22 ม ค 2555 ถอดซีดี ธรรมะอาทิตย์ที่ 4 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• มีชีวิตอยู่ในความเป็นกลาง รักษาสมดุลย์ของอารมณ์จิตวิญญาณ สันดานตนได้
• เมื่อชีวิตมีความผิดน้อยลง มันก็มีความถูกมากขึ้น
• ความดีของเรา เป็นเครื่องเซ่นเทพได้อย่างดียิ่ง และเทพชอบมาก เทพอยากได้มากๆ เทพต้องการมากๆ ขอบอกเลยว่า เรื่องนี้ เรื่องจริง
• ขอเพียงตั้งจิตปรารถนา ถ้าเรามีดีอยู่ในใจ อะไรก็สำเร็จประโยชน์
• ไหว้ได้ แต่อย่าโง่ไหว้ ต้องฉลาดไหว้
• ถ้าเรามีดี เราก็ได้ดี
• ทำดีสูงสุด ก็คือ ทำจิตให้สงบระงับ และสะอาด ปราศจากเครื่องร้อยรัด และอุปกิเลสทั้งปวงให้สงบระงับไปด้วย
ซินเจีย ยู่อี่ ซิงนี่ ฮวดใช้
(สาธุ)
อั่งเปา ตั่งตั๋ง ตั่วถั่ง ร่ำรวย รุ่งเรือง
ลาวทั้งศาลา ดูหน้าไม่เห็นมีเจ๊ซักคน
เออ ปีใหม่ก็ไปแล้ว ตรุษจีนก็มาแล้ว...
วันเดือนปี กลืนกินสรรพสิ่ง กัดกินชีวิตเราอยู่เรื่อยๆ เนืองๆ
รู้สึกร่วงโรยไม๊
ใครรู้สึกได้ว่า ร่วงโรย
เออ ปลงได้ก็ดีแล้วล่ะ
ปลงไม่ได้มันก็จะไม่ดี
การแสดงความรู้สึก ทำความรู้สึก สำนึกระลึกได้ถึงความร่วงโรย ความเสื่อมทราม หรือว่า ความเหี่ยวเฉา ความแก่หง่อม ความชราภาพ ความทรุดโทรม แล้วก็ความเสื่อมที่ปรากฏเนี่ย มันเป็นวิปัสสนา มันเป็นญาณปัญญาอย่างหนึ่ง
สำนึกได้ รู้สึกได้ว่า อืม เราแก่ลงนะ
ระลึกได้ด้วยสติตั้งมั่นว่า เราเสื่อมโทรมลงนะ เราคร่ำคร่าลงนะ เราชราภาพมากขึ้นนะ เรามีความเสื่อมเกิดขึ้น ปีนี้เราเสื่อมมากกว่าเก่านะ
คิดได้อย่างนี้ มันเป็นปัญญา ลูก มันเป็นปัญญาญาณ เป็นวิปัสสนา เป็นความไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่ขาดสติ
แล้วจะมองโลกได้ทั้งมุมบวก มุมลบได้อย่างสมดุลย์ ไม่เพลี่ยง
พล้ำ ไม่อยู่ในฝ่ายบวกมากไป ไม่ตกอยู่ในอำนาจ
หรือตกเป็นทาสของฝ่ายลบเยอะไป มันทำให้ได้วางตัวเป็นกลาง ทำใจ
เป็นกลาง ตั้งมั่น มีชีวิตอยู่ในความ
เป็นกลาง รักษาสมดุลย์ของอารมณ์จิตวิญญาณ สันดานตนได้ มันก็ไม่เพลี่ยง
พล้ำ ไม่เผลอไผล ไม่ประมาท ไม่มัวเมา ก็ไม่ขาดสติ ก็จะไม่ผิดพลาด ชีวิต
มันก็จะผิดน้อยลง เมื่อชีวิตมีความผิดน้อยลง มันก็มีความถูกมากขึ้น
แน่นอนล่ะ เมื่อชีวิตมีความถูกมากขึ้น มันก็เป็นผลกำไรเยอะขึ้น
งั้น ถ้าอยากมีชีวิตมีแต่กำไร ไม่ขาดทุนเลย หลวงปู่นั่งจาร
เย็นนี้ เค้าจะมีไหว้เทพเจ้าโชคลาภใช่ไม๊
เออ นั่งจารจนมือพองเลย จารมาเป็นอาทิตย์แล้ว จารในรูปเทพ
เจ้าไฉ่ซิ่งเอี้ย เทพเจ้าพิธีการ เย็นนี้ประมาณ 5 ทุ่มถึงตีหนึ่ง ตีหนึ่งครึ่ง เค้าจะมี
การไหว้เทพเจ้า เค้าว่ากันว่า เทพเจ้าจะลงมา
จากสวรรค์ มาอวยพร
มันไม่ใช่แค่ไหว้ แล้วได้พร
สิ่งสำคัญ คือ มันต้องทำอะไร
เออ มันต้องทำดี
แค่ไหว้ แล้วได้พร แสดงว่า เทพองค์นั้นใช้ไม่ได้ เทพกระจอก เทพห่วยแตก
เพราะว่าอะไร
เทพยอมรับสินบนโดยไม่คำนึงถึงผู้ติดสินบนนั้นดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ควรให้พรหรือไม่ควร
ให้
งั้น หลวงปู่ก็เชื่อว่า เทพไม่กระจอก
การจะไหว้เทพ ให้ได้รับพรจากเทพ บูชาเทพเจ้า เทวดาอวยชัยให้พร
เราก็ต้องทำตัวเราให้สะอาดเหมือนดั่งแก้วน้ำที่ใส พร้อมที่จะรับพรอันวิเศษ
เหมือนดั่งน้ำใสที่ใส่มาในแก้ว เมื่อแก้วมันสะอาดใส น้ำที่เทพเทมาใส่เรา ก็ใสสะอาด มัน
ก็สำเร็จประโยชน์
แต่ถ้าแก้วซกมก สกปรก มักมาก อยากได้ ทุรนทุราย เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ คับแคบ
ตระหนี่ เป็นคนน่ารังเกียจ มันไม่ต่างอะไรกับถังขยะ แล้วก็ใส่น้ำใส จะใช้ประโยชน์
อะไรไม่ได้ แม้จะบอกว่า เทพตาบอด ใส่น้ำลงมาให้เรา ก็ใช้ไม่ได้ น้ำ
ในที่นี้ ก็คือ น้ำใจของเทพ
คนอื่นจะว่ายังไงไม่รู้ แต่หลวงปู่เชื่อเรื่อง เทพเจ้า เทวพลี เชื่อเรื่องจิตเทวานุภาพ
เชื่อในอำนาจผีสางนางไม้ แต่ความเชื่อในที่นี้ มันต้องเป็นความเชื่อบนพื้นฐานของความมี
สติปัญญาเชื่ออยู่บนหลักการและเหตุผล เชื่อบนความถูกต้อง เชื่อเรื่องตามเหตุปัจจัยของ
กฏแห่งกรรม คือ ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว แล้วก็เชื่อด้วยเหตุปัจจัยของผู้ที่มีความดี เทวดา
ย่อมอภิบาล รักษาบำรุงคนที่มีบุญญาธิการดี ไม่ว่าไปในที่ใด ก็มีผู้อภิบาล รักใคร่ ทะนุ
ถนอมบำรุง
เหมือนๆ ดั่งที่พระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จไปนิคามชนบทต่างเมือง เสด็จไปอาราวดี(?)
