2 มิ ย 2555 9.00 น. ถอดซีดี ธรรมะระหว่างบวชเนกขัมมะ 2-4 มิ.ย. 55 วันวิสาขบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (กราบ) มันไปจ่ายตลาดกันหมดหรือไง หรือไปพันธมิตร ว่ากันไป สงสัยงานนี้อยากได้ 7 ล้าน เห็นรัฐบาลจ่ายแพง ก็เลยไปชุมนุมกับเค้าด้วย เผื่อฟลุ๊คได้ 7 ล้าน แล้วได้ความไงบ้างหลังจากชุมนุมแล้ว อืม กูนึกไม่ออกว่า ถ้าเผื่อเป็นชาติภพ มันจะเป็นยังไง ขณะจิตหนึ่งๆ ที่ไปแย้วๆ กับเค้าเนี่ย เป็นกรรมไม๊ (เป็น) เป็นการสั่งสมไม๊ สั่งสม กรรมชนิดหนึ่ง คนอยากพ้นทุกข์ อยากมีสุข อยากไปนิพพาน แต่อ้ายความอยากกับสิ่งที่ตัวเองทำ มันค้าน กันตลอด มันก็ยาก นี่คือ ธรรมที่ทวนกระแส ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นธรรมที่ทวนกระแส เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ขณะที่ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ ถ้าเรามาปรุง แต่งให้มันเป็นอะไร แล้วทำให้เกิดอะไรในอารมณ์ มันก็คือ กระบวนการสร้างชาติภพ มันก็เป็นกระบวนการของการสร้างวัฏฏะให้มันต่อเนื่อง หมุนวนให้ได้รอบ กินให้รอบตัว มันไปเรื่อยๆๆ แต่ถ้า ตาเห็นสักแต่ว่าเห็น หูฟังสักแต่ว่าฟัง จมูกดมสักแต่ว่าดม ลิ้นรับสัก แต่ว่ารับ ไม่ปรุงแต่ง มันก็ถึงคำว่า ดับ เย็น แล้วเรื่องอย่างนี้ รู้ไม๊ รู้ กูเพิ่งสอนเนี่ย รู้สิ ก็กูเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อกี้ ทำไมจะไม่รู้ เออ เพราะงั้น มันเป็นเครื่องทวนกระแส เพราะ เรามีอะไร ก็อย่างที่บอกว่า เรามีปฏิจจสมุปันธรรมอยู่ อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เพราะสังขารทำให้เกิดวิญญาณ แล้วก็วิญญาณทำให้เกิดนาม รูป พอนาม รูป ทำให้เกิดสฬายตนะ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อวิชชา คืออะไร ความไม่รู้ สังขาร ก็คือ การปรุงแต่ง พอไม่รู้แล้วก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปเรื่อย สิ่งที่ได้มา ตาเห็นไม่รู้ หูฟังไม่รู้ จมูกดมไม่รู้ ลิ้นรับไม่รู้ กายสัมผัสไม่รู้ ปรุงไปเรื่อย มันก็เลยทำให้เกิดนาม รูป สังขารก็ทำให้เกิด นาม รูป นาม รูป นี่มันเป็นอะไร ก็ตัวกูกับตัวมึงนี่แหละ นาม รูป เค้า เรียก มึงกับกูเนี่ย เค้าเรียก นาม รูป ส่วนที่เป็นนาม ก็คือ อะไร ใจ ส่วนที่เป็นรูป ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มือ ตีน เท้า หนัง อวัยวะทั้งหลาย เค้าเรียกว่า เป็นรูป มีสักแต่ว่ารูป เพราะว่าเป็นแค่รูปอย่างหนึ่ง หลายสิ่งรวมเป็น 1 สิ่ง เรียกสิ่งนี้ว่า เช่นนี้ๆ พอเกิดนาม รูปแล้ว มันก็จะต้องมีแดนต่อ มีตัวกูแล้วก็ต้องมีแดนต่อ อ้ายแดนต่อ ก็คือ ตา เห็น หูฟัง จมูกได้ แดนต่ออะไร ต่ออารมณ์เข้ามา ตาเห็นเกิดอารมณ์ หูฟังเกิดอารมณ์ จมูกดมเกิดอารมณ์ กายสัมผัสเกิดอารมณ์ เค้าเรียกว่า สฬายตนะคือ แดนต่ออารมณ์ พอมี แดนต่ออารมณ์แล้ว มันก็มีผัสสะ สัมผัส ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็เกิดสัมผัสบ้าง บางทีสัมผัส แล้วจึงจะชอบ ไม่ชอบ สัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ชอบใจ พอเวทนาแล้ว ทีนี้เกิดอะไรขึ้น ต่อมา อยาก ตะกละ ต้องการ อยากไปเรื่อย พออยากแล้ว ทีนี้ทำไงต่อ ก็เกิดอุปาทาน สีเหลืองกู สีแดงกู เออ เจ้านายกู ปรองดองของกู อะไรก็ว่าไปเรื่อย มีอุปาทาน อุปาทานแล้วก็ทำให้เกิดภพ ชาติ ตามมาด้วยพยาธิ ชรา มรณะ แล้วก็วนกลับไปเพราะ ความไม่รู้เหมือนเดิม มันวนอยู่เนี่ย งั้น ปฏิจจสมุปบาท นี่มันต้องข้ามภพข้ามชาติ ถึงจะรู้ไม๊ ขณะจิตหนึ่ง ลูก เกิดกระบวนการปฏิจจสมุปันธรรม ถ้าเรามีสติอย่างยิ่ง พร้อมมูลอย่างยิ่ง เราจะเห็นขณะจิตหนึ่งของปฏิจจสมุปบาท ขณะจิตหนึ่งเนี่ย มันเกิด ดับ เกิด ดับ จนกลาย เป็นภพเป็นชาติ เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นนินทา เป็นสรรเสริญ แต่ก็เอาล่ะ เรายังไม่รู้ ก็อย่าเพิ่ง ก็อย่างที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบอกว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ให้รู้ไว้ว่า 3 สิ่งนี้ มันเป็นรากฐาน รากเหง้า โคตรเหง้า บรรพบุรุษของการเกิดชาติภพ งั้น ถ้าตาเห็น หูฟัง จมูกดม กายสัมผัส สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าดู สักแต่ว่าดม สักแต่ว่าสัมผัส มันจะเกิดชาติไม๊ เกิดภพไม๊ ไม่เกิดชาติ ไม่เกิดภพ พอไม่เกิดชาติ ไม่เกิดภพ เราก็ต้องระวังเตือนเรา ฝึกสติว่า ถึงวันนี้ เราต้องระวัง ตาเห็น ก็ อย่าให้เกิดชาติภพ หูฟังก็อย่าให้เกิดชาติภพ จมูกดมก็อย่าให้เกิดชาติภพ คือ ต้องเตือนเรา อยู่เฉยๆ มีอารมณ์อยู่ เกิดปรากฏ เค้าเรียกว่า เครื่องปรุงจิต ก็ต้องดูว่า มันปรุงให้เราเกิด ภพชาติไม๊ ถ้าเกิด ก็แสดงว่า เราต้องมาอยู่ในวัฏฏะต่อไปเรื่อยๆ งั้นก็ ครั้งสองครั้งก็ยังพอทำเนา มันก็หายไป แต่เดี๋ยวนี้มันบ่อยมาก ก็คือ อ้ายครั้งสองครั้ง สมัยก่อนนี้ เค้ามีกิจกรรม ธุรกรรมที่จะช่วยชาติ ป้องกันชาติ เอ้า รวมกันไป แล้วพวกนี้ก็ จะมาเกิดเป็นชาตินี้ อยู่ในชาตินี้ คร่ำหวอดอยู่ในชาตินี้ ไม่ไปไหนล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ มันบ่อยมาก ปีหนึ่ง 3 เที่ยว 4 เที่ยว อ้ายพวกนี้มันจะต้องเป็นอะไร มันจะต้องลึกลงไปอีกล่ะ ต้องเป็นกิ้งกือ เป็นไส้เดือน ต้องลงมุดอยู่ใต้แผ่นดิน เพราะมันลึกไง มันลึกเยอะขึ้น ยิ่งตอนนี้มีค่าจ้างตาย 7 ล้าน ยิ่ง แหม ยิ่งอยากใหญ่ หลายคนอยาก ขาย มันก็ไม่ได้ ขายถั่วก็ไม่ได้ ขายข้าวก็ไม่ได้ ขายทั้งชาติยังไม่ได้ 7 ล้าน ไปดีกว่าวะ เผื่อจะ ฟลุ๊คได้ 7 ล้าน แต่ที่พูดนี่ ก็เพื่อให้ลูกหลานได้คิด ได้ปลดเปลื้องมันบ้าง อย่าไปแบกมันไว้มากนัก ก็ ธรรมะมันอยู่ในโลก ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเครื่องทวนกระแสโลก แต่ถ้าไปยุ่ง กับมันมากๆ เข้า มันก็จะกลายเป็นว่า อ้ายกระแสโลกมันจะดูดเราลึกเข้าๆ จนกระทั่ง วิถี แห่งท่านผู้รู้ ดับสูญไป แต่มันลึกยังไง มันก็ไม่ดับสูญหรอก เพราะว่า แม้สัตว์นรกตัวสุดท้าย ก็ยังมีสิทธิ์ตรัสรู้ใน วิถีแห่งโพธิญาณ วิถีแห่งโพธิศรัทธา โพธิปัญญา ทุกคนมีธาตุแท้ของการตรัสรู้อยู่ ธาตุแท้ ของการบรรลุธรรม มันขึ้นอยู่กับว่า ธาตุนั้น ใครจะลึก ใครจะตื้น อ้ายบางคนฟังธรรมนิดหน่อย ก็บรรลุธรรมได้ อ้ายบางคนฟังมา 10 ชาติ ยังไม่บรรลุ ก็ เพราะมันลึกมากไง ฟัง 10 ชาตินี่ ชาติหนึ่งก็ฟังครั้งหนึ่ง 10 ชาติก็ 10 ครั้ง เพราะ มันอยู่ลึกมาก ปกติคนถ้าอยู่ตื้นๆ ไม่ต้องมาก แค่ฟังคนอื่นเค้าเล่าต่อๆ กันมา แล้วจิตคล้อย ตาม ก็บรรลุธรรมได้ นั่นแสดงว่า คนๆ นี้ วิถีแห่งการตรัสรู้ตื้นมาก บารมีสั่งสมอบรมมา เต็มที่ งั้น อ้ายสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย ก็เป็นการสั่งสมอบรมอย่างหนึ่งนะ ลูก ทำกุศล ก็สั่งสมอบรมอะไร กุศล ทำอกุศล ก็สั่งสมอบรม อกุศล แล้วสั่งสมไปเรื่อยๆๆๆ มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะสั่งสมอะไร มากกว่า สั่งสมทอง หรือสั่งสมขี้ ถ้าสั่งสมขี้มาก ก็ธาตุแห่งการตรัสรู้ มันก็เล็กลง เรียวลงเหมือนกับเพชรก้อนเล็กๆ ที่ตกลง ไปในหลุมขี้ลึกๆ แต่ถ้าหากว่า สั่งสมกุศลมากๆ ธาตุแห่งการตรัสรู้ มันก็ลอยขึ้นสูง เพชร มันก็ลอยขึ้นจากหลุมขี้ไปเรื่อยๆๆ จนไปต้องแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ได้รับประกายแห่ง เพชรอันงดงาม นั่นก็แสดงว่า กระบวนการตรัสรู้ ลุล่วงสำเร็จไปได้ด้วยดีล่ะ งั้น แต่ละคนนี่มันจะมีสภาวะธรรมที่มันไม่เหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ มี ความตรัสรู้ อยู่ มีธรรมชาติของการบรรลุธรรมอยู่ มีธรรมชาติของการสู่คำว่า นิพพาน ดับ และเย็นอยู่ แต่ธรรมชาตินั้น ใครจะมาก จะน้อย จะลึก จะตื้น จะหนา จะบาง จะใหญ่ จะยาว จะสั้น อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการของคนๆ นั้น อุปนิสัยของคนๆ นั้น พฤติกรรมของ คนๆ นั้น วาทะกรรมของคนๆ นั้น กระบวนการมีชีวิตของคนๆ นั้นว่า ตาเห็นรูปปรุง หูฟัง เสียงปรุง เกิดผัสสะ ตาเห็นเกิดผัสสะ เกิดผัสสะ มีเวทนา สังขารการปรุงแต่ง สังขารนี่มัน กระโดดข้ามมาอยู่ตาเห็นได้ไม๊ โดดได้ไม๊ ถ้าไล่ปฏิจจสมุปบาทเนี่ย อ้ายสังขารนี่มันอยู่ใน ข้อที่เท่าไหร่ ลำดับที่เท่าไหร่ ลำดับที่ 2 แต่ถ้าไล่ตาเห็นเนี่ย อ้ายตัวตาเห็นนี่ มันอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ ลำดับที่ 4 ที่ 5 สฬายตนะ ลำดับที่ 4 งั้น ตาเห็นรูป เกิดการปรุง เห็นไม๊ อ้ายลำดับที่ 2 กระโดดข้ามมาอยู่ในลำดับที่ 4 ปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นตลอดเวลา พอเกิดการปรุงแล้วก็ ตา เห็น เกิดการปรุง มีผัสสะ มีเวทนา มันก็ย้อนกลับไปอีกนะ ถ้าไล่ตามลำดับก็ได้ ไล่ข้ามไป ข้ามมาก็ได้ เช่น ตาเห็น เกิดผัสสะ สัมผัส พอสัมผัสก็เกิดการปรุง สังขารเข้ามาปรุง ปรุง แล้วก็เห็น รับรู้ได้ เป็นเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ถ้าไม่ปรุง จะรู้ไม๊ เวทนา ไม่รู้ ลูก เห็นไม๊ สังขารกระโดดข้ามมาที่ 4 ที่ 5 กระโดดข้ามไปอีก พอเกิดเวทนาแล้วก็เกิด ความอยาก อยากมี อยากเป็น อยากเด่น อยากได้ อยากดัง ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่ อยากด่น ไม่อยากได้ ไม่อยากดัง มันอยู่ในตัณหา เสร็จแล้ว ก็ยึดถือ เป็นอุปาทาน งั้น กระบวนการนี้ ต้องตายแล้วเกิดไม๊ เห็นภาพครั้งเดียว หูฟังเสียงครั้งเดียว จมูกดมครั้งเดียว ลิ้นรับครั้งเดียว กายสัมผัสครั้งเดียว มันเกิดกระบวนการนี้ยาวตลอด เกิดกระบวนการนี้อยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต รวมแล้ว ปฏิ จจสมุปบาทมีรอบ 12 หรือที่หลวงปู่เรียกว่า รอบ 13 เพราะเติมคำว่า มรณะ พยาธิ แยกออกมาจากคำว่า ชาติ ภพ มันก็จะวนให้ผลอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน ยืนหยัดอยู่ตลอด เวลา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วมันเกิดทุกขณะ ทีนี้ ถ้าเราไม่เป็นผู้ปรารถนาความเพียรอันแก่กล้า เป็นผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม ความหลุด พ้น เป็นผู้ปรารถนาความสุขอันยั่งยืน เป็นผู้ปรารถนานิพพาน เป็นผู้ปรารถนาการบรรลุ เค้าเรียกว่า ตัดธรรมชาติแห่งการตรัสรู้เนี่ย วิถีโลกนี่ ต้องระวังที่สุด วิถีโลกทั้งหลายเนี่ย ต้องระวังที่สุด เพราะถ้าไม่ระวังมัน ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันก็จะ หล่นลึกลงไปเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งถึงก้นบึ้ง เป็นสัตว์นรกตัวสุดท้าย แล้วไม่รู้ว่า สัตว์นรกตัว สุดท้ายนี่ จะพ้นจากนรกแต่ละขุมๆๆ ขึ้นมา ลองหลับตานึกดู กว่าจะลอยขึ้นมาจากขี้ก้อน สุดท้ายที่มันอยู่ใต้หลุม แล้วกว่ามันจะย่อยสลายจนกลายเป็นความเบาบาง จนลอยขึ้นมา อยู่ปากหลุมนี่ มันใช้เวลาเท่าไหร่ นานพอสมควร นาน บางคนนี่นานแสนนาน นานจนยากที่จะรับรู้ได้ว่า ความนานของการ พ้นทุกข์ หรือ การตรัสรู้นี่จะนานเท่าไหร่ งั้น ถ้าเรายังเป็นผู้มีนิสัยคล้อยตามสภาวะธรรมรอบกาย