ต้องขอบอกกล่าวก่อน ข้อความที่ข้าพเจ้า เขียนขึ้นนี้ไม่ใช่นิยายเป็นเหตุการณ์ของชีวิตข้าพเจ้าที่ได้สัมผัสอยู่กับ หลวงปู่พอทราบข่าว จากผู้กองวรพล ภพอุดม ว่าหลวงปู่ได้อนุญาตให้ศิษยานุศิษย์เขียนประสบการณ์ทางวิญญาณของแต่ละคนที่ ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดและศึกษาวิชากับหลวงปู่ เผยแพร่ต่อผู้สนใจ และเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ของกันและกัน ข้าพเจ้าก็ขอกราบบาทหลวงปู่ด้วยความเคารพสูงสุด เพื่อขออนุญาตถ่ายทอดประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้รับ จากหลวงปู่ ในขณะที่ได้มีโอกาสบวชอยู่กับท่าน ท่านทั้งหลายคงจะเห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็นว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระหนุ่มองค์ หนึ่ง แต่ทำไมชาวบ้านจึงเรียกว่าท่านว่า "หลวงปู่" (เพราะคุณธรรมที่หลวงปู่มี และปฏิบัติอยู่สม่ำเสมอ) ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นว่า หลวงปู่เป็นผู้วิเศษ ขอเพียงแต่ท่านทั้งหลายพยายามหาโอกาส สัมผัสกับหลวงปู่ ท่านทั้งหลายก็จะรู้ว่าหลวงปู่มีอะไรหลายอย่าง ที่บอกด้วยปากเปล่าอย่างเดียวไม่ได้ ท่านต้องไปสัมผัสกับหลวงปู่ด้วยตัวของท่านเอง ด้วยความมานะอดทนและเพียรพยายามอย่างยิ่งท่านก็จะทราบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าจะ กล่าวต่อไปนี้ มิได้เกินเลยจากความเป็นจริงเลย และต้องขออภัยที่ข้าพเจ้าอาจจะใช้สำนวนที่ไม่เหมาะสม แต่การเขียนครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบมากับตนเอง อย่างละเอียดที่สุดเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ ถึงวิถีชีวิตของหลวงปู่และสานุศิษย์ผู้อยู่ร่วม ให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ
       
       ช่วงปี 2530 ป้าของข้าพเจ้ามาบอกว่ามีคณะพระมาจำวัดที่โรงเจ ซอย แสนสุข ถนนพระราม 4 คลองเตย ป้าเล่าให้ฟังว่า มีพระอายุที่ดูแล้วไม่น่า ถึงสามสิบ แต่ชาวบ้านญาติโยมเรียกท่านว่า "หลวงปู่"
       
       หลวงปู่พักอาศัยอยู่ที่โรงเจ พระโพธิสัตว์กวนอิม มีคณะพระติดตามไม่มากนักประมาณ 6-7 องค์ หลวงปู่จะนำทำวัตรเย็นทุกวัน ชาวบ้านในซอย โรงเจและคณะโรงไม้อัดบางนาจะมาทำวัตรเย็นกับหลวงปู่เสมอ ที่ผมสังเกต คำสวดมนต์ไม่เหมือนกับวัดทั่วๆ ไป เพราะหลวงปู่สวดมนต์แปลที่ฟังไพเราะ และทำให้เข้าใจง่าย เสียงหลวงปู่สวดมนต์ ดังกังวาล ชวนให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ แล้วนำนั่งสมาธิ หลวงปู่จะเป็นผู้สอนธรรมะและนำนั่งสมาธิ ให้กับผู้มาร่วมสวดมนต์เสมอ คำพูดของหลวงปู่ฟังดูเรียบง่ายแต่ให้ข้อคิดต่อผู้ฟังด้วยความเมตตา เอ็นดูเหมือนลูกหลาน
       
