ที่มา: เฟสบุ๊ค "หลวงปู่พุทธะอิสระ"
 
หลังจากมีอาการป่วย เพราะลำไส้บวม ร่างกายเสียสมดุล นอนซมเป็นไข้ให้น้ำเกลืออยู่วันกับคืน

รุ่งขึ้นตอนบ่าย เห็นว่าร่างกายพอมีแรงขึ้นมาบ้าง จึงสั่งให้เจ้าแสบนำรถมารับหลังจากฉันเพลแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินทางมาที่ท้องสนามหลวง

พอนั่งรถออกมาจากวัด จึงได้รู้ว่า ที่ว่ามีแรง นั้นคือแรงใจ แต่ร่างกายมันแสดงอาการประท้วงขึ้นมา ด้วยการปวดหัวอย่างรุนแรง เป็นไข้ มีอาการหนาวขึ้นมาจับใจ

แต่ก็พยายามข่มเวทนาด้วยอิทธิบาท ๔ คือ ความพอใจในงานที่กำลังทำ มีความเพียรพยายามที่จะทำงานนั้น เอาใจจดจ่อจับจ้องต่องาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ ในงานนั้นอย่างต่อเนื่อง อาการเวทนาทางกาย จึงบรรเทาเบาบางลงไปได้

พอเดินทางไปถึงท้องสนามหลวง เห็นทุกอย่าง เจ้าแป๊ะ เจ้าตั้ม และลูกหลานคนอื่น ๆ สามารถทำได้

จึงไม่อยากทรมานสังขารตัวเองมากเกินไป นั่งอยู่ได้ซักสองชั่วโมง เมื่อเห็นว่าเจ้าแสบกลับมาจากส่งอาหารเข้าวังแล้ว จึงเดินทางกลับวัด พอมาถึงวัด ก็รีบเดินไปสั่งงานทางโรงครัวและคนงานวัด แล้วกลับมาสรงน้ำ ฉันยา เข้านอน ด้วยพิษไข้

รุ่งขึ้นเช้า หลังจากฉันเช้าแล้ว รีบออกเดินทางเข้าป่า เพื่อจะนำพาพระออกเดินเข้าป่าลึก เป้าหมาย คือ ทุ่งนามอญ ซึ่งเป็นป่าไม้เบญจพันธุ์ แต่ครั้งโบราณเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกมอญอพยพมาจากเมืองมะละแหม่ง ดังปรากฏหลักฐานเครื่องถ้วยโถโอชาม ที่เป็นศิลปะของมอญแตกกระจัดกระจายอยู่ตามริมน้ำ

ณ ทุ่งนามอญแห่งนี้ มีต้นพริกกระเหรี่ยงต้นใหญ่ ที่สูงท่วมหัวต้องใช้ไม้สอยเก็บ มีต้นมะเขือพวง มะเขือเปราะ มะเขือขื่น มะเขือขม ซึ่งแต่ละต้น น่าจะมีอายุหลายสิบปี

ทั้งยังมีต้นขนุนหนังที่ออกลูกยันราก มีรอยตีนช้าง ตีนสัตว์ ที่แวะเวียนมากินขนุนสุกกันเกลื่อนกล่น

แถมยังมีลานหินที่มีคนและช้างนำหินก้อนเล็ก ๆ มากองก่อเป็นเจดีย์ เพื่อบูชาพระบรมศาสดาในคืนวันเพ็ญ(อันนี้ตามตำนานคำบอกเล่านะจ๊ะ)

แต่ไม่ว่ายังไงทุ่งนามอญแห่งนี้ ก็เคยได้มีโอกาสธุดงค์แวะเวียนมาพักอยู่สองครั้งเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน

มาคราวนี้บวชพระเณรน้อมถวายเป็นพระราชกุศลครั้งนี้ จึงอยากจะนำพาพระเณรร้อยกว่ารูปเดินธุดงค์เข้าไปศึกษาโลกของจิตวิญญาณ ณ แดนอาถรรพ์ทุ่งนามอญแห่งนี้ดูบ้าง

ซึ่งก่อนหน้านี้สองวัน เจ้าอาวาสท่านได้ทำหนังสือขออนุญาตและแจ้งให้หัวหน้าป่าไม้เขตได้รับทราบแล้ว