มีธรรมชาติของการ ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรู้อารมณ์ แล้วก็ชื่นชม ชื่นชอบไปเรื่อยตามกระบวนการนี้ไม่ จบสิ้น ไม่มีสิทธิ์ มันก็จะกลายเป็นเหมือนกับเพชรที่ตกลงไปในเหว ในหุบเหวที่มีน้ำไหลเชี่ยวกราด เราก็ไม่รู้ ต้องค้นหาอีกนานกว่าจะขึ้นจากปากเหวได้ แล้วยิ่งคนที่คุยอวดตัวเองว่า เป็นพระอริยะเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ ถ้ามีธรรมชาติ ตาเห็นสวย หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้อารมณ์ แล้วชื่นชมยินดี ไปตามกระบวนการนั้นๆ เนี่ยนะ พ้นไม๊ พ้นหลุมขี้ไม๊ ไม่พ้น ไม่พ้น อันนี้ เผอิญอาตมาไม่ได้เป็นอรหันต์นะคะ เผอิญอาตมาเป็นครูของอรหันต์ อาตมาก็เลยเล่า ให้คุณโยมทั้งหลายได้ฟังนะคะ ว่า ธรรมชาติของคนที่มีธาตุตรัสรู้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงกับ ประกาศตัวเองว่า เป็นผู้พ้นแล้วซึ่งภัยแห่งวัฏฏะ จะต้องไม่มีเรื่องที่ตาเห็นแล้วเกิดสังขาร การปรุง จะต้องไม่มีเรื่องที่หูฟังแล้วเกิดผัสสะจนเป็นเวทนา เกิดตัณหา อุปาทาน ไม่มี จะ ต้องไม่มีจมูกดม ลิ้นรับ กายสัมผัส แล้วเกิดสักกระบวนการ ไม่มีเลย เค้ามีแต่คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดมก็สักแต่ว่าดม ดูก็สักแต่ว่าดู สัมผัสก็ สักแต่ว่า สัมผัส มันเหมือนกับเทียนจุ่มน้ำ น้ำไม่สามารถซึมเข้าเนื้อเทียนได้ฉันใด ธรรมชาติของพระอริย เจ้า พระผู้บรรลุธรรม ผู้วิเศษ ผู้สำเร็จพระอรหันต์ ก็เหมือนดั่งเทียนจุ่มน้ำ ที่จะไม่ซึมซับ แม้จะอยู่ในกระแสโลก ตกอยู่ในแม่น้ำไหลตั้งแต่ต้นจนปลายสาย ต้นสายถึงปลายสาย ก็จะ ไม่ซึมซับเอาน้ำเข้ามาในเนื้อเทียน แม้ไส้เทียนจะเปียกก็ตามที แต่เนื้อเทียนไม่มีน้ำอยู่ เพราะอณูของเนื้อเทียนมันแน่นผนึกจนกระทั่งไม่มีน้ำไหลเข้าไปได้ ซึมซับเข้าไปได้ ฉันใด จิตของพระผู้เป็นอริยเจ้า ผู้เป็นอรหันต์ ผู้บรรลุธรรม เข้าถึงวิโมกศักดิ์ เป็นผู้หลุดพ้น แล้วอย่างแท้เนี่ย มันเหมือนกับเพชร มันไม่มีสิ่งเจือปน เพราะมันบริสุทธิ์ด้วยธรรมชาติแท้ เพชรเม็ดหนึ่งนี่ ใช้เวลาสั่งสมนานไม๊ เพชรมันเกิดจากอะไร ลูก ถ่านหรือคาร์บอน แล้วใช้แรงกด แรงอัด แรงกัด แรงขี่ แรงข่ม จากบรรยากาศรอบกาย ธรรมชาติรอบตัว ความควบแน่นของตัวมันเอง แล้วก็ธรรมชาติที่คงทน และแร่ธาตุที่เป็น ประโยชน์ที่จะควบแน่นได้ ใช้เวลาอันมหาศาลนะ เป็นสิบไม๊ ร้อยปีไม๊ อุ๊ย เป็นล้านๆ ปี เป็นพันๆ ปี กว่าจะได้เพชรมาเม็ดหนึ่ง ธรรมชาติของคนตรัสรู้ ก็เหมือนกัน จิตของผู้ตรัสรู้แล้วนี่ มันใช้กระบวนการควบแน่น จน สกัดเอา อ้ายรูป ราคะคิ โทสะคิ โมหะคิ โลภะคิ วิตกคิ อะไรทั้งหลายออก จนเกลี้ยงหมดแล้ว มันบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว งั้น คนที่จะเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์เนี่ย หลวงปู่ไม่อยาก จะคุย กูนี่ ถ้ากูอยากเป็น กูเป็นได้ไม๊ (ได้) เออ กิ๊กก๊อก ยังชั้นกิ๊กก๊อก มันไม่รู้เป็นทำไม เป็นแล้วมันไม่เป็นยังไง เป็นแล้วมันไม่มัน ในอารมณ์ มันไม่สะใจ เป็นแล้ว เออ มันไม่ต้องเป็นขี้ข้า ไม่ต้องทำการงาน เป็นแล้วมัน เป็นธรรมชาติ มองอะไรก็เป็นธรรมชาติไปเลย อันนี้ ที่นำเรื่องนี้มา ก็ไหนๆ เมื่อคืนตื่นตี 2 ก็มานั่งจารพระรุ่นสุดท้าย ก็ควรจะมีคำสอน สุดท้ายๆ ฟังกันเอาไว้บ้าง เรียน สติ มาเยอะแล้ว ควรจะฟังเรื่องพวกนี้ได้มากขึ้นล่ะ แล้ววันต่อๆ ไป ก็จะเอา หลักปฏิจจสมุปันธรรม มาบรรยาย เอาหลักอริยสัจ 4 มาตีแผ่ให้รู้ แล้วก็เอา หลักอภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาขยายความให้เข้าใจ พอเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว จะได้รู้ว่า ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันไม่ได้อยู่ไกลกับตัวเอง แต่ คนที่จะเรียนรู้และฟังเรื่องพวกนี้ได้อย่างแจ่มชัดนั้นน่ะ มันต้องใช้กระบวนการอะไร ที่ หลวงปู่พยายามเพียรขัดเกลาสติมึงตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ก็เพื่อให้ถึง คำสอนสุดท้าย ในการที่จะเรียนรู้ศึกษา แล้วคำสอนสุดท้าย เป็นคำสอนที่สามารถจะทำให้ตัวเองถึงคำว่า ธรรมชาติแท้แห่งการ ตรัสรู้ได้ งั้น แม้หลวงปู่จะไม่ได้เป็นผู้ตรัสรู้เองในปัจจุบันก็ตามที แต่ก็พอมีสติปัญญาติดตามตัวมา บ้างที่จะรู้ว่า ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันคืออะไร ถึงได้กล้าบอกว่า อ้ายพวกที่ประกาศตัวเอง คุยเขื่องว่า ตัวเองเป็นผู้มีชาติสุดท้าย ไม่เกิดแล้ว ใช่ มันเป็นมนุษย์ชาติสุดท้าย ต่อไปเป็นเดรัจฉาน ต่อไปเป็นเดรัจฉานทุกชาติไป งั้น พวกเป็นอริยเจ้า เป็นอะไรเนี่ย คุยทั้งนั้น เพราะอะไร ยุคนี้ มันเป็นยุคอัตรธาน 3 อย่าง มีอะไรบ้าง 1. ปฏิเวธะอันตรธาน 2. ปฏิบัติอันตรธาน 3. ปริยัติอันตรธาน ปฏิเวธะ คือ ความสงบระวังซึ่งอุปกิเลสและกองกิเลสทั้งปวง ยุคนี้มันอันตรธาน แทบจะไม่ มีหรือหาได้น้อยมาก อ้ายที่มี เค้าก็ไม่มาประกาศโฆษณา เค้าไม่รู้จะประกาศทำไม เพราะ เห็นก็สักแต่ว่า เห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม คลำก็สักแต่ว่าคลำ แล้วจะมาประกาศเพื่ออะไร เหมือนกับเพชรที่มาประกาศว่า กูเป็นเพชร กูเป็นเพชร อ้าย นั่นน่ะ แท้ หรือ เก๊ เก๊ เพชรจริงๆ เค้าต้องประกาศไม๊ มีแต่คนเข้าไปหามัน ยอมที่จะตายเพื่อมัน นั่นแหละ เพชรจริง อ้ายที่ตะโกนบอก กูเป็น เพชร กูเป็นเพชร เก๊ทั้งชาติ กูเนี่ย มือปราบเพชร กูปราบมาหลายตัวแล้ว แต่ก็ขี้เกียจไป