       ช่วงปีใหม่ พ.ศ.2531 หลวงปู่นำสวดมนต์อวยพรปีใหม่ให้กับชาวบ้านที่อยู่ในซอยแสนสุขจนถึงเวลาเกือบ ตี 1 ปี 2531 นี้หลวงปู่ได้แจ้งให้กับญาติโยมที่ได้ทราบว่าจะจัดบวชเณรภาคฤดูร้อน โดยจะให้บวชอยู่ในคณะธรรมยุต คุณชวลิต คุณนุช นิมนต์หลวงปู่ให้พาพระเณรไปธุดงค์ที่จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ติดชายทะเล หลวงปู่ก็ยิ้มรับโดยดุษฎี การบวชพระเณรแบบธรรมยุตครั้งนี้สำคัญและดูจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายคนเมื่อ ได้ฟังแล้วต่างก็พูดกันว่า ไม่ง่ายเลยที่หลวงปู่เป็นพระมหานิกาย จะไปปกครองพระเณรที่เป็นธรรมยุต แค่คิดก็รู้อุปสรรค ความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น เพราะเป็นที่ทราบกันดี ในหมู่ผู้รู้ว่า ยังไม่มีพระมหานิกายรูปใดในแผ่นดินไทยที่จะไปปกครองอบรม สั่งสอนทำสังฆกรรม กิน นอนรวมกับพระธรรมยุตได้เลย แต่ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านต่อหลวงปู่ อาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อท่านก็คงเป็นไปได้
       
       เมื่อถึงกำหนดดำเนินงาน หลวงปู่ได้เดินทางไปวัดเทพศิรินทร์ โดยมีคุณหมอพินิจและคุณหมอกัญญาร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อจะไปขออนุญาตเจ้าคณะฝ่ายธรรมยุต ซึ่งตอนนั้นดำรงยศอยู่ในที่พระญาณวโรดม คุณหมอพินิจเล่าว่า เมื่อไปถึงวัดเทพศิรินทร์ก็ตรงไปยังกุฏิท่านเจ้าคณะ พร้อมกับได้แจ้งแก่พระเลขาฯถึงจุดประสงค์ที่จะมาพบ แต่พระเลขาฯของท่านเจ้าคุณพระญาณวโรดม ไม่ยอมให้พบ อ้างเหตุผลต่างๆ นานาและพูดถึงความไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หลวงปู่ก็ยังยืนยันที่จะขอพบท่าน เจ้าคุณพระญาณวโรดมให้ได้ โดยกล่าวแก่พระเลขาฯว่า เมื่อเกล้ากระผมได้พบพระเดชพระคุณ เกล้ากระผมเชื่อมั่นในเมตตาของพระเดชพระคุณว่า ท่านต้องอนุญาตกระผมแน่ คุณหมอพินิจเล่าต่อว่าในวันนั้น หลวงปู่ได้แสดงกิริยาอ่อนน้อมประนมมือพูดกับพระเลขาฯตลอดเวลา และด้วยกิริยาวาจาที่นอบน้อมสงบเสงี่ยม
       
       เมื่อพระเลขาเห็นหลวงปู่ตื๊อเท่านั้น ก็พูดด้วยอารมณ์ว่า ท่านเจ้าคุณท่านไม่อยู่ท่าน ไปเข้าเฝ้าสมเด็จฯที่วัดบวร คง อีกนานท่านจะกลับ หลวงปู่ท่านตอบว่า ไม่เป็นไรขอรับ กระผมจะรอจนกว่าพระเดชพระคุณท่านจะกลับมา หลวงปู่จึงนั่งพับเพียบรออยู่เช่นนั้น จนเวลาล่วงเลยมา 3-4 ชั่วโมง หมอกัญญาส่งน้ำผลไม้ที่เตรียมมาให้หมอพินิจนำไปประเคนหลวงปู่ หลวงปู่ส่ายหน้าแสดงกิริยาปฏิเสธ หมอพินิจและหมอกัญญาแสดงกิริยาวิตกกังวลเพราะขณะนั้นหลวงปู่ก็มีอาการไม่ ค่อยสบายอยู่ก่อน แล้ว แต่กลับยังต้องมานั่งทนยุงกัดตากน้ำค้างอยู่อีกหมอพินิจจึงพูดขึ้นว่า นิมนต์กลับเถิดครับ ไม่ต้องขออนุญาตบวชธรรมยุตก็ได้ครับ เราไปบวชที่วัดมหานิกายจะง่ายกว่า หลวงปู่นั่งหลับตาเงียบ ในขณะนั้นคุณหมอกัญญาก็กล่าวขึ้นว่าดูท่าฝนกำลังจะตก เพราะมีลมพัดแรง หลวงปู่จึงลืมตาขึ้นและก็พูดขึ้นว่า คุณหมอทั้งสองไปรอฉันอยู่ที่ศาลานั่งเล่นก่อน หมอพินิจและหมอกัญญาก็มองหน้ากันด้วยความลิงโลดยินดีเพราะต่างก็คิดตรงกัน ว่า หลวงปู่คงจะยอมลุกจากที่นั่ง และไปหลบฝนที่ศาลาพร้อมกับตนจึงพากันเดินไปที่ศาลานั่งเล่นอย่างว่าง่าย ครั้นเมื่อเดินไปถึงศาลาฝนก็เริ่มตกลงมาเป็นเม็ดใหญ่เสียงดังเสียงดังจักๆ แต่เมื่อหันไปดูหลวงปู่ ปรากฏว่าท่านมิได้ลุกจากที่นั่งและขยับเขยื้อนเลย หมอพินิจเล่าว่า เขาทั้งสองจะออกไปหาหลวงปู่ ก็กลัวจะผิดคำสั่งก็ได้แต่ยืนดู ท่านด้วยความเป็นห่วง สำหรับหมอกัญญานั้นถึงกับน้ำตาซึม ต้องใช้มือเช็ดน้ำตาอยู่สักพักจึงจะหยุด
       
