ศรัทธาสร้างชาติในอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ทรงก่อร่างสร้างเมืองด้วยความเชื่อความศรัทธา จากการที่ทรงเป็นผู้นำทางพระปรีชาญาณ พระอัจฉริยภาพ ความมุมานะอดทน ความกล้าหาญ และความเสียสละ จนบรรดาเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และปวงชนทั้งหลายเชื่อถือศรัทธา กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน

ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบของบรรดาข้าราชบริพาร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ปฏิบัติตาม ทำให้สังคมเป็นปึกแผ่น

ต่อมาจึงทรงดำริว่าการจะทำให้แผ่นดินนี้มั่นคงยั่งยืนอยู่ได้ จักต้องทำให้ประชาชนมีศูนย์รวมจิตใจที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่ไพร่ฟ้าประชาชนให้ความเชื่อถือ

พระกรณียกิจในช่วงแรกๆ ของอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกๆ พระองค์จึงทรงให้ความสำคัญในการทำนุบำรุง ปกปักษ์รักษาพระศาสนา ที่มีหลักธรรมคำสอนอันเป็นที่ยอมรับของปวงชน

ทั้งยังใส่พระทัยต่อการศึกษา ค้นคว้า พิสูจน์ ในหลักธรรมคำสอนนั้นๆ ว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ จากผู้รู้ พระมหาเถรผู้ทรงคุณ ทรงวินัย

แล้วทรงใช้พระราชอำนาจ พระราชทรัพย์ อนุเคราะห์จัดระเบียบ เผยแผ่พระธรรมคำสอนนั้นๆ ให้แผ่หลายขจรขจายจนเป็นที่ยอมรับของมหาชน

ถามว่า ทำไมต้องทรงทำเช่นนี้

ตอบ ก็เพราะว่าทรงรู้ดี รู้ชอบ รู้ว่าหากปล่อยให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมัวแต่มีจิตหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของจิต ที่มีแต่เรื่องโลกธรรม เรื่องกามคุณ

ก็ยากนักที่จักทำให้สังคมสงบสุข และก็ยากนักที่จักทำให้แผ่นดินมั่นคง ยั่งยืน

ด้วยไพร่ฟ้าจะพากันเอาแต่แก่งแย่งชิง เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความทะยานอยาก

ผู้คนจักพากันละเมิดสิทธิของกันและกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ

การละเมิดสิทธิก็คือการละเมิดศีลธรรมนั่นเอง

ด้วยเหตุที่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินขาดที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ในอารมณ์ที่เป็นกุศล

แต่เมื่อใดที่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมีจิตอยู่ในอารมณ์กุศล บ้านเมืองก็จะสงบร่มเย็น ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ซื่อตรง

สิ่งสำคัญคือบุคคลต้นแบบทางอารมณ์กุศล คือนักบวชผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา จักต้องทำตนเป็นต้นแบบที่งดงามพร้อมทำหน้าที่ปลูกฝังอารมณ์กุศลอย่างซื่อตรง ให้เกิดในใจของศาสนิกชน บ้านเมืองจึงจะเกิดความสงบเย็น

เพราะเหตุนี้อดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในทุกๆ พระองค์ จึงทรงให้การอุปถัมภ์พระศาสนา เพราะพระศาสนามีคุณแก่แผ่นดิน

พระธรรมคำสอนในพระศาสนาเป็นเครื่องย้อมจิตของปวงชนให้สงบเย็น เสียสละ ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง

หากรัฐบาล คสช.ปรารถนาจะให้แผ่นดินนี้สุขสงบ ก็ควรจักต้องหันมาดูเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำหน้าที่รักษาใจ เยียวยาด้านจิตใจ ว่าปัจจุบันยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่

หากเครื่องมือเยียวยาจิตใจมันได้ชำรุดเสียแล้ว สังคมนี้จักอาศัยใครเป็นต้นแบบ

ดุจดังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงเห็นว่า นักบวชผู้ที่ทำหน้าที่เยียวยาจิตใจประชาชนของพระองค์ ติดโรค ติดลาภ ติดยศ ติดสุข ไม่เป็นต้นแบบที่ดีทางกุศลจิตของผู้คนในแผ่นดิน

พระองค์จึงทรงกำจัดนักบวชอลัชชีเหล่านั้นถึง ๖ หมื่นคน ให้พ้นจากศาสนจักร

แล้วทรงให้การอุปถัมภ์สนับสนุนนักบวชผู้ซื่อตรงต่อหลักธรรมวินัย เพื่อให้ได้ทำหน้าที่เยียวยารักษาจิตใจมหาชน

วันนี้รัฐบาล คสช.หากปรารถนาจะปฏิรูปประเทศ สิ่งแรกที่ควรปฏิรูปนอกจากกฎหมายระเบียบปฏิบัติต่างๆ แล้วก็ต้องปฏิรูปคนในประเทศ

รวมทั้งปฏิรูปนักบวชที่มีหน้าที่สั่งสอนให้คนในประเทศนี้ให้มีจิตใจสุขสงบใฝ่กุศล

และหากผู้ทำหน้าที่ปลูกกุศลในจิตกลายเป็นผู้ติดโรคร้ายเสียเอง ท่านนายกประยุทธ์ก็ควรต้องเข้ามาแก้ไข รักษาโรคร้ายที่อยู่ในใจของพวกนักบวชทั้งหลาย ให้ห่างไกลจากโรคติดลาภ ติดยศ ติดสุข ติดกาม

ด้วยการปฏิรูปกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ ให้มีการกระจายอำนาจการบริหารการปกครองและตุลาการคณะสงฆ์ ไปสู่ภูมิภาค พร้อมทั้งภาครัฐควรให้การอุปถัมภ์บำรุง อย่างเป็นธรรมเท่าเทียมทั่วถึง

เช่นนี้ การปฏิรูปประเทศจึงจะสำเร็จสมบูรณ์

พุทธะอิสระ