วุ่นวาย พักหลังนี่ มันแก่แล้วไง เขี้ยวมันชักคลอน มือไม้มันชักหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว เลย ไม่อยากจะไปปราบอะไรมากมาย แต่ก็เล่าให้ลูกหลานฟังว่า ธรรมชาติของผู้ตรัสรู้ ไม่ได้อยู่ไกล ลูก อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ไม่ไกล จากตัวเรา อ้ายคนที่ตาเห็น เกิดผัสสะ ตาเห็นรูป เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน มันจะ เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) แล้วมาคุยได้ไงว่า เป็นชาติสุดท้าย หูฟังเสียง เกิดผัสสะ เพราะหู ตา จมูก ลิ้น กาย มีอยู่ในหลักอะไร สฬายตนะ คือ แดนต่ออารมณ์ แดนต่ออารมณ์ ก็คือ แดนต่ออารมณ์และแดนต่อชาติภพ ชรา มรณะ พยาธิด้วย เพราะมันกำลังทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วมีอะไรๆ ในอารมณ์นั้นๆ บทโศลกเหล่านี้ หลวงปู่เขียนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว บวชเมื่อประมาณซักพรรษา 3 แล้วถ้ากูจะคุยได้บ้างว่า กูนี่เป็นผู้บรรลุธรรมตั้งแต่บวชพรรษาแรก กูคุยได้ไม๊ ได้ กูไม่รู้จะคุยทำไม เพราะกูก็ไม่ได้บรรลุอะไร กูไม่รู้จะคุยทำไม กูเพียงแค่ศึกษาและเข้า ใจ เข้าใจ เข้าใกล้ เข้าถึง และเป็นผู้ปฏิบัติในธรรมนั้นอยู่เนืองๆ เท่านั้น เพราะปรารถนาเพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเท่านั้นเอง ไม่ได้ปรารถนาที่จะเป็นผู้ บรรลุธรรม งั้น มันต้องศึกษาให้กระจ่าง ถ่องแท้ ชัดเจน แจ่มใส เพื่อจะได้พร้อมที่จะ อธิบายให้กับสัตว์ผู้มืดบอดทั้งหลายได้เข้าใจ ได้รู้จักตามความเป็นจริง แต่ละอะไร แต่ละอุปนิสัยของตนๆ เพราะแต่ละคนฟังหลวงปู่เนี่ย ร้อยคนฟัง คนๆ เดียวพูด ฟังได้เหมือนกันหมดไม๊ จับใจความได้ไม่เหมือนกัน นั่น ก็คือ อะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า อ้ายเพชรเม็ดนั้นน่ะ มันอยู่ลึก หรืออยู่ตื้น ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้น่ะ มันอยู่ ลึกหรืออยู่ตื้น ถ้าคนที่อยู่ตื้นๆ ก็ฟังนิดหน่อย ก็เพีงแค่คำว่า อ้าว ตาเห็นแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) หูฟังเสียงแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) จมูกดมกลิ่นแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) ถ้า เห็นสักแต่ว่าเห็น หูฟังสักแต่ว่าฟัง จมูกดมสักแต่ว่าดม สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ชาติภพจะเกิดได้ไม๊ (ไม่ได้) ถ้าฟังแค่นี้ ก็บรรลุล่ะ ทิ้งได้ล่ะ เออ ถ้าอย่างนั้น กูก็ต้องระวัง ตาที่เห็น หูที่ฟัง จมูกที่ดม ลิ้น ที่สัมผัส กายที่รับรู้ ต้องระมัดระวัง ระมัดระวังอย่างนี้ต้องมีคำว่า อะไร เข้าไป มีสติ สัมปชัญญะเข้าไป งั้น หลวงปู่สอนผิดไม๊ ทั้งปี ฝึกให้มึงเดินป๊อกบ้าง เพ่งความว่างบ้าง อยู่กับการเพ่งปราณตัว เองบ้าง สอนผิดไม๊ (ไม่ผิด) เพราะมันเป็นการกระตุ้นให้ตัวสติมันเจริญเติบโตอย่างกล้าแข็ง พอฟังแล้วทีนี้ อ้ายตัวสติ เนี่ย มันเหมือนกับเครื่องกรองกากขี้ เพื่อจะดึงเอาธรรมชาติของการตรัสรู้ให้ลอยสูงขึ้นๆๆ งั้น เราก็ต้องขยัน วิริเย ทุกขมัต เจติ คือ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ก็ต้องขยันที่จะ ฝึก สั่งสมสติให้เยอะๆ ยุคโบราณน่ะ เค้ารอที่จะฟังคำสอนของครูคำสอนสุดท้าย เพราะถือว่า เป็นคำสอนวิเศษ เป็นคำสอนแห่งการตรัสรู้ คำสอนสุดท้ายที่หลวงปู่อยากจะสอนพวกเรา อยากจะบอกพวกเรา ก็คือ คำสอนของการได้ ระวัง ให้มีสติระมัดระวังการสร้างชาติภพ ต้องระมัดระวังการสร้างชาติภพ จากใครสร้างให้ (ตัวเราเอง) เอ้อ ตัวเราเอง ไม่มีคนอื่นสร้างให้ แล้วอ้ายการสร้างนั้นน่ะ เป็นกรรมไม๊ (เป็น) เราจะตั้งข้อสังเกตุได้ไม๊ว่า ในหลักปฏิจจสมุปบาท ไม่มีคำว่า กฏของกรรม หรือ กรรม เข้า มาเลย ได้ไม๊ จริงๆ แล้ว ไม่ได้ มันคือ เรื่องเดียวกัน ลูก เพราะ ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เป็นกรรมไม๊ (เป็น) เป็น มันเป็นกรรมอยู่ในตัวมันเสร็จ รวมปฏิจจสมุปันธรรม ก็คือ กรรม รวมอยู่ทั้งหมด เรียกมันว่า กรรม กรรม คือ ใครกระทำ เราเป็นผู้กระทำ แล้วก็แยกออกไปว่า เป็นอดีตกรรม เป็นปัจจุบันกรรม เป็นอนาคตกรรม เป็นกุศลกรรม เป็นอกุศลกรรม ก็แยกกันออกไป แต่ทั้งหมด นี่มันเกิดในขณะจิตหนึ่งเท่านั้น ลูก ขณะจิตหนึ่งที่ตาเห็น ขณะจิตหนึ่งที่หูฟัง ขณะจิตหนึ่ง งั้น สติของพระอริยเจ้า นี่มันต้องเหมือนกับ มันต้องเหมือนกับอะไร มันต้อง เหมือนกับอ้ายที่เค้าใช้จับโมเลกุลจับอะไร เครื่องรังสีสำหรับ x-ray หรือไม่ก็เครื่อง scan หรือไม่ มันก็เหมือนกับเครื่องเตือนภัย รังสีที่แสงพุ่งออกไป แล้วใครมาโดน แสงปุ๊บ มันก็จะร้องจี๊ดจ๊าดขึ้นมา ประมาณนั้นเลย มันจะเป็นอย่างนั้นเลย เครื่องเตือนภัย สติของพระอริยเจ้า ต้องควบแน่นถึงปานนี้ ตาเห็น เตือนทันที หูฟัง เตือนทันที จมูกดม เตือนทันที ลิ้นรับรส เตือนทันที กายสัมผัส เตือนทันที เผลอไม่ได้ พอเผลอ ศัตรูเข้าใกล้ ศัตรูเข้ามาจู่โจม เข้ามาทำร้ายทำลาย นั่นคือ สติของพระอริยเจ้า เพราะงั้น อ้ายที่เป็นๆ อยู่เนี่ย เป็นพระอริยเจ้าไม๊ หา ถ้าเล่ากันอย่างนี้แล้ว ให้เข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาท นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงความเข้าใจใน ความหมายของคำว่า อริยสัจ 4 ยังไม่ได้รวมนับถึงความหมายของคำว่า มรรคมีองค์ 8 ยังไม่ได้รวมนับถึง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เข้าไปด้วย