       เมื่อฝนตกได้สักพักใหญ่ๆ พระเลขาก็เดินถือร่มออกมานิมนต์ หลวงปู่ให้เข้าไปพบท่านเจ้าคุณพระญาณวโรดม หลวงปู่จึงหันมากวักมือเรียกคุณหมอทั้งสองให้ตามท่านไปด้วย เมื่อหลวงปู่ไปถึง ท่านเจ้าคุณท่านออกมาเปิดประตูห้องรับด้วยตัวท่านเอง พร้อมทั้งนำเอาผ้าเช็ดตัวสีเหลืองมาถวายหลวงปู่ให้เช็ดตัว และรินน้ำชาร้อนๆ ถวายหลวงปู่ด้วย และกล่าวว่า ท่านนี้ช่างเป็นยอดคนที่หาได้ยากจริงๆ ผมรู้สึกศรัทธาต่อความเด็ดเดี่ยวจริงจัง และจริงใจของท่าน เรื่องที่ท่านต้องการ พระเลขาได้มาแจ้งให้ผมได้ทราบแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีมาก่อนเลยที่พระมหานิกายจะปกครองพระธรรมยุต แต่ผมก็จะอนุญาตให้ท่านปกครองดูแลและอบรมสั่งสอนอยู่ร่วมกินร่วมทำสังฆกรรม ได้ หลวงปู่ได้กล่าวขอบพระคุณในความเมตตาของท่านเจ้าคุณ และได้สนทนาพอเป็นที่ระลึกถึงก็ได้กราบท่านกลับมายังโรงเจ
       
       หลังจากที่หลวงปู่จัดบวชพระ 69 รูป เณร 82 รูป รวมเป็นพระ เณร ธรรมยุต 101 รูป แล้วพาไปอบรมที่ชายทะเล จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นที่ป่า ชายทะเลส่วนตัวของคุณเชาวลิต ซึ่งมีประมาณ 40 ไร่ อยู่ที่นี่บรรยากาศดีมาก แต่มีฝนตกบ่อยๆ บางครั้งเที่ยงคืน ตีหนึ่ง หลวงปู่ก็จะเดินมาปลุกให้พระเณรตื่นขึ้นมา และสอนวิธีเอาตัวรอดจากฝนตก เวลาผ่านมาอีกเล็กน้อย ฝนก็ตกลงมา ตลอดระยะเวลา 1 เดือน นอกจากท่านจะทำหน้าที่เป็น ครูเป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน และยังทำหน้าที่เป็นยาม ช่วยรักษาความปลอดภัยและยังคอยบอกพวกเราว่า อีกกี่นาทีฝนจะตก และก็ตกจริงๆ ซะด้วยตามที่ท่านบอก
       