พระอานนท์ก็ทูลทักทานว่า ฤดุนี้เป็นฤดูแล้ง การจะเสด็จไปเมือง.....มัน
ต้องผ่านทะเลทราย พระสงฆ์ทั้งหลายที่จะติดตามพระพุทธองค์ไป พระสุคตเจ้า ก็จะได้รับ
ความลำบาก เพราะในท่ามกลางทะเลทราย ก็จะหาน้ำอาหารไม่ได้ ขอพระองค์ทรงยับยั้ง
ได้โปรดชลอ รอให้ถึงฤดูฝนหรือ ไม่ก็ฤดูน้ำหลาก น่าจะไปได้ดีกว่า
เผอิญพระองค์ทรงเล็งข่ายพระญาณที่จะทรงไปโปรดบุตรนายช่างทอง เมือง....
พระองค์หันมาถามพระอานนท์ อานนท์ สารีบุตรไปด้วยหรือเปล่า
ไป พระเจ้าค่ะ
พระสีวลีไปด้วยหรือเปล่า
ไปพระเจ้าค่ะ
โมคคัลลานะไปด้วยหรือเปล่า
ไปพระเจ้าค่ะ
พระมหากัจจายานะล่ะ ไปด้วยหรือเปล่า
ไปพระเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น ก็ไปเถอะ เพราะมหาสาวกของเราเหล่านี้ เป็นผู้มีบุญ
แม้แต่พระสีวลีซึ่งท่านเป็นพระเพิ่งบวชใหม่ ท่านมีลาภมาก เป็นที่สักการะของ
พรหมและเทวดามหาศาล แล้วก็ไม่เชื่อว่า เทวดา พรหม รวมทั้ง เทพอารักษ์ จะปล่อยให้
มหาสาวกเหล่านี้อดตายในท่ามกลางทะเลทราย แล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จพร้อมภิกษุสงฆ์
จำนวนตั้ง 500 รูปไปท่ามกลางทะเลทราย
ผลปรากฏ พวกเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย พอรู้ว่า พระสีวลีเถระ พระเป็นเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะอดีตชาติ พระสีวลี พระกัจจายานะ โมคคัลลานะ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีบริวาร
เป็นกัลยาณมิตร ผู้ปฏิบัติกัลยาณธรรม เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้มีบุญมาเกิด
งั้น บริษัทบริวารก็ได้ผลบุญจากการปฏิบัติธรรมของท่านเหล่านี้ อานิสงส์ผลบุญของท่านได้ส่งผลให้บริษัทบริวารได้เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอากาศเทวดา เป็นภูมเทวดา เป็นเจ้าที่ เจ้าทาง มากมายมหาศาล นับจำนวนเท่าประมาณเม็ดทรายในท้องทะเล
ท่านเหล่านี้ พอรู้ว่า พระเป็นเจ้าของเราจะเสด็จไปถิ่นธุระกันดาร ก็พากันมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอภิบาล อารักขา เนรมิตรบรรณศาลา เนรมิตรน้ำผุดขึ้นมาจากท่ามกลสงทะเลทราย เนรมิตรอาหารมาถวายทุกเช้า มันก็เลยกลายเป็นเรื่องสบายไปหมด
แม้อยู่ในท่ามกลางทะเลทราย ผู้ที่มากไปด้วยบุญ ต้องไหว้ไม๊
ไม่ต้องไหว้เลย
แค่มากไปด้วยบุญบารมี อยู่ในท่ามกลางทะเลทราย ก็ไม่อดตาย ลูก
เพราะงั้น อย่าเอาแต่ไหว้ อย่าเอาแต่บวงสรวงบูชาแต่ไม่ทำดี ไม่พูดดี ไม่คิดดี ก็ไม่ได้ ให้ทำให้ตาย ก็ไม่ได้ ไหว้ก็ไม่ได้
มันต้องทำดี พูดดี คิดดี ทำสิ่งที่เป็นเครื่องเอื้ออารีและเป็นเรื่องดีที่
มีอยู่ในหัวใจจริงๆ สั่งสมอบรมจนกระทั่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าอากาศและแผ่นดิน
ทีนี้ เวลาเราจะไปพูดอะไร ต้องการอะไร จะตรึกอะไร นึกอะไร ขออะไร อยากได้อะไร
ปรารถนาสิ่งใด เทพทั้งหลายเหล่านั้น พรหมทั้งหลายเหล่านั้น บริษัทบริวาร ซึ่งเป็นอดีต
กัลยาณมิตรของเรา ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะอภิบาลดลบันดาล ดูแลรักษาหรือทำให้เกิด
สำเร็จประโยชน์ ให้ได้ดั่งใจหวัง ดั่งใจปรารถนา
งั้น หลวงปู่จึงอยากจะบอกว่า ไม่ว่า เทพไฉ่ซิ่งเอี้ยหรือเทพเจ้าโชคลาภ ท่านจะมาเวลาไหน
ก็แล้วแต่ สำคัญเรามีดีให้ท่านให้ไม๊ คือ แก้วน้ำตัวเรา ถังของเรา มันสะอาดใส ที่จะได้รับ
พรจากเทพ ผู้ที่จะให้พรจากเรา แม้เราจะรู้สึกได้ว่า พิธีนี้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และผู้ที่เข้าร่วม
พิธีก็สำเร็จประโยชน์ปรารถนา จะสังเกตุไม๊ว่า คนที่สำเร็จสมปรารถนา คือคนที่มีดี ไม่ใช่