ขณะที่ฉันนั่งรถมาเมืองกาญจน์ จึงให้เจ้ากุดเจ้าวารินโทรถามเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ก็ได้รับทราบว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่โขลงช้างกำลังอยู่ในทุ่งนามอญ และมีช้างบางเชือกกำลังตกมัน เพราะเป็นฤดูหนาว หากพระเณรจะเข้าไปพักในทุ่งนามอญ เกรงว่าจะได้รับอันตราย ขอให้เปลี่ยนมาเป็นเดินขึ้นไปธุดงค์พักค้างที่ต้นน้ำตกลำอีซูจะได้ไหม
ฉันจึงถามเจ้าหน้าที่ป่าว่า มีสถานที่เป็นลานโล่งสะดวกกับการประชุมสวดมนต์อบรมธรรมหรือไม่

เจ้าหน้าที่ป่าไม้รายงานว่า สะดวกเพราะข้างน้ำตก จะมีลานหินโล่ง ๆ สามารถเป็นที่นั่งของพระเณรได้เป็นร้อย

ฉันถามต่อไปว่า แล้วห่างจากที่บิณฑบาตกี่กิโล

เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตอบว่า ๗ – ๘ กิโลเมตร หากพระจะเดินลงมาจากเขาเพื่อบิณฑบาต คงต้องใช้เวลา ๓ ชั่วโมง กลับอีก ๓ ชั่วโมง คงต้องฉันเพลระหว่างทาง

ฉันจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปว่า ขอบคุณ รับฟังเอาไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ แล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าวาริน

พอรถแล่นมาถึงด่านป่าไม้ที่ลำอีซู อ.บ่อพลอย ฉันสั่งให้เจ้าแสบเลี้ยวรถเข้าไปในน้ำตกลำอีซูก่อน เพื่อจะไปปักหลักพักค้างในป่ามะม่วงริมน้ำตกก่อนหนึ่งคืน รุ่งขึ้นจึงจะเข้าไปในที่ธุดงค์สถานที่พระกำลังสวดออกปริวาสกันอยู่

มหัศจรรย์ของพลังธรรมชาติช่างวิเศษนัก

ฉันเดินมาถึงต้นมะม่วงใหญ่ริมน้ำตก หลังจากลงรถแล้ว ใช้เวลาเดินอีก ๓๐ กว่านาที พอมาถึงที่หมาย สภาพร่างกายเหมือนดังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ปวดระบมกล้ามเนื้อไปทั่ว แถมมีไข้ขึ้นอีก

หลังจากเตรียมที่พักเสร็จเรียบร้อย จึงนำอาสนะมาปูตรงก้อนหินกลางลำธาร แล้วทำกายและจิตให้ผ่อนคลาย พร้อมกับซึมซับเอาพลังธรรมชาติจากสายน้ำตกที่หลั่งไหล บรรยากาศรอบกายที่โปร่งเย็นสบาย มีสายลมอ่อน ๆ พัดโชยมาจากต้นทางของน้ำตก นำพาเอากลิ่นดอกไม้ป่าเข้ามาสู่จมูก ฉันปล่อยจิตให้ล่องลอยคล้อยตามพลังงานธรรมชาติ

พร้อมกับรักษาระดับลมหายใจให้เข้าและออกสม่ำเสมอ พร้อมกับค่อย ๆ ขับไล่มลภาวะภายในกายให้ออกมาตามลมหายใจและรูขุมขน

สิ้นเวลาไปไม่นาน ร่างกายที่ดูจะวิกลวิการ บอบช้ำ กลับกลายเป็นความชดชื่น กระชุ่มกระชวย อาการปวดเมื่อยไปทั่วสรรพางค์กาย พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้แต่อาการไข้ ก็ไม่มีให้เห็น สมองโล่ง จิตสงบเย็น รู้ตื่น กล้ามเนื้อแขนขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนดั่งฉันได้ชีวิตใหม่

นี่แหละกระมังที่ท่านเรียกว่า ความมหัศจรรย์ของพลังธรรมชาติที่
ช่วยสร้างชีวิตล่ะ

พุทธะอิสระ