สู่ธุดงคสถาน
      
       วิถีชีวิตของพระภิกษุเรื่องที่สำคัญคือการปฏิบัติธรรม และหนึ่งในหนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตรงแนว คือการได้ออกเดินธุดงค์ เพราะพระที่ถือสมาทานธุดงค์ จุดประสงค์ก็เพื่อฝึกฝนตน กำจัดกิเลส ปฏิบัติตามข้อวัตรต่างๆ ที่สมัครใจจะสมาทานประพฤติปฏิบัติ และเป็นหนทาง อุบาย แนวทางที่จะขัดเกลากิเลสให้ลดน้อย ถดถอยลงไป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมความมักน้อย ความสันโดษ ปลูกฝังความสมถะ และเป็นการเผยแผ่ธรรมไปด้วย นับเป็นการประกาศศาสนาอีกอย่าง
      
       ดังนั้นการที่พวกผมได้มีโอกาสมาบวชอยู่กับครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่พุทธะอิสระ แล้วท่านเมตตาจะนำพวกเราไปธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ทางวิญญาณใหม่ๆ ทั้งยังให้มีโอกาส ฝึกฝนขัดเกลากิเลสตน ให้รีบนำเอาหลักของมหาสติปัฏฐานต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมา นำมาใช้ มาฝึก มาปฏิบัติ กับการใช้ชีวิตในป่า จึงถือได้ว่าเป็นโอกาส เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าวิเศษสุด เป็นวาสนาอันสูงสุด สำหรับชีวิตในชาตินี้ที่ได้รับจากหลวงปู่
      
       เริ่มต้นการธุดงค์ โดยเดินทางออกจากวัดอ้อน้อย จุดมุ่งหมายเพื่อไปพักที่ป่าธุดงคสถาน ลำอีซู จ.กาญจนบุรี ซึ่งในระหว่างที่นั่งรถนั้น เห็นสภาพป่าแล้วใจหาย ดูโล่ง เตียน แห้งแล้ง ทั้งๆ ที่อยู่ในหน้าหนาว ป่าที่สูญสิ้น ถูกบุกรุก จนทำให้สภาพอากาศแปรปรวน และก่อนเดินทางก็ได้ทราบมาแล้วว่าเมืองกาญจนบุรีนั้น มีสภาพป่าที่ไม่เหมือนใคร เป็นป่าร้อนชื้น ไข้ป่าชุกชุม สภาพอากาศแปรปรวน ถ้าฝนตกก็ตกมากจนน้ำท่วม ถ้าแห้งแล้งก็แล้งจนถึงที่สุด เป็นเหมือนป่าที่มีหลายมิติ หลากหลายพันธุ์ ไม่ค่อยเหมือนป่าทางภาคเหนือ หรือ ป่าดงดิบทั่วไปๆ อาจเป็นเพราะสภาพป่าแถวนี้อยู่ในแนวเส้นเขตศูนย์สูตร และอยู่ในร่องทางแผ่นดิน ที่มักจะมีข่าวแผ่นดินไหวเกิดบริเวณนี้มาก รวมทั้งเป็นแนวป่าเทือกเขาตะนาวศรีที่พาดผ่านชายแดนประเทศพม่า ขึ้นไปทางเหนือจนจรดแนวเทือกเขาหิมาลัย
      
       เมื่อเดินทางถึงธุดงคสถาน กลิ่นอายแรกที่รับสัมผัสได้ คือความร่มเย็น สันติ จิตใจดูสงบขึ้น เพราะบริเวณป่าแถบนี้มีต้นไม้มาก ดูร่มรื่น เย็นสบายดี ทุกคนแยกย้ายกันหาทำเลที่ตั้งเพื่อปักกลด โดยแยกกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลดอยู่ห่างกันพอสมควร พอตอนเย็นหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ หลวงปู่ได้ออกมาพูดคุย ดูแล สอบถามพวกเราด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นไงกันบ้าง มีที่นอนที่พักกันไหม ท่านบอกว่ามาอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา และแมกไม้ทั้งหลาย ก็ต้องเปลี่ยนรสชาติ เปลี่ยนประสบการณ์ทางวิญญาณที่จะเรียนรู้ในโอกาสต่อๆ ไป
      
       ที่ธุดงคสถานนี้ หลวงปู่บอกว่าจะทำให้เป็นที่ธุดงคสถานของพระผู้สัญจรไปมา เพื่อเป็นที่สำหรับพัก สำหรับคนที่มีจิตใจอยากจะสงบสันติ เป็นสมณะผู้รักสงบ และสำหรับสามเณรที่บวชภาคฤดูร้อน แล้วท่านก็ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของธุดงคสถานแห่งนี้ว่า มีเนื้อที่อยู่ประมาณเกือบสามร้อยไร่ ซึ่งซื้อต่อจากชาวบ้าน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ สาเหตุเนื่องจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ท่านมาธุดงค์แถวนี้ ชาวบ้านที่ใส่บาตรหลวงปู่ประจำนั้นวันหนึ่งเขาเกิดปัญหาได้ไปขอความเมตตาจาก ท่านที่วัด ขอร้องให้ท่านช่วย โดยจะขอยืมเงิน แต่สุดท้ายเขาไม่มีเงินใช้ เลยยกที่แห่งนี้ให้ ตอนแรกที่หลวงปู่มาดูใหม่ๆ ก็ไม่อยากจะรับ ไม่อยากจะได้อะไร แต่พอท่านเห็นเก้งมันซุกอยู่ตามกอไผ่ แล้ววิ่งหนีคน ท่านเลยรับเอาไว้
      
       สภาพป่าพื้นที่เดิมนั้นแห้งแล้ง เป็นป่าหัวโล้น ต้นไม้ไม่ค่อยมี หลวงปู่เลยหาคนมาช่วยทำงาน โดยท่านเป็นผู้คอยดูแล เอาใจใส่ ต้นไม้ นำคนงานไปขุดต้นไม้มาปลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่ต้นไผ่ และบริเวณนี้ก็เป็นด่านที่สัตว์ลงมากินน้ำ ท่านจึงได้สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ (ฝายน้ำล้น) ซึ่งยังประโยชน์ให้กับสัตว์ที่ลงมากินน้ำ และชาวบ้านแถวนี้ แต่มักจะมีชาวบ้านมาคอยดักยิงสัตว์กันเป็นประจำ เพราะว่าแถวนี้ยังมีสัตว์ป่าชุกชุม มีทั้ง หมาจิ้งจอก เก้ง เลียงผา กระจง กระต่ายป่า หมูป่าฯ
      
       ดังนั้นระบบนิเวศน์ของธุดงคสถานแห่งนี้จึงมีหลากหลาย ทั้งเรื่องของพืชพันธุ์ไม้ ว่านยา ต้นยา ถึงแม้ว่าทางเข้าจะไม่ค่อยดีนัก ค่อนข้างทุรกันดาร แต่เงียบสงัด วิธีปลูกต้นไม้ของหลวงปู่นั้น ท่านจะสั่งคนงานว่า อย่าไปทำร้ายต้นไม้เก่า พยายามรักษาระบบธรรมชาติเดิมของมันให้ดีที่สุด เพียงแค่ริดกิ่งบ้าง ตัดบางต้นที่มันบังไม่ให้แดดส่องถึงต้นไม้ใหม่ที่ปลูก ท่านได้นำวิธีระบบน้ำหยด โดยได้ก่อสร้างบ่อน้ำ แท้งค์น้ำขนาดใหญ่ไว้บนเขา เอาน้ำขึ้นไปใส่ ไปเติมแล้วปล่อยให้มันหยดตามต้นไม้ที่กำลังปลูก เนื่องจากพื้นดินแถวนี้เป็นดินลูกรัง เวลาฝนตก น้ำจะไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แรง แล้วจะไหลลงตีนเขาหมด นอกจากนี้ท่านยังให้ไปขุดบ่อน้ำ กักน้ำไว้ที่ตีนเขาอีกด้วย
      
        จิตที่ฟุ้ง
      
       หลวงปู่ได้พูดเตือนภิกษุที่ยังรักสนุก ชอบพูดคุย เล่น ซึ่งนักปฏิบัติกรรมฐานที่ดีต้องไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพราะมันอาจจะเป็นมารที่คอยเข้ามาผจญ ซึ่งเราต้องเอาชนะมันให้ได้ เหมือนอย่างวิถีชีวิตของท่าน สมัยบวชใหม่ๆ ที่อาศัยวัดเขาอยู่ ท่านจะไม่ยอมไปคุยกับใคร เมื่อทำกิจกรรมสังฆกรรมเสร็จ จะเข้ากุฏิ ปิดประตู สวดมนต์ภาวนาอ่านหนังสือ จะออกมาก็ตอนทำงานข้างนอกเท่านั้น คือกวาดลานวัด ขนขยะ ล้างโบสถ์ แสดงธรรมให้แก่ชาวบ้าน แสดงธรรมเสร็จ ก็เข้ากุฏิ ปัจจัยที่ได้จะนำไปใส่ตู้ของวัดเอาไว้ เพื่อเป็นค่าน้ำค่าไฟ
      
       เหมือนเช่นตอนอบรมพระวิปัสสนาจารย์ หลวงปู่มานำสวดมนต์เป็นประจำไม่เคยขาด คอยกระตุ้นให้พวกเราฝึกฝนตัวเอง ถ้าคุยก็คุยเรื่องงาน มีเวลาพักท่านก็ไม่ไปคุยกับใคร จะมานั่งสมาธิเงียบๆที่กลด หรือเดินจงกรม ที่ทางเดินหน้ากลด
      
       เพราะว่าการคุยกันนั้น มันทำให้คนจิตฟุ้ง ทำให้เราฟู นักปฏิบัติต้องไม่พูดมาก การพูดมากคือการทำร้ายทำลายพลังของเรา ดังนั้นท่านจึงบอกว่า พยายามสงบปากสงบคำ สงบเสงี่ยมเจียมตัว ใช้ระบบของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สังวรระวัง สำรวมระวังในอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ สำรวมระวังตาเห็นรูป สำรวมระวังหูฟังเสียง สำรวมระวังจมูกดมกลิ่น สำรวมระวังลิ้นรับรส สำรวมระวังกายสัมผัส อย่าทำให้อารมณ์ใดๆ ปรากฏขึ้นในขณะตาเห็นรูป จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
      
       การที่มีโอกาสเข้ามาบวชในพระศาสนา นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ในครั้งหนึ่งของชีวิต หลวงปู่บอกว่าให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่มาอยู่ป่า เพราะถ้าทำได้ถือว่าเป็นบารมีของตัวเอง เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ตัวเองคิดจะมีชีวิตแล้วได้ประโยชน์ ท่านเตือนสติไว้ว่า "คนที่เขาทำได้ก็กินข้าว เราก็คนกินข้าวเหมือนกับเขา ทำไมจึงทำไม่ได้ ต้องถามตัวเอง" ซึ่งการที่ภิกษุบางรูปยังไม่ศรัทธา ไม่เอาใจใส่ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่สังวรระวัง ไม่สำรวมระวัง ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงมีความพยายาม สักวันหนึ่งต้องสำเร็จ ขอเพียงมีความหมั่นเพียร สักวันหนึ่งความศรัทธานั้นจะเต็มเปี่ยมขึ้นมาได้ เราก็สามารถจะปฏิบัติธรรมจนเห็นผลได้ วันนี้ไม่ศรัทธาไม่เป็นไร พยายามทำต่อไป พรุ่งนี้ก็ต้องศรัทธา พรุ่งนี้ไม่ศรัทธา มะรืนนี้ก็ต้องศรัทธา
      
       คำว่า "ศรัทธา" นี้ท่านบอกว่า ไม่ได้ให้มาศรัทธาในตัวท่าน แต่ให้ศรัทธาใน "วิถีแห่งนักปฏิบัติ" ศรัทธาที่จะสร้างสติให้เกิดขึ้นในการรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วคบกับมหามิตร เอกบุรุษแห่งสติ ไม่ไปพูดคุยกับผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา พยายามพบปะพูดคุยกับสติของตัวเองให้มาก ไม่ควรเสียเวลาไปพบปะพูดคุยกับคนรอบข้าง หลวงปู่บอกว่า ระยะเวลาที่พวกเราไปอบรมพระวิปัสสนาจารย์มานั้นก็มีสติดี ได้รู้จักหน้าตาของสติ และคบกับมหามิตรที่ชื่อว่าสตินี้มาแล้ว จงอย่าได้ละเลย เพิกเฉยระยะเวลาที่อยู่ในป่านี้ ซึ่งในธุดงคสถานนี้ยังไม่ใช่ป่าจริง ป่าจริงยังรออยู่อีกไกล จึงต้องมาซ้อม เรียนรู้กติกาในการจะอยู่ป่าในอนาคต ดังนั้นจึงต้องพยายามเปิดประตูทางวิญญาณเข้าไปรู้จักหน้าตาแท้ๆ ของมหามิตร นั่นคือสติ และรบกับเขาให้ได้ตลอดเวลา ทุกย่างก้าวลมหายใจเข้าออก
      
        วิสัยแห่งสมณะ
      
       เหตุที่เป็นอย่างนี้ หลวงปู่บอกว่า เพราะพวกเรายังไม่มีวิสัยแห่งสมณะที่สมบูรณ์ วิสัยแห่งสมณะ นั้นคือ ผู้สงบ ผู้รักสงบ พยายามฝึกตนเอง เพราะที่ธุดงค์นี้มี "ไอ้ดำดง" ??? ซึ่งมักทำให้คนที่อยู่แถวนี้ ไม่กล้าเข้ามาบริเวณนี้คนเดียว เพราะว่ามันอาจจะเดินสวนคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บางทีเดินสวนเราอยู่ หันไปดูอีกที หายไปแล้ว ท่านบอกว่าจะฝากให้ไอ้ดำดงช่วยดูๆ พวกเรา เผื่อพวกเราจะได้ไม่ประมาท แล้วท่านย้ำกับพวกเราว่าอย่าลืมสวดมนต์ทุกครั้งทุกวันที่อยู่ในป่าตามบทที่ ท่านเคยนำสวด
      
       หลวงปู่พูดถึงอำนาจและพลังของป่าว่า ป่ามีอำนาจและพลังตรงที่ "ความเงียบ และความมืด" ถ้าไม่หวาดกลัวต่อป่า ไม่อยากจะหวาดกลัวหรือสะดุ้งผวาต่ออำนาจและพลังของป่า เราต้องเงียบยิ่งกว่าป่าที่เงียบแล้ว ถ้าไม่อยากกลัวและเกรงความมืดของป่า เราต้องสว่าง มีความสว่างกระจ่างใสให้อยู่ในใจของเราตลอดเวลา ถ้าทำได้จะสามารถเดินป่าได้อย่างไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา ไม่ต้องอาศัยไฟฉาย อยู่ได้อย่างองอาจสง่างามอย่างผู้กล้า เพราะฉะนั้นหัดฝึกความเงียบและความสว่างในใจให้เกิดขึ้นเสมอ แล้วเราจะรู้ว่า ป่านี้เป็นสวรรค์ของบุคคลที่เป็นสมณะ มีเพื่อนที่คิดอยากจะมาสนิทใกล้ชิดกับเราอยู่ในป่าเยอะแยะ มีมหามิตรอันยิ่งใหญ่อยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเรา ที่อยากจะพูดคุยกับเรา สำหรับสมณะผู้เจริญ ถ้าเราทำตัวเองให้เป็นผู้เข้าถึงอำนาจและพลังของป่าจริงๆ เราก็จะพบพาเจอะเจอ คำเตือนจากหลวงปู่นี้จึงเป็นการบอกกล่าวด้วยความอาทรสุดชีวิตจิตวิญญาณของ ท่าน เพราะชีวิตของคนเรานั้นการที่จะไปบังคับใครๆ คงทำไม่ได้ เพราะกรรมของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าทิฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา คือมีความเป็นอันตรงเหมือนกัน มีข้อปฏิบัติอันตรงเหมือนกัน จึงเรียกว่า วาสนาเท่ากัน กรรมเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝึกฝน ปฏิบัติ หัดทำ ไปพร้อมๆ กันได้
      
       ความมืด ความเงียบ
      
       เกี่ยวกับการฝึกฝนตนเอาชนะความมืดนี้ ผมเคยศึกษาค้นคว้าพบว่า ที่ธิเบต มีวิธีการฝึกที่น่าสนใจมาก เพราะโดยทั่วไป การศึกษาของพระลามะ (คำว่า "ลามะ" นั้น เรามักเข้าใจว่าเป็นคำเรียกพระธิเบตทุกๆ รูป แต่ความจริง พระธิเบตไม่มีฐานะเป็นลามะทุกรูป ต้องมีอาวุโส หรือได้รับความนิยมนับถือ ว่าสามารถทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้พอสมควร จึงมีฐานะเป็น ลามะ ได้) ในธิเบตนั้นมีพวกหนึ่งที่ปฏิบัติ (ตามหลักพระวินัย) เพื่อความสุขทางจิตใจ เพื่อหวังผลเลิศในกาลข้างหน้า พวกนี้ไม่สนใจในการศึกษาให้ลึกซึ้ง เป็นแต่ปฏิบัติตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ และอีกพวกหนึ่งศึกษาทางด้านปริยัติคล้ายกับทางบ้านเรา ที่เรียนหลักธรรม (ตามแบบมหายาน) อักษรศาสตร์ เรียนเพื่อเป็นปราชญ์ แต่ยังมีลามะอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการศึกษาทางวิปัสสนาอย่างแท้จริง โดยจะอยู่โดดเดี่ยว และเรียนวัตรปฏิบัติทางจิตใจอย่างเคร่งครัด
      
       พวกนี้จะมีวิธีการที่เคร่งครัดรุนแรงมาก เริ่มตั้งแต่การที่ไม่พบหน้าใครเลย นอกจากศิษย์หรือคนที่คอยรับใช้ ไม่พูดอะไร ถ้ามีความจำเป็นต้องการสิ่งใดก็เขียนหนังสือส่งให้แก่ศิษย์ ปิดบัง ขังตัวเองไม่ให้เห็นภูมิทัศน์ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก นอกจากท้องฟ้า ห้องที่อยู่มีเครื่องกำบังสูงพอที่จะไม่เห็นภาพแม้แต่ภูเขาในระยะไกล ให้มองเห็นแต่ท้องฟ้าเท่านั้น ต่อมาแม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่ให้เห็น คงมีเพียงแสงสว่างลอดเข้ามาในห้องช่วงเวลากลางวันเท่านั้น
      
       ในระยะหลังๆลามะจะไม่พบใครเลยแม้แต่ศิษย์ที่ปฏิบัติ โดยศิษย์จะนำอาหารและสิ่งที่ต้องการ มาส่งลอดเข้าทางช่องข้างฝาที่ทำไว้เป็นพิเศษเพื่อการนี้ รับประทานอาหารแล้วสอดภาชนะออกไปวางข้างนอก หรือมีอะไรที่ต้องการให้เอาไปเทไปทิ้ง ก็ส่งลอดออกไปตามช่องนี้
      
       จากนี้ไปจึงตกอยู่ในความมืดอย่างแท้จริง โดยปิดบังแสงสว่างทั้งหมด คงมีแต่อากาศสำหรับหายใจซึ่งมาจากปล่องที่ทำไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษที่เข้าใจ คิด เข้าใจทำ คือทำปล่องให้คดเคี้ยวเพื่อให้อากาศเข้าได้เพียงพอ แต่ไม่ให้แสงสว่างเข้าได้เลย ไม่จุดโคมไฟ เทียน หรือแม้แต่ธูป มืดจนไม่รู้ความแตกต่างระหว่างกลางคืน และกลางวัน เป็นการเก็บตัวอยู่แต่ในความมืด
      
       การที่เราอยู่ในความมืดเป็นเวลานานๆ อย่างนี้ ทำให้เรารู้จักและเข้าใจแน่ชัดในความหมายของคำว่า การที่ไม่มีอะไรจะสิ้นสุด (Eternity) ทำให้เชื่อแน่ในความมีอยู่ของดวงวิญญาณ ให้เข้าใจว่าการที่ดวงวิญญาณลอยล่องท่องเที่ยวอยู่ในจักรวาลนั้นมีสภาพอย่าง ไร ทำให้เชื่อว่าดวงวิญญาณคงจะลอยอยู่ในความมืด ในจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองก็เป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่ง เมื่อยู่ในความมืดก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนา ทำให้จิตมีสมาธิ ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน หงุดหงิดรำคาญ การทำอย่างนี้ทำให้กำลัง พลังของจิตมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในทันทีที่ทำให้ดวงจิตตั้งมั่นแน่วแน่ได้นั้น จะรู้สึกตัวเองได้ว่า ลอยคว้างอยู่ในความมืด อยู่ในความไม่มีที่สิ้นสุดของจักรวาล ทำให้เชื่อมั่นว่า การใช้พลังทางจิตทำสิ่งใดนั้น ไม่เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จะทำ
      
       การฝึกฝนอยู่ในความมืดของลามะธิเบตนั้น ต้องอยู่มากกว่า ๓๖๕ วัน และการจะออกจากความมืด ก็ทำอย่างแนบเนียน คือให้เห็นแสงสว่างทีละน้อยด้วยการเจาะรูที่หน้าต่าง ให้เป็นรูเล็กๆ เพื่อให้แสงสว่างลอดเข้ามาเพียงนิดเดียว ต่อมาวันหลังจึงเจาะรูเพิ่มขึ้น หรือทำให้รูใหญ่ขึ้นๆ จนกระทั่งเปิดหน้าต่างได้ เรียกว่าเป็นวิธีการที่รอบคอบ เพราะถ้าได้รับแสงสว่างอย่างเต็มที่ในทันทีทันใด อาจทำให้นัยน์ตาบอดได้!!
      
