจริต พวกนี้มันเป็นโรค
คุณมนัส     เอามาปฏิบัติ ให้เกิดผลดีกับรา
หลวงปู่      ไม่ใช่ มันเป็นโรคที่พระพุทธเจ้าบอกว่า คนเนี่ย มันมีโรคอย่างนี้อยู่ ต้องหาวิธี

รักษามันด้วยกรรมฐาน กรรมฐาน จึงเป็นเครื่องมือ หรือ ยารักษาโรค 6 ชนิดที่อยู่ใน

มนุษย์และสัตว์
พวกวิตกจริต ถ้าให้เจริญกรรมฐานอะไร ก็เจริญอนุสติ เพราะพวกชอบคิดใช่ไม๊ ก็อนุสติ

10 อย่าง สีลานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ อะไรอย่างนี้ หรือ นึกถึงพระพุทธเจ้า

พระธรรม  พระสงฆ์ หรือไม่ก็ การบริจาคทาน เจริญเมตตา อะไรประมาณนี้ เพื่อจิตใจจะ

ได้ชุ่มชื่น ไม่วิตกกังวลมากจนเกินไปนัก
พวกโทสะจริต ก็ให้เจริญเมตตา ห้ามเจริญกสิน เช่น กสินไฟ โทสะจริตเจริญ แล้วเดี๋ยวไฟ

ก็ยิ่งลุกใหญ่ ให้เจริญเมตตา แล้วก็เจริญนวสีวถิกาบรรพ คือ ป่าช้า 9 อย่าง เป็นเครื่องมือ

รักษาโทสะ
ศรัทธาจริต ก็ให้เจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ เพราะพวกศรัทธา นี่ต้องเรียนรู้ของจริง แล้วก็

เจริญอสุภกรรมฐาน อย่างนี้เป็นต้น
งั้น กรรมฐาน เป็นเครื่องมือรักษาโรค จริตเป็นโรค ไม่ใช่เป็นคุณวิเศษ คนนี่เป็นโรคอะไร

ได้บ้าง แต่ละคนมีโรคประจำตัวทั้งนั้น บางคนก็มีโทสะจริต บางคนก็มีวิตกจริต บางคนก็มี

หลับจริต เนี่ยกำลังหลับจริต ประมาณนี้ เค้าเรียก หลับจริต
คุณมนัส       อันนี้จริงด้วย อันนี้เรื่องจริง
หลวงปู่       อ้าว เรื่องจริ๊ง
คุณมนัส      ภาษาพระ มีหลับจริตไม๊ มีไม๊
หลวงปู่      หลับจริต ในก็อยู่ในอะไรล่ะ โมหะไง หลง กำลังมัน
คุณมนัส      ฟังเสียงหลวงปู่ เลยหลับ
หลวงปู่       เออ หลับจริตไปเลย  เข้าใจค่ะ เข้าใจค่ะ
คุณมนัส      หลวงปู่ครับ ถ้าไม่ว่าผัสสะที่เข้ามากระทบจิตของเรา ทุกผัสสะ มันจะดีหรือไม่

ก็ตาม เราจะเลือกปรุงแต่งให้มันดีได้ทั้งหมดหรือไม่ หรือ เราเลือกเอาเฉพาะผัสสะนั้นออก

มาที่ดีๆ ได้ไม๊

หลวงปู่       ทำไมต้องเลือก ในเมื่อรู้ว่า ผัสสะนั้น มันเป็นผัสสะ แล้วมันทำให้เราไม่ว่าง ถ้า

เราเห็นว่า ความว่างเป็นประโยชน์ แล้วทำไมต้องเลือกผัสสะ เหมือนกับที่เรารู้ว่า ข้างนอก

มันมีฝุ่น แล้วทำไมต้องเดินไปรับฝุ่น มันจะฝุ่นเย็น ฝุ่นร้อน มันคือ ฝุ่น งั้น ทำไมต้องไป

เลือก โง่ ที่ไปเลือก จบ

คุณมนัส      ผู้อยู่เหนือกระแสโลก เป็นยังไง

หลวงปู่          อ๊อ อยู่เหนือกระแสโลก ก็ต้อง ขี่มายบัค (Maybach) แล้วนั่ง ฮอร์ ผู้

อยู่เหนือกระแสโลก ก็คือ พระอรหันต์ พระอรหันต์นี่ ทำด้วยความจำเป็นนะ ท่านทำ

ทุกอย่างด้วยความจำเป็น ไม่ใช่ทำเพราะว่า ใจมีกิเลส ตัณหา เรียกว่า ทำเพราะใจว่าง พระ

อรหันต์เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปกติ เห็นความเสื่อมเป็นปกติ บริหารความเสื่อมให้

ได้กำไร ให้ได้กำไร หรือไม่ก็ พยายามทำให้ความเสื่อม มันมีน้อยลงในสังขารขันธ์ของตน

เพื่อจะทำประโยชน์ให้สังคมและโลก
ถ้าอย่างนี้ ใช่ ถือว่า เป็นผู้อยู่เหนือกระแสโลก จบ

คุณมนัส        ปิดท้ายเรื่องจิตอีกซักนิดนะครับ การทำจิตให้ว่าง กับ การเจริญมนต์ อย่าง

ไหนจะได้บุญมากกว่ากัน และการปฏิบัติวันละ 15 นาที น้อยไปหรือไม่ เพราะว่า เรา

ต้องทำงาน

หลวงปู่        เจริญมนต์ นี่มันเป็นบทท่องบ่นนะ มันเป็นกระบวนการที่เปล่งเสียง แสดงพลัง

มันไม่ใช่ได้แค่ใจว่างอย่างเดียว แต่ในวิถีทางศาสนาพุทธ นิกายมหายานในทิเบต เค้าใช้

การเจริญมนต์ เป็นการออกกำลังกายของปอด และอวัยวะภายใน เวลาเค้าสวดมนต์ จะเห็น

ว่า เค้าไม่อ้าปากนะ เค้าจะ อืมๆๆๆ ของเค้าอยู่อย่างนี้แหละนะ เสียงเค้าจะก้องกังวานอยู่

ข้างใน ทำให้เกิดความร้อน เป็นไปได้ เพราะว่า บ้านเค้าอากาศมันหนาวไง มันก็เลยต้อง

เผาผลาญพลังงานให้เกิดความร้อน ขืนไปนั่งสัปหงก เงิกงากๆ ตาย อ้าว มันแข็งตายไง มัน

หนาวน่ะ หิมะมันตก
ทีนี้ ถามว่า ใจว่าง เป็นประโยชน์ไม๊
ใจว่าง นี่ มันเหมือนกับ เวลาไฟลุก แล้วเอาน้ำไปดับ มันเย็น มันผ่อนคลาย มันไม่ทุรนทุราย
เจริญมนต์ นี่ มันเหมือนกับ ไฟลุก มีควัน หรือไม่มีควันก็ตามที เราก็พยายามหลบซ้ายบ้าง

หลบขวาบ้าง ไม่ให้ไฟมันเลียเรา ไม่ให้ควันมันใส่เรา หลบไปที หลบได้บ้าง หลบไม่ได้บ้าง

เมื่อวานนี้ นั่งสวดมนต์อยู่ หลวงปู่ก็นั่งสวดมนต์ อ้ายพระข้างหลังก็ (ท่านทำท่า

สัปหงก....)
คุณมนัส     หลับจริต
หลวงปู่         เราก็พยายามจะเขี่ยนะ เขี่ยแล้ว ก็ยังไม่รู้สึก ก็เลื่อนอ้ายกระดาษทิสชูไป

กระแทก ก็ยังหนักกว่าเก่าอีก เราก็ เอ๊อ คนเรานี่นะ คือ เค้าเรียกว่า ไม่เป็นไอ้โต้งของตนเอง

คือ ไม่เป็นจ่าฝูงของตนเองได้
ถามว่า หลวงปู่ ก็ง่วงไม๊
เป็นไข้ ที่จริงเป็นไข้ ไม่สบาย นี่มานี่ เป็นไข้ พอมาเจอหน้าพวกมึง ต้องเป็นอ้ายโต้งไง
คุณมนัส       ภาษาอังกฤษ เค้าเรียกว่า The show must go on การแสดง

ต้อง
หลวงปู่     อะไร
คุณมนัส      คือ หมายถึงว่า การแสดง ยังไงก็ต้องเดินหน้าต่อ ไม่ว่าคุณจะมีอาการอะไร

คนที่อยู่หน้าจอ ต้องเดินหน้า
หลวงปู่       อ้าว ต้องรักษาฟอร์มไง
คุณมนัส       keep look ภาษาอังกฤษ เค้าเรียก keep look
หลวงปู่     จีวร อีกละ จีวร ไม่รู้เรื่องอะไร คือ เราก็กลัวจะเสียฟอร์ม ก็ต้อง อ้าว เราเป็นไอ้

โต้งนี่ เป็นผู้นำ ก็ต้องทำหน้าที่ นี่เค้าเรียกว่า พยายามทำหน้าที่ของตน แต่อ้ายคนที่มันมี

หน้าที่ แล้วไม่ทำหน้าที่ แล้วบกพร่องในหน้าที่ นี่ แย่มาก
เพราะงั้น การที่เรามีสติตั้งมั่น แล้วก็พยายามที่จะหาวิธีที่จะอยู่แบบอ้ายชนิดที่ไม่เพลี่ยงพล้ำ

ไม่โดนครอบงำน่ะ ดีที่สุด ไม่ว่า คุณจะสวดมนต์ก็ตาม หรือ ใจว่าง ก็ตาม

แต่ถ้าถามชั้นว่า อันไหนมันมีประโยชน์สูงสุดสำหรับบุคคลที่ทำได้
ก็ ว่าง นั่นแหละ ประโยชน์สูงสุด เพราะมันเหมือนกับเอาน้ำไปดับไฟ

คุณมนัส     หลวงปู่ มันเหมือนกับเราเอาความรู้สึกไปไว้ตรงกลางหน้าผากตลอดเวลาหรือไม่
หลวงปู่       ไม่ใช่ อันนั้น เค้าเรียกว่า เพ่ง, ว่าง นี่ก็คือ ไม่มีตรงหน้าผาก

คุณมนัส      แต่นี่ เค้าบอกว่า เค้าไม่ได้เพ่งนะ แต่เค้าเอาความรู้สึกไปไว้ตรงนี้
หลวงปู่     ตรงไหน ก็ไม่มีที่อยู่ เพราะ ว่าง แล้ว มันไม่มีที่อยู่ ถ้าไปไว้ตรงนี้ตรงนั้น ก็

