Print
Hits: 4112

 

เมื่อองค์พระบรมศาสดา ทรงตรัสสั่งสอนเป็นพระวาจาครั้งสุดท้ายว่า

“หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ”

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิดฯ

ด้วยความตระหนักสำนึก ต่อพระพุทธธรรมคำสอนนี้

ชั่วชีวิต ของพุทธะอิสระ จึงได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ในการทำประโยชน์ ให้ประโยชน์ รักษาประโยชน์

คำว่า ทำประโยชน์ คือ ทำประโยชน์ตนด้วยการฝึกที่จะลดอัตตา ฝึกลดอุปาทาน ลดความยึดถือ

ฝึกทำลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว

ฝึกที่จะทำลายความละโมบโลภมาก

ฝึกที่จะเป็นผู้ให้ อย่างซื่อตรง

เหล่านี้คือ การทำประโยชน์ตน

 

ส่วนประโยชน์ท่านนั้นคือ

ให้ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ท่าน อย่างชาญฉลาด

และพิจารณาโดยละเอียดว่าสิ่งที่ให้นั้นจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของเขา

รวมทั้งให้เครื่องล้าง เครื่องชำระจิตใจ

ส่วนคำว่า รักษาประโยชน์ สำหรับพุทธะอิสระแล้ว

วิธีรักษาประโยชน์ตน คือ การถนอมรักษา จิตนี้ไม่ให้เสพอารมณ์ ให้ขณะที่ว่างจากการให้

หากจะมีคนถามว่า การให้เช่นนี้เป็นกิจ ของสงฆ์หรือไม่

ก็อยากจะแนะนำผู้สงสัยว่า

ลองไปถามท่านสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ที่ท่านได้ทำประโยชน์แก่แผ่นดิน และพระพุทธศาสนา อย่างอเนกอนันต์ ดูซิว่า เป็นกิจกรรมของสงฆ์หรือไม่

หรือไม่ก็ลองไปถามท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ท่านชวนชาวบ้านช่วยกันทำทางขึ้นดอยสุเทพ และสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกมากมาย

ดูซิว่า นี่คือกิจของสงฆ์หรือไม่

หรือกิจของสงฆ์ จะต้องขายบุญ ขายสวรรค์ เรี่ยไรเงิน ให้ได้มามากๆ เพื่อนำไปลงทุนเล่นหุ้น หรือสร้างโรงแรม หรือไม่ก็เอาเงินชาวบ้านไปกว้านซื้อที่ดิน มาเป็นชื่อของตน แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่ากิจของสงฆ์

พุทธะอิสระ