       เมื่อออกจากความมืดแล้ว ผู้ฝึกฝนจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้เกิดใหม่ ชีวิตในความมืดซึ่งทำให้เห็นสติตนเองเป็นดวงวิญญาณล่องลอย อยู่ในความไม่สิ้นสุดแห่งจักรวาลนั้น เมื่อออกจากความมืดมาแล้ว ก็รู้สึกเหมือนว่าดวงวิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเป็นคนใหม่ บางทีเกิดความรู้สึกเหมือนว่าเวลาหนึ่งปีในที่มืดนั้น เป็นเวลาที่นอนหลับตลอดปี และเพิ่งตื่นขึ้น เป็นความรู้สึกสดชื่น เหมือนหนึ่งได้สะสมพลังไว้หนึ่งปีเต็ม ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่นี้ มีผลทางจิตใจเป็นอันมาก ทำให้รู้สึกว่าความมืดอันนั้นได้ช่วยล้าง ขัดเกลา กล่อมเกลา ความผิดบาปชั่วดีทั้งหลายให้หายมลายล้างออกไปจากหัวใจ เมื่อออกมาสู่แสงสว่างใหม่ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเกิดใหม่ จึงมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมุ่งทำแต่ความดี (วิธีนี้ดูคล้ายกับการดัดนิสัยสันดานของอาชญากรบ้านเราที่เอามาขังคุกมืด ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร กลับเป็นการกดดันทางด้านจิตใจมากกว่า เพราะสักแต่ว่าขัง โดยไม่มีจุดหมาย หากแต่ได้ทำโดยขบวนการ วิธีการตามหลักวิชาของลามะธิเบตแล้ว เชื่อแน่ว่าจากคนร้าย จิตใจโหดเหี้ยม ยังไงซะต้องมีความรู้สึกที่ดีขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก จากน้ำใสใจจริงแท้ของตน)
      
       ระหว่างที่อยู่ในธุดงคสถานนี้ ภิกษุบางรูปเกิดป่วยเพราะยังปรับตัวกับอากาศที่นี่ไม่ได้ เนื่องจากกลางวันจะร้อนและแดดจัดมาก พอตอนเย็น พระอาทิตย์ตก อากาศจะเริ่มเย็นทันทีอย่างเห็นได้ชัด พอดึกๆ อากาศจะเริ่มหนาวมากขึ้น จวนใกล้สว่างยิ่งหนาวจัด จนถึงมีไอหมอก ไอความเย็นออกจากปาก จึงทำให้ภิกษุบางรูปป่วย หลวงปู่จึงแนะวิธีไว้ว่าให้พยายามเดินลม ทำ "ลมเจ็ดฐาน" แล้วจะค่อยยังชั่วขึ้น โดยให้ลมเดินไปตามจุดต่างๆ ของกาย อย่างมีสติรับรู้มัน จะทำให้ดีขึ้น สามารถอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นได้ และท่านยังแนะอีกว่า เช้าๆ ให้มาเดินจงกรมที่โบสถ์ (โบสถ์ที่ธุดงคสถานจะเป็นลานกว้างใต้ต้นไม้ มีหินกรวด ก้อนเล็กๆ กลมๆ อยู่ที่พื้น) จะช่วยระบบขับถ่ายได้ดี เพราะกรวดเหล่านี้จะช่วยจี้ไปตามจุดต่างๆ ในกาย โดยเฉพาะฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ซึ่งมีทั้งหมดตั้ง ๑๘๐ จุด แต่ละจุดจะเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียนโลหิต การเหยียบกรวดจะทำให้สุขภาพดี และเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย
      
       ปฏิบัติธรรม (๑)
      
       คืนแรกที่มาอยู่ธุดงคสถาน หลวงปู่ได้นำพวกเราปฏิบัติธรรมดังนี้
      
       "...ผ่อนคลาย ลุกขึ้นยืน แล้วก็ผ่อนคลาย ผมอยากแนะนำว่าอย่าพยายามดูคนอื่น จงดูตัวเอง จัดระเบียบของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เวลายืนอย่าพยายามยืนให้เท้าชิดกันมากนัก เพราะถ้าเมื่อใดที่เราหลับตา มันจะเซ แล้วก็ผ่อนลมออกยาวๆ ทางลมหายใจสัก ๔-๕ ครั้ง เพื่อเรียกสติหรือมิตรอันประเสริฐกลับมาก่อน เมื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อม เราคิดว่าความรู้สึกมันอยู่ในกายนี้แล้วก็ลองถ่ายเทน้ำหนักดู ถ่ายเทน้ำหนักโดยการยกส้นเท้าขวา ค่อยๆ ยก และให้น้ำหนักมันเทเข้ามาอยู่เท้าซ้าย ยกส้นเท้าขวาโดยปลายเท้ายังแตะพื้นอยู่ ให้ทำความรู้สึกว่าน้ำหนักตัวทั้งหมดนั้น ยืนหยัดได้ด้วยเท้าซ้ายรับน้ำหนักทั้งหมด เท้าขวาเบา เสร็จแล้วค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักจากเท้าซ้ายเข้าไปอยู่เท้าขวา โดยยกส้นเท้าซ้ายขึ้นแล้วลดเท้าขวาลง ทำไปอย่างนี้สักสิบนาที
      
       ถ้าหากรู้สึก สติ ความคิด จิตวิญญาณ มันล่องลอยออกไปนอกกายนี้ อย่าไปยืนโยกอยู่ ให้หยุดอยู่กับที่ แล้วสูดลมเข้าไปใหม่ รู้ว่าพลาดหรือผิด ต้องเปลี่ยนต้องแก้ไข ไม่ใช่ทำมันไปทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิด ฝึกให้เป็นคนจริงจัง ทำอะไรอย่างตั้งใจ..."
      
       จากนั้นท่านจึงนำพวกเราแผ่เมตตา ไหว้พระกรรมฐานหนึ่งที แล้วนั่งลง ท่านบอกว่า การที่เราจะเอาชนะความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดรำคาญ เหนื่อย เมื่อย เบื่อ เซ็ง หรืออารมณ์ฟุ้งฟูทั้งหลายนั้น บางครั้งมันก็ยาก แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ไม่หยุด ทำด้วยความเพียรมานะ ทำบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราต้องชนะมันจนได้ อย่าเพิ่งไปท้อแท้ อย่าเพิ่งไปหวาดกลัว เบื่อหน่ายที่จะไปทำ วันนี้เวลานี้ไม่ได้ อีกชั่วโมงหน้า นาทีหน้า เวลาหน้าอาจจะได้ เดือนหน้าอาจจะได้ แต่อย่าไปผลัด ต้องทำมันทุกเวลาถ้ามีโอกาส แล้วชัยชนะก็จะปรากฏขึ้น
      
       ความเพียร
      
       บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หลวงปู่ได้บอกพวกเราไว้หลังจากการปฏิบัติธรรมว่า บุคคลมีความสำเร็จได้ เพราะความเพียร ซึ่งคุณเครื่องยังให้ประสบความสำเร็จนี้พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ มีทั้งหมด ๔ อย่าง
      
       อันดับแรกคือ "ฉันทะ" ต้องสร้างความรักก่อน พอใจรักที่จะทำ หรือก็คือ ศรัทธา ทำให้เกิดศรัทธา เชื่อมั่น พร้อมที่จะทำมัน และทำมันบ่อยๆ อันดับที่สอง "วิริยะ" ทำด้วยความเพียร เพียรที่จะทำประจำ ทำเรื่อยๆ ทำอย่าปล่อยวาง แล้วต้องมี "จิตตะ" ที่หลวงปู่มักบอกไว้ว่า ตือ จดจ่อ จริงจัง จับจ้อง และตั้งใจ เมื่อมีใจที่จดจ่อกับมันแล้วจึงใช้ "วิมังสา" คือ ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณา
      
       ดังนั้น ท่านจึงเน้นย้ำว่า อย่ามาเสียเวลากับการคบหาสมาคมในสิ่งที่ทำให้เราฟูฟุ้ง เอาเวลามาทำให้เกิดสาระเกิดประโยชน์ อย่าไปยืนอยู่กับคมมีดที่มันดูขาว วาววับแต่จริงๆ แล้วมันบาดตัวเรา บางครั้งอยู่บนแผ่นดินดำๆ สกปรก มันยังทำให้ตัวเราตั้งมั่นอยู่ได้ คนดีนะบางครั้งดูไม่ออกหรอก ถ้าเราไม่จับไม่ต้องไม่สัมผัส ไม่เรียนรู้ไม่ศึกษา คนดีจริงๆ เขาไม่มาอวดดี พระธุดงค์ นักปฏิบัติธรรมจะต้องคิดยาว คิดไกล คิดละเอียด เพราะพระปฏิบัติธรรมต้องรู้จักประหยัดเวลา รู้จักประโยชน์ในการมีชีวิต แล้วทำให้มันมีประโยชน์ทุกขณะจิตที่ลมหายใจเข้าออก พยายามขยัน คือ ขยันคิด คิดมากๆ ขยันที่จะทำ อย่าหยุดมัน และก็มีความเพียรมากๆ
      
        สัญชาตญาณในป่า
      
       ก่อนที่จะเดินทางสู่ป่าใหญ่ข้างหน้า หลวงปู่ให้พวกเราพักอยู่ที่ธุดงคสถานอีกหนึ่งคืน โดยท่านบอกว่ามีเหตุที่บอกไม่ได้ การมาอยู่ป่าต้องรู้จักสังเกต แม้แต่เรื่องไฟป่า ที่ท่านมักบอกว่า ไม้ขีดก้านเดียวก็สามารถจะมองเห็นได้ในระยะ ๕ กิโลเมตรเมื่อจุดในที่มืด เสียงก็สามารถได้ยินไกลไปถึงสิบๆ กิโลเมตร พระที่อยู่ป่าจึงต้องรู้จักพัฒนาจิตวิญญาณ ให้ตนเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสละเอียด และต้องไม่ไปกวาดใบไม้ เศษไม้ กิ่งไม้ รอบๆ กลด ออกไปหมด เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องป้องกันภัย เป็นปราการด่านแรก เวลาที่งูหรือสัตว์อื่นมันมากลางคืนเราจะได้ยินเสียงใบไม้ดังกรอบๆ แกรบๆ
      
       เรื่องสัญชาตญาณการอยู่ป่านี้ ท่านได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว มีนักศึกษาแพทย์ ๒ คน อยู่สงขลาคนหนึ่ง อยู่สุรินทร์คนหนึ่งตามท่านไปเดินธุดงค์ เพื่อขอเรียนวิชาจากท่าน เวลาไปธุดงค์ก็นำเสบียงอาหาร พวกปลากระป๋อง มาม่าไปกินตอนปักกลด ด้วยความที่เป็นคนเมืองไม่รู้จักสัญชาตญาณของป่า พอกินมาม่า กินปลากระป๋องอิ่มแล้ว เกิดความขี้เกียจ จึงโยนเศษอาหารไว้ข้างๆ กลด เวลาประมาณสัก ๓-๔ ทุ่ม จึงเข้านอน สักพักมีเสียงร้องลั่นขึ้นว่า
      
       "หลวงปู่ช่วยด้วยครับ!! หลวงปู่ช่วยด้วย!!"
      
       หลวงปู่เล่าว่า ทั้งสองคนนอนอยู่ในกลด มดป่าเป็นล้านๆ ตัว จะเข้ามารุมกินสองคนนั้น แล้วอีกอย่างไปปักกลดบนรูมดเข้าด้วย ซึ่งเป็นมดงานป่า มดใต้ดิน เขาถามว่าจะทำอย่างไรดี ท่านบอกว่าอย่างนี้แผ่เมตตาก็ไม่มีหวังแล้ว ดังนั้นตัวใครตัวมัน วิ่งลงน้ำกันเอาเอง นี่แหละพระธุดงค์เขาจึงห้ามเก็บของกิน เพราะเก็บไว้แล้วมันจะเป็นภัยตามมา พอมดมา คางคกก็มา กบมา อึ่งมา เพื่อมากินมด กินแมลง พอกบมาอึ่งมากินมด "งู" ก็มากินกบกินอึ่ง แล้วจะเป็นเรื่องตามๆ กันมาอย่างนี้ ดังนั้นอยู่ป่าจึงต้องใช้สัญชาตญาณของธรรมชาติสอนเรา
      
       ความสุขแห่งชีวิต
      
       ธรรมชาติเป็นเหมือนบิดามารดาเกิดของเรา เป็นอาหาร เป็นที่อยู่อาศัย เป็นยารักษาโรค เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นทุกอย่างที่เราต้องการให้มันเป็น แต่เราก็ทำร้ายทำลายมันโดยไม่ค่อยใส่ใจต่อมัน ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหลวงปู่เป็นคนที่รักต้นไม้มาก ถึงแม้จะปลูกไว้ แต่ก็ไม่ได้ปลูกเพื่อตัวเอง ปลูกเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์จากมัน ซึ่งท่านบอกว่ารู้สึกเป็นสุขใจ ภูมิใจ ท่านปลูกต้นไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ ที่ธุดงคสถานนี้มาก แม้แต่ทุเรียนที่ท่านแพ้กลิ่น ก็ยังปลูก ท่านให้เหตุผลว่าถ้าพืชชนิดไหน เจริญงอกงามดี ชาวบ้านในละแวกนั้นจะได้นำไปเป็นแบบอย่าง และเป็นการสอนให้ชาวบ้านอยู่อย่างพึ่งตนเองแบบพอมี พอกิน พอเพียง ถ้าเหลือแล้วก็นำออกขายเป็นรายได้ เก็บเล็กผสมน้อย แค่นี้ชีวิตก็เป็นสุขได้ ซึ่งอาจจะตรงข้ามกับหลักเศรษฐศาสตร์ หลักอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหลาย ที่ท่านบอกว่าเป็นการทำร้ายต้นทุนเดิมของสังคม ที่มักจะไถทำไร่ ปลูกอย่างเดียว ขายแล้วได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งเป็นการฝากความหวังไว้กับสิ่งๆ เดียว การเป็นอยู่แต่ละวัน ไม่ได้คำนึงถึง แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาสังคม เพราะพึ่งตัวเองไม่ได้ ต่างคนต่างต้องไปพึ่งอย่างอื่น ซึ่งในอดีตกาลโบราณ บรรพบุรุษเรา สมัยก่อนๆ เขาทำกันมาพึ่งตัวเองมาตลอด มีบ่อปลา มีที่นา มีพืชผักสวนครัว มีไม้ผลกินประจำปี กินครึ่งปี กินกลางปี เหลือก็ออกไปขายข้างนอก ขายได้มาก็เก็บหอมรอมริบเอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ครอบครัวจึงร่มเย็นเป็นสุขอยู่กันอย่างสงบสันติ ชีวิตไทยๆ ดำเนินมาอย่างนี้ เป็นชีวิตวิญญาณของความสุข สงบ
      
       ท่านจึงสอนพวกเราไว้ว่า ความสุขของชีวิตมันอยู่ที่ความพอใจ พอมี ถ้ารู้จักทำให้พอดี พอมี มันเป็นสุขได้ทั้งนั้น แต่ถ้าไม่รู้จักพอ แม้แต่นอนอยู่บนกองทอง ดิ้นแล้วดิ้นอีก ทองทับตัวเองตายก็ยังไม่รู้สึกเป็นสุข
      
       อนาคาริก
      
       วันนี้หลวงปู่ได้ตำหนิ โวยวาย (สอน) ภิกษุรูปหนึ่ง ที่เข้ามาอยู่ในป่าแล้วยังมีสีกามาเยี่ยม ตามมาพูดคุย เหตุเพราะชีวิตของพระภิกษุนั้นเป็นผู้ออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน แล้ว (อนาคาริก) สิ่งที่ต้องทำคือ ดำรงความเป็นสมณะให้สงบสันติ ท่านจึงบอกว่าอย่าไปทำให้วิถีของพระธุดงค์หรือพระป่าเขาเสียหาย ควรจะเอาแบบอย่าง ดังเช่น "พระมหากัสสปะ" ท่านเป็นสุดยอดของนักธุดงค์ในโลก ขนาดเทวดาแปลงกายมา นางฟ้าแปลงกายมา ทำความสะอาดกุฏิให้ ตักน้ำไว้ให้ จัดหาอาหารมาถวายให้ พระมหากัสสปะยังตวาดขับไล่ไป เพราะว่าจะผิดจารีต เดี๋ยวคนรุ่นหลังๆ จะอ้างได้ว่า ขนาดพระมหากัสสปะยังทำได้ ถือธุดงค์แล้วยังมีคนมาดูแลเอาใจใส่ แถมยังเป็นผู้หญิงอีก
      
       แล้ววันนี้หลวงปู่ยังได้สั่งเณรไปบอกผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมาทำด้อมๆ มองๆ แอบมองท่านอยู่ ท่านย้ำไปว่าอย่าให้กูเห็นหน้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะซวยตลอดชาติ ผู้หญิงคนนั้นเลยรีบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะท่านบอกว่านิสัยของท่าน ไม่ชอบที่จะทำตัวเองเป็นคนไปติดในตระกูล เอาใจชาวบ้าน ให้ชาวบ้านมาคอยจับตามอง เหมือนกับว่าท่านกำลังจะเป็นอะไร (เป็นผู้วิเศษของใครๆ : ผู้เขียน)
      
       สิ่งที่ท่านทำนั้นก็เพื่อให้พวกเราสงบ สันติ เป็นการช่วยป้องกันจริยาของสมณะเอาไว้ ท่านมาช่วยรักษาบุญของพวกเราให้สงบสันติ ซึ่งเป็นบุญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพร้อม พระพุทธเจ้าเคยสอนพระอานนท์ไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่ามองหน้าผู้หญิง อย่าอยู่ใกล้ อย่าพูดด้วย ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ ต้องมองหน้า ต้องพูดด้วยสติ แล้วพูดไม่กี่คำ มีเรื่องจำเป็นถึงจะพูด พูดแล้วจงสำรวม สังวร ระวัง กิริยาอาการท่าทาง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์
      
       วันนี้ท่านบอกว่า เฝ้าสังเกตดูพวกเรา เห็นว่าสงบลงเยอะ ท่านคิดว่าอยากตะโกนบอกให้ "รักษาสติ" แต่มานึกอีกทีว่า ฮื้อ... นี่มันทรัพย์ของท่านนี่นา ประโยชน์อะไรต้องเอาทรัพย์ไปแจกคนอื่น เขาไม่พอใจจะเอาแล้วต้องไปตะโกนบอกเขาทำไม นึกอย่างนี้ท่านเลยปลูกต้นไม้ต่อ แต่พอตกเย็นท่านมาคิดได้ว่าไม่ถูก เราเป็นครูบาอาจารย์เป็นพ่อเป็นแม่ ในฐานะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต้องรักลูก ต้องใส่ใจ ต้องเอื้ออาทรและเมตตา เมื่อเห็นทำผิด ต้องชี้นำบอกกล่าว (นี่แหละคือหัวใจของคุรุที่แท้)
      
       ท่านเลยมาบอกพวกเราอีกครั้งว่า พยายามเตือนตัวเอง อย่าให้คนอื่นเขามาเตือนเรา บางครั้งความง่วง ความเพลีย ความสนุกสนาน ความอยากพูด อยากคุยมันก็มี แต่ต้องแบ่งเวลาบ้าง รู้จักแบ่งเวลาหามุมสงบบ้าง เดินจงกรมบ้าง เจริญภาวนาบ้าง และเจริญสติกันให้มาก ท่านบอกว่าอย่าประมาท ชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องลำบาก สำหรับคนที่ยืนหยัดอยู่บนความประมาท ที่พวกเราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มันไม่พ้นนรกไปสักเท่าไร อย่างดีก็เพียงแต่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ทรมานเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหน
      
       ชีวิตหลังความตาย
      
       หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนี้ตอนท่านไปอยู่ปราจีนบุรี กิ่งอำเภอสระมรกต ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ ตาหง่า มีอาชีพตีไก่ ต่อมาไม่นานตาหง่าเป็นโรคที่ต้องเจาะคอรูเบ้อเร่อ ขากเสลดไม่ได้ ต้องเอาขนไก่แยงเข้าไปในคอ แล้วดึงออกมา รีดเอาเสลดออกจากขนไก่ เวลาจะพูดก็ต้องอุดรูที่คอก่อน ปากก็เน่า ตอนนอนคนอื่นเขากรนครอกๆ ตาหง่ากรนเหมือนกันแต่เสียง ก๊อก ก๊อก เหมือนไก่ร้อง
      
       ก่อนจะตายลูกหลานซื้อฟูกอย่างดีให้นอน แต่ไม่นอน กลับไปเอาไม้ไผ่มาผูกเป็นคอน แล้วขึ้นไปนอนบนคอนไม้ นั่งจับเจ่าอยู่บนนั้น ทำกิริยาเหมือนไก่ ตอนใกล้ๆ จะตายเข้าขั้นตรีฑูต นอนฟูกอย่างดีก็ไม่ได้ ต้องเอาทรายเอาฟางมารองนอน ข้าวที่เขาใส่จานมาให้ก็กินไม่ได้ ต้องโปรย แล้วเอาลิ้นเอาปากไล่แทะไล่จิกเหมือนไก่ เหตุเพราะว่าตาหง่าชอบกินไก่นรก ซึ่งวิธีการทำไก่นรกนั้น เขาเอาไก่ไปฝังดินโผล่แค่คอแล้วกรอกน้ำกะทิ ไก่ยังเป็นๆอยู่เลย กรอกน้ำกะทิทุกวันๆ และกรอกอะไรอีกสารพัด เวลาตาหง่าจะตาย มือทั้งสองจะชนกัน ปากก็ไล่จิกข้าว ลูกหลานเลยต้องผูกเอาไว้ที่เสาเรือน ผูกมือสองข้างกับขาสองข้างโยงคนละเสา ดึงจนกระทั่งเชือกบาดเข้าไปในเนื้อเห็นกระดูกขาวเหวอะหวะ
      
       มีคนนิมนต์ให้หลวงปู่ไปช่วย ซึ่งตอนนั้นตาหง่ายังมีไก่อยู่เป็นร้อยๆ ตัว ท่านจึงบอกว่าปล่อยไก่ไปเถอะ เขาเลยนำไก่ไปปล่อยที่วัด แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ จึงทำให้ตาหง่าจากที่เคยร้องก๊อกๆ ตอนกลางคืนก็หยุดร้อง จากที่เคยเอามือเคาะกันเสียงดังโป๊กๆ จนเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกเคาะก็หยุดเคาะ หลวงปู่จึงบอกให้ถวายสังฆทานกรวดน้ำแผ่เมตตา ตาหง่าจึงค่อยสงบลง ร่างกายก็ค่อยดีขึ้นหน่อย
      
       ชีวิตหลังความตาย และโลกก่อนตาย จึงเป็นชีวิตที่ยากต่อการคาดเดา ถ้าจิตเรา สมาธิเรา สติเราไม่มั่นคง บางทีจะทำให้เราต้องอับเฉาเศร้าหมองได้ ดังนั้นท่านจึงเน้นว่าพยายามรักษาสติเอาไว้ ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เป็นตัวของตัวเองเราก็ยิ่งต้องฝึกให้มากขึ้น
      