แสดงว่า มันยังมีตรงนี้ ตรงนั้นอยู่ มันจะไม่ว่าง มันต้องไม่มีตรงไหนเลยล่ะ มันถึงจะเรียกว่า

 ว่าง เหมือนกับในความว่าง มันไม่มีตัวกู ไม่มีกุศล ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีอกุศล

มันต้องว่างสนิท ว่าง จนเรามีความรู้สึกว่า หลับตา ก็ไม่เห็นตัวเอง อย่างนี้ เค้าเรียกว่า

ว่างอย่างสูงสุด

คุณมนัส    ไม่ใช่เจริญสติ ไม่ใช่เจริญสมาธิ คนละเรื่อง
หลวงปู่        มันต้องเจริญ, สติ นี่มันเป็นบรรทัดฐานอันยิ่งใหญ่ คุณอยากรู้ ก็ต้องไปเปิด

เทป ดู เค้ามีอัดเทปไว้หรือเปล่า มีไม๊ อัดเทปเวลาสอนกรรมฐานน่ะ (มี) เออ ลองไปหาดู

ลงทุนหน่อยๆ อย่าเล่นของฟรีนัก เดี๋ยวจะไม่ว่าง

คุณมนัส      มีคำถามมาว่า website อ้อน้อย ไม่เปิดหลวงปู่เทศน์ให้ฟังแล้วหรือครับ

ไม่ได้ฟังมาหลายวันแล้ว
หลวงปู่      ไม่รู้สิ ชั้นไม่เคยฟัง เปิดไม่เป็น ไม่แน่ใจ ต้องไปถามเจ้าหน้าที่
คุณมนัส       มีอีกคำถามหนึ่งครับ
หลวงปู่        ว่า
คุณมนัส       เรื่องของพระอรหันต์ 4 ประเภท ว่า ใช้เวลาในการสั่งสมบารมี เท่ากันหรือ

ไม่
หลวงปู่        พระอรหันต์เนี่ย เป็นอรหันต์แล้วแต่ละประเภท ก็ยังใช้เวลาสั่งสมไม่เท่ากันนะ

พระอรหันต์ที่เป็นเอตทัคคะ ก็ใช้เวลาสั่งสมมากกว่าพระอรหันต์ที่ไม่ได้เป็นเอตทัคคะ เช่น
พระสารีบุตร ใช้เวลาสั่งสมนานกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวง ด้วยเหตุผลว่า ต้องมี

ปัญญามาก จึงจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ศึกษามาก อย่างนี้เป็นต้น
พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก ก็ใช้เวลาสั่งสม อบรมน้อยกว่าผู้มีปัญญามาก แต่ก็ยังมากกว่า

พระอรหันต์องค์อื่นๆ อีก อย่างนี้เป็นต้น
คุณสมบัติ มันเป็นเหมือนกับการที่ต้องค่อยๆ เก็บ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วมาปู๊ดป๊าดได้เป็นเลย

ไม่ใช่ เพราะถ้าเราเชื่อว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ
พระอรหันต์ การจะสั่งสมอบรม นิสัยพระอรหันต์ก็เป็นกรรมชนิดหนึ่ง
งั้น ถ้าเราอยากจะเป็นเอตทัคคะ พระอรหันต์มีตั้งเป็นแสนๆ รูป ล้านๆ รูป ในขณะที่พระ

พุทธเจ้ายังทรงดำรงค์พระชนม์ชีพอยู่ และนิพพานแล้ว แต่มีพระอรหันต์ที่เป็นเอตทัคคะแค่

81 รูป เค้าเรียกว่า อสีติมหาสาวก มีอยู่แค่นี้ แล้วถามว่า ที่เหลือเป็นอะไร  ก็สั่งสมมาไม่

เท่าไง สั่งสมมาไม่ถึงไง เพราะว่า เก็บหน่วยกิตมาได้แค่นั้น เอาล่ะ แค่นี้ กูจบละ
คุณมนัส      มีเงินจ่ายแค่นั้น
หลวงปู่      คือ มีเงินลงทะเบียนแค่นั้นไง ก็เอาหน่วยกิตแค่นั้น จบ

คุณมนัส      เหมือนกับพระอัครสาวก ที่บำเพ็ญบารมีเหมือนกับพระพุทธเจ้า หรือ เหมือน

กับพระสาวกทั่วไปหรือไม่

หลวงปู่       พระอัครสาวกที่บำเพ็ญบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้เป็น มีอยู่องค์

เดียว ก็คือ พระมหากัจจายนะ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ แต่เพราะว่า โลกทุกข์มาก ท่านเห็น

ความทุกข์แล้วเบื่อ ก็เลยลาพุทธภูมิ มาเป็นพระสาวก แล้วมาเป็นพระสาวกเนี่ย ท่านก็มี

ภูมิธรรมของพระพุทธเจ้าติดตัวมานะ ก็คือ มีพระรัศมี สีพระวรกาย มีความงดงามไม่ต่าง

อะไรกับพระพุทธเจ้าเลย จนพระสงฆ์ทั้งหลายทักผิด ว่า นั่นพระพุทธเจ้าเดินมา ท่านก็เลย

ต้องอธิษฐานกาย ให้มีลักษณะแตกต่างจากพระพุทธเจ้าให้เห็นชัด ก็คือ อ้วน พุงพลุ้ย ตัวดำ

อะไรอย่างนี้ รูปร่างใหญ่โต เพราะว่า ไม่งั้น คนจะทักผิด แล้วสำคัญ คือ ผู้ที่ทักผิด บางท่าน

ก็เป็นผู้อาวุโส ท่านก็เลยไม่อยากให้พระผู้เฒ่าต้องมาทักท่านผิด เพราะท่านเป็นผู้อ่อนเยาว์

ก็เลยต้องอธิษฐานให้กายผิดแผกแตกต่างจากพระพุทธเจ้า

พระมหากัจจายนะ ท่านงามถึงขนาดผู้ชายด้วยกันหลงรัก พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านก็

งาม มนุษย์ เทวดา รักท่านทั้งหมด เพราะเห็นพระรูปพระโฉมแล้ว เพราะอ้ายการ

สั่งสมอบรมบารมีธรรม ส่วนพระอัครสาวก จะมีการสั่งสมบารมีธรรมมามากกว่าอรหันต์

สามัญ หรือ อรหันต์ทั่วๆ ไป เพราะกว่าจะได้มาเป็นอัครสาวก ต้องใช้เวลาในการสั่งสม

มากและนานกว่าพระสาวกทั่วๆ ไป จบ

คุณมนัส       หลวงปู่ครับ ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ จุติมา อายุเท่าไหร่ครับ ท่านจึง

จะจำได้ว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วท่านเหล่านั้นจะมีลักษณะ นิสัย แบบไหน จะเหมือน

กับมนุษย์ทั่วๆ ไปหรือไม่ ปวดขมองเลยไม๊ล่ะ คำถามโดนตัวเอง

หลวงปู่      ไม่ ปวดเอง ปวดจริงๆ พระโพธิสัตว์ท่านจุติมา ท่านก็รู้แล้วว่า ท่านเป็นพระ

โพธิสัตว์ เหมือนอย่างพระเตมีใบ้ พระสุวรรณสาม ท่านจุติมา ท่านก็รู้แล้วว่า ท่านเป็นพระ

โพธิสัตว์ ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะความโน้มเอียงไปทาง

โพธิญาณ ท่านก็จะมีอยู่ตั้งแต่กำเนิดละ อย่างเช่น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจุติมาในพระ

ครรภ์พระมารดา ยังอยู่ในพระครรภ์ ท่านก็รู้แล้วว่า ท่านเป็นมหาสัตว์ แล้วแม้แต่มารดาก็

รู้ว่า ลูกของพระนางเป็นมหาสัตว์ เพราะท่านได้ฝันและสุบินนิมิต 10 ประการให้ปรากฏ

เห็นว่า ช้างเผือก ถือดอกบัวเข้ามาขออาศัยครรภ์อยู่ แล้วพระนางก็ทรงพระครรภ์ นี่ก็รู้ได้

แล้วว่า อ้อ นี่ พระโพธิสัตว์จุติ

งั้น พระโพธิสัตว์ จะรู้ชาติภพของตน จะมีคุณลักษณะพิเศษ เพราะว่า พระโพธิสัตว์ต้อง

เป็นสัพพัญญูในอนาคต ถ้าไม่รู้ชาติภพของตน ก็จะไม่เป็นสัพพัญญูได้ จะต้องเป็นสัพพัญญู

พระสัพพัญญูต้องเป็นพระภควาติ คือ ผู้รู้แจ้งโลก งั้น ต้องรู้ชาติภพของตนก่อน พระ

โพธิสัตว์ต้องเริ่มต้นจากตรงนั้น หลวงปู่รู้ตั้งแต่สมัยยัง ตอนไหนหว่า
คุณมนัส     ไม่บอก ก็ได้
หลวงปู่     มันปู๊นน่ะ จบ

คุณมนัส     มีคนที่มี ดวงกสิน ติดตัวโดยธรรมชาติ ตั้งแต่เกิดหรือไม่ ถ้า มี
หลวงปู่       มีๆๆ ดวงกสิน ก็คือ นิมิต, กสิน แปลว่า นิมิต หรือ เครื่องหมาย คนบางคนนี่

ทำกรรมฐานอะไรไม่ได้ เพราะว่า หลับตาปุ๊บ ก็จะเห็นแต่ พระพุทธรูป นั่นแสดงว่า ท่านผู้

นั้น มีเครื่องหมายของตนมา บางคน พอหลับตาปุ๊บ ก็จะเห็นแต่ดวงไฟ คนบางคนพอหลับ

ตาปุ๊บ ก็จะรู้จักแต่โครงกระดูกของตัวเอง นั่นแสดงว่า เป็นนิมิต หรือ เครื่องหมายของ

กรรมฐานเก่าที่สั่งสมอบรมมา อ้ายคนบางคน พอหลับตาปุ๊บ ก็หลับทันที นั่นก็เป็นกสินอ

ย่างหนึ่งเหมือนกัน มีความสุข

คุณมนัส     หลวงปู่ ดวงตาที่ 3 ที่เรามักจะเห็นในภาพเขียนในศาสนาต่างๆ มันมีจริงไม๊