นี่เอาแค่พื้นๆ ในหลักปฏิจจสมุปบาท สมัยนี้ยังมีพระอริยเจ้าให้เห็นไม๊ อ้ายที่โฆษณาๆ นั่นน่ะ เป็นตัวอะไร ตัวอะไรจ๊ะ หา อ้ายชาติสุดท้ายน่ะ ตัวอะไรจ๊ะ ตัวอะไรก็ไม่รู้จ้ะ เออ มันตัวอะไรก็ไม่รู้ เพราะถ้าไม่เข้าใจความหมายของหลักธรรมะอัน เป็นเครื่องตรัสรู้ดังกล่าวนี้แล้ว มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ แล้วพวกนี้ จะน่าสงสาร เค้าจะเป็น บุคคลที่น่าสงสาร ที่ต้องนำเรื่องนี้มาพูดคุยให้ฟัง ก็เพราะว่าได้ชี้ให้เห็นถึงหลักธรรมอย่างชัดแจ้ง คุณชาติ หรือธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ว่า มันเป็นกระบวนการที่มันคนละเรื่องกับการมีชีวิต พระอริยเจ้ามีญาติไม๊ (มี) ทุกคนในโลกใบนี้และสัตว์ผู้เกิดแก่เจ็บตาย เป็นญาติของตน พระอริยเจ้ามีชาติไม๊ ไม่มี ลูก เพราะเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดมก็สักต่ว่าดม ดูก็สักแต่ว่าดู มันมีคำว่า สักว่า ถ้ามีชาติภพนี่ มันจะต้องมาเป็นอะไร อ้าว ชาติของกู ชาติของกู แล้วมันเกิดอุปาทานไม๊ เอ้า เทียบกับหลักปฏิจจสมุปบาท ชาติกู มีอุปาทานไม๊ (มี) อ้าว มีอุปาทานแล้ว เพราะอุปาทานทำให้เกิดชาติภพ อย่างนี้ เป็นพระอริยเจ้าได้ไม๊ ไม่ได้ เพราะอุปาทานทำให้เกิดชาติภพในหลักปฏิจจสมุปบาท พระศาสดาทรงสอนไว้ชัด งั้น พระอริยเจ้ามีคำว่า ชาติไทยไม๊ (ไม่มี) ประเทศไทย (ไม่มี) คนไทย (ไม่มี) แผ่นดินไทย (ไม่มี) เลือดเนื้อเชื้อไทย (ไม่มี) ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พระอริยเจ้าร้องเพลงนี้ได้ไม๊ (ไม่ได้) ไม่ได้ ให้จำไว้ว่า พระอริยเจ้าร้องเพลงนี้ไม่ได้ เพราะพระอริยเจ้า เห็นสักแต่ว่าเห็น ดูสัก แต่ว่าดู ดมสักแต่ว่าดม มีความเป็นอยู่และรู้สึกเหมือนดั่งแผ่นดิน แผ่นดินนี่ มันเลือกทวีปไหนบ้างไม๊ ไม่เลือก แผ่นดิน ก็คือแผ่นดิน ใครจะเหยียบ จะย่ำ จะ ถีบ จะถอง จะเยี่ยวรด จะชี้รด จะ ตอกเสาเข็มอัดใส่ แผ่นดินไม่โวย ไม่วาย ไม่รู้สึกอะไร นั่นแหละ คือ พระอริยเจ้า นี่ หลวงปู่ไม่ได้พูดเอง พระสารีบุตรท่านยืนยันอารมณ์เช่นนี้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้ มีพระภาคเจ้าจึงพยากรณ์ว่า ท่านเป็นอรหันต์ ว่าท่านได้บรรลุอรหันต์แล้ว เพราะอารมณ์ เช่นนี้ปรากฏขึ้นแก่พระสารีบุตร เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า เป็นอรหันต์นี่ ไม่ได้เป็นยาก มันไม่ได้เป็นยาก มันแค่ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส รู้ก็สักแต่ ว่ารู้ แต่ไม่มีสังขาร คือ การปรุงแต่ง ไม่มีเวทนาจากการดู การเห็น การฟัง คือไม่มีความ รู้สึกใดๆ แล้วไม่มีอุปาทาน คือ ไม่ยึดถือในสิ่งที่เห็น ที่ดู ที่ดม ที่ฟัง ที่สัมผัส เท่านี้น่ะ เป็น แล้ว เริ่มตั้งแต่โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ก็ถามว่า ทำไมต้องมีระดับขั้น ก็เพราะว่า สภาพจิตมันเกิดสติได้ทุกขณะ ดูสักแต่ว่าดู ได้ทุกขณะไม๊ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ทุกขณะไม๊ ดมสักแต่ว่าดม ได้ทุกขณะไม๊ ถ้าไม่ทุกขณะ มันมีแว๊บๆ ออกมาบ้าง มันมีพ่อกู มันมีแม่กู มันมีญาติกู บ้าง อย่างนี้เป็นต้น พระอริยเจ้า ถามว่า มีพ่อแม่ไม๊ เอ้า พระอริยเจ้าไม่ทิ้งคุณธรรม งั้นพ่อแม่ของพระอริยเจ้า ก็คือ ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ พระสารี บุตร ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นลูกยอดกตัญญู ท่านทำหน้าที่ เมื่อเช้านี้หลวงปู่สอนใน โบสถ์ อ้ายลูกหลานที่มันมาจากเมืองนอก ว่า ความรักนี่ มันมี 2 อย่างนะ ลูก รักโดย อารมณ์ กับ รักโดยความรับผิดชอบ รักโดยอารมณ์นี่ หมดอารมณ์ก็หมดรัก แต่รักโดยความรับผิดชอบเนี่ย มันต้องใส่อารมณ์ ไม๊ (ไม่ต้อง) มันมีความรับผิดชอบ เหมือนดั่งที่พ่อแม่รักลูก ต้องรับผิดชอบจนกระทั่งพ่อแม่ตาย ก็ยังรัก อยู่ไม๊ รักอยู่ เหมือนกัน พระอริยเจ้ามีความศรัทธาปสาทะ มีความซื่อตรงต่อสัจธรรมของพระผู้ มีพระภาคเจ้า หรือพระธรรมอันเป็นเครื่องบริสุทธิ์บริบูรณ์ อันวิเศษสูงสุด ท่านทำภาระ กรรมตามหน้าที่ที่มี เช่น ท่านไปโปรดมารดาของท่าน นางสารี ก็ไปตามอะไร ด้วยอารมณ์ หรือด้วยหน้าที่ ด้วยหน้าที่ หน้าที่ของบุตรที่จะพึงมีต่อบิดาและมารดา ท่านมีอารมณ์ไม๊ ไม่ต้อง ไม่ได้ใส่อารมณ์ ไม่ได้ใส่อารมณ์เข้าไป งั้น อย่าลืมว่า พระอริยเจ้า มีพ่อมีแม่ไม๊ มี แต่มีโดยหน้าที่ พระอริยเจ้ามีพี่มีน้องไม๊ มี แต่มีโดยหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องไม่มีอารมณ์ ถ้ามีอารมณ์ มันก็จะทำอารมณ์ให้เป็น อาลัยๆ แล้วจะเกิดอะไรในอารมณ์ต่อมา อย่างนั้น ก็ไม่ใช่พระอริยเจ้า งั้น เข้าใจ อย่าให้สับสน ลูก เราเป็นผู้แสวงหาพระอริยเจ้าทั้งนั้นแหละ ที่นั่งๆ อยู่นี่ กูว่า มึง ไปหลายอาจารย์แล้ว ไปมาหลายอาจารย์แล้ว แล้วแต่ละอาจารย์ ก็เป็นอริยะทั้งนั้น เป็น ระยะๆ บ้าง บางที แต่ก็ไม่รู้เลยว่า ธรรมชาติแท้ของพระอริยะ คือ อะไร วันนี้ ก็พูดถึงธรรมชาติแท้ของพระอริยให้รู้ว่า ธรรมชาติแท้ของพระอริยะ ต้องมีสภาวะ เหมือนดั่งแผ่นดิน สติของพระอริยะแต่ละท่าน พระโสดาระดับหนึ่ง พระสกิทาคาระดับหนึ่ง พระอนาคาระดับหนึ่ง แล้วพระอรหันต์อีกระดับหนึ่ง แต่ละระดับ มันมีอายุขัย มีวัย มี กระบวนการ แล้วก็มีพัฒนาการ มีอายุขัย ก็คือ สติของพระโสดา ท่านก็มีขีดจำกัดในระดับที่อายุขัยของท่าน คุณธรรมของ ท่าน ความรู้ความสามารถของท่าน ไม่ได้มีมากไปกว่านี้ แล้วพระโสดาก็ไม่สามารถมีสติ ให้ยิ่งใหญ่ข้ามภพไปถึงกระบวนการพระสกิทาคา หรือ อนาคา พระสกิทาคาก็ไม่สามารถข้ามไปอนาคา พระอนาคาก็ไม่สามารถข้ามไปถึงอรหันต์ ก็มีสติเฉพาะๆ ยกเว้นจะพัฒนา พัฒนาจากตัวเองที่มีทุนเดิมนั้นให้ก้าวข้ามล่วงไป อย่างนี้ น่ะ ได้ แต่ต่างจากสติพระโพธิสัตว์เจ้า เพราะสติพระโพธิสัตว์เจ้า ต้องข้ามล่วงพระโสดา สกิทาคา อนาคา แล้วก็อรหันต์ ด้วยเหตุผล เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าต้องพัฒนาเป็นอะไร เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ กิ๊กก๊อกได้ไม๊ ไม่ได้ รู้น้อยก็ไม่ได้ รู้น้อยจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็ต้องรู้ให้มาก รู้ให้มากก็ต้องทำไง ต้องขวนขวาย ต้องศึกษา ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องทดลอง พิสูจน์ เพื่อให้ได้สั่งสมคุณธรรม คุณประโยชน์ ได้สร้างสรรคุณประโยชน์ คุณค่าให้เกิดขึ้นในหมู่สรรพสัตว์ให้ได้มากมูล มากขึ้น งั้น หลวงปู่จึงพูดเสมอว่า อ้ายพวกนี้ มันกระดูกคนละเบอร์ มันคนละชั้น อาตมาชั้นปู๊น มึง มันชั้นปู๊น ลง คนละชั้น แต่เล่าให้ลูกหลานฟังได้รู้ว่า ทำใจให้มันนิ่งๆ บ้าง แล้วไม่จำเป็นต้องมานั่งหลับตาภาวนา สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องฝึกและสั่งสมอบรมไว้ ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา หรือ ความรู้ความสามารถใดๆ นอกเหนือจาก มีสติและปัญญา เพราะสติและปัญญาเท่านั้น เป็นคุณชาติของเครื่องตรัสรู้ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เราจะรู้ไม๊ ว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น พอเห็นปุ๊บนี่ เออ สีอะไร สวยไม๊ หน้าตาทำไมมันขี้เหร่อย่างนี้ เอ้ย อ้ายนั่น ทำไมมันสวยเหลือเกินล่ะ เนี่ย มองเห็นแบบนี้ เรียกว่า เห็นอย่างมีสติปัญญาไม๊ ไม่มี ถ้าเห็นแบบมีสติปัญญา ก็ต้อง เห็นก็สักแต่ว่าเห็น หรือ จะใช้ปัญญาวิจารณ์ พิจารณา ก็ว่า สิ่งที่เห็นเป็นรูป หรือ เป็นนาม เอ้า เป็นรูปนามก็ยาก อย่างนั้น สิ่งที่เห็น มันคงทนไม๊ มัน ตั้งอยู่ได้นานขนาดไหน มันมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ มันอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยจน กระทั่งเราตายนี่ มันดำรงอยู่หรือเปล่า สิ่งที่เห็นนี่ มันมีอายุขัยไม๊ มันมีวันเศร้าหมอง เสื่อม โทรมไม๊ มันมีปฏิกูลพึงรังเกียจอยู่มากหรือไม่ แล้วมันจะต้องบริหารจัดการมันอยู่ตลอด เวลาหรือเปล่า ที่จะรักษาคุณค่าของมันเอาไว้ สิ่งที่เห็นนี่มันเป็นภาระ มันเป็นธุระ หรือมัน เป็นเครื่องบำรุงบำเรอ แล้วมันอยู่กับเรา เป็นเพื่อนเราให้กับเราอยู่ตลอด เราไม่ต้องให้ อะไรมันเลย ถ้าอย่างนี้ ก็แสดงว่า เห็นอย่างเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น อย่างมีปัญญา วิจารณ์ พิจารณา คำว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น นั้น มันต้องผ่านกระบวนการนี้มาก่อนแล้วนะ ลูก ต้องวิจารณ์ อย่างนี้มาก่อน ส่วนคำว่า อ้ายที่เห็นแล้วไม่ต้องคิด เห็นแล้วก็ไม่ต้องดู เห็นแล้วไม่ต้องดม อะไรเนี่ย นั่นมันแสดงว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้รู้อันเลิศแล้ว อีกประเภทหนึ่ง ลูก มันไม่คิดอะไร ไม่รู้อะไร ไม่ดูอะไร ไม่ดมอะไร เอาเป็นว่า เป็นพระ ภควัมปติ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดตูด ปิดจมูก ปิดหมด กูไม่รู้อะไร อย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านใช้เรียกพวกประเภทนี้ว่า วิกขัมภนปหานะ คือ การข่มใจไว้ด้วยอารมณ์ฌาน พวกนี้ยืนยาวไม๊ ฌานนี่ มันมีหมดไม๊ หมด ลูก ฌานมันเหมือนถ่านไฟฉาย จำไว้เลย ปัญญานี่มันเหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ แต่ฌานนี่มันเหมือนกับกระบอกไฟฉาย ที่ ต้องใช้ถ่านไฟฉาย ถ่านไฟฉายมันมีหมดไม๊ มีเสื่อมไม๊ พระอาทิตย์เนี่ย มันหมดหรือเปล่า (ไม่หมด) เออ หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกไว้เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ลูกรัก พระอาทิตย์สว่างกลางวัน พระจันทร์สว่างกลางคืน คนมีปัญญาสว่างได้ทั้งคืนทั้งวัน 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนกูอยู่ถ้ำรังเสือ หลวงปู่โต๊ะท่านอยู่ถ้ำสิงโตทอง อยู่ใกล้ๆ กัน กูอยู่ถ้ำ รังเสือ เค้าอยู่ถ้ำสิงโตทอง กูอยู่ในถ้ำ เขียนบทโศลก อยู่ที่นั่นเขียนบทโศลกได้ตั้งหลายร้อย บท เพราะไม่มีใครมายุ่มย่ามกูด้วย กูก็ได้พิจารณาธรรม วิจารณ์ธรรม ตรึกในธรรมอยู่ ตลอดเวลา บางวันก็ได้ 2-3 บท บางวันก็ได้เป็น 10 บท บางวันไม่ได้ซักบท เพราะ อยากอยู่ในอารมณ์นิ่งๆ เฉยๆ อารมณ์อย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้น คนเค้าอยากจะมาใส่บาตรกูจะตายไป เพราะอารมณ์ อย่างนั้น มันเป็นอารมณ์สมมุติสงฆ์ มันเป็นสภาวะแห่งความสมมุติว่า ท่านผู้นี้ ยังเป็น สมมุติอยู่นะ ขณะเสวยอยู่ในอารมณ์แห่งการรู้ธรรม เข้าใจธรรม อรรถ พยัญชนะ ก็ยัง เป็นสมมุติ เพราะอะไร มันไม่ยั่งยืนไง ลูก มันไม่ถาวร มันไม่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะถ้ากูยั่งยืน กูคงไม่ไปลานพระบรมรูปหรอก กูคงไม่เป็นพระเสื้อเหลือง เสื้อสารพัดสีอะไรที่ชาวบ้านเค้าเรียกขาน จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ แต่ทำหน้าที่ มนุษย์ควรจะต้องกตัญญู เมื่อสองวัน ไปทอดผ้าป่าให้เด็กนักเรียนโรงเรียน เอ้า แบ่งบุญให้ลูกหลานด้วย (สาธุ) ได้เงิน 2 แสน 2 หมื่น 5 พันมั๊ง ก็ยังบอกครูเค้าว่า ครูสอนอะไรก็สอนเถอะ สิ่งที่ครู ไม่ควรลืมที่จะสอน ก็คือ สันดานมนุษย์ คุณธรรมมนุษย์ สัณชาตญาณมนุษย์ และ คุณสมบัติของมนุษย์ ทั้งหมดนี่ มันรวมอยู่ในคำว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กตเวทิตา แปลเป็นใจความว่า เครื่องหมายของคนดี ต้องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ มนุษย์ถ้าปฏิเสธคุณเหล่านี้ แสดงนั่นคือ ไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน งั้น ก่อนจะสอนอะไรให้ลูกหลาน เราต้องถามเค้าว่า ถามตัวเรา ถามเค้าว่า ถามมันว่า มึง เป็นมนุษย์หรือยัง ถ้ายัง อย่าเพิ่งให้อะไรกับมัน เพราะให้อะไรกับมัน เดี๋ยวมันก็มาเป็น โจรปล้นเรา แต่ถ้ามันเป็นมนุษย์แล้ว มันกตัญญู รู้คุณ มันกตเวทิตา ตอบแทนคุณ ให้มัน เป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ก็ไม่ลืมบุญคุณเรา เหมือนดั่งพระสารีบุตร ที่ไม่ลืมคุณ มารดาของตน แล้วคุณอย่างนี้ เค้าเรียกว่า คุณของคุณสมบัติของมนุษย์ เดรัจฉานไม่มี หรือมี ก็น้อยมาก เดรัจฉานตนใดมี เดรัจฉานตนนั้นต้องไม่ใช่สามัญสัตว์ ต้องเป็นพระ โพธิสัตว์ เหมือนดั่งที่สมเด็จโตท่าน ไม่ยอมที่จะไปปลุกหมาเวลาที่ไปนอนอยู่บนจีวรของ ท่าน เป็นจีวรพระราชทานจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 คนไปตาม ขรัวโต ในหลวงเรียกนิมนต์ ได้เวลานานแล้ว ทำไมไม่ไป อย่าดัง เดี๋ยวพระตื่น อ้าว หมานอนหลับอยู่บนจีวร ยังไปไม่ได้ เพราะต้องให้หมาตื่นก่อน เออ บอกเดี๋ยวพระตื่น เพราะอะไร เพราะหมาไปนอนบนจีวร แล้วจีวรเป็นเครื่องทรงของอะไร ของพระ ก็เลย บอกว่า อย่าดัง เดี๋ยวพระตื่น เออ หัวใจอย่างนี้ เค้าเรียกหัวใจของพระอริยเจ้า ไม่แบ่งแยก ไม่แบ่งแยกสรรพสัตว์ มอง ให้ชัดตามความเป็นจริง งั้น คนที่ใช้คำว่า วิกขัมภนปหานะ คือ การข่ม พวกนี้นี่ เห็นก็สัก แต่ว่าเห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม คือ ปิดหู ปิดตา เป็นพระภควัม ปติ อย่างนี้ ก็ต้องฝึกฌานเยอะๆ ฝึกสมาธิมากๆ เรียกว่า ให้มีอานุภาพจิตเพื่อจะเอาไว้ สำหรับข่ม สิ่งที่เห็น สิ่งที่ดู สิ่งที่ดม สิ่งที่สัมผัส ประเภทนี้ ก็ไม่ค่อยยั่งยืน ถ้าจะเป็นอรหันต์ สมมุติว่า จับพลัดจับพลู จะได้เป็นพระอรหันต์ ก็จะได้เป็นพระอรหันต์เต วิชโช ก็คือ ผู้สำเร็จบรรลุธรรมชั้น วิชชา 3 อย่าง วิชชา 3 มีอะไรบ้าง ก็หูทิพย์ ตาทิพย์ แล้วก็รู้การเกิดตายของสัตว์ อย่างนี้เป็นต้นในวิชชา 3 อย่าง งั้น ก็จะหาได้น้อย ด้วย เหตุผลว่า ผู้ที่จะบรรลุ เป็นเลิศในวิชชา 3 อย่างนั้น ต้องมีกำลัง ตบะ แก่กล้ามาก แล้วก็ ต้องเป็นบุคคลที่เค้าเรียกว่าอะไร ปิดหู ปิดตา ปิดจมูก แล้วเค้าไม่มาพร่ำบ่นกับสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่ทรงสมาบัติ ทรงฌานนี่ ถ้ามายุ่งกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ฌานเสื่อมไม๊ เสื่อม งั้น พวกนี้ก็จะอยู่ป่า จะไม่ค่อยเข้าบ้านเข้าเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้น ก็ ลองไปสำรวจดู อัตตชีวประวัติพระอรหันต์ ผู้สำเร็จเตวิชชะ ฉฬภิญญะ ปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือ พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะมีปกติที่จะอยู่ในป่า เรือนว่าง ป่าช้า ป่าชัฏ ซะส่วนใหญ่ ไม่มาคร่ำหวอดกับโลกภายนอก ส่วนพระอริยเจ้าที่เป็น สุกขวิปัสสกะ พวกนี้ ก็จะอยู่ได้ทุกที่ สุกขวิปัสสกะ ก็คือ ผู้มีปัญญารู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง เค้าจะอยู่ได้ทุกที่ ไม่เลือก แต่เป็นผู้มีปัญญารู้ทันสิ่งที่อยู่ทุกเรื่อง รู้เท่าทัน รู้เทียมทัน รู้ชัดเจน รู้จนกระทั่งสิ่ง ที่อยู่รอบข้างนั้นไม่ครอบงำเราได้ ถ้าเข้าใจความหมายนี้แล้ว เราก็จะรู้ว่า สภาวะธรรมที่รับรู้ทางตา กำลังสร้างชาติภพหรือไม่ สภาวะธรรมที่รู้ทางหู ที่รู้ทางจิต ที่รู้ทางกาย ที่รู้ทางใจ ที่รู้การสัมผัส มันเป็นชนวน หรือ กระบวนการเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเกิดชาติภพไม๊ จะสังเกตุเห็นว่า คนที่สั่งสมอบรมนิสัย พวกมีโทสะมากๆ โมหะมากๆ โลภะมากๆ ราคะ มากๆ พวกนี้ก็จะสร้างชาติภพให้เป็นชนิดนั้นๆ เพราะอ้ายโทสะนี่ มันเกิดชาติเดียวไม๊ (ไม่) เกิดวันเดียวไม๊ เกิดนาทีเดียวไม๊ เกิดครั้งเดียวไม๊ ไม่ กว่ามันจะสะสมเป็นนิสัย ใช้เวลาเป็น บางคนเป็นอสงไขย ดูตัวอย่างเช่น พระเทวทัต สั่งสมโทสะนี่นับจำนวนเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ ช่วงที่เกิดเป็นพ่อค้า พระพุทธเจ้ามาเกิด เป็นพ่อค้า ขณะนั้นยังเป็นพระโพธิสัตว์สั่งสมบารมีธรรม ก็แย่งกันซื้อถาดทองคำจากหญิง แก่ แต่เทวทัตเจ้าเล่ห์ ตีราคาถาดทองเป็นถาดทองเหลือง แต่พระโพธิสัตว์ตีราคาถาดทอง เท่ากับทองคำ งั้น พระเทวทัตเจ้าเล่ห์ก็โกรธ หาว่า พระโพธิสัตว์มาตัดหน้า ซื้อได้แล้วก็พระ โพธิสัตว์ก็ลงเรือหนีกลับบ้านกลับเมืองตน เทวทัตตามไปจะเอาไม้ไล่ทุบ ตามไม่ทัน เจ็บใจ มันมาด้วยกัน ทำไมมันตัดหน้าเรา แต่ที่ซื้อน่ะ พระโพธิสัตว์ซื้อด้วยความจริงใจ บอกเขา ไปตรงๆ ว่า ของๆ ท่านน่ะมันเป็นทองคำ แต่ก่อนหน้านี้ พระเทวทัตเข้าบ้านนี้ บอกว่า ถาด เก่าๆ นี่มันไม่มีราคา ก็ให้ราคาไม่กี่กหาปณะ แล้วก็กลับไป แล้วก็หวังใจว่า เดี๋ยวจะย้อน กลับมาตื๊ออีกทีหนึ่ง ทำเต๊ะท่าเหมือนกับเล่ห์พ่อค้าที่ไม่สนใจของที่จะซื้อ เพื่อจะกดราคาให้ ถูกที่สุด แต่พระโพธิสัตว์เข้ามาทีหลัง