       สติ ธรรมะ ไม่ได้มีไว้พกพาอวดใคร หลวงปู่สอนไว้ว่ามีเอาไว้ใช้เวลาเราเผชิญต่อกิจกรรมการงานหรือปัญหาของชีวิต แล้วเราตัดสินไม่ได้ แก้ไขไม่สะดวก ไม่ละเอียด รอบคอบ ธรรมะมันจะเกิดตอนนี้ เสียแล้วก็ไม่ร้องไห้ ได้ก็ไม่ดีใจจนกลายเป็นประมาท นั่นคือคนมีธรรมะ อายุเวลาล่วงเลยไปทุกวันๆ ไม่มีใครหนุ่มตลอดกาล มันต้องแก่ลงทุกวัน กาลเวลามันกลืนกินสรรพสัตว์ ท่านจึงเตือนเสมอว่า "พยายามรักษาสติให้ได้มาก" อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มไปกับสิ่งไร้สาระ
      
       ความตาย (แบบธิเบต)
      
       เรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายนี้ ต่างที่ต่างถิ่นก็มีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่มีอยู่ชาติ เผ่าพันธุ์หนึ่งที่เขาถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องสิ่งที่ต้องเรียนรู้ นั่นคือ ชนชาวหลังคาโลก หรือ ชาว "ธิเบต"
      
       ตามความเชื่อของชาวธิเบตนั้น คนที่ตายไปแล้ว วิญญาณไม่ได้ออกจากร่าง วิญญาณยังสิงอยู่ในร่าง และสิงอยู่จนกว่าจะทำพิธีให้ออกไป เริ่มแรกทีเดียวผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต้องมาพูดกับศพว่า ขอให้เจ้ารู้ว่าบัดนี้เจ้าตายไปแล้ว ร่างกายอันนี้ใช้ไม่ได้แล้ว (จิต) วิญญาณอย่าสิงสู่อยู่ต่อไปอีกเลย หรือบางทีก็ให้พระ (ลามะ) ที่เชี่ยวชาญชั้นอาจารย์มาทำพิธี
      
       ตามประเพณีของชนทั้งหลายทั่วโลก "ย่อมไว้อาลัยแก่คนตาย" แต่ชาวธิเบตมีประเพณี ความเชื่อที่ตรงกันข้าม คือเมื่อตายไปแล้วก็ "เป็นที่รังเกียจ" ของครอบครัว พยายามที่จะขับไล่ดวงวิญญาณไปให้ห่างมากที่สุด โดยไม่มีความอาลัย ห่วงหา ซึ่งเขามีเหตุผล ความเชื่อว่า ถ้ายังปล่อยให้ดวงวิญญาณวนเวียนอยู่ ด้วยความรัก ความอาลัยครอบครัว ดวงวิญญาณนั้นจะไม่ไปเกิด และยิ่งกว่านั้น ยังจะหลอกหลอน สร้างความกลัวให้แก่ครอบครัวต่อไปด้วย
      
       และเช่นกันที่ประเพณีทั่วไปย่อมมีการสรรเสริญคุณงามความดีของผู้ตาย ถึงแม้ผู้ตายจะได้ประกอบคุณงามความดีไว้เพียงเล็กน้อย แต่ก็พยายามที่จะพรรณนา สรรเสริญให้มาก เพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูล หรือแก่ตัวผู้ตาย แต่ธรรมเนียมของชาวธิเบตนั้นผู้ตายจะถูกด่าแช่งต่อหน้าศพ ว่าไม่ได้ทำความดีอะไร ทุกคนดีใจเมื่อเห็นเขาตายไปแล้ว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครห่วงใย ไม่มีใครอยากพบ อยากเห็นเขาอีก ให้เขาไปเสียให้พ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอาจจะรักและอาลัยผู้ตายเป็นอย่างมาก แต่ถ้าไปแสดงความรัก ความอาลัยเข้า อาจจะทำความลำบากแก่ดวงวิญญาณ คือทำให้ดวงวิญญาณไม่ไปเกิดใหม่ วนเวียนอยู่ด้วยความห่วงใย และอาจจะหลอกหลอนให้โทษแก่ครอบครัว
      
       การเกิดใหม่ของดวงวิญญาณ
      
       เหตุของการที่ต้องขับไล่ดวงวิญญาณของชาวธิเบตนั้น สืบเนื่องจากประเพณีที่ห่วงใยการเกิดใหม่ของดวงวิญญาณ พิธีการในทางศาสนาที่ทำ จึงไม่มีความสำคัญเท่าการที่จะทำให้ดวงวิญญาณไปเกิดและไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ ทางที่ดวงวิญญาณจะไปเกิดนั้นมีอยู่หลายทาง ซึ่งมีหนทางตามแบบความเชื่อของชนชาติธิเบต คือ
      
       ๑. ไปเป็นเทพเจ้า ซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุด (ธิเบตมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เรื่องปีศาจมาก)
       ๒. เป็นอสูร ยักษ์ มาร ซึ่งดีที่สองรองลงมา เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นตัวร้าย ก็ยังมีฤทธิ์เดช
       ๓. เป็นมนุษย์ อย่างคนสามัญทั่วไป
       ๔. เป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งต่ำลงไปกว่ามนุษย์
       ๕. เป็นเปรต ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตมหึมา ทนทุกขเวทนาด้วยการหิวกระหายอยู่เป็นนิตย์ และจะได้อาหารก็แต่เฉพาะที่ญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์ทำบุญส่งไปให้ (เรื่องของเปรตนี้ เป็นคติความเชื่ออันเดียวกันกับทางพระบ้านเราที่เชื่อถือกัน)
      
        การทำลายศพ
      
       เมื่อได้ทำพิธีขับดวงวิญญาณออกไปจากร่างเสร็จ ร่างนั้นก็เป็นของไม่มีคุณค่าอะไร จะเอาไปทำอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ทำลายให้หมดไป ซึ่งมีวิธีทำได้ถึง ๕ อย่าง ตามท้องถิ่น หรือตามลัทธินิกาย กล่าวคือ
      
       ๑. เอาศพไปบนยอดเขา ตัดขา ตัดแขนออกจากร่าง ทิ้งไว้ให้แร้ง หรือสัตว์ใดๆ กินตามใจชอบ
       ๒. เอาศพทิ้งลงในแม่น้ำ แม่น้ำที่จะทิ้งศพนี้มีเพียงบางแห่ง ซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ การเอาศพทิ้งลงในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ศพ หรือแก่ดวงวิญญาณ แต่เป็นเรื่องที่บูชาแม่น้ำ ตามปกติศพที่ทิ้งลงไปในแม่น้ำนี้ ย่อมจะไม่มีอะไรเหลือ เพราะปลากินเนื้อหมด
       ๓. ใช้วิธีเผา
       ๔. ใช้วิธีฝัง
      
       ในบรรดาวิธีเหล่านี้ วิธีที่ใช้กันมากในธิเบต ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ ๑ เพราะเมื่อสัตว์กินเนื้อหมดแล้ว เหลือแต่กระดูก กระดูกนั้นนำมาทำประโยชน์ได้อีก โดยนำมาทำลูกประคำ ๑๐๘ ลูกสำหรับพระ
      
        ปฏิบัติธรรม (๒) (เสียงแห่งสภาวธรรม)
      
       มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ได้นำปฏิบัติธรรม ท่านเน้นให้พวกเรามีสติตั้งมั่นรู้ตัวทุกขณะจิตทุกอิริยาบถ แล้วท่านก็ได้พูดถึงประโยชน์ของลมเจ็ดฐาน ว่าทำให้เราเป็นคนรอบรู้ ฉลาดตามกระบวนการของเหตุปัจจัย ถึงเราจะไม่เคยได้เรียนมา ไม่เคยได้ฟังมา ไม่เคยท่องจำมา แต่เราก็จะรู้มันได้ ทำให้เรามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ท่านบอกว่า
      
       "...จะระลึกรู้ลมหายใจ (อานาปานบรรพ) หรือว่าจะดูโครงกระดูก (วิชากระดูก) ของตน พิจารณาโครงสร้างของกายหรือว่าจะรู้รูปอิริยาบถนั่งก็แล้วแต่ แต่การระลึกรู้รูปอิริยาบถนั่ง จิตมันจะเคลื่อนง่าย สติมันจะหายไปง่าย เพราะรู้แค่แว้บเดียว มันไม่มีรายละเอียดในการจับต้องอิริยาบถ เพราะเพียงแค่รู้ว่านั่งเฉยๆ มันก็จบ เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ให้ละเอียดรู้ลึกลงไป ต้องถลกหนังออกเข้าไปดูโครงสร้างของกาย มันก็ถือว่าเป็นการรู้อิริยาบถได้เหมือนกัน..."
      
       ท่านได้บอกวิธีการระงับเวทนา ซึ่งท่านเคยประสบมาหลังจากที่ท่านเลิกอบรมวิปัสสนาจารย์มาแล้วว่า ท่านจะปวดลึกๆ เข้าไปในเนื้อสมองบริเวณสมองซีกซ้ายด้านหลัง แล้วตาจะมองภาพไม่ค่อยเห็น มือจะชา ท่านมีวิธีระงับเวทนาโดยการ "เจริญสติให้อยู่ในองค์ฌาน" แล้วคิดด้วยวิถีพุทธว่า
      
       "กระดูกท่อนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ กระดูกท่อนหนึ่งกำลังยืนอยู่ กระดูกท่อนหนึ่งกำลังเดินอยู่ กระดูกกองหนึ่งกำลังนอนอยู่ เมื่อเป็นกระดูก ความเจ็บปวดจะมีจากไหน"
      
       เมื่อท่านคิดได้อย่างนี้ เวทนาจากการเจ็บปวดที่เกิดในเนื้อสมองซีกซ้ายด้านหลัง ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง เหล่านี้คือความมหัศจรรย์ของจิต ความมหัศจรรย์ของมหาสติปัฏฐาน และเป็นความมหัศจรรย์ของลมเจ็ดฐาน ตอนที่ท่านมาอบรมพวกเราใหม่ๆ ท่านจะมีอาการไม่สบายมาก ไอ ดูท่าทางจะหมดแรง ท่านบอกว่าท่านกระทบกับไอเย็น (ตอนหัวค่ำใกล้จะมืด อากาศจะเย็นเร็วมาก จากที่เคยร้อนอบอ้าวกลางวัน) แล้วก็จาม รู้สึกว่ากำลังจะไอ ท่านจึงคิดว่า "กระดูกกองหนึ่งกำลังพนมมือไหว้พระพุทธเจ้า กระดูกกองหนึ่งกำลังจะกราบพระพุทธเจ้า" อาการจามของท่านจึงหายไป
      
       ท่านได้สอนพวกเราไว้ว่า ร่างกายที่เกิดความบีบคั้นจากบรรยากาศที่หนาวเหน็บ ในเวลานี้ ถ้าคิดว่ากระดูกกองหนึ่งกำลังนั่งอยู่ เมื่อมันไม่มีเลือดไม่มีเนื้อไม่มีชีวิต ไหนเลยมันจะมีความรู้สึก มันจะเกิดเวทนาได้อย่างไร คิดอย่างนี้ไม่ใช่คิดโกหกตัวเองหรือหลอกตัวเอง แต่คิดให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จากนั้น ทุกคนก็ปฏิบัติธรรม...
      
        มีแค่นี้เองหรือ....เท่านี้เองหรือ
      
       ในระหว่างที่กำลังนั่งสมาธิกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงว่า "มีแค่นี้เองหรือ" คล้ายๆ เป็นคำอุทานจากหลวงปู่ แต่เป็นเสียงจากสภาวธรรมของท่านในขณะนั้น แล้วท่านเมตตาบอกกล่าว เป็นคำพูด ถ่ายทอดสภาวธรรมนั้นออกมา สั่งสอนให้พวกเราได้รับรู้รับทราบ เพื่อให้เกิดความแจ่มกระจ่างชัด ขจัดความโง่เขลาของพวกเรา
      
       "มีแค่นี้เองหรือ" เป็นคำอุทานในขณะที่ หลวงปู่กำลังวิเคราะห์กระดูกของท่าน แล้วก็ป่นกระดูกของตัวเองเป็นผุยผง ค้นหาชีวิตอินทรีย์ในผงกระดูกนั้น แต่ไม่พบ จึงทำให้ท่านรู้ว่ามันไม่มีจริงๆ มีแต่ผงกระดูกเท่านั้น ท่านจึงเปล่งเสียงแห่งสภาวธรรมนั้นออกมาว่า "มีแค่นี้เองหรือ เท่านี้เองหรือ" ความหมายของมันก็คือ หนึ่งชีวิตของท่านที่สร้างสิ่งสาระมากมาย สุดท้ายมีเพียงผงกระดูกกองหนึ่งเท่านั้น หนึ่งชีวิตของคนหนึ่งคน ทำทั้งดีทั้งเลว สุดท้ายก็จบลงตรงเพียงแค่ มีกองกระดูกกองหนึ่งเท่านั้น!
      
       จริงๆ แล้วท่านยังไม่อยากจะหยุด อยากจะนั่งอยู่อย่างนี้ยันสว่าง แต่ท่านสงสารพวกเรา และอยากจะอุทานบอกพวกเราอีกครั้งหนึ่งว่า "สันติคือความสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่บุรุษบุคคลดื่มด่ำได้จากความสงบและสันติ เป็นความสุขสุดยอด" ท่านบอกว่าพูดเพื่อให้พวกเราได้เห็นถึงสาระประโยชน์ของการมีชีวิตอย่างจริง จัง ตั้งใจ จดจ่อ และก็จับจ้องมัน ในการที่จะเอาชนะสรรพสิ่งรอบกาย และในตัวเราเอง ท่านอยากให้พวกเราได้รู้ว่า ความรู้ทั้งหลายที่มีอยู่ในจักรวาล มันไม่ได้จบแค่คำว่าตำรา แต่มันจบลงตรงคำว่า "ท่านทำได้หรือเปล่า รู้จริง แค่ไหน ได้สาระจากมันมากน้อยอย่างไร"
      
       ชีวิตของสมณะผู้สงบต้องยืนอยู่ในความหมายของความปล่อยวาง สลัดหลุด ไม่ปล่อยอะไรให้มาฉุดเรา ท่านได้อธิบายว่า การที่ท่านพยายามจ้ำจี้จ้ำไช ห้ามปรามในบางเรื่องบางราวหรือหลายเรื่องหลายราว ก็เพราะอยากให้พวกเรามีกุศลผลบุญติดตัวบ้าง อย่างน้อยก็เป็นบารมีสร้างสมอบรมไว้ เกิดกับเขามาชาติหนึ่งเป็นคน ได้มีโอกาสบวชในพระพุทธศาสนา ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงมีสักครั้งหนึ่ง ช่วงหนึ่งของชีวิตหรือลมหายใจ ที่เราคิดจะทำดี พูดดี คิดดี พยายามละเลิก ละเลย หนีห่างไกลจากความอัปรีย์ทั้งหลาย ก็เป็นบุญกุศลแล้ว อย่างน้อยมันจะติดตามตัวเรา ถึงวันนี้มันจะนิดหน่อย ได้เห็นแสงสว่างแค่งูแลบลิ้น ถ้าเราไม่ตาบอด เราจะต้องเห็นแสงนั้น แล้วเราก็จะเชื่อว่า แสงสว่างยังมีอยู่ในที่มืด
      
       แสงสว่างแห่งธรรม
      
       เพราะความเชื่อในแสงสว่างที่ยังมีอยู่ในที่มืด จึงทำให้สัตว์เหล่านั้นขวนขวายที่จะไปหาความสว่าง แต่ถ้าไม่คิดจะทำ มันก็ไม่ปรากฏแสงสว่าง เมื่อไม่ปรากฏแสงสว่างเราก็ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อก็จมปลักอยู่ในความมืดบอดอยู่อย่างนั้น ชีวิตที่จมปลักอยู่กับความมืดบอดคือชีวิตของสัตว์นรก เมื่อเป็นชีวิตของสัตว์นรก มีคนมาบอกว่าทางสว่างมีเราก็ไม่เชื่อเพราะว่าไม่เคยเห็น พระธรรมมีแล้วก็ไม่เชื่อเพราะไม่เคยทำ พระพุทธเจ้ามีอุบัติแล้วก็ไม่เชื่อเพราะไม่เคยพบ พระอริยสงฆ์มีก็ไม่เชื่อเพราะเราไม่เคยรู้จัก
      
       เพราะฉะนั้นที่หลวงปู่เคี่ยวเข็ญในธรรม ท่านทำเพื่อให้พวกเราได้เชื่อ ได้เห็น ได้รู้ ได้สัมผัส แสงแห่งความสงบสันติ เพราะเพียงแค่ชั่วงูแลบลิ้นแว้บเดียว เราก็ยังมีโอกาสได้เป็นอานิสงส์ ทำให้เชื่อผลแห่งการปฏิบัติธรรม เมื่อเชื่อแล้ว ศรัทธาแล้ว และเป็นจริงที่สัมผัสด้วยตนเองแล้ว ถึงจะไปตกนรกหมกไหม้อยู่ที่ไหน จมปลักอยู่ในความมืดบอดอย่างไร ความเชื่อความศรัทธาที่มีอยู่ เพียงแค่แว้บเดียว ก็จะช่วยเราได้ในที่สุด มันจะทำให้เราได้รู้จักคิด รู้จักหาวิธีพ้นทุกข์ รู้จักแสวงหาความสว่างและสันติสุขด้วยตนเอง เพราะนิสัยของหลวงปู่นั้น ท่านบอกว่า ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบจะไปจ้ำจี้จ้ำไชใครมาก ไม่ชอบที่จะไปพูดมากกับใคร แต่เพราะนี่เป็นหน้าที่
      
       ที่ท่านชอบอยู่คนเดียว ท่านบอกว่าเพราะมีความสุขกับการได้อยู่คนเดียว แล้วอยากให้พวกเราได้มีความสุขแบบนี้อย่างนี้ เพื่อจะได้เห็นแสงสว่างในที่มืดบ้าง จะได้ไม่ปล่อยชีวิตให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับอะไรๆ มากมาย ทุกอย่างรอบกายเรามันเป็นมายาการ เป็นโรงละครโรงหนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่ของจริง แต่เรามีหน้าที่กับมัน ก็ทำให้มันดีที่สุด อย่าปล่อยให้มันเป็นนายเรา ถ้าคิดได้อย่างนี้ คิดอย่างคนมีสติจริงๆ อย่างท่านแล้วเราก็จะรู้ว่ามันไม่มีอะไร
      
       หลวงปู่เล่าให้ฟังว่ามี "ลามะ" คุรุองค์ที่แปดขององค์ทไลลามะ เดินทางมาเมืองไทย และอยากมาพบท่าน ท่านจึงนึกถึงพวกเรา เพราะว่าเห็นพวกเราห่มผ้ากันหนาว (อากาศหนาวมากต้องห่มผ้าเพิ่ม เพราะจีวรผืนเดียวช่วยไม่ค่อยได้) ท่านเลยบอกวิธีแก้หนาวตามแบบธิเบตไว้ว่า พระธิเบต (ลามะ) ที่เขาอยู่ถ้ำน้ำแข็งเขาฝึก "โกลัมปะ" เขาต้องเจริญสติจนกระทั่งเป็นองค์ฌาน ทำกสิณไฟให้ปรากฏในกาย ในขณะที่อยู่ในองค์ฌาน อยู่ในสมาธิก็จะไม่รู้สึกหนาว เหมือนอย่างครั้งหนึ่งที่ท่านไปอยู่ในน้ำ สอนวิชา "สมาธิพระโพธิสัตว์" ให้กับเณร บริเวณรอบๆ กายของท่านจะมีน้ำอุ่นอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่อากาศหนาวและน้ำเย็นมาก
      
       ท่านจึงบอกให้พวกเราเจริญสติ รู้ตัวก็ลุกขึ้นมา หายใจเข้าลึกๆ ขังลมไว้ แล้วนับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ความร้อนมันจะปรากฏขึ้นในกาย เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ นอนขดอยู่ในกลดมากๆ จะหนาวเหน็บเข้าไปจนถึงขั้นเจ็บกระดูก ต่อมทอมซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ เพราะอากาศเปลี่ยนเร็วมาก จะทำให้สุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยได้ง่าย แล้วท่านก็ให้พวกเราไปทดลองฝึกดูเอาเอง จะได้อยู่อย่างไม่ต้องหวาดกลัวต่อภัยรอบตัว
      
        การสร้างเตโชธาตุ
      
       เรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชนะความหนาวของลามะธิเบต ผมได้ศึกษาค้นคว้า พบว่า ที่ธิเบตมีวิธีการฝึกเพื่อเอาชนะความหนาวที่แปลก พิสดาร โหด เนื่องจากเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่า ประเทศธิเบตเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น อากาศหนาวตลอดปี เขตที่หิมะจะหยุดนั้นมีเพียงเล็กน้อย ที่อยู่ของมนุษย์ก็อยู่ในระยะสูงตั้งแต่ ๓,๐๐๐ ถึง ๘,๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล ชีวิตในธิเบตเป็นชีวิตที่ต้องต่อสู้กับความหนาวอย่างแท้จริง คนธรรมดาต้องใช้เครื่องห่อหุ้มร่างกายอย่างหนา ซึ่งทอหรือทำด้วยขนสัตว์ แต่บรรดาพวกลามะใช้ผ้าอย่างบางๆ แล้วก็ทนหนาวได้อย่างแปลกประหลาด ซึ่งคนปกติแม้แต่คนเมืองหนาวยังต้องใช้เครื่องห่อหุ้มร่างกายอย่างมากเพื่อ ป้องกันความหนาว เพราะความหนาวสามารถทำให้คนตายได้ง่ายๆ ด้วยโรคที่เรียกว่าปอดชื้น ปอดบวม หรือไข้หวัดอย่างร้ายแรง
      
       แต่พวกลามะในธิเบตกลับห่มแค่ผ้าเหลืองบางๆ ธรรมดา และสามารถทนหนาวได้ ยิ่งเป็นลามะที่มีความสามารถเรียนรู้ฝึกฝนตามวิธีการของธิเบตด้วยแล้ว แม้ในเวลาหนาวจัดที่หิมะตก น้ำในลำธารเป็นน้ำแข็ง ก็เกือบจะไม่ต้องการเครื่องปกคลุมร่างกายแต่อย่างใด และไม่ได้ปกคลุมร่างกายยิ่งไปกว่าที่ใช้อยู่ตามธรรมดาในฤดูที่มีความอบอุ่น ทั้งนี้เพราะเหตุว่าบรรดาลามะได้เล่าเรียนศึกษาในทางสร้างเตโชธาตุมาไม่มาก ก็น้อย
      
       ทางหลักวิชาเขาอธิบายไว้ว่า ในร่างกายของมนุษย์เรานั้น ธรรมชาติได้ให้ความอบอุ่นมาเพียงพอ ได้ให้เตโชธาตุมาในตัวแล้ว เพียงแต่ทำให้เตโชธาตุนั้นมีกำลังแรงขึ้นเหมือนใส่เชื้อเพลิงให้เพลิงลุกแรง ขึ้น ความอบอุ่นในร่างกายก็จะมีมากพอสำหรับต่อสู้ความหนาวได้ ในร่างกายของมนุษย์มีพลังที่ซ่อนอยู่ มนุษย์เพียงแต่รู้วิชาที่จะปลุกเอาพลังที่หลับอยู่ขึ้นมาใช้เท่านั้น ก็สามารถจะทำสิ่งซึ่งมนุษย์ทั่วไปเห็นเป็นความมหัศจรรย์ แต่ไม่ใช่ความมหัศจรรย์โดยธรรมชาติ ซึ่งอันที่จริงก็เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง
      
       หลักวิชาอย่างนี้ตรงกับหลักจิตวิทยาที่รับรองทั่วไป ทั้งในธิเบต ในอินเดีย และในที่อื่นๆ ซึ่งการสร้างเตโชธาตุเป็นวิทยาการที่พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยก็ทำให้ทนหนาวได้ โดยไม่เป็นหวัด ไม่ป่วยไข้ ไม่สั่นสะท้าน รู้สึกอบอุ่นแม้มีเพียงเครื่องปกคลุมร่างกายเพียงเล็กน้อย ในขณะที่อากาศหนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง ผู้ที่ได้ฝึกฝนตามวิธีการอย่างครบถ้วนแล้ว สามารถจะยืนหยัดหรือนั่งอยู่กลางหิมะ โดยเปลือยกายอยู่ตลอดคืนได้ ยิ่งกว่านั้นลามะชั้นอาจารย์ที่เก่งๆ สามารถนั่งภาวนาเป่าหญ้าแห้งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็มีไฟลุกโพลงขึ้นมาได้!!
      