ครับ แล้วใครบ้างที่มี
หลวงปู่        เค้าจัดว่า เป็น อ้ายการนำเสนอปฏิมากรรม นี่มันมี 2 ลักษณะ คือ รูปธรรม

กับ นามธรรม เค้าพยายามทำให้นามธรรม มันแสดงออกมาเป็นรูปธรรม ว่า บุคคลที่มีสติ

ปัญญาเป็นเลิศเนี่ย เหมือนบุคคลที่มีตาที่ 3 ไม่ได้มีตาโผล่ออกมาจากหน้าผากจริงๆ แล้ว

ปล่อยแสงง้าวกวงออกมาปู๊นๆ อ้ายอย่างนั้น มันหนังการ์ตูน จบ

คุณมนัส     อโหสิกรรม 6 ประการ คือ อะไร
หลวงปู่        หา    
คุณมนัส     อโหสิกรรม 6 ประการ คือ อะไร
หลวงปู่      ฆ่าแม่ยาย แล้วแม่ยาย อโหสิ, เตะพ่อตา พ่อตา อโหสิ อะไรประมาณนั้น

หรือเปล่า ไม่เคยได้ยิน อโหสิกรรม 6 ประการ ไม่เคยได้ยิน เอามาจากไหน
คุณมนัส     ไม่ทราบ
หลวงปู่    นั่นสิ ต้องไปถามคนถาม เอามาจากไหน อโหสิกรรม 6 ประการ

คุณมนัส        แล้ว มนัสสิการ
หลวงปู่         มนัสสิการ ก็มาจากคำว่า มนัสสการ แปลว่า  ความตรึก ความนึก ความตรอง

มนัสสิการ คือ ตรึก นึก ตรอง คิด วิเคราะห์ เรียกว่า มนัสสิการ ซึ่งต่างจากคำว่า นมัสการ

แปลว่า การกราบไหว้ เคารพบูชา
คุณมนัส       ต้อง คำว่า มนัส แปลว่า ใจ, มโนมยิทธิ แปลว่า ฤทธิ์ทางใจ
หลวงปู่     ไม่ได้ถามเลย
คุณมนัส     หลวงปู่ครับ อภิรญาณ คืออย่างไร
หลวงปู่     อะไร จะให้มาตั้งชื่อเหรอ มาผิดงานแล้วมั๊ง ไม่รู้

คุณมนัส     มาคำถามนี้ครับ  คนเรา เดี๋ยวนี้ไม่ชอบ รอ ต้องการอะไร ก็จะให้เร็วๆ ทุกอย่าง
หลวงปู่       ใช่
คุณมนัส       ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เร็วๆ ก็ดีเป็นบางเรื่อง และเสียมากกว่า ใช่หรือไม่ ทำ

อย่างไร ใจจะเย็นๆ กันบ้าง
หลวงปู่          นี่ไง มันก็เป็นประมาณนี้แหละ ทำให้สังคมขาดเครื่องยึด เครื่องเหนี่ยว

เครื่องเกาะ แล้วก็เครื่องชะลอความประมาท เพราะเราทำอะไรที่รวดเร็วมาก มันก็เลยทำให้

ได้น้อย เสียมาก ทั้งที่มันควรจะได้ทั้งหมด กลับกลายเป็นเสียเกือบหมด ถ้าเรารู้จักชะลอ

ความเร็วลง แล้วก็ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมพอดี ด้วยความไม่ประมาท

ทุกอย่างมันจะได้อย่างสมบูรณ์ เหมาะสม

สมัยก่อนนี้ คนโบราณถึงได้สอนไง ช้าๆ ได้พร้า 2 เล่มงาม เดี๋ยวนี้ มันก็มีเถียง เค้าบอกว่า

ช้านาน การจะเสีย อะไรก็ว่ามันเรื่อยเปื่อยไป งั้น ก็เลยอยากบอกว่า อ้ายการช้า มันไม่ได้

ช้าโดยพฤติกรรม แต่ช้าโดยการมีสติวิเคราะห์ ใคร่ครวญ ทำอะไรก็ใช้สติให้มาก เดี๋ยวนี้

เราไม่ค่อยใช้สติ ทำอะไรตามอารมณ์ ก็บอกแล้วว่า เราตกอยู่ในอำนาจการครอบงำของ

ราคะขับเคลื่อน โทสะขับเคลื่อน โมหะขับเคลื่อน โลภะขับเคลื่อน แล้วก็ ตัณหาขับเคลื่อน

อวิชชาขับเคลื่อน อุปาทาน ความยึดถือ ตัวกู ขับเคลื่อน เราไม่มีคำวา กุศล บุญ คุณงาม

ความดี น้ำใจ เมตตา แล้วก็ สติ ปัญญา แล้วก็ ใจว่าง ขับเคลื่อนเลย เพราะพลังงานพวกนี้

เราคิดว่า มันไม่มีตัวตน มันใช้อะไรไม่ได้ แล้วไม่เคยคบกับมัน แล้วเราก็คบกับอ้ายราคะ

โทสะ มา ไม่ใช่แค่วันเดียว ชาติเดียว เราคบมันมาเป็นแสนๆ ชาติละ เราก็เลยคุ้นเคยกับมัน

เป็นมิตร ทั้งๆ ที่มันเป็นศัตรู และเป็นพิษอย่างร้ายกาจ แต่เราก็คิดว่ามันเป็นมหามิตรอันยิ่ง

ใหญ่ แต่เราขอร้องกับมัน มันไม่ยอม แต่เวลามันจะเรียกทวงเอา เราต้องให้มัน ถ้าเราไม่ให้

มันก็จะต้องตาย

งั้น เราก็ตกเป็นทาส พระพุทธเจ้า ท่านจึงบอกว่า ท่านเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว สัพเพ ธัมมา

อนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย ไม่มีตัวตน, สัพเพ ธัมมา อนิจจา ธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็น

ทุกข์ ไม่มีตัวตน แล้วเราก็โดนครอบงำด้วยความไม่เชื่อในความหมายนี้ เราก็โดน เต มะยัง

โอติณณา มาหะ เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว โดยความเกิด โดยความแก่ โดยความเจ็บ และ

ความตาย เราก็โดนครอบงำมาจนตลอด จนกระทั่งเราคิดว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาปกติที่เรา

ต้องตกเป็นทาส ไม่มีอิสระในตัวเอง
งั้น ถ้าปลดเปลื้องตัวเองได้ ก็จะเป็นเรื่องดี จบ

คุณมนัส        การที่เราทำบุญด้วยเจตนาที่ดี แต่ว่า อาจจะผิดพระวินัย แล้วก็เป็นตัวอย่าง

ให้กับบุคคลเข้าใจผิดตาม ควรจะยึดเจตนาเป็นหลักได้หรือไม่

หลวงปู่        บุญ นี่มันมีคำอยู่ในความหมาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง   การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปสัมปะทา    การทำกุศลให้ถึงพร้อม
ทำกุศล คือ ทำความดีให้ถึงพร้อม คำว่า กุสะลัสสู แปลว่า ความชาญฉลาด
พร้อมด้วยอะไร ด้วยความชาญฉลาด
ถ้าคุณบอกว่า คุณทำบุญ แล้วมันเป็นบาป ทำบุญแล้วมันทำให้พระอาบัติ ก็แสดงว่า คุณ

ทำบุญด้วยความโง่ ไม่ได้ฉลาด มันจะเป็นบุญไปไม่ได้หรอก เพราะว่า อ้ายคนที่จะให้บุญ

คุณ มันดันเป็นอาบัติเสียแล้ว แล้วมันจะเอาบุญที่ไหนมาให้คุณล่ะ

งั้น บุญจะเกิดขึ้นกับบุคคลผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นอาบัติ เข้าใจเสียใหม่ ถ้าคุณไปทำให้ผู้ให้บุญ

คุณเป็นอาบัติ แล้วเอาบุญตัวไหนล่ะ เอามาจากอะไร ใครเป็นคนเอาบุญมาให้คุณ ไม่ใช่

คนที่รับของคุณหรอกเหรอ แล้วคนรับของคุณ มันดันมีรอยด่างพร้อย เหมือนกับถุงลมที่

มันรั่วแล้ว มันอั้นลมไม่อยู่ มันก็แฟบอย่างเดียวแล้วล่ะ จบ

คุณมนัส      อยากจะทราบวิธี ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ท่านอยู่ไกลต่างจังหวัด จะทำอย่างไร
หลวงปู่       ไม่เห็นยากอะไร คุณก็เพียงแค่ทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี คือ เริ่มต้นจากเป็นคนที่ซื่อ

สัตย์ กตัญญู รู้คุณคน แล้วหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ ในขณะเดียวกัน ก็เราไปไม่ได้ ก็ใช้

วิธีการโทรศัพท์คุย ถามสาระทุกข์สุกดิบบ้าง หลวงปู่เนี่ย ไปไหนกลับมาก็แล้วแต่ จะต้อง

มาอยู่หน้าบ้านย่า กินข้าวหรือยัง มาโผล่ให้เห็นหน้า แว๊บๆ กินข้าวหรือยัง กินกับอะไร คุย

กับแก ให้แกรู้ว่า เออ เรากลับมาแล้วนะ แล้วถ้าอยู่ข้างนอก ก็จะโทรศัพท์มาสั่งว่า พระ

ช่วยจัดอาหารให้ย่าหน่อย เอาคนไปนอนใกล้ย่าด้วย แล้วถ้าอยู่วัด เย็นลง ก็จะวิ่งเข้าครัว

ทำกับข้าวให้แก ทุกวัน จนแกรำคาญ, แกไล่, ท่านไม่ต้องมาทำหรอก ไปเฮอะ คือ

แกรู้ว่า เราเหนื่อย เหนื่อยแล้วก็ยังต้องมาทำกับข้าวให้อีก แกก็จะ ไม่ต้อง ท่าน ไปเฮอะ อ้าว

เรากลัวว่า เดี๋ยวแกจะบาป เราก็เลยไปโผล่ แว๊บๆ ไม่ไปทำ โผล่แว๊บๆ
เมื่อเช้าจะมา ก็แบ่งกับข้าวให้ไปถาดหนึ่ง แล้วก็ให้คนเอาไปให้ แล้วก็ พอจะมา ก็แว๊บไป,