เจ้าของบ้านเรียกเข้าไปดู เอา เข็มขีด ชั่งน้ำหนัก ก็ รู้ว่าเป็นทองคำ ก็บอกไปตรงๆ ว่า นี่ถาดทองคำนะ ยาย ผมไม่มีปัญญาซื้อหรอก เพราะเงิน ที่มีอยู่ สินค้าที่มี ให้ทั้งหมดยังไม่พอเลย ยายก็บอก พ่อคุณเอ๊ย พ่อเจ้าเป็นผู้ซื่อตรง ความ ซื่อตรงของพ่อมีราคามากกว่าสินค้าและเงินที่พ่อมี อย่างนั้นทั้งหมดที่เจ้ามี เอามาแลกกับ ถาดทองคำของข้า ให้ไปเลย พระโพธิสัตว์ก็รู้ทันทีว่า อ้ายรอยขีดก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นเทวทัต พ่อค้าคนแรกมา ก็รู้ว่า ตัว เองจะมีภัย ก็รีบแจวลงเรือไปเลย อ้ายนี่ตามไป รู้ว่าแย่งซื้อ ตามไปไม่ทัน โกรธ เอาหินปา เอาไม้เขวี้ยง ก็ไปไม่ถึงกลางน้ำ เพราะพวกไปถึงกลางแม่น้ำ เลยความโกรธ ความฉุนเฉียว เลือดลมกำเริบ เลือดกำเดาไหล ขากออกมาเป็นเลือด เจ็บใจมาก อุ๊ย ราคาเป็น แสน กหาปณะ จับอยู่เหนาะๆ เมื่อเช้านี้ ถ้ากูเอาซะก็ดี เลยเสียดายด้วย โกรธด้วย ก่อนตาย คว้า ทรายมาหนึ่งกำมือ ชาตินี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ ชาติต่อๆ ไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ข้าจะตามฆ่าเจ้า แล้วก็ขาดใจตาย อย่างนี้ สร้างชาติภพไม๊ โอ้โฮ้ย ไม่รู้เท่าไหร่ เห็นไม๊ ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ไม่ได้สักแต่ว่าเห็น ไม่ได้สักแต่ว่าดู ไม่ได้ สักแต่ว่าดม แต่มามีสังขารการปรุง มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน ครบสมบูรณ์ไม๊ ปฏิจจสมุปบาทครบสมบูรณ์ ก็เกิดอะไร ชาติภพ แล้วภพเดียวไม๊ โอ้โห ไม่รู้เท่าไหร่ เม็ดทรายนับไปสิ กำมือหนึ่ง เม็ดหนึ่งก็หนึ่งชาติ เม็ดหนึ่งก็หนึ่งชาติ เนี่ย สร้างชาติภพ ใครทำ ใครสร้างให้ (ตัวเอง) ใช่ งั้น ก็ต้องระวัง ฝึกมาถึงวันนี้ล่ะ ควรจะต้องเรียนรู้คำสอนพิเศษๆ อย่างนี้เอาไว้ สำหรับที่ จะใช้กับการบริหารจัดการและอยู่ให้ได้ อยู่ให้ดีมีสุขกับชีวิตบ้านปลายสุดท้ายของตน ไม่งั้น จะเสียชาติ เสียชื่อ เสียเชิง ว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธะ แล้วโง่เป็นควาย ไม่รู้เรื่องอะไร เออ ไม่ได้ แล้วลูกศิษย์พระพุทธะนี่ จะไหว้ใครก็ต้อง มีท่า ไม่ใช่ไหว้ส่งเดช หมู หมา กา ไก่ วัว ควาย กูไหว้หมด ไม่รู้เรื่องอะไรว่า ควรไหว้ ไม่ควรไหว้ เค้าประกาศตัวเอง โฆษณา ก็ไหว้มันส่ง หัวทิ่มตูดกระดกๆ แต่ไม่ได้สำรวจตรวจทาน ไม่ พิสูจน์ ทดลองชิม ไม่ต้องถึงขนาดเอาลิ้นไปเลียๆ เค้าหรอก แต่ก็เอาล่ะ ธรรมะที่เล่าให้ฟังเนี่ย เอามาเทียบดูว่า เห็นสักแต่ว่าเห็นไม๊ ฟังสักแต่ว่าฟังไม๊ ดมสักแต่ว่าดมเห็นไม๊ ดูสักแต่ว่าดูไม๊ สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัสไม๊ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ไม๊ ถ้า สักแต่ว่า เออ น่าจะไหว้ แต่ถ้ายัง ไม่สักแต่ว่า เห็นก็ยังกะโตกกะตาก เอิ๊กอ๊าก ดูก็ยังกะ โตกกะตากเอิ๊กอ๊าก ดมก็ยังมีอารมณ์อยู่ อย่างนี้น่ะ ยิ่งไหว้ไม่ได้ ยังต้องพิสูจน์ต่อไป ขั้น ต่อๆ ไปเรื่อยๆ ไม่งั้น ก็จะกลายเป็น ไปยุคนชั่วให้หลอกคนโง่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนชั่วเจริญเติบโต มันเป็นบาปนะ ลูก มันเป็นกรรมอย่างหนึ่ง อย่างนั้น เป็นกรรมไม๊ เป็นนะ นั่นน่ะ คนไปไหว้โจร นี่เป็นกรรมไม๊ (เป็น) เข้าใจผิดคิดว่า โจรเป็นพระเนี่ย เป็นกรรมไม๊ เป็นนะ อ้าว มีตัณหาไหมล่ะ มีอุปาทานไม๊ มีเวทนาไม๊ มีผัสสะไม๊ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นบริวารโจร อ้าว นิยมชมชอบโจร ก็ต้องเป็นพวกโจร ถูกไม๊ ถูกหรือเปล่า เรื่องนี้มีอยู่ในพระชาดก พระสารีบุตรชวนอาจารย์สัญชัยปริพาชก อาจารย์ อย่ามาสอนผิดๆ ทำผิดๆ บอกผิดๆ อยู่เลย เวลานี้พระอรหันต์ท่านเกิดขึ้นแล้ว พระสมณโคดม ศากยวงศ์ ท่านบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอรหันต์หนึ่งเดียวในโลก เวลานี้ ท่านอุบัติขึ้น แล้วในชมพูทวีป เราไปไหว้ท่าน ฟังธรรมท่านเถอะ สัญชัยปริพาชกถามพระสารีบุตรว่า ลูกศิษย์ สมณโคดมพุทธเจ้าของเจ้า สอนคนโง่หรือ สอนคนฉลาด สอนคนฉลาด โลกนี้ มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก อย่างนั้น สมณโคดมก็จงสอนคนฉลาด พวกฉลาด งั้น ข้าจะสอนพวกโง่ เพราะพวกโง่ มากกว่าพวกฉลาด จนวันนี้ สัญชัยปริพาชกยังโง่อยู่ในนรกอยู่เลย เพราะครอบงำคนให้โง่ ก็ถือว่า เป็นกรรมไม๊ กรรม เป็นบาปอย่างหนึ่ง งั้น ชีวิตหลวงปู่เนี่ย ชั่วชีวิต สิ่งที่ไม่ยอมทำที่สุดก็คือ การสอนคนให้โง่ ไม่ยอมทำ ก็บอกแล้วว่า กูจะไม่อยู่อย่างเป็นผู้ไม่ภาคภูมิ จะไม่อยู่อย่างเป็นผู้มืดบอด จะไม่อยู่อย่าง เป็นผู้ไม่รับรู้อะไรไม่เข้าใจ ไม่ศึกษา ถ้าอยู่อย่างนั้น ไม่อยู่ดีกว่า จนเงินจนทองก็ถือว่า จน จ๊น จน จนแก้วแหวนเพชรนิลจินดาและจนบริวาร ราชศักดิ์ ก็จน ใหญ่โตมโหฬาร แต่จนมากมาย โคตรจะจน สุดจะจน และจนยิ่งใหญ่ ก็คือ จนใจกับจน ปัญญา จนไม่ได้ ถ้าขืนจน 2 สิ่งนี้ อยู่ไม่ได้ อยู่ไปทำไมไม่รู้ ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้สาระ เอ้า พอสมควรแก่เวลาล่ะ นี่ยังไม่ได้เข้าเรื่อง วันอะไรนะ (วิสาขบูชา) เออ ยังไม่ถึง ไว้ถึงก่อนแล้วค่อยคุย แต่วันนี้ เดี๋ยวเรามาปฏิบัติธรรมกันก่อน บอกแล้วเมื่อ สัปดาห์ที่แล้วว่า สัปดาห์นี้ กูจะเข่นพวกมึง พอขู่ไปแล้ว ก็เลยเหลือเท่านี้เลย เออ ไป กราบพระ แล้วเข้าห้องน้ำห้องท่า เดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม (กราบ) ไป แยกย้ายกันไป เคลียร์พื้นที่ มาปฏิบัตธรรม