       วิธีการฝึกนั้น เป็นไปตามหลักวิทยาการ เป็นเรื่องจิตศาสตร์โดยแท้ เป็นวิธีที่ใกล้หลักพระพุทธศาสนายิ่งกว่าเรื่องอื่นๆ วิธีของธิเบตนั้นไม่มีวิธีที่ค่อยทำค่อยไป พอเริ่มต้นก็ทำอย่างหักโหมร้ายแรง สู้ไม่ได้ก็ตายไป ถ้าสู้ได้ก็เป็นอันฝึกฝนได้สำเร็จ ก่อนลงมือทำการฝึกหัด อาจารย์จะให้ท่องมนต์ก่อน มนต์นั้นมีใจความว่า เราเป็นผู้ไม่กลัว เราใช้หนี้หมดแล้ว เราเสียสละแล้ว เรามีความสุข อยู่ในความวิเวก ไม่ต้องการคบหาใคร นอกจากแผ่นดินและท้องฟ้า เราเชื่อว่าพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ให้สิ่งที่ป้องกันความหนาวไว้แก่เรา หิมะเป็นของสวยงาม ความหนาวเป็นเครื่องให้ความสุขแก่มนุษย์ ลมที่พัดพาเอาความเย็นแทรกซึมเข้าไปในกระดูกได้นั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ ผู้มีปัญญาสามารถ ย่อมจะรับเอาสิ่งที่ดีจากของเหล่านั้นไว้ในตัว ไม่รับเอาสิ่งที่ร้าย
      
       การฝึกครั้งแรก คือให้ลงไปอาบน้ำในเวลากลางคืนในแม่น้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็ง ห้ามเช็ดตัว ห้ามห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าหนา แล้วให้นั่งภาวนาคาถา ก็จะเกิดความอบอุ่นขึ้นในร่างกายหากเราสังเกตมันได้ ซึ่งอาจจะตรงกับหลักจิตวิทยาโดยทั่วไปว่าในร่างกายของมนุษย์เรานั้น ถ้ามีความจำเป็นจะต้องต่อสู้กับความร้ายแรงในทางหนึ่งทางใด กำลังใจที่จะต่อสู้ในทางนั้น ซึ่งหลับอยู่ในตัว ก็ลุกขึ้นต่อสู้ความหนาว เราจะใช้เวลาที่อยู่ในน้ำได้มากอย่างที่ไม่นึกว่าจะทำได้ และพอขึ้นมาจากน้ำก็รู้สึกว่ามีไอน้ำออกทั่วตัว ซึ่งแสดงว่าเตโชธาตุได้ลุกขึ้นทำการต่อสู้กับความหนาวเย็นอย่างมาก
      
       ภายหลังที่ขึ้นจากน้ำ ห้ามคลุมผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์ ห้ามผิงไฟ ให้นั่งนิ่งภาวนาให้นานที่สุด (ต่อสู้กับลมหนาวด้วย) วิธีการนั่งภาวนาสามารถนั่งขัดสมาธิแบบที่เรารู้จักก็ได้ หรือว่านั่งบนที่ที่ยกชั้นขึ้นห้อยขาลง มือทั้งสองพาดที่เข่า แต่ว่าให้เอาหัวแม่มือและนิ้วนางงอเข้า ส่วนนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วก้อยให้เหยียดออก (แบบท่าพระโพธิสัตว์)
      
       ซึ่งวิธีการนั่งภาวนานี้เป็นมหาสติปัฏฐานโดยแท้ เพราะว่าให้พิจารณาลมหายใจเข้าออก แต่วิธีการ เคล็ดลับการฝึกที่ละเอียดนอกไปจากสติปัฏฐานที่เรารู้จักกันอยู่ในเมืองไทย นั้นก็คือ เวลาหายใจออกให้ขับอติมานะ ความเย่อหยิ่ง ความโกรธ ความพยาบาท ความอยากได้ และความเกียจคร้านออกไปพร้อมกับลมหายใจ เวลาหายใจเข้าให้นึกถึงพระพุทธคุณ และพระคุณของพระเจ้า ๕ พระองค์ ให้เอาอารมณ์ออกไปในเวลาหายใจออก ให้คิดเอาพุทธคุณเข้าในตัวเวลาหายใจเข้า
      
       เมื่อทำสติปัฏฐานเกี่ยวกับลมหายใจได้แน่วแน่แล้ว จึงทำการปฏิบัติอีกขั้นซึ่งมี ๒ ขั้นตอนคือ
      
       ขั้นแรกเรียกว่า "รามา" คือให้สร้างมโนภาพว่าในท้องเรานั้นมีดอกบัวดอกหนึ่ง อยู่ตรงสะดือของเรา ดอกบัวนั้นมีความร้อนแรงและแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ ให้สร้างมโนภาพให้ชัดว่าดอกบัวอยู่ในท้อง เป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีทั้งแสงและความร้อน ที่จะแผ่ซาบซ่าน กระจายความอบอุ่นไปทั่วร่างกาย
      
       ขั้นที่สองเรียกว่า "อุมา" ให้นึกสร้างเส้นประสาทใหม่ขึ้นในตัวเรา ๓ เส้น เส้นหนึ่งแล่นตั้งแต่ปลายเท้าขวาไปถึงปลายมือขวา เส้นที่สองแล่นตั้งแต่ปลายเท้าซ้ายขึ้นไปถึงปลายมือซ้าย เส้นที่สามแล่นกลางตัวขึ้นไปจนถึงศีรษะ ให้สร้างมโนคติเห็นเส้นประสาทเหล่านี้เป็นเหมือนสายฟ้า ที่มีไฟสีขาวเริงแรงอยู่ตลอดเส้น และเปลี่ยนขนาดเรื่อยไป ในขั้นแรกให้เห็นขนาดเท่าเส้นผม ต่อไปให้โตขึ้นเท่านิ้วก้อย เท่าแขน และลุกโพลงไปทั่วตัวแล้วก็กลับเล็กลง คือกลับเล็กเท่าแขน เท่านิ้วก้อยเท่าเส้นผม! ซึ่งเป็นวิธีการอย่างที่เรียกว่าอนุโลม-ปฏิโลม คือ เดินหน้าและถอยหลัง อย่างวิธีกัมมัฏฐานของไทย ทำกลับไปกลับมาอย่างนี้ให้ได้ภาพที่แน่นอนแล้ว ก็จบลงด้วยการเห็นสายไฟนั้นดับ ให้เรารู้สึกตกอยู่ในความมืด อยู่ในที่ว่างเปล่าของจักรวาล สงบนิ่งในอารมณ์นั้น
      
       วิธีการทางธิเบตเป็นที่เลื่อมใสแก่พวกนักศึกษา โยคะหรือพวกโยคีในอินเดีย จนมาขอร่ำเรียนศึกษา ซึ่งก็มีโยคีที่เก่งคนหนึ่งของอินเดีย ชื่อนโรทะ มีความรู้ทางลัทธิโยคีมาอยู่แล้ว ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมตามวิธีการของธิเบต และได้รับการรับรองจากคนเก่งๆ ในธิเบต ว่าเป็นผู้สามารถสร้างความมหัศจรรย์ได้ในเรื่องเตโชธาตุ สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นที่ไหนก็ได้
      
       เรื่องการสร้างเตโชธาตุนี้ มีคนเรียนกันมาก เมื่อมีผู้ที่เรียนรู้กันมาก หลากหลายอาจารย์ บางครั้งมักจะจัดให้มีการแข่งขันลองวิชา ลองความศักดิ์สิทธิ์ วิธีการทดลองก็คือ เอาผ้าคลุมตัวลงไปในน้ำในลำธารหรือในแอ่งซึ่งเย็นเยือกเป็นน้ำแข็ง หรือขุดหลุมหิมะแล้วลงไปแช่ เมื่อลงไปในน้ำหรือในหิมะนานพอที่แน่ใจว่าผ้าเปียกแล้ว ผู้ที่เป็นกรรมการควบคุมก็เรียกตัวขึ้นมา ให้นั่งอยู่ทั้งๆ ที่มีผ้าคลุมเปียกอย่างนั้น จนกว่าผ้าจะแห้งไปเองด้วยความอบอุ่นในตัวคน โดยตัดสินแพ้ชนะกันที่ว่าใครทำได้มากครั้งกว่า คือหมายความว่า มีความร้อนในตัวมากกว่า ทำให้ผ้าแห้งเร็วกว่า

        อริยกันตศีล
      
       ภายหลังทำวัตรเย็นนั้น หลวงปู่ยังได้พูดถึง อริยกันตศีล คือศีลที่พระอริยเจ้าชอบใจ คือการรักษาศีลภายในออกมาข้างนอก หรือก็คือการที่มีความสำรวมสังวรระวัง มีใจที่คิดจะสำรวมสังวรระวังกาย วาจาและใจ คือผู้ที่ควรต่อการเจริญศีล ไม่ต้องพูดถึงคำว่ารักษาศีล เพราะเขารักษาผ่านมาแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของการทำศีลนั้นให้เจริญ เพราะฉะนั้นคนที่มีความสำรวมสังวรระวัง เป็นผู้เจริญในศีลนั้น กิริยาอาการแสดงออกจะละเอียดอ่อนละเมียดละไม ผู้มีปัญญามองออกว่าท่านผู้นี้รักษาศีล เจริญศีล ตั้งมั่นในศีล มีสติมั่นคง มีญาณปัญญาหยั่งรู้ คือรู้สภาวะตามอาการที่เป็นอยู่ อย่างนี้จึงเรียกว่าผู้เจริญศีล และก็เป็นศีลของพระอริยเจ้าที่ชอบใจ เรียกว่า "อริยกันตศีล"
      
       ท่านยังเน้นย้ำให้พวกเราเข้าใจคำว่า "มหาสติปัฏฐาน" มหา แปลว่าใหญ่ ดังนั้นจึงหมายถึง สติปัฏฐานที่มีความเป็นใหญ่ ใหญ่ต่อการกระทำพูดคิด คือ ซึมสิงไปทุกอณูของลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่มีเฉพาะบางเวลา บางขณะ บางโอกาส แต่ถ้าไม่มีมหาสติปัฏฐาน ก็จะกลายเป็นคนที่ถูกฉุดกระชากลากไป ตามกระบวนการปรุงของจิตวิญญาณและอารมณ์ ท่านจึงบอกว่าเหตุผลที่ยังไม่พาพวกเราเข้าไปสู่ป่าลึกหรือยังไม่ได้เข้าไป สู่ลำอีซู เพราะท่านอยากให้พวกเราเตรียมพร้อมมากกว่านี้ แล้ววันนี้ท่านได้เห็นว่า พวกเรามีความสำรวมสังวรระวังพอสมควร แต่ถ้าปล่อยให้อยู่ในป่าคนเดียวลำพัง คงจะเอาตัวให้รอดยาก ถ้าไปกันเป็นหมู่ๆ ก็พอจะไปได้
      
       การเอาตัวรอด คือ ไม่หวาดผวา ไม่สะดุ้งกลัว ไม่หวาดหวั่น ไม่เกรง ไม่ขนลุก ไม่ขนพองสยองเกล้า ต่ออาการและกิริยาอาการต่างๆ ที่เป็นสภาพแวดล้อมตัวเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ถือว่าเราอยู่รอด เป็นผู้เอาตัวรอด แต่ถ้าเรายังหวาดผวา สะดุ้ง หวั่นหวาด หวั่นกลัว เกรงกลัว ต่ออาการและกิริยาที่เป็นสภาพแวดล้อมตัวเราอยู่ อย่างนี้ถือว่าเอาตัวไม่รอด ถ้าเอาตัวไม่รอดก็ต้องอาศัยพึ่งพิงอิงแอบคนอื่น สิ่งอื่น เรื่องอื่นหรือเครื่องอยู่ชนิดอื่นๆ ความหมายของความอยู่รอด ที่หลวงปู่อยากจะให้พวกเรารู้ เข้าใจก็คือ มีสติทุกขณะทุกโอกาส แล้วไม่ว่าจะทำ พูด คิด มันจะเป็นเรื่องดีมีสาระตลอด แล้วเราจะละเอียดอ่อนละเมียดละไมต่อการทำ พูด คิดนั้น
      
       มหาสติปัฏฐานทำให้เรามีศักยภาพ เพิ่มพูนสมรรถนะในการเจริญดำรงชีวิต เรื่องที่ทำพูดคิดจึงเป็นเรื่องถูกต้อง ถูกตรงและก็มีสาระประโยชน์สูงสุด คนที่เจริญมหาสติปัฏฐานก็คือคนที่ได้กำไรในการดำรงชีวิต คนที่มีเครื่องอยู่แห่งสติ หรือมีสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ คือคนที่มีชีวิตอยู่ในชัยชนะตลอดกาล ผู้มีชัยชนะในชีวิตโดยไม่มีความพ่ายแพ้ หรือความพลาดพลั้ง ก็คือผู้ที่เจริญมหาสติปัฏฐาน
      
       ในพระไตรปิฎก พระสารีบุตรได้กล่าวไว้เป็นเบื้องต้นในการปฏิบัติธรรมว่า เครื่องอุปการะของสัตว์ทั้งปวง ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับสติ ท่านเปรียบสติเอาไว้ดั่งบิดามารดาที่เลี้ยงดูบุตร สัมปชัญญะเหมือนกับบุตรที่เจริญเติบโต งอกงามไพบูลย์ ทั้งสติและสัมปชัญญะจึงเป็นบิดามารดาเกิดแห่งบุตร คือบิดามารดาเกิดแห่งสรรพสัตว์ นอกจากให้กำเนิดกายแล้ว ก็ยังเลี้ยงดูให้เจริญเติบโต แล้วยังชี้ทางสว่างให้ และให้ทรัพย์สมบัติในที่สุด
      
       สู่ป่าลำอีซู
      
       เมื่ออยู่ธุดงคสถาน ๒ วันพวกเราก็ออกเดินทางธุดงค์ต่อไปยังป่าลำอีซู จุดหมายนั้นผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ไหน และหนทางที่จะไปยังจุดหมายนั้นก็ไม่รู้ว่าไปอย่างไร การเดินทางครั้งนี้มีการแบ่งกลุ่มกันเดินไปเป็นกลุ่ม โดยมีพระพี่เลี้ยงเดินนำ พวกเราเดินออกจากธุดงคสถานซึ่งเป็นพื้นที่ที่ดูจะอุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่ รอบๆ มาก ผ่านไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย เดินไปตามทางผ่านภูเขาลูกเล็กลูกน้อย พอสุดทางรถก็เป็นลำธาร ที่ไหลมาจากยอดเขา น้ำในลำธารเย็น ใสสะอาดมาก และบางแห่งเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ มีต้นมอส เฟิร์น ขึ้นเต็มไปหมด ดูเขียวสดใส
      
       กลุ่มของพวกผมประมาณสิบกว่าคนเดินทางออกเป็นกลุ่มแรก โดยมีหลวงพี่สนธ์นำ พวกเราคิดว่าเดินกันแบบสบายๆยังไงก็ถึง อีกทั้งหลวงพี่ก็บอกว่าเคยไปยังน้ำตกที่หลวงปู่ให้พวกเราไปนี้ แต่ว่าการเดินทางแต่ละครั้งไม่ได้จดจำหนทางว่าไปทางไหน ดูตามแต่สถานการณ์ไป ที่นี้พวกเราชักไม่แน่ใจแล้วว่าหลวงพี่สนธ์จะเล่นมุขไหนอีก เพราะช่วงที่อยู่วัดอ้อน้อย ท่านเคยเล่าเรื่องประสบการณ์การธุดงค์ของท่านไว้ว่า สมัยก่อนหลวงปู่เคยให้พระในวัดอ้อน้อยมาธุดงค์แถวนี้โดยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไป "หุบเขามรณะ" อีกกลุ่มคือกลุ่มหลวงพี่สนธ์ไปที่มะม่วง ๓ ต้น ซึ่งหลวงพี่ก็ตามหากันจนไปหลงในป่าเสียตั้งนาน อีกทั้งเป็นเวลากลางคืนด้วย
      
       แล้วในวันนี้หลวงพี่สนธ์ก็สร้างชื่ออีกครั้งด้วยการพาพวกเราเดินไป ผิดทางจากทางแยกที่ต้องไปทางซ้าย แต่กลับเดินไปทางขวา ยิ่งเดินไปยิ่งรู้สึกว่ามันไกลมาก อีกทั้งของที่นำมาด้วยก็รู้สึกหนักมากขึ้นทุกที พอดีมีชาวบ้านผ่านมาแถวนั้น เราจึงถามว่าทางที่เราเดินนี้ไปถึงไหน เขาก็บอกว่าไปสู่เหมือง และถ้าเดินผ่านเหมืองเข้าไปข้างในอีก จะถึงสถานที่ที่เรียกว่า "หุบเขามรณะ"
      
       (รายละเอียด ความลึกลับ อาถรรพ์เกี่ยวกับ "หุบเขามรณะ" หากมีรายละเอียดมากกว่านี้คงจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป)
      
       เมื่อพวกเราชักไม่แน่ใจในหนทางที่จะไปแล้ว จึงปรึกษากัน แล้วตัดสินใจย้อนกลับมาทางเดิม มาเริ่มต้นใหม่ที่ลำธารอีกครั้ง คราวนี้เดินทางสะดวกมากขึ้น เพราะอาศัยแกะรอยเก่าของภิกษุกลุ่มอื่นที่เดินล้ำหน้าเรา สุดท้ายเราก็เดินเข้าป่าใหญ่ ที่มีต้นไม้ใหญ่มากมาย พอเข้าสู่ป่าไผ่ ก็ได้ยินเสียงน้ำ จึงรู้แน่ว่าเรามาถูกทางแล้ว พอมาถึงเราจึงเดินขึ้นไปยังจุดที่แบ่งกันพักอาศัย กลุ่มของพวกผมขึ้นไปอยู่ข้างบนสุดของน้ำตก รองลงมาจากหลวงปู่ จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันหาสถานที่ปักกลด
      
        ทุ่งนามอญ
      
       ตอนค่ำของวันแรกที่มาปักกลดที่น้ำตก หลวงปู่บอกให้พวกเรามารวมกันที่ลานหินกว้างริมน้ำตก ใกล้ๆ กับกลดของท่าน ท่านถามพวกเราด้วยความเป็นห่วง ในเรื่องความเป็นอยู่ต่างๆ ท่านบอกว่า ที่ในป่านี้คงไม่สะดวกเหมือนอยู่ที่ธุดงคสถาน แล้วท่านก็เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า สมัยก่อนที่ท่านมาอยู่ ตรงมะม่วง ๓ ต้น (บริเวณที่ท่านปักกลดอยู่) ท่านไปเดินบิณฑบาตที่หมู่บ้านข้างล่าง ออกจากป่าประมาณตีสี่ครึ่ง ถึงหมู่บ้านข้างล่างประมาณหกโมงครึ่ง กลับมาพอดีฉัน เก้าโมงกว่า สิบโมง
      
       ท่านได้พูดถึงความหมายของการมาธุดงค์ที่แห่งนี้ว่า ไม่ได้มาเพื่อพักผ่อน แต่มาซึมซับบรรยากาศรอบข้าง ความสงบแห่งป่า ความเปลี่ยนแปลงของอากาศรอบตัวเรา และความเย็นของน้ำ ซึ่งจะมีส่วนทำให้จิตใจของเราปล่อยวาง ให้ละโลภ โกรธ หลง ลงไปได้บ้าง หากเรารู้จักที่จะซึมซับ ดูดดื่ม ต่อสิ่งที่อยู่รอบกายเรา ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นยารักษาโรคได้ชนิดหนึ่ง โรคที่ท่านพูดถึงคือ โรคโกรธ โลภ หลง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายในกายของมนุษย์ ซึ่งมันแก้ไขด้วยธรรมชาติบำบัด โดยเราจะเห็นได้ว่าคนที่เป็นโรคเครียด สมองมึนตึงตลอดเวลา ถ้ามาอยู่ในสภาพอย่างนี้ จิตใจก็จะคล้อยตามกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันจะทำให้เราปล่อยวางอะไรต่างๆ ได้เยอะ
      