       ในขณะที่พระเณรบวชอยู่ที่ระยองนั้น ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย พระและเณรยังดูไม่มีอาการของสมณะคือผู้สงบ หลวงปู่ท่านใช้วิธีสั่งห้ามใช้คำพูด 3 วัน ภายใน 3 วันนี้ห้ามมีเสียงเด็ดขาด รวมทั้งพระพี่เลี้ยงและตัวท่านเองด้วย ถ้าจะมีธุระที่จะต้องเจรจาก็ให้ใช้วิธีเขียนหนังสือ ถ้าใครฝ่าฝืนคำสั่งให้ลงไปนั่ง อยู่ในหลุมขยะ พระเณรทั้งหมดรับปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พอย่างเข้าวันที่ 3 ตอนกลางดึก พอดีมีลมพายุพัดมาจากทะเล และมีคลื่นสูงมาก หลวงปู่ท่านก็เดินไปตามกลดปลุกพระเณร และร้องบอกให้พระเณรเตรียมป้องกันฝนและพายุ เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ฝนก็ตกลงมาอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา ฝนตกจนถึงเช้าจึงหาย พระ เณรทั้งหลายก็นอนหลบฝนอยู่ในผ้ายางที่ใช้สำหรับปูนอน ซึ่งจะมีด้วยกันทุกองค์ องค์ละผืน อย่างปลอดภัยโดยไม่เปียกฝนเลย พอฝนหายตอนเช้า หลวงปู่ก็เดินสำรวจตามกลดของพระ เณรแล้วก็พูดว่า เป็นยังไงกันบ้างลูก ยังสบายดีกันเหรอ ความที่ทุกรูปไม่ได้พูดมาตั้ง 3 วัน ก็ร้องตะโกนด้วยความดีใจว่า "ยัง ยังฉันยังไม่ตาย สบายดีจ้ะพ่อ" แล้วทุกรูปก็หัวเราะด้วยความครื้นเครง ซึ่งในขณะนั้น ทุกรูปมีความรู้สึกคล้ายๆ กันคือ เบื่อและกำลังเซ็งต่อดินฟ้า อากาศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะดูท่าที ฝนที่หยุดตกไปเมื่อสักครู่นี้ กำลังจะเริ่มตกลงมาใหม่เหตุเพราะในทะเลไม่ไกลนัก กำลังมีเมฆฝนก้อนใหญ่ โดนลมทะเลพัดพาหอบฝนเข้าหาฝั่ง หลวงปู่ได้เดินมาตรวจเยี่ยมและคงจะเห็นกิริยาของพระเณรที่หงอยเหงาก็เลยพูด ยั่ว ให้หายหงอย แล้วก็สั่งว่า ยังไม่ต้องเก็บผ้ายาง เดี๋ยวเราฉันเช้าแล้วฝนคง จะตกลงมาอีก ให้ทุกคนเร่งทำภารกิจส่วนตัว แล้วไปรับอาหาร บิณฑบาต ซึ่งปกติทุกรูปจะต้องมานั่งฉันพร้อมกันที่ลานทรายขาว ซึ่งหลวงปู่และพระพี่เลี้ยงได้จัดเตรียมไว้ให้ แต่วันนี้หลวงปู่สั่งว่า เมื่อรับอาหารมาแล้วให้ต่างคนต่างฉันและให้พรได้เลย จะได้ไม่เสียเวลา รวมความว่าวันนั้นฝนตกอีกหลังจากฉันเช้าเสร็จดังที่หลวงปู่ท่านพูดเตือนไว้ ฝนตกอยู่อีกประมาณสักครึ่งชั่วโมงและก็หยุด จากตกเม็ดใหญ่ๆ มาเป็นตกปรอยๆ พวกเราเห็นหลวงปู่เดินลงไปในหลุมขยะ และหายลงไปในหลุมอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง จึงจะขึ้นมา
       พอตกเย็นได้เวลาทำวัตรเย็น หลวงปู่นำสวดมนต์อีกเช่นเคย และหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว หลวงปู่ได้อบรมพระเณรต่อ และท่านได้บอกแก่พวกเราว่า เมื่อคืนผมต้องขอโทษพวกท่านด้วย ที่ผิดกติกาเรื่องการงดคำพูด เพราะเหตุว่าถ้าไม่พูดเตือนเรื่องฝนจะตก พวกท่านจะเป็นอันตราย ผมก็เลยต้องยอมผิดกติกา แต่เมื่อเช้าผมได้ลงโทษตัวเองโดยการลงไปนั่งอยู่ในหลุมขยะ 2 ชั่วโมงตามกติกาเรียบร้อยแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเปล่งสาธุการด้วย พระและเณรนั่งนิ่งน้ำตาซึม ด้วยความทราบซึ้งในน้ำใจ และความเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ที่มีอยู่ใน ตัวของท่าน นับแต่วันนั้นมาไม่มีใครที่จะทำให้หลวงปู่ ต้องกังวลใจอีกต่อไปเลยจนถึงวันสึก
       