คนที่หมดดี
งั้น เราต้องมีดีอะไรของเราบ้าง ไม่มากก็ต้องน้อยล่ะ
แต่ว่าที่แน่ๆ น้อยแล้วต้องดีแน่ ถ้าดีน้อย อัปรีย์มาก ก็ไม่ดี
งั้น ต้องดีมากๆ ดีจนกระทั่งเราสามารถพึ่งพาดีของเราได้ ปลูกต้นดีเอาไว้เยอะๆ
ดีอย่างไรบ้าง
ก็ดีทางกาย ดีทางวาจา แล้วก็ดีทางจิตใจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องสุจริต 3 อย่าง
แล้วก็ละทุจริต 3 อย่าง สุจริต 3 อย่าง คืออะไรบ้าง
ก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกามอย่างนี้ เรียกว่า กายสุจริต
วจีสุจริต คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า
วจีสุจริต
มโนสุจริต คือ ไม่โลภ ไม่อยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้ายเขา เห็นชอบตามทำนอง
คลองธรรม นี่เค้าเรียกว่า เป็นผู้มีมโนสุจริต
อ้ายมโนทุจริต วจีทุจริต แล้วก็กายทุจริต มันก็ตรงกันข้ามกับสุจริต
ผู้ที่มีสุจริต 3 อย่าง คือ สุจริตทางกาย สุจริตทางวาจา สุจริตทางจิตใจ
แม้ไม่บูชาเทพ เทพก็ต้องอภิบาลรักษา เทพก็ต้องบูชา เพราะเราแข็งแรงมากๆ
จนเทพต้องพึ่งพาอาศัยบารมีธรรมแห่งเรา แต่ถ้าเรายังไม่แน่ใจ ก็ต้องอาศัยเทพอยู่เนืองๆ
ก็อย่างที่บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลว่า ถ้ายังไม่มั่นใจว่า ทำดีพร้อม
ก็ไหว้ไปเถอะ ไม่เสียหายอะไร แต่อย่าไหว้ด้วยความโง่เขลา ต้อง
ใช้สติปัญญาด้วยว่า เครื่องพลีกรรมของเทพดีที่สุด ไม่ใช่ เครื่องเซ่น ไม่ใช่ส้มสุกลูกไม้ ไม่
ใช่หมูเห็ดเป็ดไก่ หรือเครื่องเจฉ่ายทั้งหลาย
แต่มันคืออะไร
ความดีของเรา
ความดีของเรา เป็นเครื่องเซ่นเทพได้อย่างดียิ่ง และเทพชอบมาก
เทพอยากได้มากๆ เทพต้องการมากๆ
ขอบอกเลยว่า เรื่องนี้ เรื่องจริง
ถ้าลูกหลานมีความดีเต็มเปี่ยมล้น เอาดีเราเป็นเครื่องเซ่นเทพ อยากได้สวรรค์ ก็ได้สวรรค์
อยากได้เงิน ก็ได้เงิน อยากได้วิมาน ก็ได้วิมาน อยากได้สมบัติ ก็ได้สมบัติ
เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง
หลวงปู่นี่ ชั่วชีวิต ไม่เคยอยากได้อะไร
แต่ถ้ากูอยากได้ กูก็จะไปยืน
นั่งอยู่เฉยๆน่ะ รู้จักช่วยกันทำมาหากินบ้างสิ อ้ายอย่างนี้
เดี๋ยวเค้าก็ไปหามาให้
เอ้า จริงๆ กูไม่ได้ไปขอร้อง อ้อนวอน
เพียงแค่จะไปบอกว่า เออ ยืนว่างๆ เมื่อย ก็ออกไปหาเหยื่อมาบ้าง
อ้ายตั้ม วันเด็ก เค้าเป็นประธานใช่ไม๊ ชมรม 84 พรรษา เค้าก็รับหน้าที่ไปดูเรื่องเด็ก
ก็ต้องไปทำรายชื่อเด็กตามโรงเรียนต่างๆ มาให้ครบหมื่นกว่า
ใครมางานวันเดก็ก ยกมือขึ้นซิ ลูก
เยอะไม๊
เยอะมากๆ แล้วปีนี้ เด็กที่มา ทำบุญแล้วไม่เสียดาย คือ บริจากทานแล้วไม่เสียดาย
เพราะแต่ละคน จนไม๊ โทรมมาเชียว บางคนนี่โทรมมา เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำใหม่ๆ
เลยล่ะ อ้ายประมาณว่า แต่งตัวดีหล่อเหมือนดอกไม้ ไม่มี
มีแต่โทรมมาทั้งนั้น คือ จนทันตาเห็น น้ำมาเที่ยวนี้ ชาวบ้าน
จนกันหมด
เค้าก็ พรุ่งนี้จะวันเด็กแล้ว วันนี้ เค้าเพิ่งส่งรายชื่อเด็กมาประมาณ 2,000 กว่า
มันทำไง รู้ไม๊
หลวงปู่ ทำไง เค้าเพิ่งส่งรายชื่อมา 2,000 กว่า ต้องจุดธุปบอกเจ้าแม่ไม๊
อ้ายชิบหาย เออ มีการมาปรึกษาอีกนะ
ต้องจุดธูปบอกเจ้าแม่ไม๊
เราก็เลยมองหน้ามัน บอก อ้ายห่าราก มึง มึงนี่ใช้พร่ำเพรื่อจังเลย
อ้ายเราก็นึกในใจล่ะนะ เออ เดี๋ยวมันก็มาเองแหละ ก็กูบอกไปแล้วว่า หมื่นกว่าคน
อย่างน้อย เทวดาวันนี้ก็คงหยุดไม่ได้ล่ะ อะไรที่พูดไปแล้ว ก็ต้องทำให้ได้
ถึงเวลา มันก็มา หมื่นกว่า ผู้ใหญ่ด้วย ปาเข้าไปร่วม 2 หมื่น
ชาวบ้านเค้ายังงง มาได้ยังไง เยอะแยะมากมาย
