ถ้า หากท่านเกิดความรู้สึกผิดหวังที่ได้มาอยู่ในวัดนี้ หรือว่าเข้ามาอยู่ในวัดนี้แล้ว ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก ครั้งแรกท่านอาจตั้งปณิธานเอาไว้ว่า อยากให้มีคนมาคอยอบรมสั่งสอน ที่จริงแล้วก็อย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ หลวงปู่มีงานตั้งแต่เช้ายันมืด เวลาที่จะอบรมสั่งสอนคงไม่มาก ถ้าเป็นสมัยก่อนนี้ คงจะสอนได้มาก คนที่มาเรียนรู้ ปรารถนาใคร่ที่จะเรียนรู้ แต่หลังจากสอนไปแล้วทำไม่ได้ ทำให้เกิดความคิดว่า สอนแล้วไม่ได้ทำ ไม่รู้จะสอนไปทำไม เพราะฉะนั้นถ้าท่านอยากจะรู้ว่าหลวงปู่สอนเรื่องอะไรละก็ขอเทปจากพระที่อยู่ ในวัดไปเปิดฟังก็แล้วกัน ที่แน่นอนก็คือหลวงปู่ทำให้พวกท่านดู เป็นครูให้เห็น ชี้นำให้พวกท่านได้ทำเป็น ถ้าอยากจะรู้ว่าได้สอนอะไรไปบ้าง ก็คงต้องขวนขวายด้วยตัวเอง พวกท่านยังดีมีวาสนาที่มีครูคอยสอน ไม่เข้าใจก็ถามได้ แต่หลวงปู่ ฝึกมาด้วยตัวเอง ไม่มีใครสอน ฝึกจากหลุมขี้ หลุมศพจากถ้ำมืดๆ จากป่ารกชัฏ ซึ่งไม่มีครูคนไหนคอยอบรมสั่งสอนชี้นำ คอยปกครองดูแลให้การอุปถัมภ์ เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านมีผู้สอน ก็จงรักษาและก็พยายามฝึกฝนอบรมเล่าเรียน หรือไม่ก็ฝึกหัดตัวเองให้ได้มากๆ ก็แล้วกัน
       
       จงเชื่อพระพุทธเจ้า ในข้อหรือความหมายของคำว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน และเมื่อพวกท่านเชื่อตรงนั้น ก็ต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เราจึงจะแผ่ความเป็นที่พึ่งของเราให้คนอื่นเขาพึ่งบ้าง การที่หลวงปู่สั่งงานให้ทำ ก็เพื่อต้องการจะให้รู้จักฝึกระเบียบของกาย จนเป็นระบบของจิตที่กล้าแข็ง เมื่อจิตใจมีระบบต่อความรู้สึกนึกคิด การกระทำทั้งหลายที่เกิดจากจิตที่กล้าแข็ง ย่อมเต็มไปด้วยความสำเร็จ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีประโยชน์ และก็ย่อมเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ถ้าคนที่มีความอ่อนแอ คนที่มีกิริยาอาการที่หนักไม่เอาเบาไม่สู้ คนที่มีชีวิตอยู่กับการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกนี้มีความคิดสับสน จัดระเบียบของความคิดไม่ได้ และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรอะไรก่อน หลัง พวกนี้หาความสำเร็จในการเกิดไม่ได้
       
       วันนี้ หลวงปู่ได้คุยกับลูกศิษย์ท่านฤาษีลิงดำ ถามเขาว่าคุณรู้ไหมว่า คำว่าศาสนาแปลว่าอะไร เขาบอกไม่ทราบครับ หลวงปู่ ก็เลยอธิบายให้เขาฟังว่า ศาสนามาจากคำว่า ศาสน หรือ สาระ การใช้ชีวิตให้มีสาระ รวมความแล้วว่า คราใดที่เรามีการกระทำ คำพูด หรือเรื่องที่คิดที่เป็นสาระ ถือว่าเราเข้าถึงศาสนา แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีชีวิตอยู่ไร้สาระ เราไม่รู้จักคำว่าศาสนา
       
       การที่พวกท่านได้มีโอกาสทำงานเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวมเพื่อศาสนา ก็เป็นการทำลายความตระหนี่ ความเกียจคร้าน ความละโมบ ความเห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความไม่ดี ต้องสละและทำลายมันลงไป ด้วยการเป็นผู้ให้ อดทน และก็ทำมันด้วยความรู้สึก เพื่อจะเรียนรู้ฝึกปรือ และก็สลัดให้หลุดจากความเกียจคร้าน ความสันหลังยาว การเหยียบขี้ไก่ ไม่ฝ่อ การขาดความอดทน เหล่านี้ไม่มีตำราเล่มใดเขาสอนกัน นอกจากพวกท่านต้องฝึกด้วยตัวเอง ไม่มีโรงเรียนไหนเขาชี้นำได้ นอกจากพวกท่านต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าทำได้อย่างนั้น ฝึกได้อย่างนั้น เรียนรู้ได้อย่างนั้น ก็ถือว่าได้เข้าถึงศาสนธรรม หรือธรรมที่ให้สาระแก่การมีชีวิต ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระ อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย แม้แต่พระก็ไร้ค่าขาดราคา ไม่มีประโยชน์ในการได้เกิดเป็นคน
       