เดี๋ยวจะไปแสดงธรรมนะ, ค่ะ อนุโมทนา เราก็ไป คือ คนแก่ ทำอะไรที่เราสามารถทำ

อะไรได้ ก็ทำ แค่โทรศัพท์เนี่ย มันมีคุณค่ามากสำหรับพ่อแม่นะ แค่ไปพูด ไปคุย เออ ลูก

เราโทรฯ มาคุยกับเราทุกวันๆ มันมีคุณค่านะ คุณอย่าไปมองว่า เลี้ยงพ่อแม่ ต้องเลี้ยงด้วย

ก้อนข้าว หยดน้ำ ด้วย เงินอย่างเดียวนะ เงินมันไม่ได้ทำให้พ่อแม่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

และจริงจังหรอก มันเริ่มต้นจากหัวใจ

ชั้น นี่ไม่เคยให้เงินแม่ชั้นเลยนะ เพราะไม่มีเงินจะให้ เป็นคนที่ไม่เคยพกเงิน แล้วก็สมบัติ

ที่ชาวบ้านเค้าให้มา ก็ไม่ได้เป็นของเรา เราจะเอาของชาวบ้านไปให้แม่เราได้ยังไง เดี๋ยวมัน

จะเป็นบาป ก็ไม่เคย มีอยู่วันหนึ่ง อ้ายจิโรจน์เค้าให้มาเป็นอั่งเปา เค้าบอก นี่ วงเล็บว่า ห้าม

ไปให้วัด ให้หลวงปู่ ห้ามไม่ให้มูลนิธิฯ ห้ามไปบริจาค แต่มึงไม่ได้ห้ามกูไปให้แม่ใช่ไม๊ เออ

กู ก็เอาไปให้แม่

โอ๊ย แกได้เงินก้อนนั้นล่ะ แกโอ้โห แซว โอ้โห วันนี้ ฝนจะตก มันเกิดอะไรขึ้น อ้าว ก็เป็น

สิบปี แต่เราก็ไม่ใช่ปล่อยให้แกอดอยาก เป็นสิบปี เพิ่งให้เงินนี่ ให้ก็ไม่ได้มากอะไร อ้ายจิ

โรจน์ให้มา 5,000มั๊ง ให้แก แล้วแม่ชั้นเป็นคนที่กลัวบาป อยู่วัด แกก็ไม่ได้ใช้ของวัด

แกก็ซื้อเอา ไฟ น้ำ แกก็เป็นคนจ่ายเอง ก็ใช้สตางค์ แกก็ขายของ แม่เกจิคนอื่น เค้านั่งแท่น

ปั้นหน้า เป็นคุณนาย แม่ชั้นน่ะ นั่งหลังงอ ขายน้ำอยู่นี่
อ้าว จริงๆ แล้วชั้นก็ไม่รู้สึกอาย เพราะถือว่า เป็นสุจริตชน เป็นสุจริตธรรม แล้วมันก็เป็น

ความชอบธรรม แกก็หาเงินแกได้โดยสุจริต แกไม่ได้ไปหลอกต้มใคร วันดีคืนดี แกก็เรียก

ทหารมา เอ้ย ทหารมานี่ วันนี้ มีโปรโมชั่นพิเศษ ทหารมาเล่าให้ฟัง โปรโมชั่นอะไร ย่า, ก็

ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ว่าแล้ว แกก็ งัดเอาเป๊บซี่มา อ้าว ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งไง อ้าว มึงก็เอาเป๊บซี่

ขวดหนึ่ง เออ น้ำแข็ง 2 ถุง กูแถมน้ำแข็งให้ 2 ถุง ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ทหารก็เป็นงง วัน

ดีคืนดี แกก็เรียก เฮ้ย วันนี้มาอุดหนุนกันหน่อยเว้ย ไม่มีเหยื่อมาเลยว่ะ

อย่าไปมองว่า คือ เราทำดีกับพ่อแม่นี่ เหมือนทำดีกับพระอริยเจ้า พระอรหันต์ งั้น อย่าทำ

ให้พ่อแม่ไม่สบายใจ อย่าทำ หลวงปู่เนี่ยนะ ไม่เคยเถียงกับพ่อแม่ ไม่เคยเถียง ท่านจะพูด

อะไรไม่ถูก เราจะนิ่ง เราจะอยู่เฉยๆ เพราะเถียงไปจะเป็นบาป เราก็จะเดินออก แล้วพอ

เห็นแกสบายดีแล้วค่อยมาคุย สบายใจแล้วค่อยมาอธิบาย เราจะไม่ทำให้แกต้องคอยมานั่ง

เสียใจ เช็ดน้ำตา หรือ มาน้อยเนื้อต่ำใจ

มีอยู่วันหนึ่ง พอแกไล่หลวงปู่ หลวงปู่ออกไป ก็เดินกลับไป เผอิญรุ่งขึ้น ต้องไปแสดงธรรม

2 วัน แกก็ไปพูดกับคนนั้นคนนี้ ปู่ท่านเนี่ย คงน้อยใจล่ะ ชั้นไล่แก เลยไม่มาเลยเนี่ย แต่

จริงๆ น่ะ เราไม่อยู่ไง ไปแสดงธรรม แกก็ไม่รู้ ก็ไปโผล่ให้เห็น อ้าว กลับมาแล้วเหร๊อ

เพราะฉะนั้น พ่อแม่เนี่ย ลูก ทำยังไงก็ได้ให้ท่านสบายใจ มันมีบุญมากกว่าให้ข้าวกินอีก

เพราะว่า ใจท่านก็จะชุ่มฉ่ำ เย็นฉ่ำ อาหารเนี่ย กินอย่างดีก็แค่ขี้ แค่เยี่ยว น่ะ ลูก น้ำ แต่

สบายใจ นี่มันเลี้ยงได้ ข้ามภพข้ามชาตินะ ในเวลาที่ท่านสบายใจถ้าท่านหมดลมตายไป

ท่านก็ไปสู่สุคตินะ เออ ไปสวรรค์นะ แต่ถ้าหากว่า ท่านทุกข์ใจแล้วกินท้องป่องเนี่ยนะ ไม่

ได้ไปสวรรค์นะ ลงนรกนะ เพราะว่า จิตใจมันเป็นทุกข์  จิตเต  สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา   

ถ้าก่อนตาย จิตเศร้าหมอง ก็ไปสู่ทุคติ
จิตเต  อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา   ก่อนตาย ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสู่สุคติ
งั้น ทำยังไงก็ได้ ให้พ่อแม่คุณสบายใจ คุณจะโทรศัพท์ เขียนจดหมาย หรือ นานๆ โผล่ไปที

ก็อย่าลืมที่ต้องติดต่อให้ได้ทุกวัน ทุกโอกาส ที่คุณมี จบ

คุณมนัส    ลูกสาวบอกว่า ไม่ถูกกับแม่ แม่ชอบพูดกระทบกระเทียบ แดกดัน กับลูกคนอื่นๆ

ก็ไม่เป็น เป็นที่ตัวเค้าคนเดียว แม่ชอบว่า บางครั้ง ก็เลยรู้สึกเกลียดแม่มาก แต่ว่า ต้องอยู่

ด้วยกัน แล้วจะทำอย่างไรดี อยู่กับแม่ แล้วอกุศลมันเกิดขึ้นมาก

หลวงปู่        เนี่ย ผู้หญิงเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงห้ามบวชไง  พระพุทธเจ้าจึงห้ามบวช

เพราะผู้หญิงเป็นแบบนี้ คือ จะคิดเล็กคิดน้อย คิดแล้วไม่ปล่อย คิดแล้วเก็บ ดูซิ เรา

อุตส่าห์ทำดี ด่าเราอีกละ จำไว้หนึ่งล่ะ เออ สะสมไปเรื่อยๆๆ เนี่ย พวกผู้หญิงจะเป็นอย่างนี้

พวกช่างเก็บ ลูกอีช่างเก็บ ของดีไม่เก็บนะ พวกนี้ แม่เลี้ยงเรามาจนโต เช็ดขี้ให้กี่ครั้ง เช็ด

เยี่ยวให้กี่ครั้ง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้กี่เที่ยว อาบน้ำให้กี่รอบ ป้อนข้าวให้กี่ช้อน พวกนี้มันไม่

เคยจำ แต่พอแม่ด่า นิดล่ะ ครั้งที่หนึ่ง จำไว้ เนี่ย เค้าเรียก ลูกอีช่างเก็บล่ะ เก็บเอาแต่ของไม่

ค่อยดี แล้วก็มานั่ง เอาละ นั่งจ้อง ตั้งป้อมปืนใส่กัน เถียงกันไปฉอดๆๆๆ
คนแก่น่ะ อายุมาก ต้องเข้าใจสภาพ แกก็เหมือนเด็กๆ แกต้องการเอาความใส่ใจ ดูแล แล้วก็

อย่าขัดใจ ถ้าแกจะมีอะไรบ้างพูดอะไรบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนอายุมาก มีสติบ้าง

ไม่มีสติบ้าง หลงๆ ลืมๆ บ้าง เป็นไปตามอารมณ์บ้าง บางทีนั่งๆ คุยกันต่อหน้า อ้าว ไปนั่น

ถึงไหนเสียแล้ว เรื่องนั้น เรื่องนี้ เราก็จะไปถือโทษโกรธแกก็ไม่ได้
งั้น พวกผู้หญิง จึงมีข้อจำกัดเยอะ ตรงที่ใจแคบ

คุณมนัส    ส่วนน้อย ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เดี๋ยวผู้หญิงเค้าน้อยใจหลวงปู่
หลวงปู่     ทำไม
คุณมนัส      ส่วนน้อย
หลวงปู่      แหม เหมือนนักการเมืองหาเสียงเลยนะ อ้าว เบอร์ 500 สมัยนี้ ไปลงให้ด้วย

พวกผู้หญิงอ้าว เรื่องจริงๆ ที่พูดนี่ ธรรมชาติของผู้หญิงเป็นอย่างนี้จริงๆ จะคิดเล็กคิดน้อย

จุ๋มจิ๋ม จุ๊กจิ๊ก อะไร แล้วก็พวกนี้คิดแล้วเก็บไง คิดแล้วใส่เป๋าไว้ๆ อ้าว จริงๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ

อ้าว ไม่เชื่อ จริงหรือเปล่า
จริงหรือเปล่า อาม่า เออ ขนาดอาม่า ยังพยักหน้าเลย จบ

คุณมนัส     เหลืออีก 3 คำถาม แต่เรื่องโรคยังไม่ได้ถามเลย ไหวไม๊ครับ หลวงปู่
หลวงปู่     ไหว

