หลังจากที่พุทธะอิสระอดรนทนไม่ได้ ที่เห็นประชาชนคนของพ่อต้องมีความทุกข์ยากลำบาก เพราะมางานพระบรมศพของพ่อ

จึงได้พยายามโวยวาย หาทางเจรจาผ่อนผัน ให้มีการแจกน้ำและอาหารให้แก่พี่น้องประชาชนที่ยืนรอคิวอยู่ในแถว ๖-๑๒ ชั่วโมง กลางแดดกลางฝน โดยมิได้กินข้าวกินน้ำ ด้วยเพราะเขามิกล้าที่จะเสียคิวของเขา

เขามิคุ้นชินกับสถานที่ ไม่รู้ว่าเมื่อเดินออกไปรับอาหารจากจุดที่จัดแจกอาหารแล้ว เกิดแถวขยับ หรือไม่ก็จะกลับเข้าแถวตนเองไม่ได้ หรือไม่ก็กลัวว่าจะหลงจากหมู่คณะที่มาด้วยกัน

อีกทั้งอาหารที่แจกในจุดที่กำหนดจะเพียงพอหรือไม่ ก็ยังไม่รู้

เหล่านี้คือเหตุผลที่ทำให้ประชาชนอดอาหาร จนมีหลายร้อยคนสู้ไม่ไหว ต้องถึงกับถอดใจเดินทางกลับ

ฉันยังจำได้ว่า ก่อนที่จะมีการออกกฎห้ามแจกอาหารตามแถวเช่นนี้ ในที่ประชุม พุทธะอิสระเคยคัดค้านว่ามันจะสร้างปัญหา ขัดขวางให้ประชาชนอดข้าวอดน้ำ

แต่ด้วยเพราะเสียงเดียวในที่ประชุม จึงมิอาจทำให้ผู้มีอำนาจในที่ประชุมนำมาพิจารณา อาจเป็นเพราะเขาคิดเขาเห็นว่า พวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เป็นสูตรสำเร็จทางความคิดที่เขากำหนดแผนเอาไว้

แต่แล้ววันนี้สิ่งที่พุทธะอิสระได้เคยพูดเคยค้านเอาไว้ในที่ประชุม มันกลับปรากฏเป็นจริง

ประชาชนไม่อาจเข้าถึงจุดแจกอาหารได้ ด้วยเงื่อนไขทางเวลาและจำนวนผู้คนมากันมาก ซึ่งผู้ทำงานมิอาจจะคาดการณ์ได้

ทั้งที่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติปกติ โดยอนุญาตให้แจกอาหารและน้ำตามแถวได้ และใช้จิตอาสารับสมัครเอาไว้ ที่มีจำนวนเป็นล้านคนมาคอยทำหน้าที่ให้บริการและเก็บขยะ

เรื่องมันก็จบ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

แต่ที่มันยุ่งยากก็เพราะผู้ออกกฎ ผู้คุมการปฏิบัติตามกฎ มิได้กระทำการอยู่บนพื้นฐานความคิด ที่จะให้บริการประชาชนไปพร้อมกับการจัดระเบียบ

แต่ออกกฎ คุมกฎ ปฏิบัติตามกฎ อยู่เฉพาะบนพื้นฐานของความสงบ เรียบร้อย สง่างาม และผลักประชาชนให้ถอยห่างออกไปจากสถาบัน

หากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ยังมองไม่เห็นความมีส่วนร่วมของประชาชนต่องานพระบรมศพเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องยากนักที่จะทำให้ประชาชนยอมรับและศรัทธา กับการปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทหามรุ่งหามค่ำของเจ้าหน้าที่

ที่ต้องเขียนมานี้ก็มิได้มีเจตนาร้ายทำให้หน่วยงานของรัฐเสียหาย แต่เขียนมาด้วยเจตนาเตือนสติว่า ข้าราชการ คือ ผู้ให้บริการประชาชน

ข้าราชการที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของรัฐ

ไม่เว้นแม้แต่งานพระบรมศพขององค์พ่อหลวง ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของประชาชน

มิใช่ผลักให้ประชาชนออกห่างจากงานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จักกลายเป็นพลังของแผ่นดินได้

สรุปความว่า งานนี้มันอยู่ที่กึ๋นของผู้บริหาร ว่าจะผลักประชาชนให้ห่างไกลจากสถาบัน หรือจะโอบกอดประชาชนให้เข้ามาเป็นพลังของแผ่นดิน

ย้ำว่าพุทธะอิสระเขียนโพสต์นี้ มิได้มีเจตนาร้ายต่อหน่วยงานใดๆ ของรัฐ แต่พูดแต่โพสต์ก็เพราะต้องการให้ผู้ทำหน้าที่และผู้มีอำนาจออกฎได้คิดว่าสิ่งที่พวกคุณทำอยู่นี้ มันตรงกันข้ามกับพระราชจริยวัตรของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ทรงเสด็จเข้าหาประชาชน

พระองค์มิได้ทรงผลักประชาชนออกจากอ้อมอกของพระองค์เลยตลอดพระชนม์ชีพ

ใครที่คิดผิด ทำผิด ขอให้คิดใหม่

เรายังมีเวลาจะแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

เพื่อให้งานถวายพระเพลิงอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดินกลายเป็นพลังปกป้องคุ้มภัยให้แก่ ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้อย่างยั่งยืนสืบไป

และต้องขอขอบคุณที่กองอำนวยการร่วม หรือ กอร.รศ. ผ่อนปรนให้ประชาชนจิตอาสาเข้าไปแจกอาหารตามแถวได้ อย่างน้อยก็เป็นการบรรเทาหิวแก่แขกของพ่อ

ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ

พุทธะอิสระ