เพราะฉะนั้น ดีของเราเป็นเครื่องพลีต่อเทวดาได้ดีอย่างยิ่ง
ขอเพียงตั้งจิตปรารถนา ถ้าเรามีดีอยู่ในใจ อะไรก็สำเร็จประโยชน์
แต่อย่าปรารถนาทุกวันนะ เดี๋ยวเทวดามึน ขอไม่เลิก เออ นานๆ เอาเสียที อย่าเอาถี่ๆ
ปีหนึ่งสักครั้งสองครั้ง ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็ไม่ใช่เอา เช้า กลางวัน เย็น วันหนึ่ง 3
เวลา งั้น กูก็ไม่อยู่เหมือนกัน ถ้ากูเป็นเทวดา กูก็ไปเหมือนกัน ไม่ไหว
บ้านนี้อยู่ไม่ได้ มันขอทุกวัน ขอทั้งวัน
งั้น ก็บอกลูกหลานว่า ถ้าอยากที่จะให้เทพอวยพร ดลบันดาล อภิบาล บำรุง
ไม่ต้องอะไรมากกับเครื่องเซ่นพลีกรรมกับเทวดาเป็นเทวพลี
พระพุทธเจ้าสอนเราไว้แล้วก็สอนพราหมณ์ สมณะชีพราหมณ์ สมัยที่
พระองค์ทรงมีพระชนมายุอยู่ พระชนม์ชีพอยู่ ก็มีพราหมณ์ เช้าขึ้นมาก็นำตัวมาจุ่มน้ำแม่
น้ำคงคา ไหว้ทิศทั้ง 6 ไหว้ทิศทั้ง 8
ท่านก็สอนว่า ไหว้น่ะเป็นเรื่องดี แต่วิธีไหว้มันต้องมีให้ถูกต้อง
ไหว้สมณะชีพราหมณ์ ก็คือ ไหว้ด้วยการรักษาศีล ฟังธรรม ทำตามคำสั่งสอนของ
ท่าน แล้วก็บริจาคทานเลี้ยงดูบำรุงท่าน
ไหว้ทิศเบื้องขวา ก็คือ พ่อแม่ ก็ต้องดูแลบำรุงเลี้ยงดูท่าน ทะนุถนอมท่าน อย่างนี้เป็นต้น
ไหว้ทิศเบื้องบน ก็คือ พระ สมณะ ชีพราหมณ์ เทวดาอารักษ์ ก็ต้องอภิบาล ทำดี
ก็ต้องเพียรพยายามทำคุณงามความดี
งั้น วิธีไหว้ พระพุทธเจ้าสอนเรา เราทำอยู่เนืองๆ ไม่ต้องกลัวว่า เทวดาจะไม่ช่วย
แล้วไม่ต้องกลัวชีวิตจะขาดทุน มีแต่กำไรทั้งนั้น มีแต่กำไร
ชั่วชีวิตหลวงปู่ มีแต่กำไร กำไรไม่กำไร ก็ไม่รู้ล่ะ เมื่อวานซืน ไปทำบุญกับหลวงพ่อชุ้น
ท่านครบ 85 ก็ทำขาหมูไปให้ท่านใส่บาตร เตรียมไปร้อย มาประมาณซักร้อยยี่สิบ ขาด
ไปซักยี่สิบ เอาสตางค์ใส่ซองไปให้ท่านใส่บาตร ซองละ 2,000 แล้วเอาปัจจัยไปช่วย
ท่าน ก็เลี้ยงพระถวายท่าน ท่านได้ใช้ ใส่ไปเลี้ยงพระ ใส่ซองเลี้ยงพระไปแสนหนึ่ง
มึงรู้ไม๊ กูเอามาจากไหน กูก็ไม่ร็กูเอามาจากไหน
เดี๋ยววันที่ 25 ต้องไปทอดผ้าป่า ใครว่างก็ไป เดี๋ยวหลวงปู่จะตั้งต้นผ้าป่าทอดให้วัดมหา
อานนท์เค้า
วัดหนองปลาไหล เอ้ยไม่ใช่ วัดหนองปลาไหลไม่ไป ไปวัดธรรมศาลา
เดี๋ยวจะไปถวายเค้าซักล้านนึง ยังไม่รู้เลยเอาที่ไหน พูดไป...
เดี๋ยวกูไปขู่เอา ไม่รู้ กูไปยืนขู่ล่ะ
ใครว่าง ก็ไปแล้วกัน 25 ก่อนฉันเพลน่ะ ลูก ไปที่วัดธรรมศาลา
เค้ามีงานใช่ไม๊ ปิดทองฝังลูกนิมิตร ทำบุญกับเค้าบ้าง ช่วยกัน
น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อัชฌาสัย ช่วยได้ก็ช่วย เท่าที่ช่วย
สำหรับหลวงปู่แล้ว ชั่วชีวิตน่ะ ศากยวงศ์ ก็คือ ญาติของเรา หลวงปู่ชั่วชีวิต เข้าวัดไหน ไม่
เคยเอาตังค์ออกจากวัดนั้นเลย ไม่เคย สมัยก่อนนี้ไปธุดงค์ แล้วก็ขากลับไปแวะพักปักกลด
อยู่วัดธรรมวารี แถวมโนรมย์ สมัยก่อน ฤษีลิงดำเค้ายังมีชีวิตอยู่ เค้ายังรุ่งเรืองเฟื่องฟู
หลวงปู่ก็ปักกลดอยู่ริมแม่น้ำ อ้ายวัดร้าง วัดธรรมวารีที่มีเจดีย์โบสถ์เก่าๆ วิหารเก่าๆ พระก็
โดยตัดเศียรไปขาย พระพุทธรูป พระประสาทไม่ดีก็มานั่งเอาปูนมาปั้นเป็นเศียรพระ
หลวงปูก็ยังไปช่วยแกปั้น เราเห็นว่า ได้บุญ เห็นพระเค้าปั้น วันรุ่งขึ้นอีกวัน ก็วัดท่าซุงตรง
ข้ามเค้ามีงาน เราก็เห็นน้ำมันขึ้น ผักตบ ผักหญ้าวาน่ะ ลอยมาแน่นเต็มไปหมดเลย อู้หู
แล้วกูจะลงอาบน้ำยังไงวะเนี่ย จะตักยังไง คนเดินยังได้เลยล่ะ ผักตบมันแน่นมาก แล้วกูจะ
ตักอาบน้ำได้ยังไงวะเนี่ย ร้อนก็ร้อน เราก็นั่งพัก เอาตีนพยายามดันๆ ผักตบ มันก็ไม่ไป เออ
น้ำมันก็ไหลทวนย้อนกลับ พาเอาผักตบหายขึ้นไปทางเหนือ ปกติน้ำมันจะต้องล่องลงใต้
มันก็ล่องลงใต้ไม่ได้ เพราะมันยังมาไม่หมด อ้ายทางเหนือมันยังมาแน่น อ้ายทางใต้ไป