       จากนั้นท่านจึงบอกให้พวกเราได้ทราบว่า บริเวณที่เราอยู่ตรงต้นน้ำตกนี้ ถ้าข้ามเขาลูกที่เราอยู่ไปสักประมาณ ๘-๙ ลูก ก็จะถึง "ทุ่งนามอญ" ซึ่งอยู่ห่างประมาณ ๙๐ กิโลเมตร (ป่า) ทุ่งนามอญนี้เป็นที่อยู่ของพวกมอญเก่า สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยถูกต้อนเข้ามาในสมัยนั้น และเป็นที่อยู่ของชาวมอญหมู่บ้านใหญ่ แต่ตอนหลังเกิดโรคระบาด ทำให้คนในหมู่บ้านล้มตายกันหมด พอตายแล้วก็ถูกหมอผีกักขังดวงวิญญาณเอาไว้ในทุ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งท่านได้เคยเดินทางไปช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณให้กับชาวมอญเหล่า นั้นเมื่อในอดีต (มีการเขียนกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณแห่งศิษย์พุทธะ) บริเวณนั้นมีลานเจดีย์ของช้าง พื้นที่ประมาณ ๕-๖ ไร่ โดยช้างมาก่อเจดีย์เป็นภูเขาลูกย่อมๆ สูงศอกกว่าๆ ทุกวันพระ ๑๕ ค่ำช้างจะออกมาจากป่า เอางวงมาจัดหินกองเป็นเจดีย์ บูชาพระโพธิสัตว์ หลวงปู่บอกว่าถ้าพวกเราเดินทางไปกันทั้งหมดตอนนี้คงลำบาก เพราะที่นั่นจะกันดาร เนื่องด้วยแหล่งน้ำมีอยู่ที่เดียวคือในทุ่งและต้องขุดหลุมลึกลงไปสัก ๒ ศอก ถึงจะนำมาใช้ได้ ดังนั้นท่านจึงยังไม่พาพวกเราเข้าไปในป่าลึกกว่านี้อีก ให้อยู่ฝึกสติ ที่บริเวณป่าต้นน้ำของน้ำตกลำอีซูแห่งนี้
      
        วิญญาณแห่งธรรมชาติ
      
       หลวงปู่ได้ให้พวกเราสำรวจดูอารมณ์จิตตัวเอง ในมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งมีข้อที่ว่าด้วยกาย เวทนา จิต และธรรม การสำรวจดูอารมณ์จิตตัวเองนี้จัดอยู่ในข้อที่ว่าด้วยจิต ว่ามีสภาพอะไรที่เกิดขึ้นในจิตเราบ้างในขณะที่เรากำลังมาอยู่ในอ้อมกอดของ ธรรมชาติ และกลิ่นอายของน้ำตก ภูเขา ป่าไม้ ท่านบอกให้พวกเรารับรู้ถึงสภาพ สภาวะที่เกิดขึ้นในจิต ว่ามีอารมณ์ใดปรากฏบ้าง มีความสงบตั้งมั่น ไม่โยกโคน ทะยานอยาก ไม่สั่นคลอน เมื่อกายมาอยู่ในป่า ใจก็ต้องอยู่ที่เดียวกับกาย หากไม่เป็นเช่นนี้ แสดงว่า ไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่สมณะ พวกเรากำลังจะโดนกักขัง วิญญาณกำลังจะโดนจองจำ เมื่อกายอยู่ที่ป่าเขา อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ใจต้องอยู่ในป่าด้วย แล้วก็รับรู้สภาพ สภาวะรอบๆ ตัว ด้วยความดูดดื่ม ดื่มด่ำ ด้วยความรู้สึกซึมซาบ แล้วจะสัมผัสได้ถึงวิญญาณแห่งธรรมชาติ
      
       ท่านบอกว่าเมื่อใดเรามีจิตสงบเท่ากับที่ป่ามีอยู่แล้ว เราก็จะรู้จักวิญญาณของธรรมชาติ วิญญาณของผีโป่ง วิญญาณของผีป่า วิญญาณของเจ้าภูเขา วิญญาณของเจ้าที่เจ้าทาง วิญญาณของสัตว์ที่ตายทับถมกัน ศพแล้วศพเล่า ที่อยู่รอบๆที่เราอยู่อาศัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นวิญญาณของธรรมชาติ ถ้ามีจิตสงบพร้อมและพอ ก็จะรับรู้ความเป็นไป และความโยกโคนสั่นไหวของวิญญาณเหล่านั้นได้ ว่ามันเป็นเพื่อนเรา เป็นเพื่อนบอกเป็นเพื่อนคุย เป็นเพื่อนเตือนภัย และก็เป็นมหามิตรอันยิ่งใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดต่อเรา ถ้าเราทรยศ เป็นกบฎต่ออุดมการณ์ของชีวิตสมณะ นักบวช พระ และทำชีวิตให้ไม่ชอบมาพากล
      
       ความหมายของการรับรู้ถึงวิญญาณแห่งธรรมชาตินั้น ท่านบอกว่าเป็นหนึ่งในวิชาของ มหาสติปัฏฐาน ข้อที่ว่าพิจารณา "จิตในจิต" คือ การสำรวจดูความรู้สึกที่อยู่ในจิตเรา ว่าจิตมีความสันติ สงบ หรือไม่ เพราะการที่มาอยู่ในป่า ไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะธรรมชาติรอบกายไม่ได้ปรุงแต่งให้เรามีอะไร เมื่อไม่มีอะไรน่าปรุงแต่ง จิตก็จะสงบไปเอง เพราะไม่มีแสง เสียง สี อะไรมากมาย จะมีก็เพียงกลิ่นอายของธรรมชาติ ดอกไม้ ใบหญ้า กล้วยไม้ป่า เสียงสายลม น้ำไหล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรุงให้จิตกำเริบ ไม่ได้ทำให้เกิดกิเลส ตัณหา และ อุปาทานใดๆ และถ้าเราอยู่อย่างนี้ กระแสของธรรมชาติ และไออุ่นของธรรมชาติ มันจะไหลซึมซับ เข้ามาในจิตวิญญาณได้ตลอดเวลา เราจะเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง สง่างาม ได้ทุกกาล ทุกสมัย
      
       เวลาที่หลวงปู่เหนื่อยๆ เพลียๆ ท่านบอกว่ามักจะหลบมาอยู่บริเวณป่านี้ หรือไม่ก็ไปหาที่อยู่ที่พวกเราไม่เคยไป ซึ่งมันจะทำให้ท่านหายเหนื่อย หายเพลีย ได้อย่างพริบตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นจิตวิญญาณธรรมชาติ เป็นกระแสของความรักความอบอุ่น ความเมตตา จากธรรมชาติที่ให้เรา สิ่งสำคัญคือ เราต้องสามารถทำใจให้รับรู้ รับสัมผัส พิสูจน์ทราบ ถึงกลิ่นอายและวิญญาณของธรรมชาติเหล่านั้นให้ได้ วิญญาณธรรมชาติเหล่านี้รวมไปถึงเหล่า ผีห่า ซาตาน มารและยักษ์ร้ายที่คอยจ้องกัดกินเรา ถ้าเราทำตัวเหลวไหล เลวร้าย และยังรวมไปถึง "พระโพธิสัตว์" ผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยโอบอุ้ม และให้ความเมตตาดูแลความสุข ทุกข์แก่เรา ให้ความช่วยเหลือ เกื้อกูลแก่เรา
      
       ดังนั้นหลวงปู่จึงเน้นย้ำให้พวกเรา พยายามทำจิตให้สงบ ให้สติตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้า อย่าฟุ้งซ่าน อย่าหงุดหงิด รำคาญ ไม่ต้องกังวลอะไร เพราะว่าความเมตตาในวิญญาณแห่งธรรมชาติ พร้อมที่จะสัมผัส สัมพันธภาพกับเรา และกับทุกคนที่เข้ามาอยู่ในป่าด้วยความอารีและเมตตา ที่สำคัญคือ เราจะรับรู้สัมผัส สัมพันธภาพ กับสิ่งเหล่านี้ได้แค่ไหน
      
        การสังเกตหนทาง
      
       หลวงปู่เตือนพวกเราไว้ว่า ทางป่า ทางเมือง ทางถนน ทางน้ำ มันคนละทางกัน อยู่ในป่าต้องใช้มหาสติอย่างยิ่ง ท่านได้บอกวิธีสังเกตหนทางไว้ว่า อันดับแรกต้องสังเกต "กลิ่น" ต้นไม้แต่ละต้นจะมีกลิ่นเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เราอยู่ใกล้ต้นไม้ไหนจงรู้จักที่จะสูดดมต้นไม้รอบๆ กาย อันดับต่อมาคือสังเกต "ทิศ" เราปักกลดอยู่ในทิศไหน แล้วเดินออกมาจากทิศไหน จะเดินตรงไปสู่ทิศไหนต้องรู้จักสังเกตทิศให้ดี อันดับต่อมาต้องรู้จัก "ก้อนหินและแผ่นดิน" หินมีรูปร่างไม่เหมือนกัน มันหินเหมือนกัน แต่รูปร่างลักษณะไม่เหมือนกัน เวลากลางคืนตอนเดินกลับไปกลดต้องมองรอบๆ ตัวว่า กำลังอยู่ในทำเล ตำแหน่ง และสภาพแวดล้อมเช่นไร ถ้ามีมหาสติ ก็จะรู้ว่า เดินผิดหรือเดินถูก เข้ากลดผิดหรือถูก เพราะว่าดินมันมีกลิ่นไม่เหมือนกัน ดินที่โดนแดด กับดินที่ไม่โดนแดด ดินที่อยู่ใกล้ความชื้น หรือดินที่อยู่ไกลความชื้น นอกจากนั้นยังมีกลิ่นดอกไม้ ทิศทางลม สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่า เรากำลังเดินหลงทาง หรือถูกทาง
      
       นั่นคือการที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ละเอียดอ่อนได้ดีมากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่ว่ามี "สติ" มากน้อยแค่ไหน เวลาเดิน เวลาอยู่ ต้องรู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมเอาไว้ ต้องสัมผัสอากาศรอบกายให้รู้ โดยสังเกตได้ว่าเวลาเข้าไปสู่ป่าลึก ป่าทึบ มันจะเย็นฉ่ำ เวลาออกมาสู่ป่าโปร่ง อากาศจะเย็นแต่ไม่ฉ่ำ ออกมาสู่ป่าพุ่มเตี้ย ป่าที่มันสูญสภาพแล้ว จะกลายเป็นร้อนอบอ้าวแต่ก็ยังมีลม สภาพอากาศรอบตัวเรานั้น ต่างที่ก็จะไม่เหมือนกัน
      
       ท่านเคยเขียนหนังสือเรื่องหนึ่งเอาไว้คือ "การบรรลุในทวารทั้ง ๖" นั่นคือ การใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสรับทราบ ถึงสิ่งแวดล้อม รอบๆ ตัวเราได้อย่างละเอียดหมดจด และถ้าฝึกได้ถึงขั้น เราก็จะเดินป่าโดยไม่ต้องอาศัยไฟฉาย (อย่างเช่นหลวงปู่) เพราะเราจะคุ้นเคยกับป่าเหมือนกับบ้านเรา และคืนนั้นก่อนที่พวกเราจะกลับไปพักผ่อน ฝึกสติกันที่กลด อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ หนาวมากกว่าที่ธุดงคสถานเสียอีก หลวงปู่เตือนว่าพยายามอย่ากลัวหนาวเวลาจะอาบน้ำในลำธาร ถ้ากลัวหนาวจะเป็นไข้ อยู่ที่กำลังใจ เมื่อใจดี "ปราณ" จะสร้างพลังต่อต้านและไฟในกายจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความหนาวเหน็บ แต่ถ้าใจไม่ดี เอานิ้วแหย่แล้วสะดุ้ง ก็อย่าไปอาบเพราะมันจะเป็นไข้ จะหนาวเหน็บไปถึงทรวงอก สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่กำลังใจ อยู่ที่หัวใจ คือ ต้องมีสติ ระลึกรู้มัน เห็นแต่กระดูก แล้วไม่มีเนื้อหนังติดในตัว ก็จะไม่หนาว
      
       ท่านยังกำชับด้วยว่าอย่าลืมภาวนาในใจก่อนนอนว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข" แล้วให้นึกถึงโครงกระดูกอย่างเดียวพอ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเจริญสติ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมาร ทำลายสติ หรือทำลายเราให้พ้นจากสติที่กำลังเจริญอยู่ แม้ฟ้าจะผ่า น้ำจะท่วม ฝนจะตก ไฟจะไหม้ ผู้เจริญสติ ต้องตั้งมั่น ไม่สั่นคลอน ไม่โยกโคน สั่นไหว สะดุ้ง ผวา
      
       รู้อย่างไรในมหาสติ
      
       หลวงปู่บอกต่อไปว่า สิ่งที่เราต้องทำคือเจริญสติให้ตั้งมั่น ทำให้สติปรากฏชัดเฉพาะหน้า รู้ทุกอณูของอากาศสิ่งแวดล้อม กายนี้ เลือดเนื้อและชีวิตอินทรีย์ เมื่อสติปรากฏชัดมันก็จะทำหน้าที่รู้ทุกอย่างในกายตน สติเกิด สมาธิปรากฏ ปัญญาก็จะตามมา สำคัญคือหน้าที่ของเราทำอย่างไรจะให้สติมันเกิด แล้วเกิดได้ทุกขณะจิต ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก นั่นคืองานที่เราต้องทำ
      
       และในขณะที่กำลังทำงานสำคัญนี้ ไม่ว่าฝนจะตก น้ำท่วม ไฟไหม้ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า ในขณะที่กำลังเจริญสติ ต้องไม่ให้ความสำคัญต่อมัน ต้องไม่ใส่ใจมัน แล้วต้องไม่วอกแวก ไม่เสียสติ ไม่พลาด ไม่ขาดจากการรับรู้สภาวธรรม รักษาความเป็นเอกัคคัตตา คือความเป็นหนึ่งในการรู้เฉพาะหน้า ในกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ไม่ให้มีอารมณ์อื่นเข้ามาวุ่นวาย ไม่ให้มีเวทนา นิมิต หรืออุปาทานใดๆ เข้ามาปรากฏ ไม่ให้มีแม้กระทั่งปีติใดๆ ที่เกิดขึ้น เพราะมันจะฉุดกระชากลากถูเราให้ล่าช้า เนิ่นช้าและไม่ให้ก้าวหน้าไป
      
       ให้มีแต่การรับรู้ยิ่งขึ้นๆ รู้จนถึงขนาดรอบข้างเรามันมีสภาพ สภาวะใดๆ ปรากฏ รู้ถึงขนาดการเกิดของเซลล์แต่ละชนิด แต่ละตัวที่เกิดขึ้น และใช้เวลาอุบัติขึ้น ดำรงอยู่ เจริญเติบโต เปลี่ยนแปลง เสื่อมทราม และตายลง ใช้เวลากี่นาที เซลล์หนึ่งตัวอาจใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็ตายลง และเกิดเซลล์ชนิดใหม่ขึ้น รู้อย่างนี้เรียกว่ารู้อย่างคนเจริญสติ ไม่ใช่รู้เพียงแค่มีกระดูก ไม่ใช่รู้เพียงแค่มีโครงสร้าง มีเลือดมีเนื้อ มีลมหายใจ หรือรู้เพียงแค่มีธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ แล้วก็บอกว่ารู้ อย่างนั้นยังไม่ใช่ผู้รู้
      
       การที่หลวงปู่กล่าวคำว่า "มีแค่นี้เองหรือ" ตอนอยู่ที่ธุดงคสถานนั้น ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมว่า มันหมายถึงการที่ท่านรู้ละเอียดรู้ลึกไปถึงกระบวนการของการเกิดเซลล์ แห่งกระดูกทั้งปวง ท่านป่นกระดูกจนละเอียดเป็นผุยผง ดูกระดูกเหล่านั้นว่าเกิดจากเซลล์ชนิดใด แล้วมันดับลงไปด้วยกระบวนการใด เหตุปัจจัยไม่ปรุง เซลล์เหล่านั้นก็ตายลง อย่างนี้จึงเรียกว่ารู้อย่างมหาสติ ต้องไม่เพียงแค่รู้แต่ดินน้ำลมไฟ หรือรู้ลมหายใจเฉยๆ นั่นยังไม่ถือว่าเป็นผู้รู้ในระดับมหาสติ
      
       ท่านจึงเตือนสติพวกเราว่า อย่าไปคิดว่าทุกวันนี้เรารู้มหาสติปัฏฐาน คนรู้จริงน่ะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องจำ ทำได้ มีประโยชน์ รู้ไม่จริงจำให้ตายทำไม่ได้ก็มีแต่โทษ ซึ่งวันนั้นท่านได้นำพวกเราปฏิบัติธรรม และได้บอกว่าขอให้รู้เบื้องต้นในหลักมหาสติปัฏฐานไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพราะอย่างวิชาลมเจ็ดฐานยังต้องประกอบไปด้วยอำนาจของสติ สมาธิ และปราณ ทั้งสามอย่างนี้ต้องรวมเป็นหนึ่ง ต้องผสมผสานสอดคล้องกลมกลืน แล้วการให้ทำงานร่วมกัน ยิ่งยากใหญ่ ท่านจึงให้พวกเราเพียงแค่เจริญสติให้ได้ ทำให้มันตั้งมั่นให้ได้
      
       มนุษย์เรามีหูขอเพียงได้ฟังเสียงลมหายใจตัวเองได้ รู้ว่าลมหายใจเข้าฟังออก หายใจออกฟังชัด มีตาขอเพียงได้เห็นลมที่เข้าและออกในจมูกของตน มีใจรู้สภาวธรรมที่เกิดดับในลมนั้น มีกายสัมผัสรู้ได้ถึงความเย็น อบอุ่น เคลื่อนไหวของลมที่เข้าและออก ศักยภาพอย่างนี้เป็นความสุดวิเศษของตา หู กายและใจ แต่ที่ผ่านมาเราเอาหูไปฟังเสียงอื่นซะมาก เอาตาไปดูเรื่องอื่นซะมาก เอาใจไปวิเคราะห์รับรู้สภาวธรรมอื่นๆ ซะเยอะ เอากายไปสัมผัสสิ่งอื่นซะมาก เลยไม่รู้ว่าภายในกายเรา ภายในชีวิตเรา มีอะไรน่าสัมผัสสัมพันธ์บ้าง เมื่อเราหลงลืมการสัมพันธ์สัมผัสภายในกายเรา เราก็เลยไม่รู้ว่า กายนี้เป็นอยู่ด้วยอะไร ต้องการอะไร แล้วก็จะดับไปด้วยวิธีการใด
      
       ท่านจึงคอยเตือนพวกเราเสมอว่า อย่าปล่อยชีวิตให้มันหมดไปกับสิ่งเหล่านั้น จนกลายเป็นว่าเราเป็นคนหลงลืมละเมอเพ้อพก และถลาไปกับกระบวนการที่ไร้สาระ แต่ถ้ารู้ตัวก็ต้องรีบหยุดมันให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยกรรมวิธีใดๆ ไม่ว่าจะด้วยกระบวนการใดๆ เมื่อใดที่เราหยุดมันได้ เราเป็นผู้ชนะ แต่เมื่อใดที่เราหยุดมันไม่ได้ เราจะพ่ายแพ้ไม่รู้จักจบสิ้น ขอเพียงมีสักครั้งหนึ่งที่เราเคยหยุดมัน และหยุดมันได้ อีกหลายครั้งย่อมตามมา แต่ถ้าไม่มีแม้แต่หนึ่งครั้งที่จะหยุดความเหลาะแหละรวนเรฟุ้งซ่านและลื่นไหล มันจะไม่มีแม้แต่หนึ่งครั้งที่จะตามมาในการที่จะหยุดและชนะ
      
       วิธีแก้ง่วงหงุดหงิดรำคาญ ฟุ้งซ่าน วิธีหยุด ต่างๆนั้น ท่านแนะว่า ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นลมทิ้งไว้ จนกระทั่งมันใกล้จะขาดใจตาย ทรมานมัน ห้ามมัน บอกมัน สอนมัน ถ้ามันไม่ฟังก็ต้องลงโทษด้วยวิธีอย่างที่กล่าวมานี้ เห็นท่าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องทารุณมันซะบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้กำลังใจอย่างเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดและมั่นคง ต้องเป็นผู้กล้าพอที่จะเอาชนะมันด้วยกรรมวิธีต่างๆ พระพุทธเจ้าเรียกกรรมวิธีเหล่านี้ว่า กุศโลบาย คืออุบายที่ทำด้วยความชาญฉลาดในการที่จะกำราบจิตนี้ ความฉลาดมีอยู่กับคนทุกคน สำคัญอยู่ว่าเราจะฝึกมันให้เกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้ารู้ตัวว่ามันลื่นไหลถลาไป ก็ต้องเตือนมัน ต้องบอก อย่าให้มันหยุดอยู่กับที่ บางทีก็ต้องทรมานมันอย่างแรงๆ และรวดเร็วฉับพลัน อย่างชนิดรู้เท่าทันต่อมัน อย่าปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ ล้าหลังและล่าช้ามากไปนัก ใช้กำลังใจที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง
      
       ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันต้องได้มาจากความศรัทธาความเชื่อมั่น ความศรัทธาความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราต้องมีความเพียรความ หมั่นศึกษา ความเพียรความหมั่นศึกษาจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความรัก รักที่จะทำมันบ่อยๆ มีความพอใจ เมื่อเรามีความพอใจ มีความรัก มันก็จะมีความศรัทธา ความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะตนเอง
      
        กายกับจิต
      
       ตอนเย็นของวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ หลวงปู่มาสอบอารมณ์ว่าวันนี้ไปไหนมาบ้าง ท่านถามแบบนักปฏิบัติธรรมว่ามีใคร(หมายถึงจิต)ออกจากป่าจากเขาไปบ้าง หลวงปู่ได้อธิบายว่า ธรรมชาติของจิต มันไวยิ่งกว่าปรมาณู ไวยิ่งกว่าเสียงและแสง กายอยู่นี่ แต่ใจไปได้รอบทิศ มหาสติปัฏฐาน มีเรื่องที่ต้องคิดคือ กาย กับจิต ถ้าพ้นจากกายกับจิต ไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน เรื่องที่ท่านให้พวกเราต้องฝึก ต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเข้าใจ และทำให้เป็นอย่างมากๆ ก็คือ การรู้แต่กายกับจิตเท่านั้น ถ้าไม่รู้ภายในกายกับจิตนี้ ไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน ความหมายของมหาสติปัฏฐาน คือการฝึกดูกาย แล้วฝึกดูจิต ในขณะที่ฝึกดู มันย่อมเกิดการเบื่อ เหนื่อย หน่าย เมื่อย เซ็ง เพราะเราไม่รู้ว่าการดูนั้นคืออะไร
      