       หลวงปู่ท่านกลับมาพักที่โรงเจอยู่ระยะหนึ่ง ด้วยเหตุของการตรากตรำงานหนักมาตลอด หลวงปู่ได้ล้มป่วยลงอีก เที่ยวนี้ถึงกับต้องไปนอนโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาอยู่ประมาณ 4 วัน พอถึงวันที่ 5 ตอนเช้ามืดท่านเดินทางกลับมานอนที่โรงเจ ซึ่งเป็นช่วงที่พระเณรกำลังจะออกเดินรับบาตรพอดี พระ เณรทุกองค์รู้สึกตกใจเพราะเมื่อตอนหัวค่ำ พวกเรายังไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลอยู่เลย และยังมีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขน ไม่มีวี่แววว่าหมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เพราะหมอยังพูดอยู่เมื่อคืนนี้ว่า ต้องให้ท่านนอนพักที่โรงพยาบาลอีกสัก 2-3 วัน ร่างกายท่านอ่อนเพลียมาก แต่ทำไมพอรุ่งเช้า ท่านถึงได้มาที่โรงเจได้ พวกเรารีบพยุงท่านให้เข้ามานอนที่ที่พระใหม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ และแบ่งพระและเณรอย่างละองค์ ให้อยู่คอยดูแลท่านโดยไม่ต้องไปบิณฑบาต พอพวกเราฉันเช้าเสร็จสวดมนต์เช้าแล้วได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมถึงได้ ออกจากโรงพยาบาลมา ท่านบอกว่าท่านหนีหมอมาเมื่อตอนตีห้าน้ำเกลือยังเหลืออยู่อีกประมาณครึ่งขวด ท่านดึงสายน้ำเกลือออก แล้วก็เดินออกมาจากโรงพยาบาล โดยมิมีใครเห็นเลยสาเหตุที่ ท่านต้องออกมา เพราะวันนี้ พวกพระเณรที่พักอยู่ในโรงเจจะเกิดเรื่องขึ้น ถ้าท่านไม่มา อาจจะลำบาก พวกเราก็มองหน้ากันแล้วพากันสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถามต่อ เพราะเห็นท่านแสดงอาการอ่อนเพลียพวกเราก็ล่าถอยออกมา จับกลุ่มพูดคุยกัน ต่างคนต่างก็วิตกวิจารณ์กันต่างๆ นานา จนล่วงเวลาประมาณบ่ายโมง มีคณะบุคคลแปลกหน้า เข้ามาพูดคุยกับหลวงปู่ได้สักครู่ ต่อมาหลวงปู่ก็เรียกพระเณรทั้งหมดมาประชุม แล้วก็บอกว่ามีคนไปแจ้งเจ้าหน้าที่และสังฆการีหรือตำรวจพระให้มาจับพวกเรา ข้อหามาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่วัด ต่อมาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ นิมนต์หลวงปู่ และพระเณรทั้งหมดให้ไปหาเจ้าคณะเขต ที่วัดสะพาน คลองเตย
       
       เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปหาเจ้าอาวาส เมื่อพวกเราไปถึงก็ กราบท่านด้วยความนอบน้อมพร้อมกันกับหลวงปู่ ท่านเจ้าคณะมองดูพวกเราอย่างเหยียดหยามดูถูก และพูดด้วยเสียงห้วนๆ ว่า "วัดมีไม่อยู่ ทำไมถึงไปอยู่ศาลเจ้า" หลวงปู่จะพนมมือแล้วกล่าวว่า "มิใช่ศาลเจ้า แต่เป็นที่พักสงฆ์ หรือโรงเจของคนจีน อดีตเคยมีหลวงจีนอยู่ พอท่านตายท่านได้ยกให้หลวงปู่ และคณะสงฆ์ได้ดูแลและอยู่อาศัย" ท่านเจ้าคณะกล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า ท่านไม่ต้องมาเถียง เรื่องของเรื่องก็คือที่นั่นไม่ใช่ที่อยู่ของท่าน แล้วท่านก็เรียกขอดูหนังสือ ใบสุทธิของพวกเรา และหลวงปู่ก็ได้ส่งให้ท่าน หลังจากส่งให้แล้ว เจ้าคณะได้ กล่าวว่า พวกคุณต้องถูกจับสึก พวกเราและพระใหม่ๆ ต่างก็แสดงความไม่พอใจ แล้วกล่าวเถียงกับท่านเจ้าคณะอยู่พักใหญ่ หลวงปู่นั่งพับเพียบประนมมือ ด้วยสีหน้าและกิริยาที่สงบนิ่ง เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์จะบานปลาย ท่านก็ได้หันมากล่าวปรามพวกเราว่า "ท่านจะไปเถียงท่านเจ้าคณะทำไม เขามีอำนาจเมื่อเขาว่าเราผิด มีหรือเราจะพ้นผิดไปได้ แต่ผมคิดว่าพวกท่านไม่ผิด ถ้าจะผิดผมเป็นผู้ผิดเอง ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบ ในการนี้ทั้งหมด" และท่านก็หันมากล่าวกับท่านเจ้าคณะว่า
       