แน่นแล้ว ทางเหนือมันเหลือน้อย เราก็ เอ จะอาบน้ำจะทำยังไง เออ เทวดาฟ้าดินพระเจ้าจ้า
น้ำมันปล่อยให้ผักตบเลอะเทอะอย่างนี้แล้ว กูจะอาบน้ำยังไงหว่า
สักพัก น้ำก็ไหลวนทวน ข่าวเค้าก็ลือข้ามถนนไปฝั่งโน้น
ได้เรื่องเลยล่ะ พอตกเย็นๆ ฤษีลิงดำเค้าก็ประกาศ พระมาฝั่งโน้นถนน พระอะไร
กูก็ไม่รู้
ซักพัก มีพิจิตร กุลวาณิชย์ ตอนนั้นเค้าเป็นผบ ทบ ไม่ได้เป็นองคมนตรี
มาเป็นโขลงเลย มีทหารถือปืนมาด้วย
เราก็ เฮ้ย มาทำไม
บอก จะมาฟังธรรม
ฟังธรรมห่าอะไร กูกำลังจะอาบน้ำ
กูจะอาบน้ำ มึงจะมาฟังธรรม
หลวงพ่อให้มาดูว่า น้ำมันไหลทวนกระแสได้อย่างไร
เอ้า ดูแล้ว ก็กลับไปได้แล้ว
ผมจะรอฟังธรรมครับ
ไป กูจะอาบน้ำ แล้วมาหาพระ ไม่จำเป็นต้องพกปืนมาหรอก กูไม่ฆ่ามึงหรอก ไม่จำเป็น
ต้องถือ ตะพายปืน เค้ามีทหารองครักษ์ ถือ เอ็ม 16 เป็นกองคาราวาน
ไม่ต้อง กูไม่ดุขนาดนั้นหรอก
แล้วก็ถอยไปอยู่ใต้ศาลา
กูก็สรงน้ำเสร็จเรียบร้อย แต่งตัว ลงนั่งที่กลด
โอ้โห ทีนี้มามืดฟ้ามัวดิน
คนใส่อะไร ถอดออกหมด ยกเว้นเสื้อผ้า
จริ๊ง จริง กูเทศน์จนหมดตัวแหละ เออ มันถอดให้หมด ทองคำนี่เป็นกระสอบๆ เลย เงินนี่
เป็นสิบๆ กระสอบเลย เค้าใส่กระสอบเลยนะ กระสอบถุงปุ๋ย กูไม่เคยเอาซักหลึงเดียว กูอยู่
เช้าแล้วพอรุ่งขึ้นอีกวัน หลวงปู่ก็กลับ กูไปล่ะ วุ่นวาย กูไม่ชอบ ก็หนีกลับ
ไม่เคยเอาตังค์ของเค้ามา แล้วเค้าก็ไปทำรูปเคารพ รูปอะไร
รูปพระองค์ที่ 10
ตอนนั้นกูเพิ่งจะบวชได้ 2 3 พรรษาเอง สมัยนั้นยังละอ่อนอยู่เลย ผอม... นั่ง
เทศน์ไปเรื่อยโคนต้นโพธิ์ เทศน์ตั้งแต่เช้ายันเย็น พักฉันข้าว ฉันเสร็จก็มาอีกแล้ว มาเป็นฝูง
เลย จนต้องมีทหารมากั้น อู้หู เดินไปไหน ก็มีแต่แบงค์วาง กูก็ต้อง หยิบขึ้นเดี๋ยวนี้เลย
แบงค์ในหลวง ห้ามเหยียบ มาวางส่งเดชไม่ได้ มันใส่ทอง มันก็ถอดทอง
พิจิตร กุลวาณิชย์ ยังถอดเอาแหวนรุ่นกับอะไร สร้อยพระอะไรถวาย
ยกให้เค้าหมด ไม่เอา
งั้น ชั่วชีวิตหลวงปู่คิดอยู่เสมอว่า พระ ก็คือ ญาติ ศาสนา ก็คือ ตระกูลของเรา
หน้าที่เราก็ต้องสงเคราะห์ญาติ รักษาตระกูล
ไม่เคยคิดว่า เวลาไปวัดไหนจะต้องไปเอาเงินเอาทอง
ใครเค้านิมนต์ ไปปลุกเสก ไปสวดมนต์ ไปงานอะไรที่ไหน
ถ้าเทศน์ในวัด ไม่ว่าจะไปไกลแสนไกลขนาด
ไหน เดินทางไปไกลยากลำบาก ถ้าไปเทศน์ในวัด เค้าถวายตังค์มา
ชาวบ้านถวายมา วัดถวายมา ก็ไม่เคยหยิบมา มาทำบุญ
เพราะงั้น ทำบ่อยๆ เข้า มันกลายเป็นนิสัย เป็นนิสัย
พอเมื่อไรที่เรารู้สึกว่า จะไปเอาตังค์วัด คิดจะเอาเงินวัด มันผิดบาปชั่ว
แม้เค้าจะพยายามยัดเยียดให้ ก็บอกเค้าว่า ไม่ได้
เจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ท่านมาที่นี่ 3 ครั้ง
ท่านเสด็จมาครั้งแรก หลวงปู่ไม่อยู่ ไปปลูกป่า
ครั้งที่ 2 ท่านมาอีก แล้วก็สั่งไว้ให้ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก หลวงปู่ก็ไป
ท่านก็เสด็จมาอีกรอบหนึ่ง
ไป ก็ขอร้องให้ช่วยเขียนบทคำสอนมหาสติปัฏฐาน 4
ให้ตั้งเป็นศูนย์วิปัสสนาจารย์ของจังหวัดนครปฐม
เป็นจังหวัดแรกในประเทศไทย หลวงปู่ก็เขียนบทต่างๆ เขียนหลักสูตรมหา
สติปัฏฐาน 4 กลายเป็น นาม จิต ธรรม ไปถวายท่าน
ท่านพระราชทานเงิน 3 แสนบาท หลวงปู่ไม่เอา เรียกเข้าไปในห้อง เลยบอกว่า
ฝ่าพระบาท กระหม่อมติดภาระกิจจะต้องไปทำงานที่วัด เอาไว้โอกาสหน้า จะมาเข้าเฝ้า
ถวายพระพรใหม่
กูก็เจ้าเก่าเหมือนกัน
ท่านบอกว่า คราวที่แล้วมา เห็นกำลังปีน ตอนนั้นกำลังปีนทำซุ้มประตูหน้าวัด ท่านถวายเงิน
บอก ไม่เอา ท่านก็ใช้ให้คนเอาเงินมาถวาย คุณหญิงอะไร ก็ไม่รู้ เอามาถวายให้ 3
แสน ...
เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอกลับมาได้ซัก 2 วัน คนเค้าก็เอาตังค์มาถวาย ไตร 15 ไตร
แล้วก็สตางค์มาถวายให้ 3 แสน ท่านช่วยสร้างซุ้มประตู
นั่นแหละ ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เงินจากพระ แล้วนอกนั้น อ้ายที่ได้ ไม่ใช่ได้กับตัวเองนะ
เค้าเอามาถวาย ท่านฝากคนมาให้ แต่ก่อนหน้านั้น ท่านถวายด้วยตัวเอง ไม่ได้รับ
ท่านเขียนเป็นใบปวารณาบัตรให้ไปเบิกตังค์ เราก็ไม่เอา วางไว้
ท่านก็ไม่ยอม ตื้อให้คนมาถวายถึงวัด แล้วก็พร้อมด้วยผ้าไตร 15
ไตร นั่นแหละ คือ ครั้งแรกในชีวิตที่รับตังค์จากพระ
แล้วนอกนั้นก็ไม่เคย ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคย หลังจากนั้นก็ไม่
เคยเอาสตางค์ เพราะมีความคิดเสมอว่า
พระศาสนาคือ ญาติของเรา ทุกวัดก็เป็นที่อยู่แห่งเรา ถ้าเราทำนุ
บำรุงได้ สนับสนุนได้ ก็ช่วยตามเหตุตามปัจจัย
แต่อะไรที่ช่วยไม่ได้ เหลือบ่ากว่าแรงเกินเลย เหมือนอย่างตอนต้นพรรษา
มีพระจากอีสานเขียนจดหมายมา ที่วัดยากจนเหลือเกิน หลังคารั่ว อยากนิมนต์
ท่านไปช่วยทอดกฐิน ให้คนเขียนจดหมายถามไป ทอดกฐิน มีพระกี่รูป
3 รูป
ถ้าอย่างนั้น ก็รอไปก่อนจนกว่าจะครบ 5 รูป ไว้ปีไหนครบ 5 รูปแล้วจะไปทอด
คือพระอีสาน พระภาคเหนือจะติดนิสัย ธรรมเนียมปฏิบัติมาจากไหนก็ไม่รู้
เห็นเงินเป็นใหญ่โดยไม่ใส่ใจ
ห้ามไปตัดนะ รายการนี้ ให้ออกไปให้ครบ
คือ ออกไปให้ชาวบ้านได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว พระจะรับกฐิน วัดจะรับกฐินได้
ต้องมีพระกี่รูป
(5 รูป)
จำพรรษา 5 รูป ชาวบ้านยังรู้เลย แล้วพระทำไมจะไม่รู้
พระรู้ แต่ว่าอยากได้ตังค์ ก็ใช้วิธีไปขอแรงวัดโน้นมาร่วม ขอแรงวัดนี้มาร่วม
อย่างนี้ขอให้ตาย เพราะมันไม่ถูกต้อง
พอชีวิตมันไม่ถูก วิธีมันไม่ถูก กระบวนการมันไม่ถูก แล้วคิดไม่ถูก ทำไม่ถูก พูดไม่ถูก
ให้ขอให้ตาย ต้องการให้ตาย ปรารถนาให้ตาย มันก็ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง
แต่ถ้าทำถูก พูดถูก คิดถูก มีวิธีคิด วิถีชีวิต และสิ่งที่ทำถูกต้อง ไม่ต้องขอ
ถ้าอยากทำ หรือ ต้องการทำ เดี๋ยวเค้าก็มาให้เราเอง
นี่เรื่องจริง พระศาสนานี้ศักดิ์สิทธิ์นัก วินัยนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ของธรรมานุภาพมากมหาศาลนัก
ถ้าทำถูกต้องตามหลักธรรมและวินัยจริงๆ ไม่จน ไม่อดตาย
แม้ชาวบ้านไม่ให้ เทวดาก็อภิบาลบำรุง
เรื่องจริง
หลวงปู่เข้าไปธุดงค์อยู่ในป่า เหนือเข้าไปทางค่ายลำอีซูตั้ง 5-60 กิโล เดินลึกเข้าไป
คนเดินไปไม่ถึง จะข้ามไปเขตสลักพระ ไปทางเมืองกาญจน์ กูยังมีไอติมกินเลย
เอ้า จริง ยังมีอาหารกินเลย ไม่ได้อดอยากลำบาก คนไม่มีอยู่ด้วย ไม่มีใครอยู่
ยังมีคนเอาไอติมไปถวายเลย มันมายังไง ก็ไม่รู้ ถวายแล้วมันก็ไป
พอรุ่งขึ้นเช้า มาเลย สายๆ ฉันมื้อเดียวนี่ ไอติม ข้าวเหนียว ไก่
ย่าง ส้มตำ โอ้โห ครบสูตรเลย มายังไง ก็ไม่รู้
งั้น จึงอยากจะบอกลูกหลานว่า ขอให้มันถูกต้องชอบธรรม ตามทำนองคลองธรรม
ชีวิตไม่ขัดสนหรอก ลูก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด
ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นคฤหัส เป็นฆารวาส เป็นผู้หญิง ผู้ชาย
เป็นคุณนาย ขุนนาง เป็นไพร่ ผู้ดี ขี้ข้า ยาจก
มีแต่กำไรทั้งนั้น ไม่มีขาดทุน
แต่ถ้าทำไม่ถูก พูดไม่ถูก คิดไม่ถูก ให้เป็นมาจากสวรรค์ นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง
ทำอะไรก็ขัดสนไปหมด คิดอะไรก็ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรมไปหมด
พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อถือไปเสียหมด เพราะว่า วิธีคิด ชั่วชีวิต
ของตนไม่ถูกต้องไง สร้องเสพแต่ความผิดปกติ ความผิดพลาด ความไม่
ถูกต้อง ความบกพร่องอยู่เนืองๆ ชีวิตก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สมหวัง
ไม่สมปรารถนา แล้วไปอ้อนวอน ขอพระเทวดา
ฟ้าดิน ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะตัวเองสกปรก
ซกมก เหมือนกับถังขยะที่มันรกรุงรัง จะไป
เอาน้ำใสมาใส่ แล้วมันจะใสสะอาดได้อย่างไร
งั้น เรื่องนี้ เรื่องจริง พระพุทธเจ้าจึงสอนไง สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