       ถ้าอย่างนั้นคำว่า ศาสนธรรม หรือศาสนา ก็คือการใช้ชีวิตให้มีสาระ ใจความสำคัญของผู้นับถือศาสนาก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสาระของการมีชีวิต ถ้าเราเข้าใจถึงความหมายของคำว่าศาสนา หรือสาระ ของการมีชีวิต เราก็จะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าต้องการอะไรจากการแสดงพระธรรม นั่นคือพระองค์ต้องการให้สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทุกชนิด มีชีวิตอยู่อย่างคนมีสาระ อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีสาระ การมีโอกาสได้อบรมกายให้อดทน อดกลั้นต่อสู้ฝ่าฟันต่อความเกียจคร้าน ความไม่เอาถ่าน เอาแต่นอนกับกินอย่างเดียว แต่ถ้าท่านต้องการสู้เพื่อเอาชนะ ก็ถือว่าท่านทำชีวิตให้มีสาระ แต่ถ้าหากว่ามันชนะท่าน ชีวิตของท่านก็ไร้สาระ ท่านจะเห็นว่าหลวงปู่ไม่เคยนอนกลางวัน ถ้าวันใดที่หลวงปู่นอนกลางวัน แสดงว่าหลวงปู่ป่วย หลวงปู่ไม่เคยหยุดนิ่งหรือนั่งเฉย
       
       ทั้งนี้เพราะหลวงปู่ไม่อยากจะอยู่ห่างสาระ ไม่อยากอยู่ห่างศาสนธรรมนั่นเอง เราอาจจะรู้ธรรมะ เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แต่ถ้าทำให้ชีวิตไร้สาระ นั่นถือว่าคนไม่มีธรรมะถ้านั้นเราต้องทำชีวิตให้มันมีสาระด้วยการถามตัวเอง ว่า วันนี้เราจะได้สาระอะไรกับการใช้ชีวิต ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ เราจะมีสาระอะไรต่อการใช้ชีวิต และถ้าพวกท่านทำไม่ได้ด้วยตนเอง ก็ต้องอาศัยครูผู้เอื้ออารีที่ทำดีให้เราได้ดูตัวอย่าง ขณะนี้หลวงปู่ทำหน้าที่เป็นครู ทำให้พวกเราได้ดูอยู่ตลอดวันและตลอดเวลาพยายามสังเกต อย่าปล่อยชีวิตให้ตกเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ถ้าเราทำอย่างนั้น แสดงว่า เราเป็นสาวกของมาร เป็นสาวกลูกหลานของพวกซาตาน
       
       โดยหน้าที่และฐานะความเป็นอยู่ หลวงปู่มีสิทธิที่จะทำตัวอย่างสบาย มีสิทธิที่จะนั่งเป็นคนชี้นิ้ว แต่เพราะหลวงปู่คิดว่าการนั่งทำตัวสบายและนั่งชี้นิ้ว มันจะทำให้ชีวิตไร้สาระมันจะทำให้ชีวิตอับเฉาขาดธรรมะ จะทำให้จิตวิญญาณของหลวงปู่ห่างไกลสาระและศาสนธรรม ถ้ารู้จักสร้างอุดมการณ์ให้แก่ตัวเองได้อย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีครู ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ก็สามารถเอาชนะความเกียจคร้าน ความเห็นแก่ตัวความไร้สาระ ได้อย่างหมดจดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าพวกท่านไม่มีอุดมการณฺ์เหล่านี้ อย่างนี้ให้มีครูมานั่งเฝ้าจับตาดูทุกชั่วโมง มันก็ไม่ได้ประโยชน์ มันก็ไม่ได้สาระเท่าที่ควร เพราะการกระทำที่ได้จากการนั่งเฝ้ามองของครู มันจะเป็นการกระทำของหุ่นยนต์ที่ขาดจิตวิญญาณ มันจะเป็นการกระทำแบบเสียไม่ได้ มันจะเป็นการกระทำของผู้ที่ขาดความรับผิดชอบไม่แยกแยะระหว่างดีชั่ว และมันจะเป็นการกระทำของผู้ที่ขาดสติปัญญา แต่ถ้าหากมีอุดมการณ์ของตัวเองอย่างที่ว่ามาแล้วนั้น ไม่ว่าท่านจะทำ จะพูด หรือจะคิด มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ และกลิ่นอายแห่งความเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ มีเสรีภาพ และมีความสุขสมบูรณ์ในการกระทำ การพูด หรือความคิด
       
       เพราะฉะนั้น ฝากให้รู้ไว้ว่า หลวงปู่อาจจะไม่สอนหรือสอนได้ไม่เหมือนคนอื่นเขาสอนกันในแผ่นดิน เพราะหลวงปู่เป็นคนโง่ แต่หลวงปู่อาจจะทำได้มากกว่าคนอื่นที่สอน เป็นเพราะหลวงปู่หมั่นที่จะทำ คนพูดมากไม่ได้หมายความว่าเป็นคนดีได้มาก คนแสดงมากไม่ได้หมายถึงเป็นคนวิเศษได้มากมันจะดีมาก วิเศษมาก อยู่ที่เราทำอะไรได้มากต่างหาก แต่ถ้าเราทำไม่ได้มาก พูดมากก็โง่มาก แสดงมากก็เลวมาก ผิดมากก็ชั่วได้มาก