คุณมนัส     ห้องพระที่บ้านโดนไฟไหม้ พระพุทธรูปที่บูชาอยู่ ก็โดนควันรมดำ ทั้งองค์

จะทำอย่างไรดี ถ้าทำความสะอาดแล้ว นำมาบูชาได้อีกหรือเปล่า
หลวงปู่      ได้ ไม่เสียหายอะไร เราบูชารูปเคารพพระพุทธเจ้า เปรียบประหนึ่งดั่งพระ

พุทธเจ้า กระดาษ เรายังไหว้ได้เลย สาอะไรกับรูป พระพุทธรูป ไม่เสียหาย คนโบราณเค้า

ชอบถือกันนะ พระเกศบิ่น เศียรหัก นิ้วแหว่งอะไรเนี่ย เอาไปถวายวัด สมัยก่อนเด็กๆ

หลวงปู่น่ะ ไปเดินอยู่ตามวัดธาตุทอง วัดไผ่เงิน วัดเงิน คลองเตย ก็ไปตามกุฎี ตามโบสถ์

เห็นพระพุทธรูปเยอะไง เก็บเอามาไว้ที่บ้าน อุ๊ย โดนแม่ด่าซะไม่มี เออ มึงเอาพระที่เค้า

แก้บนมาทำไม แล้วเราก็ป่วยจริงๆ นะ ป่วยไปซะหลายวัน แม่ก็ไล่ ตาก็ไล่ มึงเอาไปเก็บ

เอาไปคืนเค้าเชียวนะ อ้ายห่า ผีมาหลอกมึง
คุณมนัส     เอาไปคืนแล้ว หายไม๊ฮะ
หลวงปู่     หาย
คุณมนัส     แล้วก็เก็บมาอีก
หลวงปู่     มันล่อใจไง ความอยากจะบูชาพระ เพราะที่บ้านมีพระอยู่องค์เดียวไง เราก็

อยากมีพระเยอะๆ เอามาตั้งๆๆๆ ไปเจอรูปเทพเจ้า เทวดา แขก ฝรั่ง กูเอามาหมดแหละ

ไม้กางเขนก็มี อ้าว เราไหว้ เพราะเค้ามีคำสอนดีไง โบสถ์คริสต์ก็เคยไปนั่งฟัง เพราะมัน

แจกท๊อฟฟี่
คุณมนัส      เค้ามีน้ำองุ่นให้กินด้วย
หลวงปู่      เออ มีน้ำอัดลม ก็ไป ที่ไหนมีแจก กูไปที่นั่นแหละ มันก็เป็นความรู้สึกว่า เรา

อยากเรียนรู้ อยากศึกษา แต่อยากจะบอกว่า ถ้าเป็นรูปพระ อยู่ที่ไหน ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่จำไว้ว่า พุทธคุณ จะเสื่อมได้ก็ต่อเมื่อผู้คนที่ลืมคำว่า กตัญญู, ลืมคำว่า ศีล ธรรม ทาน

และคุณงามความดี แสดงว่า นั่น พุทธานุภาพไม่ปรากฏละ ไม่มีละ ธัมมานุภาพ สังฆานุ

ภาพ ก็เหมือนกัน ถ้าผู้คน ยังมีความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ ใส่บาตร ทำบุญ

ละอายชั่ว กลัวบาป แสดงว่า พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ยังดำรงค์อยู่ ยังมีอยู่

ใครที่อยากจะเข้าถึงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ก็มีคุณธรรมเหล่านี้ พุทธานุภาพ ธัมมานุ

ภาพ สังฆานุภาพ ที่จะอุปถัมภ์บำรุง สงเคราะห์เกื้อกูล อันนี้เรื่องจริงนะ หลวงปู่อยู่ทองผาภูมิ

ปกติไปทองผาภูมิทุกปี มันก็ต้องมีเห็ดขึ้น เห็ดปรากฏอยู่ล่ะนะ เราก็ เอ๊ นั่งมาหลายวันแล้ว

โว้ย เอ๊ ไม่มีเห็ดโผล่ พอลงมาแพ ก็มานั่งบ่นกับสารวัตร วรพลกับลูกศิษย์ เอ๊ ปีนี้ เทวดาจะ

ลืมเพาะเห็ดล่ะว่ะ เออ เทวดาจะลืมเพาะเห็ด ปีนี้ ไม่ได้กินเห็ดเลย ปกติ ปีที่แล้ว เห็ดขึ้น

แล้วยังเรียกคนไปดู เก็บตังค์คนดูอีกนะ ปีนี้ ไม่ได้
รุ่งขึ้น เห็ดขึ้น, เห็ดขึ้น ได้กินเห็ด คนไปเดินเจอเห็ด กลับมาให้ ก็ขึ้นตรงนั้นน่ะ ได้ฉันเห็ด

2 วัน ติดต่อกัน เราก็ เออ เทวดานี่เข้าท่า

เพราะฉะนั้น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ ยิ่งใหญ่นัก ลูก ถ้ามี กตัญญู

กตเวทิตา, มีละอายชั่ว กลัวบาป, มีศีล สมาธิ ปัญญา ดำริคิดอะไร ปรารถนาสิ่งใด

สำเร็จประโยชน์เสมอ จบ

คุณมนัส    วันที่ 21 ธันวาคม
หลวงปู่     อะไร อ๋อ
คุณมนัส    วันที่ 21 ธันวาคม โลกมันจะแตกไม๊
หลวงปู่       ไม่, ช. การช่าง เค้านิมนต์ไปแสดงธรรม
คุณมนัส      ท่านต้องเทศน์เรื่องนี้ด้วยนะฮะ ข่าวบอกว่า มันมีความเป็นไปได้ไม๊
หลวงปู่      แล้วชั้นจะไปเทศน์ได้ยังไง เมื่อมันแตกแล้ว
คุณมนัส      .... เค้าบอก จะมีแผ่นดินไหว เขื่อนมันจะแตก น้ำมันจะไหลมาท่วม

กรุงเทพฯ ขนาดประมาณ 3-4 เมตร ความสูง ถ้ามันจะมี อีกนานหรือไม่

หลวงปู่      ไปเชื่ออะไร คนปัญญาอ่อน คนถาม ก็ปัญญาอ่อน
คุณมนัส     ไม่ใช่ผม หัวเราะ ผมเป็นสื่อ ถามให้ แหม หลวงปู่ตอบสั้นไปนะฮะ
หลวงปู่      อ้าว จริงๆ ก็มันแตกมาตั้งแต่ พ.ศ. 2529 หรือ 19  แล้วมันก็มา

ชวนชั้นเก็บข้าวของ ใส่ถุงปุ๋ย เตรียมไฟฉาย เตรียมเครื่องแห้ง ของแห้ง พริก กระเทียม

อะไร ตากข้าว ตากปลาเค็ม แล้วก็แถมเตรียมจักรยานอีก เพราะน้ำมันไม่มี โลกมันแตก  

เลยถามมันด้วยความงุนงงว่า ถ้าแตกแล้ว มึงจะเอาโลกไหนไปปั่นจักรยาน อ้ายปัญญาอ่อน

เลยด่าซ้ำมันซะเลย กูถามมึงจริงๆ น่ะ ถ้ามันแตกแล้วอ้ายข้าวปลาพวกนี้ มึงจะไปย่าง ไป

หุงที่ไหน เออ ถ่านเถิ่น มันเตรียมไว้เป็นกระสอบ มันเตรียมของมันยังไม่พอนะ มันยังมา

เตรียมให้ชั้นอีกนะ

คุณมนัส     เค้าเรียกว่า มีน้ำใจ
หลวงปู่       เราก็เลยบอกว่า มึงปัญญาอ่อนไปคนเดียวเถอะ กูจะไม่ปัญญาอ่อนกับมึงหรอก

ถึงวันนี้ ก็ยังเห็นมันคงที่ปกติ จะไปคิดอะไรมันมากมาย เราไม่อยู่ถึงโลกแตกหรอก ที่นั่ง

อยู่นี่เนี่ย ถึงเหร๊อ ไม่ถึงหรอก โอ๊ย ไม่ต้องห่วง ทำหน้าที่ของตนให้ดีเถอะ
อ้ายคนที่พูดอย่างนี้ มันเป็นคนที่หลอกคนกินนะ ทำให้คนกลัว เพราะคนกลัว นี่มันเชื่อง่าย

เพราะความเชื่อ ทีนี้มันก็จะหลอกง่าย มนุษย์เนี่ย ถ้าเกิดความกลัวเป็นอันดับต้นแล้ว ทีนี้จะ

ปั่นหัวให้เป็นอะไรก็ง่ายมาก เออ มันรู้จุดอ่อนของมนุษย์ตรงนี้ไง ก็เลยพยายามทำให้กลัว

เข้าไว้เยอะๆ จะได้ปั่นอะไรได้ง่ายมาก

คุณมนัส    แล้วถามต่ออีกว่า คำกล่าวที่บอกว่า ภัยพิบัติจะกวาดล้างคนชั่วไปให้หมด จริง

หรือไม่
หลวงปู่        แหม อยากให้มันเกิดวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ อ้ายข้อนี้น่ะ
คุณมนัส     แล้วคนที่มันโกงชาติ ทำลายชาติ
หลวงปู่       เนี่ยๆ  อยากให้เกิดคราวนี้เลย
คุณมนัส    ปรามาสผู้มีคุณธรรมสูงส่งมากๆ คนพวกนี้ มันจะได้รับผลกรรมอย่างไร ลง

นรกขุมไหน
หลวงปู่      พรุ่งนี้ๆ เห็นผล
คุณมนัส       ลงนรกขุมไหน
หลวงปู่      หา, ขุมไส้เดือน
คุณมนัส      ขุมไส้เดือน แล้วอดีตนักการเมืองที่โกงบ้านโกงเมืองที่ตายไปแล้ว ทุกวันนี้ ลง

ไปอยู่ในนรกขุมไหน
หลวงปู่     เป็นขี้ไส้เดือน แล้วอยากให้มันเกิดวันนี้เสียด้วยซ้ำ เดี๋ยวเย็นนี้ ให้มันเกิดเลยจบ