มีกรรมเป็นเครื่องอยู่ มีกรรมเป็นเครื่องไป
เราทั้งหลายอยู่ได้ด้วยกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
แล้ว กรรม คือ การกระทำ แล้วใครทำ
ตัวเราน่ะทำ
พูดเป็นกรรมไม๊
(เป็น)
คิดเป็นกรรมไม๊
(เป็น)
ทำเป็นกรรมไม๊
(เป็น)
เออ งั้น ไม่มีใครเค้าทำกรรม มีแต่ตัวเราทำ
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สมบูรณ์พูนสุข ได้ดั่งหวัง ดั่งปรารถนา
ก็พยายามอบรม สั่งสมแต่กรรมดี พูดดี คิดดี แล้วความดีมันก็จะตอบสนองเรา
อยู่เนืองๆ
ทำ พูด อะไรก็สำเร็จประโยชน์ ได้ในสิ่งที่มุ่งหวัง
แต่ถ้าหากว่า ทำในมุมกลับกัน แล้วเราก็อยากได้แต่ดี
แต่ทำอัปรีย์ตลอดเวลา คิดอัปรีย์ตลอดเวลา พูดอัปรีย์ตลอดเวลา
ใครมันจะให้ดีต่อเรา ยิ่งเป็นเทวดา เป็นพรหมด้วย เค้ามีหูทิพย์
สัมผัสทิพย์ ตาทิพย์ เค้าสามารถรับรู้สิ่งที่ซ่อนเร้นปิดบังอำพรางได้
แล้วเราทำไม่ดีอยู่เนืองนิจ แล้วชีวิตเราจะ
ได้ดีตรงไหน
งั้น ลูกหลานต้องพยายามคิดให้เป็น บอกแล้วว่า ไหว้ได้ แต่อย่าโง่ไหว้ ต้องฉลาดไหว้
บูชาได้ แต่อย่าโง่บูชา ต้องใช้ปัญญาบูชา แล้วสิ่งที่ใช้ปัญญาบูชา
ต้องใช้ความฉลาดไหว้ ก็คือ เครื่องบูชา เครื่องไหว้ของคนมี
ปัญญา มีความฉลาด ก็คือ ความดีงาม
ไม่ต้องลงทุนลงแรง
อะไร ใช้ความดีงามของตน เป็น
เครื่องพลีกรรมต่อเทพยดาฟ้าดิน แล้วเทวดาทั้งหลายก็จะอภิบาล บำรุงรักษา
แม้เราจะเชื่อกันตามสังคม คำ
สอน คำบอกเล่า คำชักชวน คำโฆษณา ก็ตามที แต่มันจะจบลง
ตรงคำว่า เรามีดีไม๊
ถ้าเรามีดี เราก็ได้ดี
แต่ถ้าเราอัปรีย์ ให้ดีอย่างไร ก็ไม่ได้ จำไว้
ถ้าเรามีดี ดีอย่างไร เราก็ได้ดี แม้ไม่ดี ก็ยังมีดีอยู่บ้าง
แต่ถ้าเราอัปรีย์ ให้พยายามให้ดี ก็ไม่ได้ดี เพราะเรามันอัปรีย์
งั้น เรื่องสำคัญ ก็คือ อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่เทพเจ้า
เทวดา เทพเจ้าน่ะ อยากจะให้พรเราตลอดเวลาอยู่แล้ว
เพราะอะไร
เพราะครั้งหนึ่งที่เค้าช่วยสัตว์ คนตกทุกข์ได้
ยาก เค้าจะได้บุญครั้งหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญบารมีของ
เหล่าเทพ พรหม มาร และเทวดา ยิ่งเค้า
ช่วยเหลือสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก แล้วสัตว์นั้นเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ สัตว์ที่ดี สัตว์ที่วิเศษ
เค้ายิ่งได้บุญมหาศาล
งั้น ไม่ต้องกลัวว่า เทวดาจะไม่อยากช่วยเรา เทวดาอยากช่วย
แต่ถ้าเราอัปรีย์ เทวดามาช่วยเรา เค้าก็มีบาป
เหมือนกับตำรวจไปช่วยโจร มีบาปไม๊
มี
เป็นความชั่วไม๊
เออ เป็นความชั่วผิดบาป
พ่อแม่ช่วยลูกขี้ขโมยเนี่ย
ถูกไม๊
ไม่ถูก
เหมือนกัน เทวดาก็เหมือนกัน
อย่าไปนึกว่า เทวดาไม่อยากช่วยเรา เค้าอยากช่วยเราทุกคน
เทพเจ้า พรหม มาร ทั้งหลาย อยากช่วยเหลือ บำรุง รักษา อภิบาล สนับ
สนุน ส่งเสริม แต่ถามว่า เรามีคุณสมบัติอะไรให้ช่วย
ถ้าเราไม่ดี ขอพรยังไง ก็ไม่ได้ เทวดาก็
ไม่ช่วย แต่ถ้าเราดีเสียอย่าง
หนึ่ง เมื่อไหร่ ต้องการอะไร
เทวดาก็จะอำนวยอวยชัยให้สำร็จประโยชน์ตลอดเวลา
นี่คือ สิ่งที่อยากฝากไว้
เอาล่ะ ทิ้งเวลาให้ถามปัญหาสักเล็กน้อย
เดี๋ยววันนี้ จะปฏิบัติธรรมสักหน่อย แล้วเดี๋ยวไป
แจกอั่งเปา คนเค้ารออยู่ข้างนอก เอาไม๊
(เอา)
เฮอะ พูดยังไม่ทันหายปากแห้งเลย
ปุจฉา การไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี้ย ในปีนี้ จะต้องตั้งโต๊ะในทิศใด
และมีเครื่องสักการะพิเศษหรือไม่คะ
วิสัชนา ทิศไหนก็ได้ แต่ให้หันหน้าไปทิศใต้ ปีนี้ เทวดาจะลงทิศใต้
ปีนี้ ถือว่า ทิศใต้เป็นทิศมงคล เค้าเชื่อกันอย่างนั้นนะ
แต่กูก็ไหว้ได้ทุกทิศ กูไปอยู่ทิศไหน ตรงนั้น ก็ต้องมีเทวดา
จริ๊ง จริง
แต่พวกสูเจ้าทั้งหลาย ก็เลือกทิศ ถ้าเลือกไม่ถูก ก็อาจจะเชิญเทวดาไม่ดี อันธพาลก็ได้
งั้น เลือกเอาไว้ ตั้งตรงไหนก็ได้ แต่เวลาไหว้ ให้หันหน้าไปทางทิศใต้
ทิศใต้อยู่ตรงไหน รู้ไม๊
ข้างหลังกูเนี่ย
หลังกู ก็ส้วมน่ะสิ
ข้างหลังเนี่ย ทิศใต้
นี่ทิศตก นี่ตะวันออก นี่เหนือ ข้างหลังมึงล่ะ เหนือ จบ
ปุจฉา ทานยามะเร็งของหลวงปู่ หนึ่งอาทิตย์ก่อนผ่าตัดมะเร็งมดลูก
ตอนนี้ ผ่าได้ 6 วันแล้ว ทานยามะเร็งต่อได้หรือไม่ หรืออีกกี่วันถึงจะทานต่อได้