       "ขอความกรุณาพระเดชพระคุณ ปล่อยพวกเขาไปเถอะครับ พวกเขาเพิ่งจะเป็นพระเณรใหม่ ยังไม่รู้อะไร มาบวชก็ด้วยความศรัทธาในพระศาสนา ไม่ควรจะให้เหตุผลแค่เล็กน้อยนี้ เป็นการทำลายศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระศาสนา ถ้าจะเอาผิดก็ขอให้เอาผิดกับผมเพียงคนเดียวเถิดครับ"
       
       ท่านเจ้าคณะทำกิริยาไม่ค่อยพอใจแล้วก็หันไปหยิบถ้วยน้ำชามาดื่มแล้ว ก็หยิบหนังสือสุทธิทั้งหมดโยนใส่หน้าหลวงปู่ พร้อมกับกล่าวว่า
       
       "เห็นแก่ท่านผมจะยกโทษสึกให้ แต่ต้องออกไปจากโรงเจตั้งแต่วันนี้ หลวงปู่กล่าวว่า"ขอบพระคุณครับที่เมตตาต่อผม"
       
       พวกเราหันมามองหน้าหลวงปู่แล้วก็กล่าวต่อท่านเจ้าคณะว่า ขอให้พวกเราได้ค้างคืนซักคืนเถิดครับ เพราะนี่ก็บ่าย 3 แล้ว จะขยับขยายไปไหนก็ดูจะลำบากเพราะอยู่ในกรุงเทพฯ อีกอย่างหลวงปู่ท่านก็กำลังไม่สบายมาก ถ้าจะเดินทางตอนนี้ก็เกรงว่าจะเป็นการลำบาก ท่านเจ้าคณะได้ตวาดว่าไม่ได้ ต้องออกจากที่พักเดี๋ยวนี้ หลวงปู่ท่านนั่งยิ้มแล้วก็กล่าวว่า
       
       "ครับ ผมจะพาสานุศิษย์เดินทางออกจากโรงเจ"
       
       หลังจากกลับไปจากพระเดชพระคุณเจ้าคณะฯ แล้ว พวกเราก็พากันลาท่านกลับโรงเจ หลวงปู่ท่านได้ประชุมพระเณรอีกครั้งแล้วก็กล่าวว่า "ทีนี้คงจะรู้แล้วซินะว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น" แล้วท่านได้สั่งงานต่อให้ทุกคนเตรียมตัวที่จะเดินทางไปลพบุรี เพื่อไปเตรียมงานอบรมจริยธรรมและบวชเณรประจำปี 2532 ที่วัดตะลุง ซึ่งเป็นวัดของลูกศิษย์ท่าน ต่อมามีผู้เดินทางมาหาหลวงปู่ที่ลพบุรี โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่านเจ้าคณะเขตวัดสะพาน คลองเตย ท่านให้มาขอขมาหลวงปู่ เหตุหลังจากที่ท่านได้ขับไล่และเอาหนังสือสุทธิโยนใส่หน้าหลวงปู่แล้ว ต่อมาท่านก็ล้มป่วย เป็นอัมพาต ในขณะที่อายุยังแค่ 45 ปีเท่านั้น และท่านก็ได้ฝันไปว่ามีพระแก่ๆ มายืนอยู่หน้าที่นอน แล้วก็บอกให้มาขอขมาหลวงปู่ ซึ่งตอนนี้ท่านอยู่ ที่ลพบุรี วัดตะลุง ท่านเจ้าคณะเขตจึงได้ส่งตัวแทนมาให้ขอขมาต่อหลวงปู่ แล้วต่อมาอาการของท่าน เจ้าคณะเขต เป็นอย่างไรข้าพเจ้ามิได้ติดตาม มารู้ทีหลังว่าท่านป่วยจนตายภายในปีต่อมา