       สิ่งที่เราตั้งอกตั้งใจ จะเฝ้าดูอารมณ์ความเป็นไปของกายนี้ นี่คือการดูกาย กับดูจิต หรือไม่เราก็ดูลมหายใจ ที่เข้าและออกอย่างนี้ เรียกว่า การดูกาย และก็เป็นการฝึกสติ เป็นการเอาสติ ใช้สติดูกาย ใช้สติดูจิต การทำให้เกิดสตินั้นคือการฝึก วิธีการฝึกนั้นคือระลึกลมหายใจก็ได้ (อานาปานบรรพ) ดูโครงกระดูกของตัวเอง (วิชากระดูก) ก็ได้ หรือทำอย่างไรก็ได้ ให้อารมณ์ทั้งปวงรวมเป็นหนึ่ง ให้สติมันจับอยู่ในอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง หรือในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง (อิริยาบถ และสัมปชัญญบรรพ) ขณะที่นั่ง ยืน นอน ทำ พูด หรือคิด ต้องไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ แสดงว่าเรากำลังจะมีสติ
      
       ขณะที่เรารู้ลมหายใจเข้าออก หรือรู้โครงกระดูก รู้ความเคลื่อนไหวของกายนี้ หลวงปู่บอกว่า อาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย เบาๆ อึมครึม คลุมเครือ ก็อย่าเพิ่งหยุดมัน ถ้าเรายังไม่รู้จักหน้าตาแท้ๆ ของสติ ท่านบอกให้พวกเราทำต่อไป จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า รู้ชัดว่า รู้แจ้งว่า เมื่อใดที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ความคิดไม่แตกแยก ขบวนการความคิดไม่เกิด มีแต่ความรู้เฉพาะหน้าเกิดขึ้นเท่านั้น เมื่อนั้น คือ เราสามารถจับกระบวนการของสติ ให้รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้
      
       ระหว่างที่ฟังคำสั่งสอนจากหลวงปู่ ท่านดูสภาวธรรมของพวกเราออกว่า พวกเราปฏิเสธจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ แล้วเข้าไปหาวิญญาณของเมือง ผีห่า ซาตาน และสังคม และเราก็ไม่รู้จักหน้าตาแท้ๆ ของวิญญาณธรรมชาติ ไม่เห็นค่าของวิญญาณธรรมชาติรอบกายเรา การที่มาอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา แมกไม้ ใบหญ้า ลำธาร น้ำตก ถือว่าเรากำลังอยู่ในความดูแลของธรรมชาติ อยู่ในอ้อมกอดและไออุ่นของธรรมชาติ
      
       ขอเพียงให้เราดื่มด่ำ ลิ้มรส ไออุ่น กลิ่นอาย ของธรรมชาติรอบกายอย่างจริงๆ จังๆ ทำทุกอย่างทุกวิธี ที่จะไม่ให้จิตเราออกไปจากขุนเขา ไม่ให้ออกไปจากป่า ท่านจึงสอนพวกเราว่า ระวังอย่าให้จิตมันหลุดออกไปนอกขุนเขา ท่านบอกว่า เฝ้าสังเกตพวกเราตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกว่า เมื่อไรภูมิธรรมและบารมีธรรมของพวกเราจะแกร่งกล้าขึ้นสักที เพื่อที่จะต่อสู้และยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ฝึกสอนตัวเอง อบรมตัวเอง และก็บอกตัวเองได้ ว่าขณะนี้เรากำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งสำหรับตัวท่านแล้วจะไม่สนใจวัน เวลา นาที จะรู้แต่ว่าปัจจุบันนี้กำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น
      
        จิต ๕ ลักษณะ
      
       เมื่อคืนตอนตีสาม หลวงปู่ท่านลุกขึ้นมาเจริญสติ แล้วได้บทโศลก ๒ บทที่นำมาฝากพวกเรา ดังนี้
      
       ลูกรัก....
       ขณะที่พ่อเจริญสติอยู่นั้น ได้เกิดคำถามขึ้นในจิตพ่อว่า
       เมื่อจิตเกิดดับ มีธรรมชาติรู้อยู่ในตัวแล้ว
       เช่นนี้ ตัณหา โลภะ โมหะ และอุปาทาน เกิดขึ้นมาจากไหน
       แล้วก็เกิดคำตอบขึ้นมาฉับพลัน ว่า
       เพราะความไม่รู้ชัด ไม่รู้แจ้ง จึงเกิดความปรุง ในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
       จนทำให้เป็นเหตุแห่งกรรมและชาติภพ
       ถ้าจะดับ ก็ต้องดับความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้ชัด แล้วสรรพสิ่งก็จะไม่เกิด
       อีกบทหนึ่งที่หลวงปู่บอกว่าตรงกับปัจจุบันธรรมของพวกเราก็คือ

       "ธรรมชาติของจิตนี้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก เหตุเพราะมีลักษณะที่หยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม ประณีต ในที่นี้จะเทียบวัดว่าใครมีจิตอันหยาบ ใครมีจิตปานกลาง ใครมีจิตละเอียด ใครมีจิตสุขุม และใครมีจิตประณีต แต่ละลักษณะก็มีเครื่องห่อหุ้ม ทำให้การรับรู้ต่างกัน เพราะฉะนั้น กัมมัฏฐานแต่ละกอง จึงเป็นเครื่องฟอกจิต จัดจิตได้ต่างๆ กัน อยู่ที่ว่าจิตในขณะนั้นหยาบ ปานกลาง ละเอียด ประณีต สุขุมปานใด เพราะจิตแต่ละลักษณะจะซึมซับหรือเกิดวิชา อวิชชาได้แตกต่างกัน การเจริญสติเพื่อให้เกิดวิชา ปัญญาสุดยอด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
      
       จิตทั้ง ๕ ลักษณะ จึงมีอุปมาดั่ง สาวน้อยที่งดงาม สะคราญตา แต่งตัวนุ่งห่ม อาภรณ์เต็มสูตร แล้วเดินนวยนาด อยู่เฉพาะหน้าบุรุษผู้ฉลาด บุรุษผู้มีความฉลาดอุปมาดั่งวิชา ปัญญารู้แจ้ง บุรุษนั้นค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกของสาวน้อยนั้นออกด้วยความพินิจ พิเคราะห์ เพื่อจะหาความงดงามของสาวน้อยนั้นให้พบ เปรียบได้ดั่งจิตหยาบที่มีตัวรู้ที่หยาบ
      
       บุรุษผู้ฉลาดนั้นหลังจากเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกของสาวน้อยนั้นออกแล้ว ก็เปลื้องอาภรณ์ชั้นในของสาวน้อยนั้นออก ด้วยความพิจารณาในปัญญารู้แจ้ง เปรียบได้ดั่งจิตที่ปานกลาง
      
       บุรุษผู้ฉลาดนั้นหลังจากเปลื้องชั้นในของสาวน้อยนั้นแล้ว ก็ใช้กำลังที่มีถลก หนัง และเนื้อของสาวน้อยนั้นออก เพื่อจะค้นหาความงามอันแท้จริงๆ ของสาวน้อยนั้น เปรียบได้ดังจิตผู้มีตัวรู้ที่ละเอียดขึ้น
      
       บุรุษที่ฉลาดมีปัญญา เมื่อถลกหนังและเนื้อของสาวน้อยออกแล้ว เหลือแต่กระดูก ก็ทุบกระดูกจนป่น เพื่อค้นหาความงามแท้จริงของสาวน้อนนั้น เปรียบได้ดั่งจิตที่สุขุม
      
       เมื่อกระดูกนั้นป่นจนละเอียดยิบแล้ว บุรุษผู้ฉลาดก็ทำการค้นหาความงามอันบริสุทธิ์ อันแท้จริง ของสาวน้อยในกองกระดูกที่ป่นนั้น จนกระทั่งพบว่า ความงามที่สูงสุดยอดของสาวน้อย ไม่มีจริงๆ เปรียบได้ดั่งจิตที่ประณีตและบรรจง สุขุมคัมภีรภาพ..."
      
       ความหมายของจิตแต่ละดวงที่เกิดดับ อวิชาครอบงำ สภาวธรรมที่ปรากฏ เราไม่สามารถจะรู้ชัด การที่มนุษย์ดูรูปสวยเพียงแค่รูปและเสื้อผ้า ถือว่ามนุษย์ผู้นั้นมีจิตระดับหยาบ ผู้มีปัญญาต้องมองทะลุเนื้อหนังมังสา มองทะลุผ้าผ่อน ท่อนสะไบ จนกระทั่งเข้าไปถึงไขของกระดูก
      
       หลวงปู่เป็นห่วงพวกเรา ท่านจึงเขียนบทโศลกบทนี้ขึ้นมาตอนตีสามกว่า และบอกว่า ให้ลองขังจิตตัวเองเอาไว้ในขุนเขา แมกไม้ และอ้อมอก กลิ่นอายของธรรมชาติ สักหลายวันหน่อย อย่าปล่อยให้มันลื่นไหล ถลา กระโดดเข้าบ้าน เข้าเมืองแล้วจิตมันจะฟุ้ง มันจะฟู มันจะสับสนวุ่นวาย แล้วกุศลแห่งการเกิด กุศลแห่งการบวช บุญแห่งการเจริญสมณธรรม ก็จะไม่ปรากฏ นั่นจึงเรียกว่าเป็นบาป เพราะการที่เป็นสมณะ แต่มีจิตฟุ้งซ่าน รำคาญ ถึงจะไม่เป็นโทษอะไร แต่เป็นบาปติดตัวเราไป พวกอสูรกาย เปรต สัมภเวสี ที่ล่องลอยอยู่ในนภากาศ ที่มีถ่านไฟแดงๆ คุกรุ่นเผาไหม้ เผาตัวอยู่ตลอด ก็เพราะว่าไม่สำนึกในสถานภาพของความเป็นสมณะ ในขณะที่บวชก็ทะเยอทะยานอยาก จนสุดท้ายเมื่อตายไป ไฟกรดจึงเผาไหม้ร่างกายเขาภายหลังที่พ้นจาก อเวจีมหานรกแล้ว
      
       แม้เราไม่ทำบาปโดยกายแต่ก็ทำบาปโดยใจ ท่านจึงบอกว่า เป็นการผิดสถานภาพของความเป็นนักบวช คือ สงบกาย สงบวาจา สงบใจไม่ได้ เพราะว่าแค่รักษาศีล ไม่ถือว่าเป็นปกติศีล ยังเป็นสังวรศีล คือศีลที่ต้องระวัง รักษาอยู่ไม่รู้จบ ถ้าถึงขั้นปกติศีล และอริยกันตศีล คือศีลที่บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีใครทำร้าย ทำลายศีลให้ด่างพร้อยได้ ในขณะที่ยังเป็นสังวรศีลแล้วจิตยังสับสน ทะเยอทะยานอยาก ไม่รู้จบอีก ไหนเลยศีลข้อไหนจะรักษาได้ ศีลก็ขาด จิตก็ไม่สงบ และสมณธรรมจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร บุญจะเกิดจากไหน กุศลคือความฉลาด และปัญญาญาณ หยั่งรู้จะมาจากที่ใด
      
       ท่านจึงบอกให้พวกเราอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกกระชากลากถู ด้วยมาร ซาตาน ผีห่า มากไปนัก พยายามขังตัวเองเอาไว้อยู่ในป่านี้ เพราะถ้าเมื่อใดที่เราหลุดออกไปจากป่า อกุศลทั้งมวลจะพรั่งพรูเข้ามาสู่กาย เราจะอยู่ไม่เป็นสุข มันสับสน ร้อนรุ่ม ทุรนทุราย เศร้าหมองขุ่นมัว
      
       การบวชแต่ละครั้งนั้น หลวงปู่บอกว่า เป็นการให้โอกาสที่ได้เกิดมาเป็นชาย ถ้ารักษาพรหมจรรย์อยู่ไม่ได้ ชาติหน้าก็จะไปเป็นบัณเฑาะก์ (กะเทย) เป็นผู้หญิง จะไม่มีโอกาสได้บวช ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเป็นชายชาตรี ก็ต้องทำหน้าที่ให้ตรง และถูกต้อง ตามสถานภาพที่เป็นอยู่ เพราะเรากำลังจะบำเพ็ญสมณธรรม อย่าให้อกุศลทั้งปวงเกิดขึ้น แล้วพรั่งพรูมาฉุดกระชากลากถูเราให้ตกเป็นทาสไม่จบสิ้น ฝึกเมื่อเรารู้สึกว่าเราผิด ความรู้ตัวนั้นเป็นสติชนิดหนึ่ง การเจริญสติไม่ใช่ว่าไม่คิดเรื่องอะไร แต่คิดเรื่องที่เราคอนโทรลมันได้ เป็นนายมันถูก ควบคุมมันสนิท
      
       เพราะว่าไม่มีครูบาอาจารย์ในแผ่นดินที่ไหน เขาสอนอย่างนี้ ไม่มีครูคนไหนมาจ้ำจี้จ้ำไช เพราะคนอื่นเขาได้แต่บอกๆ ทำไม่ได้ก็เรื่องของเรา แล้วแต่วาสนา บารมี ไม่เคี่ยวเข็ญ ไม่ฉุดกระชากลากถู ถือว่ากรรมใครกรรมมัน ท่านจึงบอกพวกเราว่าอย่าให้ความหวังดีของท่านกลายเป็นหมัน ด้วยความที่เราไม่รู้จักเตือนตัวเอง
      
       เมื่อกลางวันท่านตะโกนบอกว่า ถ้าง่วงก็กระโดดลงน้ำ ลงน้ำแล้วยังไม่หายง่วงก็ปีนขึ้นเขาดับไฟ อย่าปล่อยให้ตัวเองหลับใหล วิธีฝึกมีสารพัดวิธี หากเรารู้ว่าจิตมันหยาบอยู่ ก็หาสรรพวิธีทั้งหลาย มาฝึกมันให้ละเอียดลง แล้วต้องรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในขั้นไหนแล้ว ทั้ง ๕ ขั้นเป็นคุณสมบัติของผู้ฝึกจิต ต้องรู้สภาวะของตัวเอง
      
       เมื่อเรารู้ว่าวิถีทางของจิตนั้นต้องสุขุมลง ประณีตลง เราก็จะรู้ว่า เมื่อเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สุดท้ายก็จบ ชาติก็สิ้น ชราก็ไม่พบ ตัณหา อุปาทานทั้งปวงเราก็ครอบงำมันได้ ชีวิตเราก็มีเสรีภาพ อิสระ และเป็นไท
      
        การฝึกจิต
      
       จิตนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่นานมานี้ ท่านไปแสดงธรรมที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง เผอิญมีหมาหลุดมา จะวิ่งมากัด ท่านจึงยืนอยู่เฉยๆ แล้วมองหน้ามัน สบตามัน แผ่เมตตาให้ แต่มันก็ไม่หยุด ท่านเลยคิดถึง พญาเสือโคร่งขึ้นมา ดังนั้นท่านจึงทำสายตาเป็นเสือ เพื่อทำให้สายตามีอำนาจขึ้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่หมามันหยุดเห่า หางตก หัวหด วิ่งหนีไป เหมือนกลัวอะไรสักอย่าง นี่เป็นธรรมชาติของจิตชนิดหนึ่ง หรือขณะที่เดินจงกรม ท่านก็เดินไปตามก้อนหินที่ลื่น ท่านบอกว่าให้ทำตัวเป็นหอยทากที่ไหลลื่นไปตามก้อนหิน ต้องตั้งตัวให้ตรง
      
       จิตนี้จึงเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้ำตก ท่านเล่าให้ฟังว่า มีแมลงวันดูดเลือดมาเกาะที่ขา ตอนแรกท่านบอกมันว่า "กูอโหสิให้มึง" แมลงวันมันก็ดูดเลือด แล้วบินไป สักพักมันบินมาอีกท่านจึงบอกไปว่า "กูอโหสิให้แล้วนะ หากมากินกูอีกเดี๋ยว.."เหมือนกับมันฟังรู้เรื่อง มันเลยบินหนีไปเฉยๆ
      
       ความมหัศจรรย์ทางจิตนี้ อาจสร้างทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น รักษาโรคภัย คุ้มกันอันตราย สร้างเดชอำนาจ ชักจูงหรือสะกดจิตผู้อื่น ความมหัศจรรย์ทางจิต อาจจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดเหนือความคิดทั่วไป พิสูจน์ให้เห็นด้วยตา หรืออธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ไม่ได้ แต่มีปรากฏการณ์บางอย่าง ที่แสดงออกมาซึ่งเราไม่สามารถจะปฏิเสธ
      
       เรื่องการใช้พลังรักษาโรคนี้ ผมได้ประสบมามากตามชนบทของบ้านเรา โดยคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ จะไปหาหมอที่รักษาทางเวทมนต์ หมอจะให้คนไข้นั่งนิ่งๆสงบจิตใจ แล้วหมอจะทำปากขมุบขมิบ ท่องมนต์คาถา ท่องไปเป่าไปที่แผลหรือที่ตัวคนไข้ เจ็บแขนก็เป่าแขน เจ็บหัวเป่าหัว การรักษาอย่างนี้ทำให้คนไข้อาการดีขึ้นจนหายได้
      
       แม้แต่การใช้สัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจของฟ้าและดิน หรือเครื่องหมายพลังของชาวยิวที่เรียกว่า สตาร์เดวิด (รูป) ซึ่งเป็นวิธีโบราณตามแบบชาวอียิปต์ ผมเคยอ่านในหนังสือว่ามีแพทย์ชาวฝรั่ง ที่ไปอยู่ใน อียิปต์ เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จึงไปหาหมออียิปต์ให้รักษาแบบโบราณ หมออียิปต์ได้ใช้แผ่นไม้ขนาดกว้างราวหนึ่งฟุตสี่เหลี่ยม ทาสีขาว เอาไม้แผ่นนั้นมาลากเส้นรูปสามเหลี่ยมสองรูปซ้อนกันแต่วางกลับหัวกลับหางกัน ในช่องกลางและช่องมุมทั้ง ๖ นั้น ได้เขียนอักษรใส่ลงไป เสร็จแล้ว จึงเอาไม้แผ่นนั้นวางพิงเข้าที่ข้างฝา แล้วให้แพทย์ซึ่งกำลังปวดหัวอย่างรุนแรงเพ่งดูแผ่นไม้นั้น เขาเพ่งด้วยความตั้งอกตั้งใจ ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที
      
       นัยน์ตาเขาก็มองเห็นตัวหนังสือภายในขีดวงกลมนั้นวิ่งวุ่นไปมา จนกระทั่งกลายเป็นจุดกลมดำ ขั้นแรกเป็นจุดเล็กๆ แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนรูปไปได้ต่างๆ ไม่อยู่กับที่ เต้นไปเต้นมา แล้วเปลี่ยนกลายเป็นสีเทา และค่อยมัวลงจนกลายเป็นหมอกไป อาการปวดหัวอย่างรุนแรงจึงค่อยบรรเทาหาย เขารู้สึกเหมือนง่วงนอนแล้วก็หายเป็นปลิดทิ้ง!!
      