วิสัชนา ให้แผลหายเสียก่อน ไว้ซัก 15 วัน ถ้าไม่เป็นเบาหวาน แผลก็น่าจะหาย
ถ้าเป็นเบาหวาน ก็นานหน่อย ไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน จบ
หมดคำถามแล้วเจ้าค่ะ
ใครจะถามอะไรอีกไม๊
เอ้า ไม่มีคำถามอะไร เดี๋ยวมาสั่งสมคุณลักษณะแห่งความดี
เพื่อไปทำพลีต่อเทพเจ้าโชคลาภในเย็นวันนี้
ทำดีสูงสุด ก็คือ ทำจิตให้สงบระงับ และสะอาด
ปราศจากเครื่องร้อยรัด และอุปกิเลสทั้งปวงให้
สงบระงับไปด้วย
เคลียร์พื้นที่
กราบ
เอ้า ปฏิบัติธรรมซัก 3 โมงตรง ก็พอแล้ว ลูก
เดี๋ยวออกไปเตรียมรับอั่งเปา สวดมนต์ให้เทวดา เห็นดีของเราหน่อย
22 ม.ค. 2555 ถอดซีดี ระหว่างปฏิบัติธรรมะ สัปดาห์ที่ 4 โดยองค์หลวง
ปู่พุทธะอิสระ เดินในขั้น 1,2,3 และฝึกอยู่กับความว่าง
• อย่าเดินแบบเลื่อนลอย เดินแบบให้มันได้ดี
• อย่าลืมว่า เรากำลังผลิตเครื่องบูชาเทวดา
• ทั้งหมดมันมาจากความตั้งใจ เต็มใจ จริงใจ
สิ่งที่เรากำลังทำ เป็นได้ทั้งส้ม ทั้งองุ่น ทั้งลูกท้อ ทั้ง
ของคาวหวาน
• ด้วยอารมณ์ว่างอย่างนี้แหละ จึงเป็นที่เหมาะสำหรับการรับพรจากสวรรค์
• ทำให้ความว่างปรากฏทั้งภายในและภายนอก
ปฏิบัติธรรมซักหน่อยหนึ่ง แล้วเดี๋ยวพวกเรารับอั่งเปา ลูก
สั่งสมความดีซักหน่อย
เดินในขั้นที่ 1
................
ขยับขึ้นขั้นที่ 2
..............
ขยับขึ้นขั้นที่ 3 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
.............
อย่าเดินแบบเลื่อนลอย เดินแบบให้มันได้ดี
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้
รู้ในสิ่งที่กำลังทำ
อย่าลืมว่า เรากำลังผลิตเครื่อง
บูชาเทวดา ถ้าเป็นส้ม
ก็ต้องเป็นส้มดี อย่าเป็นส้มเน่า
ถ้าเป็นองุ่น ก็ต้องเป็นองุ่นสมบูรณ์ ไม่ใช่องุ่นเสีย
ถ้าเป็นลูกท้อ ก็ต้องเป็นลูกท้อใหญ่ ผลงาม สีสวย กลิ่นหอม
ทั้งหมดมันมาจากความตั้งใจ เต็มใจ จริงใจ
สิ่งที่เรากำลังทำ เป็นได้ทั้งส้ม ทั้งองุ่น ทั้งลูกท้อ ทั้งของคาวหวาน
.................
พอ หยุดอยู่กับที่ หลับตา
วันนี้ เอาแค่นี้ก่อน
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
หายใจเข้าไปใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
แล้วก็ค่อยๆ หายใจออก เบาๆ ยาวๆ จนหมด แล้วก็ผ่อนคลาย
ทีนี้ อยู่กับความว่าง
สมองไม่คิดอะไร ใจไม่สับสนวุ่นวาย กล้ามเนื้อผ่อนคลาย มือไม่กำ ทุกอย่างผ่อนคลาย
จิตว่าง ใจว่าง อารมณ์ว่าง สมองว่าง ตัวว่าง มือว่าง ทุกอย่างว่างหมด
ด้วยอารมณ์ว่างอย่างนี้แหละ จึงเป็นที่เหมาะสำหรับการรับพรจากสวรรค์
ทำให้ความว่างปรากฏทั้งภายในและภายนอก
เพ่งความว่างเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า สุญญตสมาธิ
ไม่คิดอะไร ไม่สับสน วุ่นวาย
หูได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องคิด
สิ่งที่หูฟัง ก็ไม่ต้องเอาไปคิด สิ่งที่ไม่ได้ฟัง ก็ไม่ต้องคิด
แม้สิ่งที่อยู่ในใจ ก็ต้องปล่อยวาง
ปล่อยใจให้ว่างๆ วางแล้วว่าง
.............
ร่างกายว่าง ตัวว่าง ทุกส่วนในร่างกายว่าง เบา สบาย
.................
ส่งจิตเข้าไปในกาย อย่าให้หลุดออกมานอกกาย
อีหนู ถ้าอย่างนั้น เค้าเรียก ไม่ว่างแล้ว
...............
จิตรู้อยู่ภายในกาย รู้เฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องตรึก ไม่ต้องวิเคราะห์อะไร
ไม่ต้องคำนวณ ใคร่ครวญ ในสิ่งใดๆ
รู้แล้วว่าง รู้ ละ ว่าง รู้ วาง ว่าง
............
จิตอย่างนี้ ถ้าเป็นลูกท้อ ก็เป็นลูกท้ออร่อย ผิวงาม เรียกว่า ท้อทองคำ
ถ้าเป็นองุ่น ก็ลูกใหญ่ พวงใหญ่ ผลงาม
ถ้าเป็นส้ม ก็หวาน ผิวสวย
............
เดี๋ยวจะสวดนพเคราะห์ให้
เอ้า ว่าตาม
พระพุทธเจ้า ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)
พระธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)
พระสงฆ์ ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า (กราบ)
ที่พึ่งอื่นใด ข้าพเจ้าไม่มี
ด้วยเดชแห่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าผูกความรักษา ขอความสวัสดีมีมงคล จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า (กราบ)
สาธุ วันทา คุณบิดา มารดา (กราบ)
สาธุ วันทา คุณครูบาอาจารย์ (กราบ)
เดี๋ยวไปรอหลวงปู่ที่โรงเจ ตรงร้านขายของเก่า
เดี๋ยวหลวงปู่จะไปแจกอั่งเปากับส้มมงคล