คุณมนัส         มาที่เรื่องของสุขภาพ
หลวงปู่    ไหน บอกหมดแล้ว
คุณมนัส     ไม่ๆ เมื่อกี้ถามเรื่องธรรมะ เยอะมาก ไม่น่าเชื่อเลยนะฮะ
หลวงปู่     นี่ เชื่อแล้ว ไหนบอกเหลือ 3, เหลือ 3 นี่มันเรื่องเดียวกัน
คุณมนัส     หลวงปู่ให้ไม๊ฮะ อันนี้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เยอะ ไหวไม๊ ไหวไม๊ครับ
หลวงปู่         ไหว
คุณมนัส        เราต้องมีจิตเป็นกุศล คนไข้เยอะ
หลวงปู่       ดูตากูสิ ตากู ลอยละ
คุณมนัส     ผมขออีก 20 นาที ผมจะให้เร็วที่สุด คนที่ชอบสั่นขาเวลาอยู่เฉยๆ หรือว่า

นั่งทำงานอยู่ คนแบบนี้ มีปัญหาสุขภาพหรือไม่
หลวงปู่       โรคจิต
คุณมนัส      โรคจิต จบไม๊ฮะ
หลวงปู่     จบ
คุณมนัส      หลานสาวอายุ 27 ปี ป่วยหนักมาก ท้องอืดพองมากๆ หมอเจาะเอาน้ำออก

มาได้ 1 ขวด แต่น้ำในท้องก็เพิ่มเป็น 2 ขวด จนเมื่อ 13 ธันวาคม หมอผ่าตัดเปิด

หน้าท้อง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเนื้อร้ายกระจายเต็มท้องไปหมดแล้ว ทั้งๆ ที่เจ็บ

เพียง 15 วัน ตอนนี้หมอทำอะไรไม่ได้ กลัวแผลปริ จะให้โยมไปรับยาจากหลวงปู่ที่วัด

หรือ

หลวงปู่      เป็นที่ปอด หรือเป็นที่ตับ เพราะฟังจากคำพูดแล้ว
คุณมนัส    ท้องอืดครับ พองมาก หมอเจาะเอาน้ำ
หลวงปู่     หรือ เป็นที่ลำไส้ เป็นที่กระเพาะ มันต้องรู้เหตุ ก็ อาจจะกินยาขับปัสสาวะ แล้วก็

ยามะเร็งน้ำ คุณลองไปหา ถ้าหากจะต้มกินเอง ก็ใช้ลูกใต้ใบ มีฟ้าทะลายโจร แล้วก็กรดน้ำ 3

อย่างๆ ละเท่ากัน แล้วต้มให้คนไข้กิน ลูกใต้ใบกับฟ้าทะลายโจร เป็นยาปฏิชีวนะ จะช่วยลด

อาการปวดบวมและอักเสบ กรดน้ำก็จะเป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำในช่องท้องได้ ลองไปหา

ต้มดู ถ้าจะให้รักษาก็ต้องไปอาทิตย์ ต้นเดือนหน้าไม่ได้รักษา ต้องเป็นอาทิตย์ที่ 2 ของ

เดือน
ข้างหน้านี่ เค้ามีหรือเปล่า ยามะเร็งน้ำ มะเร็งเม็ด แล้วก็ยาแก้อักเสบ ยาขับปัสสาวะ
ญาติคนไข้     ตอนนี้กินอะไรไม่ได้เลย....
หลวงปู่         ก็ใช้วิธีผสมน้ำ ใส่สายยาง ทำไมปล่อยให้เป็นซะเยอะขนาดนั้น
ญาติคนไข้     เค้าไม่มีอาการเลย....
หลวงปู่     ก็ลองให้กินยานี้ดู แล้วให้กินน้ำผึ้ง คนไข้จะได้มีแรง เออ น้ำผึ้งแท้ๆ ให้หยดใส่

ปากทีละหยดๆ คนไข้จะได้มีพลังงาน, ตรงนี้ เค้ามีไม่ใช่เหรอ ยา เดี๋ยว ชั้นเขียนใบสั่งยา

ให้แล้วกัน
คุณมนัส       อยู่โรงพยาบาลอะไร
(ราชวิถี)
หลวงปู่      อ้าว แล้วเค้าจะให้กินเหรอ คุณ
หลวงปู่      เอ้า คุณถามต่อ
คุณมนัส     ครับ ท่านนี้เป็นโรคกระดูกพรุน ถามว่า จะทานแคลเซี่ยมร่วมกับยากระดู

กของหลวงปู่ อย่างละมื้อ  ได้หรือไม่ หรือจะทานอย่างเดียวไปเลย
หลวงปู่       ปลากระป๋องน่ะ ทานยา ยี่ห้อ ปลากระป๋อง อ้าว  จริงๆ ชั้นพูดจริงๆ อ้ายพงษ์

ศักดิ์ มันกินปลากระป๋อง จนกระทั่ง เช้า มันก็กินปลากระป๋องกับขนมปัง จนเส้นเลือดมันมี

แต่แคลเซี่ยมทั้งนั้นเลย เกาะเต็มไปหมดเลย อ้าว จริงๆ
คุณมนัส     เค้าถามว่า จะกินแคลเซี่ยมร่วมกับยากระดูก
หลวงปู่      ก็นี่ไง  กินปลากระป๋อง
คุณมนัส     แล้วก็กินยาด้วย หรือยาไม่ต้องกิน
หลวงปู่     ยาก็ไม่ต้องกิน กินปลากระป๋อง เออ กินให้มันเป็นอาชีพเลย กินไม่พอ ทาหน้า

ทาตัว
คุณมนัส     เนี่ย เขาไม่เชื่อ ก็ตรงนี้
หลวงปู่     ก็มันมีแคลเซี่ยมเยอะไง ในปลากระป๋อง เราขาดแคลเซี่ยม ใช่ไม๊ล่ะ
คุณมนัส      ต้องเลือกยี่ห้อไม๊ หรืออะไรก็ได้
หลวงปู่        เดี๋ยว ชั้นไม่ได้ค่าโฆษณา เออ ต้องปลากระป๋องก็แล้วกันล่ะ

คุณมนัส       เป็นโรคหัวเข่าเสื่อม ทำให้เดินจงกลมและนั่งไม่ได้ อยากทราบวิธีปฏิบัติ

ธรรมว่า ต้องทำอย่างไร
หลวงปู่      เข่าเสื่อม ก็ไม่ยาก หาน้ำๆ แล้วก็เอามะพร้าวแห้งพันคอไว้ ผูกคอไว้ แล้วก็ลง

ไปในน้ำ หลับตาเห็นภาพไม๊ เออ เอ้า ก็กันจมน้ำไง มะพร้าวแห้งมาพันคอไว้ แล้วก็ลงไป

ในน้ำ แล้วก็ ตีขา ทำทุกวันๆ ละ 5 นาที 10 นาที เดี๋ยว เข่าคุณจะดีขึ้น กล้ามเนื้อมันจะ

สร้าง แล้วการรับน้ำหนักก็จะดี
คุณมนัส     ใช้ห่วงยาง ได้ไม๊ เป็นรูปเป็ดอย่างนี้
หลวงปู่     ไม่เคยใช้ ชั้นใช้แต่
คุณมนัส       กะลามะพร้าว
หลวงปู่     กะลาไม่ได้ มะพร้าวแห้ง เออ พันคอ เอารอบเดียวนะ ถ้า 3 รอบ เดี๋ยวไม่ได้ขึ้น

คุณมนัส       มีอาการชาที่ปลายมือ เกิดจากอะไร ต้องทานยาอะไร
หลวงปู่        ต้องดูด้วยว่า เราชาปลายมือ เพราะเราทำอาชีพอะไร บางคน มันนั่งอย่าง

นี้.... วันทั้งวัน ไม่ทำอะไร
คุณมนัส      ดีดลูกคิด เล่นคอมฯ
หลวงปู่     เออ เล่นกับคอมฯ อย่างนี้ อย่างนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ เลือดมันไม่ได้ขึ้นไป

เลี้ยง มันต้องลงมาอย่างนี้บ้าง พอนานๆ เข้า ชั่วโมง 2 ชั่วโมง มันก็ชาได้เหมือนกันนะ

ถ้าทำทั้งปีทั้งชาติ มันก็ไม่เหลือเหมือนกัน เลือดไปเลี้ยงปลายประสาทไม่พอ  ปลาย

ประสาทก็ฝ่อ ก็มีอันเป็นไปได้ เพราะงั้น ต้องดูกายภาพ พูดง่ายๆ คือ มีสติอยู่ในกาย กาย

ไม่เป็นอย่างนี้หรอก อ้ายที่เป็น ก็เพราะไม่มีสติ ก็เลยไม่รู้ว่า ร่างกายเราต้องการอะไร สม

น้ำหน้า จบ

คุณมนัส       มีสติในกาย ในวาจา ในใจ กาย วาจาใจ ก็ไม่ลำบาก
หลวงปู่       ใช่ ที่มันลำบาก เพราะมันไม่มี จบ

คุณมนัส    มีอาการปวดหลังบริเวณเอวมาก จะเป็นเฉพาะตอนตื่นนอน ปวดเหมือนหลังจะ

ขาด แต่พอลุกขึ้น ก็หายปวด แต่ไม่ได้เป็นทุกวัน จะรักษาอย่างไร
หลวงปู่         เนี่ย มันไม่มีสติเวลานอน บางทีบางคน มันนอนงอก่อ งอขิงอย่างนี้ เนี่ยนะ มัน

อีท่าไหนก็ไม่รู้ นะมัน คนสมัยนี้ นอนเปิดแอร์ แต่ห่มผ้าห่มหนาๆ มันปัญญาอ่อนหรือ

เปล่าก็ไม่รู้ มันร้อนแล้วมันก็เปิดแอร์ แต่ดันห่มผ้าห่ม
คุณมนัส     เวลานอน เค้ารักกันก็นอนซบไหล่ เวลาตื่น ผู้ชายก็แขนเดี้ยงไปข้างก็มี
หลวงปู่     หา
คุณมนัส     แบบนี้ก็มี เพื่อนผมมาเล่าให้ฟัง
หลวงปู่         ซบไหล่เลยเหรอ
คุณมนัส     ซบไหล่ตลอด ผู้หญิงเอาหน้าผากมาตรงนี้ รักกันกลางคืน ผู้ชายเดี้ยง ตื่นมา
หลวงปู่       เราก็พูดแค่ผ้าห่มกับแอร์ นี่ไปซบไหล่เลย คิดอะไรอยู่เนี่ย คิดอะไร ลึกขนาด