       หรือแม้กระทั่งการนับถือมนต์ เช่นมนต์คาถา "โพชฌงคปริต" เป็นมนต์ที่ทำให้หายโรคภัยไข้เจ็บได้ ข้อความของมนต์นี้มีว่า องค์แห่งการตรัสรู้นั้นมีอยู่ ๗ อย่างคือ ๑. สติ ๒. ธรรมวิจัย คือการคิดค้นข้อธรรม ๓. วิริยะ คือความเพียร ๔. ปีติ ความอิ่มใจ ๕. ปัสสัทธิ ความตั้งใจแน่วแน่ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา
      
       ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้า เคยทรงแสดงโพชฌงคปริต แก่พระกัสสปะ และพระมหาโมคคัลลานะ และตอนที่พระองค์ประชวรหนักที่เวฬุวันมหาวิหาร ก็มีรับสั่งให้พระสาวกชื่อ พระจุนทะ มาสวดโพชฌงคปริตให้ทรงสดับ ก็หายประชวร
      
       ถ้าอธิบายอย่างเป็นวิทยาการว่าที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้นั้น คงเป็นเรื่องของการปลุกเครื่องต่อสู้ (พลัง) ในร่างกายให้มีชีวิต มีกำลังอำนาจมากขึ้น วิธีการหนึ่งที่คนโบราณใช้เพื่อให้มีกำลังต่อสู้ในร่างกายให้มี สมรรถภาพยิ่งขึ้น ก็คือ การถ่ายปราณเข้าไปช่วย คำว่า "ปราณ" มาจากคำบาลีว่า "ปาณะ" แปลว่าชีวิต เป็นการถ่าย (พลัง) ชีวิต เข้าไปช่วยในร่างกายอีกคนหนึ่ง
      
       ในเรื่องวิธีการถ่ายปราณนั้นมีด้วยกัน ๓ ทางคือ
      
       ๑. ด้วยการแตะต้อง ซึ่งปกติจะใช้มือ โดยถือกันว่า ปราณอาจจะถ่ายออกได้ทางปลายนิ้ว
       ๒. ด้วยการเป่าลมออกทางปาก ให้ไปถูกตัวคนป่วย เป็นการส่งปราณเข้าไปให้อีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ลมปราณ (ลม+ปราณ)
       ๓. ถ่ายปราณลงไว้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเอาสิ่งนั้นไปแตะต้องคนไข้ หมายถึงการใช้ มีเดียม (Medium) หรือสื่อ (น้ำเป็นมิเดียม หรือเครื่องรับถ่ายปราณดีที่สุด) ดังนั้นเราจึงเห็นเขาเป่าลมปราณลงในน้ำ แล้วเอาน้ำพรมไปที่ตัวคนไข้ วิธีการรดน้ำมนต์ก็ได้กำเนิดมาจากความคิดนี้
      
       มนต์ทุกบทล้วนช่วยทำให้ดวงใจของเราผ่องใส บริสุทธิ์ ปราศจากความคิดร้าย หรือให้โทษภัยแก่ผู้อื่น ในอดีตครูบาอาจารย์ อาจจะไม่มีการแปล ไม่สนับสนุน คงใช้แต่บาลี โดยไม่รู้ความหมาย อาจจะเกรงว่าเมื่อรู้ข้อความแปลแล้ว จะไม่เลื่อมใส ไม่ขลัง แต่หากเราได้ลองค้นคว้ามนต์บางบท เช่น บทกรณียเมตตสูตร ว่าที่มาเป็นอย่างไร และรู้ความหมาย ทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เราจะยิ่งเลื่อมใสยิ่งขึ้น มีใจหนักแน่นมากขึ้น
      
       กระบวนการของจิตที่ฝึก ถ้าเราไปเคร่งเครียดกับมัน บางครั้งก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าผ่อนคลายเบาๆ สบาย มันจะมีสติขึ้นมาโดยฉับพลันทันที เพราะตอนที่เราเคร่งเครียดมันไม่ได้เป็นสัมมาสติ มันเป็นมิจฉาสติ เป็นสติที่โดนกดทับบังคับให้อยู่ แต่สัมมาสติจะไม่มีกระบวนการปรุงจิต ไม่มีความอยาก อยู่ในสตินั้นๆ แต่จิตที่อยู่ในความเคร่งเครียดจะประกอบไปด้วยความอยากมี อยากดี อยากได้ เพราะฉะนั้นการฝึกจิตนี้ต้องมีความฉลาด รู้เท่าทันสภาวะและอารมณ์ของมัน อย่าฝึกแบบคนโง่ เพราะความเคร่งเครียด จดจ่อ จับจ้อง จริงจังมากไป จะกลายเป็นมิจฉาสติ พระพุทธเจ้าจึงให้เราอยู่ในป่าช้า ไม่ให้อยู่ในหมู่คณะ ในสังคม ถ้าอยู่กับธรรมชาติ ป่าเขา เรือนว่าง ป่าช้า ป่าชัฏ ถ้ำ คูหา เมื่อเราผ่อนคลายอิริยาบถ "จิต" จับอยู่กับป่าเขา ลำเนาไพร แมกไม้ ธรรมชาติ ความปล่อยวางของจิตก็จะปรากฏ
      
       ต้องหาทางทำให้จิตมีงานทำ ในส่วนที่เป็นสัมมาสติ เป็นส่วนกุศล หลวงปู่บอกว่าตอนกลางวันท่านจะลงไปแช่ในน้ำ ให้มันนวดตัว ผ่อนคลาย แช่แค่คอ อยู่ในน้ำที่ไหลแรงๆ และขณะที่พยุงตัวในน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำพัดพาไปนั้น เป็นการฝึกสติอย่างดียิ่ง วิธีฝึกสติ จึงมีสารพัดรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องนั่ง มหาสติต้องมีทุกอิริยาบถ ครูบาอาจารย์ที่ดีต้องไม่สอนศิษย์ให้อยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง เพราะเป็นการคิดว่าอิริยาบถกำกับสติ แต่จริงๆ แล้วหลวงปู่ท่านสอนว่า สติต้องเป็นผู้กำกับอิริยาบถ มหาสติต้องมีอยู่ในทุกอิริยาบถ การฝึกสติเปรียบดั่งเรากำมือ หากมันเครียด ก็ผ่อนคลายมันบ้าง สำคัญต้องรู้ว่าเรากำลังจะผ่อนคลาย แล้วพร้อมกำมันเข้ามาใหม่
      
       เย็นวันนั้น หลวงปู่เล่าชาดกให้ฟังเกี่ยวกับ พระเทวทัต ที่อาฆาตแค้นกับพระพุทธเจ้าเป็นชาติแรก สมัยเป็นพ่อค้าวาณิช และตั้งจิตว่า ข้าจะขอจองเวรกับท่านไปทุกชาติ แค่จิตเดียวที่ละโมบ ตะกละ เห็นแก่ตัว อยากได้ มันก็ติดตามพระเทวทัตไปไม่รู้กี่ชาติ หลวงปู่จึงย้ำให้พวกเรารู้ว่าการเจริญปฏิบัติธรรมต้องระวังเรื่องการผิดศีล ด้วยใจ เพราะมันสร้างสม สะสม ทำให้เกิดขบวนการต่อเนื่องไม่จบสิ้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราระวังรักษาใจ จิตนี้จึงมหัศจรรย์นัก หากเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นมลภาวะ ก็จะกลายเป็นมลภาวะตลอดไป ถ้าเริ่มต้นด้วยกุศล ก็จะเกิดกุศลเรื่อยไป
      
       เรื่องของจิตนี้หลวงปู่ได้อธิบายไว้ว่า ในจิตเรานี้ มีจิตซ้อนจิตอยู่ ประกอบกันอยู่เป็นอกุศลจิต กุศลจิต โลภมูลจิต อโลภมูลจิต เป็นพยาบาทจิต อพยาบาทจิตฯ มันสัมพันธ์ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มากมายมหาศาล ที่มีทั้งหยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม ประณีต ขบวนการของจิตมีอานุภาพมหาศาล ถ้ารู้จักฝึกให้ดี จะยังความสุขมาให้แก่สังคมและตัวเอง
      
       การเรียนรู้ "มหาสติปัฏฐาน" เป็นหัวใจของพระศาสนา สูตรใดๆ ก็ไม่เทียบเท่าสูตรแห่งมหาสติปัฏฐาน แม้แต่ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็ไม่มีอานุภาพเทียบเท่า พระศาสดาจึงเรียกว่า เอกายนมรรคโค (ทางอันเอก คือ ข้อปฏิบัติอันประเสริฐที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความบริสุทธิ์หมดจด หมดความทุกข์ และบรรลุนิพพาน ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ ) เป็นหนทางแห่งบุคคลผู้เดียว เป็นทางเดียว ที่เข้าสู่เป้าหมายของชีวิตสูงสุด และในมหาสติปัฏฐานก็มาจากขบวนการของสัมมาสติ อย่างน้อยช่วยคนอื่นไม่ได้ ก็ช่วยตัวเองได้
      
       กำเนิดพระศากยบุตร
      
       ในระหว่างนั้น หลวงพ่อพิศิษฐ์ (พระดอกเตอร์) ก็ถามหลวงปู่ว่า ความรู้ที่พวกเรามีก็แบบกระท่อนกระแท่น แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร หลวงปู่จึงบอกว่าให้เริ่มต้นจากตัวเอง ต้องมีสติก่อน ในขณะที่มีเหตุการณ์ใดๆ บีบคั้น ต้องตั้งมั่น ยืนหยัด อย่างไม่หวั่นไหว อย่างเช่น ตอนที่ท่านอบรมพระวิปัสสนาจารย์ จะเห็นว่ามีแต่คนจ้องจับผิด แต่ท่านไม่ได้สะดุ้ง ผวา หวั่นไหว และยังทำให้ใครๆ ยอมรับในสิ่งที่ท่านชี้นำ แสดง อบรมสั่งสอนได้
      
       ถ้าทุกคนมีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน ดังขุนเขาที่ยืนตระหง่าน ต้านแรงลม พายุร้าย ได้อย่างไม่โยกโคน มีหรือใครจะไม่ยอมทำตาม มีหรือใครจะไม่ยอมรับ สำคัญอยู่ว่าเราเป็นผู้นำที่ดี ซื่อตรง ไม่โยกโคน โอนเอนไปตามขบวนการฉุดกระชากลากถูทั้งหลายนั้น ต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน
      
       ถ้าตัวเองทำได้ ถึงที่สุดก็จะรู้ว่า เราเป็นผู้ชนะ เราจะภาคภูมิในสิ่งที่เราทำ เริ่มต้นจากตัวเอง สังคมรอบข้าง ขยายวงกว้างออกไปสู่สังคมอื่น แค่นี้ก็สามารถจะช่วยเหลือโลกและสังคมได้แล้ว ขอเพียงโลกและสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีสติ ไม่เบียดเบียน เบียดบัง เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไป ก็จะเกิดสันติสุข ร่มเย็นขึ้นมาเอง
      
        พระโพธิสัตว์
      
       หลวงปู่ได้อธิบายความหมายของพระโพธิสัตว์ กับพระโสดาบัน ว่า พระโพธิสัตว์เจ้าหรือพระมหาโพธิสัตว์นั้นต้องประกอบด้วยปณิธาน คือ ความตั้งใจอย่างมั่นคง ๔ ประการ อย่างนี้
      
       ๑. เราจะละกิเลสทั้งหลายให้หมด
       ๒. เราจะต้องตั้งใจศึกษาพระธรรมทั้งหลายให้เจนจบ (ไม่กล่าวถึงศีล หรือวินัย)
       ๓. เราจะไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
       ๔. เราจะบำเพ็ญตนให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (แสดงว่ายังไม่ตรัสรู้อริยสัจ อันเป็นเหตุ เป็นเครื่องช่วยให้พ้นทุกข์)
      
       คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์
      
       ๑. มหาปัญญา มีปัญญาอันยิ่งใหญ่
       ๒. มหากรุณา มีกรุณาไม่มีขอบเขตจำกัด พร้อมที่จะเสียสละตนเองทนทุกข์แทนผู้อื่น
       ๓. มหาอุบาย มีความฉลาดในการหาวิธีสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงสัจธรรม

       ทศภูมิของพระโพธิสัตว์
      
       ทศภูมิของพระโพธิสัตว์ คือ ภูมิจิตของพระโพธิสัตว์ มี ๑๐ ภูมิ ดังนี้
      
       ๑. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์มีความยินดีในความไร้ทุกข์ของสัตว์(ภูมินี้บำเพ็ญหนักในทานบารมี)
       ๒. วิมลาภูมิ (ปราศจากมลทิน) พระโพธิสัตว์ละมิจฉาจริยาได้เด็ดขาด ปฏิบัติแต่ในสัมมาจริยา (ภูมินี้มีศีลบารมีเป็นใหญ่)
       ๓. ประภาการีภูมิ (มีความสว่าง) พระโพธิสัตว์ทำลายอวิชชาได้เด็ดขาด มีความอดทนทุกประการ (ภูมินี้มีขันติบารมีเป็นใหญ่)
       ๔. อรรถจีสมดีภูมิ (รุ่งเรือง) พระโพธิสัตว์มีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่)
       ๕. ทุรชยาภูมิ (ผู้อื่นชนะยาก) พระโพธิสัตว์ละสภาวะแห่งสาวกยาน กับปัจเจกโพธิญาณ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องกั้นพุทธภูมิ (ภูมินี้มีฌานบารมีเป็นใหญ่)
       ๖. อภิมุขีภูมิ (มุ่งหน้าต่อทางนิพพาน) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญยิ่งในปัญญาบารมี เพื่อรู้แจ้งเห็นชัดในปฏิจจสมุปบาท (ภูมินี้มีปัญญาบารมีเป็นใหญ่)
       ๗. ทูรังคมาภูมิ (ไปไกล) พระโพธิสัตว์มีอุบายอันฉลาดแม้บำเพ็ญกุศลน้อย แต่ได้ผลแก่สรรพสัตว์มาก (ภูมินี้มีอุบายบารมีเป็นใหญ่)
       ๘. อจลาภูมิ (ไม่คลอนแคลน มั่นคง) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในปณิธานบารมี
       ๙. สาธุบดีภูมิ พระโพธิสัตว์แตกฉานในอภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ(ภูมินี้บำเพ็ญหนักในพลบารมี)
       ๑๐. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในญาณบารมี มีจิตอิสระ ไม่ติดในรูปธรรม นามธรรม (บำเพ็ญหนักญาณบารมี)
       เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทศภูมิเต็มบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีพระคุณเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เหลืออีกชาติเดียวก็จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์
      
       จริยธรรมของพระโพธิสัตว์
      
       จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ ๑๐ ประการ
      
       ๑. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
       ๒. พระโพธิสัตว์ ครองชีวิต โดยไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีภยันตราย
       ๓. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตให้บริสุทธิ์
       ๔. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารมาขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
       ๕. พระโพธิสัตว์ คิดว่า จะทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
       ๖. พระโพธิสัตว์ จะคบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผล
       ๗. พระโพธิสัตว์ จะไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอทุกอย่าง
       ๘. พระโพธิสัตว์ จะทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
       ๙. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาจะมีหุ้นส่วนด้วย
       ๑๐. พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบ หรือฟ้องร้อง
      
       พระโพธิสัตว์จะไม่นำเอาวิถีชีวิตของตนไปสู่เป้าหมาย คือ นิพพาน ก่อนที่จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ เพราะเมื่อใดถ้าอยู่ในวิถีทางของนิพพานแล้ว ไม่สามารถจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ เพราะจะหมดสิทธิ์ในการที่จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้า จึงต้องอยู่ในดุลพินิจ ความสามารถในการเรียนรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้ารู้ และปฏิบัติให้ได้ เป็นครู(ครุ)สอนคนอื่นได้ และต้องรู้จริง รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้จำ ไม่ทำตัวเองให้หมดจากอาสวกิเลส เพราะจะต้องกลับมาเกิด โปรดสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัย เพียงแค่พระโพธิสัตว์เดินเข้าไปสู่เป้าหมายวิถีแห่งนิพพานขั้นพระโสดาบัน ก็หมดสิทธิ์จะมาเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว
      
       ส่วนพระโสดาบันนั้นเข้าสู่กระแสของพระนิพพาน เกิดอีก ๗ ชาติ ก็จะบรรลุอรหันต์แล้ว แต่ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์จะไม่เข้าสู่กระแสของพระนิพพาน คือเข้าสู่พระอริยบุคคลเบื้องต้น เพราะพระโพธิสัตว์ไม่ได้เกิดเพียงแค่ ๗ ชาติ แต่เกิดมาเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ไม่รู้จบ และความหมายของพระอริยโพธิสัตว์ ก็คือพระโพธิสัตว์ที่อยู่เหนือกว่าพระโพธิสัตว์ธรรมดา มีที่อยู่ที่เหนือจากสามัญชน คนธรรมดา ส่วนพระมหาโพธิสัตว์ คือผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
      
       สิ่งสำคัญหรือคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์คือ การเรียนรู้ให้มาก และรู้ด้วยตนเอง โดยไม่อาศัยผู้อื่น พยายามศึกษาหาความรู้ ครูสอนมาหนึ่ง ต้องหาให้ได้สิบ มีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ พระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้นำคนอื่น พระโพธิสัตว์ต้องมีวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนา ก็รักษาศีลไม่ได้ พระโพธิสัตว์ต้องมีคุณสมบัติรักษาศีล ต้องรักษาให้ได้ ต้องมีสมาธิจิตอันเลิศ เรียกว่ามี ฌานสมาบัติ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องปลดปล่อยสรรพสัตว์
      
        ความหมายของคำว่า "พระโพธิสัตว์"
      
       เกี่ยวกับความหมายของคำว่า "พระโพธิสัตว์" ผมได้ศึกษาค้นคว้ามาว่า คำว่า โพธิสัตว์ หรืออาจจะเขียนได้ว่า โพธิสัตต์ มาจากคำว่า โพธิ+สัตต คำว่า"โพธิ" แปลว่า ความตรัสรู้หรือความรู้แจ้ง คำว่า"สัตต" ตามบาลีมิได้หมายถึงสิ่งมีชีวิต(สัตวะ) หรือมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้ความหมายคล้ายคลึงกับ "สัตวัน" (Sattavan) ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งหมายถึง ผู้ทรงพลัง ผู้นำ นักรบ ดังนั้นคำว่า "สัตต" ในคำว่า "โพธิสัตต์" จึงหมายถึง ผู้นำ หรือผู้มีใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ องอาจ เยี่ยงนักรบ ซึ่งให้ความหมายเดียวกับคำว่า โพธิสัตต์ ในภาษาธิเบต คือ byan chub sems-dpah โดยคำว่า byan chub หมายถึง โพธิ (bodhi), sems หมายถึง จิต (mind) และ dpah หมายถึง วีรบุรุษ ผู้กล้า หรือผู้เข้มแข็ง ดังนั้นคำว่า โพธิสัตต์ จึงควรจะแปลว่า ผู้มีใจยึดมั่นในสัมมาสัมโพธิญาณอย่างเด็ดเดี่ยว
      
       จุดเริ่มต้นของอุดมการณ์โพธิสัตว์
      
       ยาน (yanas) หรือเส้นทางซึ่งนำไปสู่การบรรลุโพธิ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ
      
       ๑. สาวกยาน คือ ยานของพระสาวกที่มุ่งเพียงอรหันตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ด้วยการสดับจากพระพุทธเจ้า
       ๒. ปัจเจกยาน คือ ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้แก่ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ให้บรรลุมรรคผลได้
       ๓. โพธิสัตวยาน คือ ยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ผู้มีจิตใจเมตตา ใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวาง และเป็นผู้รู้แจ้งในสุญญตธรรม ซึ่งทางมหายานถือว่าบุคคลใดจะบรรลุพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ก่อน จึงกล่าวได้ว่าโพธิสัตว์ภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล
      
       ทั้งนี้อรรถของมหายานที่ว่าด้วยการขนสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร สืบเนื่องมาจากพุทธสาวกในระยะแรก และสามศตวรรษหลังจากพุทธปรินิพพาน ยึดมั่นในความเป็นอรหันต์ (Arahat) ซึ่งหมายถึงการขจัดเสียซึ่งอาสวกิเลส (asravas) เพื่อมิต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก และเมื่อได้เป็นอรหันตสาวกก็จะออกสั่งสอนธรรมแก่ชนทั่วไปตามพุทธประสงค์ ด้วยความมีเมตตากรุณา เพื่อช่วยสรรพสัตว์ก้าวสู่ความหลุดพ้น
      
       แต่ต่อมาหลังจากนั้น สงฆ์สาวกเริ่มละเลยหน้าที่นี้ และมุ่งปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ ใส่ใจเฉพาะความหลุดพ้นของตนเองเป็นใหญ่ ดังนั้นอุดมการณ์โพธิสัตว์จึงเริ่มขึ้นจากสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นการคัดค้านการกระทำที่มุ่งประโยชน์ส่วนตัว โดยย้ำในหลักการช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ มิได้มุ่งอรหันตผลหรือความเป็นปัจเจกพุทธเจ้า แต่มุ่งหวังใน "อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" อันหมายถึงการตรัสรู้ในขั้นสมบูรณ์ที่สุด อันเป็นคำสอนดั้งเดิมครั้งปฐมเทศนา ที่พระพุทธองค์ได้บรรลุโพธิ และบรรดาสาวกก็ควรจะได้ถือเป็นเยี่ยงอย่างปฏิบัติตาม แทนที่จะมุ่งสู่นิพพานแล้ววางเฉยต่อสรรพสัตว์อื่นๆ ดังนั้นอุดมการณ์โพธิสัตว์จึงถือได้ว่าเกิดขึ้นเพื่อคัดค้านอุดมการณ์ อรหันต์ ซึ่งมีข้อบกพร่องตรงที่ไม่แสวงหาสัมมาสัมโพธิญาณ และมุ่งสู่นิพพาน (nirvana) โดยไม่สนใจให้ความช่วยเหลือสรรพสัตว์ ดังในมหาปรัชญาปารมิตา อรรถกถา ที่คุรุนาคารชุนได้อธิบายไว้ว่า
      
       "พระพุทธธรรมมีเอกรสเดียว คือ รสแห่งวิมุติ ความรอดพ้นจากปวงทุกข์ แต่ชนิดของรสมี ๒ ชนิด คือ ชนิดแรกเพื่อตัวเอง ชนิดที่สองเพื่อตัวเองและสรรพสัตว์ด้วย"
      
       นั่นคืออุดมการณ์โพธิสัตว์ จึงเกิดขึ้นด้วยความเมตตา โดยคำนึงถึงหน้าที่หลัก ๒ ประการ คือ
      
       ๑. โพธิสัตว์นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์แล้ว ยังมุ่งในความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในโลกนี้
       ๒. โพธิสัตว์ปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้บรรลุนิพพาน โดยตนเองปฏิเสธการเข้าถึงนิพพานของตน เพื่อที่จะได้ยังมีโอกาสรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะต้องยังอยู่ในที่แห่งความทุกข์ยาก เพื่อสร้างคุณความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งนับว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ โดยตั้งปณิธานสำคัญว่า
      
       "ข้าฯจะไม่เข้าสู่ปรินิพพานจนกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะพ้นทุกข์ ข้าฯจะยังคงอยู่ที่นี่ตราบจนวัฏสงสารจะสิ้นสุดลง แม้ว่าข้าฯยังจะต้องอยู่ที่นี่อีก แม้เพียงชีวิตใดชีวิตเดียว"
      
        ประเภทของพระโพธิสัตว์
      
       ในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ
      
       ๑. พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่ามาเกิดในโลกมนุษย์เมื่อใด แต่เกิดขึ้นก่อนกาลแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ท่านได้บรรลุพุทธภูมิแล้ว แต่ทรงมีความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตั้งพระทัยไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ประทับอยู่เพื่อโปรดสัตว์ในโลกนี้ต่อไป ดังเช่น
      
       - พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา ในหัตถ์ขวาทรงถือพระขันธ์เป็นสัญลักษณ์ในการทำลายล้างกิเลสตัณหาและอวิชา ทั้งปวง และในหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์บนดอกบัว
       - พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงไว้ด้วยความกรุณา และได้ทรงตั้งปณิธานว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากกิเลสความผูกพันทั้งปวง หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการรื้อสัตว์ ขนสัตว์จากนรก
       - พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา จะลงมาจุติในโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัย ความเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลและลึกแม้กระทั่งในดินแดนนรก ในประเทศจีนพระอวโลกิเตศวรเป็นที่รู้จักกันในปางสตรีคือ "เจ้าแม่กวนอิม" และชาวธิเบตเชื่อว่าองค์ประมุขทไลลามะ เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
       - พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ทรงปัญญาเป็นเยี่ยม และทรงใช้ปัญญานี้เป็นเครื่อง บั่นทอนอวิชา
       - พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ยาก และเจาะจงช่วยโดยเฉพาะแก่เด็กและมิจฉาชน
       - พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์) เชื่อว่าเป็นองค์อนาคตพุทธเจ้า และจะลงมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า เป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา
      