นั้น
คุณมนัส     ก็หลวงปู่บอก นอนไม่มีสติไง เนี่ย เค้านอนไม่มีสติจริงๆ
หลวงปู่        อันนี้มันรายการธรรมะนะ อะไร มันจะลึกขนาดนั้น ซบหล่งซบไหล่

ปุจฉา        คุณพ่ออายุ 70 แล้วหลังออกกำลังกาย บาสเก็ตบอลล์ มีอาการ ตะคิวขึ้นที่น่อง
หลวงปู่     อุ๊ย สมควรแล้ว, 70 เล่นบาสเก็ตบอลล์ ก็สมควรแล้ว
คุณมนัส        สงสัยเล่นกับลูกชายแน่เลย ผมว่า
หลวงปู่     ไม่รู้ล่ะ แต่สมควรแล้ว ไม่รู้จัก เรียกว่า ไม่รู้จักกาละเทศะ
คุณมนัส    เค้าเป็นแล้ว หาวิธีรักษาให้เค้าหน่อย
หลวงปู่      กีฬาอันเหมาะสมกับวัยเนี่ย บาสเก็ตบอลล์ มันใช้เข่า ใช้ข้อมาก คุณ กระโดดที

วิ่งที มันไม่เหมาะสมกับวัย, 70 ไม่ใช่ 17
คุณมนัส     เลิกเล่นซะ เปลี่ยน เล่นอย่างอื่น เดินก็ได้
หลวงปู่     เอ๊อ เดินไวๆ ว่ายน้ำ ออกกำลังกาย คือ ตากแดดให้เหงื่อมันซึม
คุณมนัส     ว่ายน้ำได้เหรอ 70 แล้ว
หลวงปู่     ทำไมจะไม่ได้ เค้าว่ายกันยันอายุร้อย, ไปถึง ก็จะไปยากอะไร ก็ไปนั่งคุกเข่า

ยกมือ พนม
คุณมนัส     เดี๋ยว ใช้ลูกมะพร้าว คล้องคอ
หลวงปู่       วอนไม๊

ปุจฉา         ทานอาหารได้วันละ 2 มื้อ ทั้ง 2 มื้อ จะทานเสร็จก่อน 10 โมงเช้า นิสัย

การกินอาหารแบบนี้ อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ เพราะว่า ตื่นนอนตอนตี 3 หลับตอน 4

ทุ่ม ไม่มีปัญหาเรื่องโรคกระเพาะเลย
วิสัชนา       ไม่เรียกอันตรายหรอก เค้าเรียกตะกละ เป็นไปได้ไง เช้ากิน แล้วก็อีกมื้อหนึ่ง

ก็อีกชั่วโมงกว่า อย่างนี้ ตะกละแล้ว ไม่งั้น ก็พวกอะไรล่ะ แล้วตอนเพลล่ะ ตอนบ่ายทำไง

ตอนบ่าย เค้าหิวไม๊ บางทีบางคน ก็ต้องยอมรับนะ น้ำย่อยแต่ละคน มันไม่เท่ากัน บางที 2

ชั่วโมง มันก็ออกแล้ว, 2 ชั่วโมงก็ออกแล้ว แล้ววิธี ก็คือ อย่ากินเยอะ ถ้ากินเยอะ แล้ว

มันก็จะตัน เดี๋ยวไส้ตัน งั้น ต้องกินให้น้อย กินถี่ แต่กินน้อยๆ อย่างนี้น่ะ พอไปได้ แล้ว

อาหารที่กิน ก็พยายามมีกากใยเยอะๆ อย่างนี้ พอช่วยได้ อย่ากินแต่แป้ง อย่ากินน้ำตาล

อย่ากินแต่เนื้อสัตว์ ถ้าเราคิดว่า เราต้องกินถี่อย่างนี้ ก็ให้กินอาหารที่มันมีกากใยเยอะๆ จบ

ลมขึ้นนะนี่
คุณมนัส      อีก 3 คำถามสุดท้ายครับ
หลวงปู่     เรื่องอะไร
คุณมนัส        เรื่องกีฬาครับ ออกกำลังกาย
หลวงปู่     ไม่ สุดท้ายนี่ ของเรื่องอะไร
คุณมนัส     เรื่องของโรคภัย
หลวงปู่      แล้วจะมีอีกเรื่อง
คุณมนัส      ไม่มีครับ ไม่มี สัญญาครับ สัญญา
หลวงปู่      เออ ไม่ เสียรู้มาทีละ เที่ยวนี้ต้องรอบคอบ
คุณมนัส     การที่เราดื่มน้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ประจำทุกวัน จะดีหรือไม่ และระหว่างน้ำต้มสุก

กับน้ำด่าง อันไหนดีกว่ากัน
หลวงปู่       ไม่ดี อะไรที่มันจำเจ มันไม่มีดีทั้งนั้นแหละ ไม่ดีต่อต่อมหมวกไต การขับถ่าย

การดูดซึม มันไม่ดี มันต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ร่างกายเรามันต้องอาศัยการผสมสูตรเคมี

ที่มันเหมาะสม ถ้าเอาตัวอย่างง่ายๆ คุณกินเค็มตลอดเวลา มันดีไม๊ล่ะ กินหวานตลอดเวลา

มันดีไม๊

งั้น น้ำที่ทีกรดมีด่าง แล้วกินอยู่จำเจซ้ำซากอยู่ตลอดเวลา มันก็จะทำให้ต่อมหมวกไตต่างๆ

อีกหน่อยเป็นโรคไตวาย กรวยไตอักเสบ การขับถ่ายน้ำในร่างกายก็จะน้อย ทีนี้ก็ตัวบวม
งั้นไ ม่ดี อะไรที่มันมากไป ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ให้มันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา

ตุณมนัส    คอืท่านนี้ เค้าอ้างมาบอกว่า น้ำด่างนี่มันจะเข้าไปปรับ
หลวงปู่     อย่าไปเชื่อโฆษณาใครเล้ย คุณเอ๊ย อ้ายใครที่เค้าบอกว่า เอาน้ำหมักอะไรมา

หยอดตา นี่หยอดจนตาปูด จะถลนออกมาแล้ว แรกๆ ก็แค่เจ็บเฉยๆ นี่หยอดจนตาปูด ตา

ถลน บางคนนี่ ตาบอดไปเลย มันไม่มีอะไรดีไปตลอดหรอกคุณ
คุณมนัส      งั้น ผมไม่ถามต่อให้นะฮะ
หลวงปู่     เออ

คุณมนัส     ท่านนี้ ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง แต่ว่า ไม่ชอบใส่แว่นกันแดด หมวก เสื้อแขนยาว

ใส่แล้วอึดอัด ขี้เกียจเช็ดเหงื่อด้วย อยากทราบว่า มีวิชาที่ฝึกแล้ว ทำให้ดวงตาและอวัยวะ

ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า ทนทานต่อแสงแดด และความร้อน ได้ไม๊ (กลัวจะเป็นมะเร็ง และเป็น

ต้อ)
หลวงปู่        แก้ผ้า เล่น
คุณมนัส    อันนี้ถามเรื่องผิวหนังนะ
หลวงปู่     อ้าว ถามเรื่องทน ว่าจะให้ทนทาน ก็แก้ผ้าเล่นไปเลย หมดเรื่องกัน มันเป็นเรื่อง

ที่คุณต้องเข้าใจวิถีชีวิตของคุณว่า คุณต้องการอะไร และสิ่งที่ได้มา มันเป็นพิษ หรือเป็น

ประโยชน์ เป็นโทษหรือเป็นคุณ ถ้าคุณไม่เข้าใจวิถีชีวิต วิถีคิด วิถีทำ วิถีพูด และบทบาท

ชีวิตคุณ คุณก็ต้องมาไล่ถามคนอื่นอยู่ตลอด ต้องใส่แว่นไม๊ มึงปัญญาอ่อนขนาดนี้ ไม่รู้ว่า

แดดขนาดนี้ ควรใส่ไม่ใส่ ตาของมึง ไม่ใช่ตากู แต่ละคนไม่เท่ากัน เออ ต้องใส่เสื้อกันแดด

ไม๊ ต้องกันฝุ่น กันลมไม๊ ก็ตัวของคุณ ไม่ใช่ตัวของใคร คุณมี limit ในการที่จะทน

ได้แค่ไหน มีความเป็นอยู่ที่จะเหมาะสมแล้วก็ซึมซับสิ่ง คือ ผิวหนังแต่ละคน นี่มันไม่เท่า

กันนะคุณ อ้ายคนบางคน มันไปอยู่กลางแดดเนี่ย มันซึมซับความร้อนได้น้อยกว่าคนอีก

หลายคนที่มันอยู่กลางแดดแล้วซึมซับได้  90, 70% ล่ะนะ เออ เพราะอ้ายเซลล์ผิว

หนังแต่ละคน มันสร้างมาไม่เหมือนกัน อ้ายครั้นจะไปบอกให้ใส่หนาๆ เดี๋ยวอ้ายคนที่เซลล์

ผิวหนังมันไม่ซึมซับ ใส่หนาๆ โอ้โห ข้างในสุก ตับสุกอีก ร้อนตับ ที่เค้าโฆษณา ตับหลุด

ออกมาดิ้นกุแด่วๆ
คุณมนัส    ไม่ แต่ท่านนี้เค้าถามมาว่า มันมีวิชาฝึกแล้วแบบทน
หลวงปู่     แก้ผ้า จบ

คุณมนัส       สุดท้ายครับ เป็นนักกีฬา สุขภาพปกติ อายุ  29 ปี ควรจะทานสมุนไพรตัว

ไหนของหลวงปู่ดี ระหว่าง สมุนไพรปรุงชีวะ สมุนไพรเพิ่มพลังปราณ สมุนไพรบำรุงกำลัง

สมุนไพรบรรเทาข้อกระดูกเสื่อม สมุนไพรบำรุงประสาทตา หรือ สมุนไพรบำรุงเซลล์สมอง

หลวงปู่       กินมันหมดทุกตัวเลย ลูก มันจะได้เพิ่มยอดไง ลูก
คุณมนัส     หมด ของจริง  อันนี้ หลวงปู่ครับ ผมมี พีอาร์ นิดหนึ่ง .....ทางวัดอ้อน้อย

เชิญร่วมกันหล่อพระ หลวงพ่อผาสุก รับพรปีใหม่ 1 มกราคม 2556 ปีมะเส็ง...

ถ้าทำบุญ 999 บาท จะมีเสื้อมอบให้ เสื้อดาวสุริยะ......
หลวงปู่    อืม ว่ากันไป

คุณมนัส    เอาละครับ เชื่อว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูล และสามารถนำไปประยุกต์

ใช้...............วันนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมกัน เปล่งสาธุการ เป็นการกราบ

นมัสการท่านหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่ท่านได้เมตตาแสดงธรรมให้กับพวกเราฟังตลอดเกือบ 2

ชั่วโมงกว่าๆ (สาธุ)

หลวงปู่     ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า แล้วก็ต้อนรับปีใหม่ ในปี 2556 ครั้งนี้ ท่านที่รักทั้ง

หลาย ทุกคน ทุกชีวิต ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ก็หวังอย่างยิ่ง และก็ต้อง

การอย่างมาก แล้วค้นหา แสวงหา เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นมงคลสูงสุด ความเจริญรุ่งเรือง

สูงสุด ความสุขอันสูงสุด และความสำเร็จอันสูงสุด

อยากบอกว่า เทวดาก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหม หรือ มารทั้งหลาย หรือ ท่านผู้มีฤทธิ์ มี

อำนาจ ฟ้าดิน ที่จริงแล้ว ท่านเหล่านั้น อยากให้พรพวกเรา เทพเจ้าทุกศาสนา ก็อยาก

อำนวยอวยชัย ก็อยากให้ผู้คนกราบไหว้บูชา ก็อยากให้ประโยชน์

แต่เผอิญ บางคน หลายคน และ เกือบทุกคน ไม่ค่อยทำตัวให้เป็นผู้รับพร ถ้าเปรียบเหมือน

หม้อ ก็คว่ำเสีย รับพรไม่ได้ เพราะให้พรมา ก็ไหลออกหมด ถ้าเปรียบเหมือนตุ่ม ก็ดันรั่วตูด

พรใส่เข้าไป ก็ไหลทิ้งเกลี้ยง เพราะฉะนั้น ถ้าอยากทำตนเป็นผู้ได้พรจากสวรรค์ จากเทวดา

ฟ้าดิน จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาของตนๆ  ไม่ยาก ขอเพียงเป็นคนมีคุณธรรม, มีน้ำใจ

รู้จักให้อภัย แล้วก็ ไม่เห็นแก่ตัว และทำตนเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อม

ด้วยความไม่ประมาท, ทำวิถีชีวิต วิถีทำ วิถีพูด วิถีคิด วิถีจิต ให้เป็นวิถีของความเป็นผู้รู้

ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน

เท่านี้แหละ คุณก็จะได้รับพรที่เทพเจ้าทั้งหลาย สวรรค์ และฟ้าดิน ได้พากันประทานมาให้

พรเหล่านั้น ก็จะหลั่งไหล พรั่งพรูเข้ามาสู่ชีวิต จิตวิญญาณ สันดาน และครอบครัว  ตัวคุณ

เองในที่สุด

ท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขสมบูรณ์ รุ่งเรือง เจริญ มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

และปัญญาแจ่มใส ดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน วาสนาสูงส่งดั่งขุนเขาไท้ซาน และความ

ปรารถนาอันใด จงงอกงามไพบูลย์ รุ่งเรือง เจริญ ดุจดั่งพื้นปฐพีที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ ธัญ

ญชาติ ด้วยเทอญ เจริญธรรม
(สาธุ)
(กราบ)
หลวงปู่    เหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอ ขึ้นราคา
เอ้า เค้าแจ้งข่าวดี มาบอกว่า ช่อง จะขึ้นราคาค่าเผยแพร่ธรรมอีกแล้ว เป็นข่าวดี รับส่งท้ายปี

ไม่เป็นไร ลูก เพราะทำมาเป็นสิบปีละ ก็ได้ตังค์ลูกหลานได้ถวายมา หลวงปู่ไม่ได้มาร้อง

แรกแหกกระเชอเรียกเรี่ยไร เอาตังค์มา ก็เอามาแบ่งสรรค์ปันส่วน จัดสรรให้เหมาะสมกับ

กิจกรรมต่างๆ  เผยแพร่ ซ่อมแซม สร้างเสริม ทะนุบำรุง เลี้ยงดู อุปถัมภ์ แล้วก็ ช่วยเหลือ

บริจาค ก็ทำให้มันครบ ตังค์พวกคุณบาทหนึ่ง ก็ต้องออกมาอยู่ในกองทุนเหล่านี้ เผยแพร่

ช่วยเหลือ ซ่อมแซม ทะนุบำรุง อุปถัมภ์ แล้วก็ บริจาค เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ทำมาเป็นสิบปีแล้ว ลูก ไม่เคยร้องเรียกใครว่า เอ๊ย ช่วยกูจ่ายค่าโฆษณา ค่าอะไร สถานี

วิทยุโทรทัศน์ เคยได้ยินหลวงปู่ขอไม๊ (ไม่เคย) กูรู้ ไม่ขอ, ไม่ขอ พวกมึงก็ไม่ให้ แพ

ราะงั้น ก็เลยไม่ขอ หลวงปู่ไม่รู้จะไปขอทำไม เพราะเป็นหน้าที่น่ะ ลูก มันเป็นหน้าที่ ที่ต้อง

เผยแพร่ธรรม เรามี เราก็ทำ ทำเท่าที่เราทำได้

ก็วันนั้น ก็ยังบอกเค้าว่า ให้หาช่อง, ช่องตอนนี้ มันออกช่องไหนบ้างล่ะ, ช่อง UBC

ออกไม๊ (ออกครับ) เออ ออกช่อง UBC, ออกช่องเดลินิวส์ (TNN 2, ASTV

ออกวันอาทิตย์ครับ) แล้วก็ช่องไหน ช่อง 5 แล้วก็ช่องไหนอีก (หมดแล้วครับ) ประตู

กับ หน้าต่าง ล่ะเที่ยวนี้

ก็วันนั้น ฝากนายแทนคุณ ให้ไปออกช่องอะไร บลูสกาย ยังหายเงียบไปเลย เออ เค้าบอกว่า

จะไปออกให้ๆ เราไม่ได้ขอเค้าฟรีนะ เราเช่าเค้านะ เพราะทุกช่องที่พูดมานี่ เช่าหมดนะ ช่อง

5 นี่แพงสุด แล้วก็ช่องต่อมา ก็จะเป็นช่อง UBC ใช่ไม๊ เออ ครั้งหนึ่งเท่าไหร่

30,000, 50,000, 20,000, 10,000, 5,000 ลดหลั่นกัน

มาเรื่อยละ ก็ไม่เป็นไร ลูก ทำได้ มีปัญญาทำ มีสติ มีกำลัง ทำเท่าที่พอทำ

เอ้า ถวายทาน ลูก
อ้อ เมื่อกี้ เค้าประชาสัมพันธ์ เรื่อง หลวงพ่อผาสุก
ถามว่า ทำไมต้องหล่อ
ก็อย่างที่บอกว่า มีคนเค้ามาไหว้ แล้วไม่สามารถปิดทอง ไม่สามารถจับต้องได้ใกล้ชิด
หลวงปู่ ก็เลยปั้นขึ้นมาอีกรูปหนึ่ง แต่องค์หย่อมกว่า
แล้วถามว่า ทำไมต้องเป็น หลวงพ่อผาสุก
ก็ ชื่อเป็นมงคลดี

ใครที่อยากได้ความผาสุก สวัสดี ความมีโชคในวันสิ้นปี ขึ้นปีใหม่ สิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ ก็ไป

ช่วย เพราะพระที่หล่อมา ก็คนอื่นเค้ามาไหว้ คือ ทำพระให้ชาวบ้านไหว้ ทำพระให้ชาวบ้าน

เค้ามาบูชา ขอพร กะว่า จะปั้นให้เสร็จภายในวันจันทร์นี้ เพราะว่า เมื่อเช้า หลวงปู่ตื่นแต่

เช้ามืด ก็มาปั้นต่อ ก็คิดว่า คงจะเรียบร้อย จะเสร็จล่ะภายในวันจันทร์ แล้วก็ทำพิธี สวดหุ่น

เผาหุ่น แล้วก็หลอมทอง หล่อในวันที่ 1 มกราฯ หลังจากบิณฑบาตร ข้างสาร อาหารแห้ง

ช่วงเช้า

ข้าวสาร อาหารแห้ง ตอนปีใหม่ พวกเราใส่แล้ว เอาไปทำอะไร
ก็วันเด็ก จะต้องแจก ใช้สำหรับวันเด็ก เหมือนกับที่พวกเราใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้ง วันที่

5 ธันวาฯ เช้า  ก็ตอนเย็นก็มาแจก แล้วส่วนที่เหลือ ก็ไปเลี้ยงพระ แล้วก็มีส่วนเหลือที่จะ

เอาไว้ใช้สำหรับเลี้ยงเณรภาคฤดูร้อน ก็เป็นวิธีการบริหารจัดการ

แล้วเมื่อวาน ไปสวดเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้

ปัจจัยที่ลูกหลานถวายมา ก็ 470,000 กว่าบาท  ไม่ถึง 500,000 ได้นำขึ้นทูล

เกล้าฯ ถวายเพื่อพระราชทานให้กองทุนศิริราชพยาบาล สงเคราะห์แก่ผู้ป่วยอนาถา  ขอ

ท่านทั้งหลาย จงมีส่วนในบุญนี้ด้วยแล้วกัน (สาธุ)
(กราบ)
ยังไม่ได้กล่าว คำถวาย เลย
ว่า นะโม 3 จบ
..................
ตั้งใจรับพร ลูก
................
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย อายุยืน เดินทางโดยปลอดภัยทุกคน ลูก
(สาธุ)
ลุกขึ้น ยืน กราบลาพระ
ว่าตาม
พระพุทธเจ้า ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ 1 ครั้ง)
พระธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)
พระสงฆ์ ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)
ที่พึ่งอื่นใดในโลกข้าพเจ้าไม่มี
ด้วยเดชแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าผูกความรักษา ขอความสวัสดีมีมงคล จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า (กราบ)
สาธุวันทา คุณบิดามารดา (กราบ)
สาธุ วันทา คุณครูบาอาจารย์ (กราบ)
ธรรมะรักษาทุกคน ลูก
(สาธุ)
(กราบ)