       ๒. มนุษิโพธิสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติตนเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ปฏิบัติตนอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบการบุญ เจริญศีล ทาน ภาวนา ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ กระทำกัลยาณวัตร และบำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติไป โดยมุ่งหวังบรรลุพระโพธิญาณในขั้นสุดท้าย เช่น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นโพธิสัตว์ จึงเป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธมหายาน ที่พยายามดำเนินรอยตามแนวทางพระยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นมนุษิโพธิสัตว์ เพื่อให้ได้ถึงพุทธภูมิในที่สุด
      
       และอุดมการณ์โพธิสัตว์นี้ยังมีสมบัติเป็นตัวเชื่อมทำให้ไม่มีช่อง ว่างมากนักระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส เนื่องจากผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบรรพชิต แม้ฆราวาสเองก็เป็นโพธิสัตว์ได้ (ไม่ใช่ด้วยความอยากจะเป็น) เช่นกัน โดยหัวใจของการเป็นโพธิสัตว์นั้นขั้นแรกต้องมี โพธิจิต คือจิตตั้งมั่น ยึดพุทธภูมิเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต มีศรัทธาในโพธิ หรือความรู้แจ้งว่าเป็นอุดมการณ์สูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์
      
       นอกจากนั้นโพธิสัตว์จะต้องมีจรรยา ๔ คือ
      
       ๑. โพธิปักขิยจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง อันประกอบด้วยคุณธรรม ๓๗ ประการ คือ
      
       ๑.๑ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม
       ๑.๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรอันบุคคลตั้งไว้ชอบ ได้แก่ สังวรปธาน(เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน), ปหาปธาน(เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว), ภาวนาปธาน(เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน) และอนุรักขนาปธาน(เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม)
       ๑.๓ อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
       ๑.๔ อินทรีย์ ๕
       ๑.๕ พละ ๕ ได้แก่ สัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา
       ๑.๖ โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติ(ความระลึกได้), ธัมมวิจยะ(ความเฟ้นหาธรรม), วิริยะ(ความเพียร), ปีติ(ความอิ่มใจ), ปัสสัทธิ(ความสงบใจ), สมาธิ(ความมีใจตั้งมั่น), อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามความเป็นจริง)
       ๑.๗ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ
      
       ๒. อภิญญาจรรยา คือ การปฏิบัติความรู้ทั้งมวล
      
       ๓. ปารมิจาจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อการสร้างสมบารมี ซึ่งในทางเถรวาทจะกล่าวถึงทศบารมี ๑๐ ประการ แต่ฝ่ายมหายานจะกล่าวถึงบารมีหรือปารมิตาที่สำคัญ ๖ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา โดยสาระที่แท้จริงแล้วก็คือการพัฒนาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ส่วนเนกขัมบารมี ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบารมีของฝ่ายมหายาน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่า ในการบำเพ็ญฌานบารมีนั้น เมื่อปฏิบัติในขั้นสูง ผู้ปฏิบัติจะรักษาพรหมจรรย์ ซึ่งใกล้เคียงกับการออกบวชในประเด็นที่เป็นผู้ออกจากกามเช่นกัน ๔. สัตตวปริปาจรรยา คือ การอบรมสั่งสอนสรรพสัตว์
      
        ความกรุณาของพระโพธิสัตว์
      
       มีเรื่องเล่าไว้ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าชาดกอันเป็น เรื่องราวสมัยทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนจะตรัสรู้เป็นพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง มีโอรสสามองค์ พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้อง มีพระนามว่าพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์เป็นเด็กน้อยที่มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีใจกรุณา ทั้งปฏิบัติต่อสรรพชีวิตเหมือนบุตรของพระองค์
      
       วันหนึ่งพระจักรพรรดิและข้าราชบริพารได้เสด็จประพาสอุทยาน ส่วนพระโอรสทั้งสามไปเล่นในป่า ไม่นานก็พบเสือแม่ลูกอ่อน เสือตัวนั้นไม่มีเรี่ยวแรงเพราะหิวโซ จนกระทั่งคิดจะกินลูกของตน พระมหาสัตว์จึงตรัสถามพระเชษฐาว่า
      
       "เสด็จพี่ เสือต้องกินอะไรถึงจะมีแรง"
      
       "เนื้อสด หรือไม่ก็เลือด" พระเชษฐาทั้งสองตรัสตอบ

       "ใครจะให้เนื้อและเลือดของตนแก่แม่เสือ เพื่อให้แม่เสือและลูกๆมีชีวิตรอดบ้าง?" พระมหาสัตว์ตรัสถาม
      
       "ก็ใครล่ะ?" พระเชษฐาตรัสตอบ
      
       พระมหาสัตว์สงสารแม่เสือและลูกน้อยมาก จึงคิดขึ้นว่า "เป็นเวลาช้านานแล้วที่เราท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏอย่างไร้ประโยชน์ ความโกรธ โลภ หลง ของเราชาติแล้วชาติเล่า ช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นได้น้อยมาก ในที่สุดโอกาสสำคัญก็มาถึงแล้ว"
      
       ขณะที่พระโอรสองค์อื่นกำลังจะกลับไปหาพระบิดา พระมหาสัตว์ตรัสขึ้นว่า "เสด็จพี่ทั้งสองจงเสด็จกลับก่อน หม่อมฉันจะตามไปทีหลัง" แล้วพระองค์ก็คลานกลับไปหาแม่เสืออย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงนอนกับพื้นต่อหน้าแม่เสือเพื่อเป็นอาหารให้มัน แม่เสือมองมาที่พระมหาสัตว์ แต่อ่อนระโหยจนไม่สามารถเปิดปากได้ ดังนั้นพระองค์จึงหาไม้แหลมมาแทงร่างกายให้เลือดไหล แม่เสือจึงได้เลียกิน และมีเรี่ยวแรงพอที่จะเปิดปากและกินพระมหาสัตว์
      
       พระมหาสัตว์ได้มอบร่างให้แม่เสือเพื่อช่วยลูกน้อย ด้วยอานิสงส์แห่งเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้เอง พระองค์จึงได้เกิดใหม่ในภพที่สูงขึ้น และเข้าใกล้การตรัสรู้มากขึ้นเป็นลำดับ จนได้เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด พระกรุณาของพระองค์แรงกล้ากระทั่งได้ทำให้ทั้งหมดนี้มีกรรมผูกพันต่อเนื่อง ไปอีกหลายชาติ ซึ่งแม่เสือและลูกน้อยที่ได้กินร่างของพระมหาสัตว์เป็นอาหาร ได้เกิดใหม่เป็นพระปัญจวัคคีย์ อันเป็นสาวก กลุ่มแรกที่ได้ฟังธรรมจากพระองค์หลังจากตรัสรู้ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าอานิสงส์ของกรุณานั้นช่างยิ่งใหญ่และลึกล้ำยิ่งนัก
      
       กลียุค
      
       มีช่วงหนึ่งที่หลวงปู่ได้พูดถึงวิกฤตการณ์ต่างๆที่อาจทำให้เกิดความสับสน แก่โลกและสังคมได้ในอนาคตว่า
      
       "...พวกเรามีปัญญาญาณ พอที่จะรับรู้สิ่งต่างๆที่จะอบรมสั่งสอน หรือถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ได้เยอะแยะ กาลข้างหน้า สังคมและโลก กำลังจะสับสน มันจะเกิด"กลียุค" ถ้าพวกเราเรียนรู้อย่างจริงๆจังๆ มหาสติปัฏฐานที่เรามี หรือกำลังฝึกอยู่นี้ มันสามารถช่วยโลกได้"
      
       "ถ่ายทอดเข้าไปสู่สังคมข้างนอก ให้มีสติยั้งคิด จะทำ พูด คิด ก็ต้องไม่ผิดพลาด ความรัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายที่กำลังเร่าร้อนอยู่ในสังคม มันจะลดน้อย ถดถอยลงไป ความยื้อแย่ง อวดดี อวดฉลาด แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบ แล้วโหดร้าย อาฆาตพยาบาท ฆ่าหั่นกัน มันก็จะลดน้อยลงไป การฝึกมหาสติเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ภัยได้ ถ้าเราฝึกมันอย่างจริงๆจังๆ..."
      
       "...ช่วงชีวิตของพวกเรานี้ เราจะเห็นกลียุคของโลก ถ้าวันนี้เราไม่รู้จักเตรียมตัว ฝึกความมีสติ ถึงวันกลียุคของโลกแล้ว เราจะช่วยตัวเองไม่ได้ และก็เป็นภาระแก่สังคม ต้องรู้จักฝึกเพื่อไปช่วยโลกและสังคมได้บ้าง ลำพังหลวงปู่คนเดียว คงทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ ทุกคนที่นั่งอยู่นี่ มีส่วนช่วยโลกและจักรวาล และปลูกฝังลูกหลาน ญาติผู้ใกล้ชิด หลวงปู่ไม่อยากเห็นกลียุคของโลกและสังคมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า..."
      
       "นักปกครองของโลกคิดว่า วิธีนี้รักษาความตั้งมั่นของจักรวรรดิ วิธีนั้นรักษาความยิ่งใหญ่ของประเทศตน แต่จริงๆแล้วหารู้ไม่ว่าที่ผ่านมา จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และตั้งมั่นของประเทศที่เขาล่มสลาย มันมีดีกว่าปัจจุบันเยอะแยะ วิวัฒนาการของคนยุคสมัยก่อน ถึงขนาดไม่ต้องมีภาษาพูด ใช้จิตคุยกัน มันก็มีเยอะแยะ แต่ก็ล่มลงไปในจักรวรรดินั้น แล้วเราก็ไม่ใช้ตัวอย่างอย่างนี้สำหรับการศึกษา ค้นคว้า เพื่อเป็นครูสอนเรา เรากำลังจะเดินอยู่กับที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความผิดพลาด เสียหาย โดยมีความอยาก ความมีกิเลส และตัณหาอุปาทาน มาเป็นเครื่องชี้นำความเจริญของวัตถุและบุคคล รวมทั้งจักรวรรดิของตน สุดท้ายก็มีความล่มสลายในที่สุด"
      
       "ที่ผ่านมาเราก็ทำอย่างนี้มาตลอด จักรวรรดิแต่อดีตที่ล่มสลายไปแล้ว ก็มีความเจริญถึงขีดสุด ถึงขนาดเขาสร้างพระอาทิตย์ขึ้นใช้ได้ ลองไปค้นดูก็ได้ว่ามีไหม โดยสร้างใช้ถึง ๗ ดวงได้ ภายในจักรวรรดิของตน (ข้อมูลเพิ่มเติมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป : ผู้เขียน) ใช้พลังงานที่มีอยู่ในดวงอาทิตย์ที่สร้างขึ้นนั้น มาแปรสภาพเป็นพลังงานทุกอย่างที่ตัวเองจะใช้ และสุดท้าย ก็โดนเผาไหม้เพราะดวงอาทิตย์ และล่มสลายตามอายุขัยและความอยากของตน ขนาดจักรวรรดิที่เจริญสูงสุดยังล่มสลายมาแล้ว แล้วโลกกับสังคมก็กำลังจะเดินเข้าไปสู่ตรงนั้นอีก"
      
       "วิธีเดียวที่จะช่วยโลกได้ คือ ความร่มเย็นเป็นสุข จากจิตวิญญาณที่ใสสะอาดและสงบ หลวงปู่ไม่ได้มุ่งหวังให้ไปสู่ยุคทอง ยุคทองของพระศรีอริยเมตไตรย ที่มีแต่ความสุขสมบูรณ์"
      
       "พวกเรามีโอกาส ก็เร่งปฏิบัติ อย่างน้อยก็ช่วยตัวเองให้พ้นจากทุกข์ภัยและสัตว์ อย่างน้อยก็ภัยที่เกิดจากอารมณ์เลวร้ายที่มาฉุดกระชากลากถู ไปทำชั่ว ไม่ดี ไม่งาม ทั้งหลาย โลกและสังคมก็จะร่มเย็น กลียุคก็จะไม่ปรากฏ..."
      
       ถ้าเราศึกษาพระไตรปิฎก ไตรภูมิพระร่วง และพระเจ้าห้าร้อยชาติ ก็จะรู้ว่า พระสาวกทุกพระองค์ทำบุญร่วมกับพระพุทธเจ้า ทำบุญร่วมชาติกันมา หลวงปู่บอกไว้ในวันอบรมพระวิปัสสนาจารย์ว่า "พวกท่านต้องเกิดร่วมกับผม เกลียดอย่างไรก็ต้องเกิดกับผม รักผมอย่างไรก็ต้องเกิดร่วมกับผม เพราะท่านอยู่กับผม ฟังธรรมที่ผมสอน ถึงจะเกลียด จะรัก ก็ต้องเกิดร่วมกัน เพราะมันเป็นกรรม กรรมที่ผูกพันกันมา พยายามขยันทำดีหน่อย พยายามฝึกให้เป็นส่วนที่ดี สุดท้ายจะรู้ว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องที่หวังได้ ความสุขของชีวิตสามารถที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้"
      
       จะทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม ถ้าได้มีโอกาสฟังธรรมของกันและกัน มีโอกาสสร้างสัมพันธไมตรีต่อกัน หรือสร้างความโกรธแค้นต่อกัน ต้องได้มีโอกาสกลับมาเกิด เจอกัน ส่วนจะเจอในสถานภาพของความสุขหรือทุกข์นั้น หลวงปู่บอกว่า สุดแท้แต่กรรมใครกรรมมัน แต่อย่างไรก็หนีกันไม่พ้น สุดแต่ว่าจิตเราตั้งความปรารถนาไว้ตรงไหน
      
        เจริญสติ
      
       จากนั้นหลวงปู่ก็ให้พวกเราลุกขึ้นยืนเจริญสติ ท่านได้นำว่า
      
       "...ให้เกิดความรู้สึกว่า กายนี้เป็นเหมือนนคร จิตกับสติเหมือนกับแขกหรือเจ้านคร ส่งความรู้สึกทั้งปวงเข้าไปในกายนี้ อย่าให้ออกไปนอกกายนี้ โยกตัว ยกส้นเท้าซ้ายถ่ายน้ำหนักมาที่ขาขวา ยกส้นเท้าขวาถ่ายน้ำหนักมาที่ขาซ้าย รับรู้น้ำหนักและไออุ่นที่ปรากฏ สลับไปมา ซ้าย ขวา ถ้ามันจะหลุดออกไปจากกาย ก็ให้ยืนอยู่กับที่ แล้วภาวนาอยู่ในใจว่า กระดูกท่อนหนึ่งกำลังยืนอยู่ มีอะไรที่ออกไปจากกระดูกหรือ ถ้าหลับตาแล้วเซก็ให้ลืมตา แล้วส่งความรู้สึกเข้ามาภายใน ถ้าแล่นออกไปข้างนอก ก็ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆกักทิ้งไว้ แล้วถามตัวเองว่า กระดูกท่อนหนึ่ง กำลังเสียสมดุลหรือ แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก เมื่อความรู้สึกตัวมันกลับมา เราก็เริ่มใช้ให้มันทำงานต่อ
      
       พระพุทธเจ้าใช้คำว่า "ฝึกสติ" แสดงว่ามีสติอยู่แล้ว แต่มันไม่แข็งแรง มันไม่รอบรู้ มันไม่เชี่ยวชาญ มันไม่มีศักยภาพ ไม่มีความสามารถ เราจึงจำเป็นต้องฝึก คอนโทรลมัน หัดที่จะเป็นนายมัน จนกระทั่งมันแกร่งและกล้าแข็งขึ้น จนกลายเป็นสมาธิ เมื่อสมาธิปรากฏ ปัญญาก็เกิด จิตก็จะใสสะอาด ปราณ จิต ปัญญา สมาธิ สติ ก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง อำนาจและพลังของเราจะเหนือฟ้าและดิน..."
      
        นิมิตสอนศิษย์
      
       เมื่อหลวงปู่พาทุกคนเจริญสติแล้ว ก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ท่านได้เล่าประสบการณ์ทางวิญญาณให้ฟังว่า
      
       เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ท่านไปธุดงค์แถวทุ่งคำสะอี ทางภาคอีสาน ตอนนั้นผ่านหมู่บ้านหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งกำพร้าพ่อ อายุประมาณสัก ๑๐ กว่าขวบ หลวงตาแก่ๆเอามาฝากท่านไว้ เพราะเห็นว่าท่านมีความรู้ที่จะให้เด็กได้เรียนรู้บ้าง จึงบวชเณรให้เด็กแล้วให้มาอยู่กับท่านชื่อ เณรจิ๋ว หลวงปู่ก็สอนมหาสติปัฏฐาน อย่างที่สอนพวกผม เณรจิ๋วจึงเป็นศิษย์คนแรกของหลวงปู่
      
       สมัยนั้นท่านจะเคร่งครัดในการอบรม ถ่ายทอด สั่งสอน แต่ท่านก็ไม่ได้ดูอายุขัยของเณรว่า จะตายเร็วหรือตายช้า ท่านพาเณรไปอยู่ถ้ำแสงเพชร ท่านบอกว่าตลอดเวลาที่อยู่ในถ้ำให้เจริญสติ อย่าให้ขาดสติ แล้วสั่งว่าตอนกลางคืนเวลามีใครมาเรียกก็อย่าลุก เณรจิ๋วก็เจริญสติได้พอสมควร
      
       มีอยู่คืนหนึ่งหลวงปู่ทดลองทำนิมิตให้ปรากฏเป็นแม่ของเณรจิ๋วมาเรียก ด้วยความคิดถึงแม่ เณรจิ๋วจึงขาดสติ เดินออกมาจากเขตอาคมที่หลวงปู่จัดเอาไว้ เมื่อออกเดินตามแม่มา เณรจิ๋วก็พบกับภาพอันสยดสยอง คือ จากแม่ตัวเองกลายเป็นเสือสมิง ไล่กัดเณรจิ๋ว จนหนีไป ๒-๓ ลูกเขา เช้าขึ้นมาหลวงปู่ต้องออกไปตาม ไปเจอเณรจิ๋วหนีตายไปอยู่บนยอดไม้ ยอดไม้ที่ขึ้นไปคือต้นงิ้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านจึงปฏิญาณว่า จะไม่ใช้วิธีนี้ในการสอนศิษย์ โดยการจับความรู้สึกทุกขณะจิต เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องโหดเกินไป จึงไม่ค่อยได้สอน เพราะมีความคิดว่ามันอยู่ที่บุญ บารมี ของแต่ละคนในการเรียนรู้
      
       ท่านบอกว่าอาจจะเป็นเพราะช่วงนั้น ท่านต้องการให้เณรจิ๋วมีความรู้ พร้อมที่จะไปช่วยสรรพสัตว์ ต่อมาท่านจึงดูอายุขัยของเณรจิ๋ว พบว่ามีอายุได้ไม่เกิน ๑๖ ปีก็ตาย ท่านเลยไม่ได้สอนมหาสติปัฏฐานแก่ใครอีกเลย แม้แต่พระที่อยู่ในวัดอ้อน้อย ก็ไม่ได้สอน เพราะคิดว่าเมื่อสอนไปแล้ว อาจต้องไปตาย และอีกอย่างการปฏิบัติก็ลำบากด้วย มันจะทำให้ท่านเสียความรู้สึกที่ต้องมาทุ่มเท คือ สอนแล้วทำไม่ได้
      
       การขจัดความกลัว
      
       การขจัดความหวาดกลัวนั้น ตามแบบของการฝึกฝนในธิเบต มีวิธีการฝึกที่เคร่งครัด รุนแรง เฉียบขาดมาก เพราะผู้ที่ฝึกสำเร็จแม้เพียงขั้นต้นจะเป็นผู้ที่ไม่กลัวอะไรอีกต่อไป โดยอาศัยความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ หรือดวงวิญญาณ ถ้าเป็นลามะก็สอนให้มีจิตใจเมตตากรุณา ให้แผ่เมตตาจิตแก่ดวงวิญญาณ เป็นการทำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง เห็นว่าตัวเองไม่มีความสำคัญอะไร เพราะในจักรวาลนี้เต็มไปด้วยวิญญาณเร่ร่อนมากมายทุกหนทุกแห่ง และลงท้ายตัวเองก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ทำให้เกิดความคิดเรื่องความไม่เที่ยง อันเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา
      
       ในขั้นต้นของการฝึกฝน ต้องถูกฝึกหัดอย่างร้ายแรง เฉียบขาด ในสิ่งที่จะไม่ให้กลัว วิธีการฝึกนั้นอาจจะดูว่าเป็นวิธีป่าเถื่อนหรือโหดเหี้ยม เช่น จับมัดแล้วเอาไปไว้ในที่ซึ่งร่ำลือว่าดุ แล้วทิ้งไว้ตลอดคืน จะกลัว จะร้องอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะจะไม่มีใครไปช่วยก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น บางทีมัดไว้ตลอด ๓ วัน ๓ คืน โดยไม่ให้น้ำ ไม่ให้อาหาร และซ้ำไม่ให้นอนหลับอีกด้วย พอตกกลางคืนอาจารย์ก็ไปแกล้งหลอกหลอน คนที่ประสาทไม่แข็งพอ ก็เจ็บไข้ได้ป่วยล้มตายไปเป็นอันมาก
      
       หรือบางครั้งใช้วิธีเอาเชือกผูกคอเหมือนแขวนคอ แล้วผูกโยงไว้กับกิ่งไม้ วิธีการอย่างนี้ทำให้ต้องยืนอยู่ตลอดคืน ไม่สามารถจะนั่งได้ เพราะถ้าทิ้งตัวให้น้ำหนักตัวถ่วงลงไป เชือกก็จะรัดคอถึงแก่ความตาย
      
       เรื่องราวความเชื่อ คำสอน หลักปฏิบัติของทางธิเบตที่ผมนำมาเล่าให้ฟังนี้ เพราะเห็นว่าอิทธิพลของธิเบตได้เข้าถึงดินแดนล้านนา ชาวสยาม มากพอสมควร ในด้านความเชื่อ ประเพณีเก่าแก่โบราณ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะว่าวัฒนธรรมทั้งจีน ธิเบต หลั่งไหลเข้ามาทางพม่า ซึ่งพรมแดนไทย พม่า ลาว ต่อเชื่อมกัน คงจะได้มีการเผยแพร่ความเชื่อมาต่อๆกัน และพม่า(บางเผ่า)ก็สืบเชื้อสายมาจากธิเบตแท้ ความเชื่อ คำสอน หลักทางศาสนาจึงยังคงเผยแพร่ผสมผสานเข้ามาถึงดินแดนสยามเรา
      
       วิธีการฝึกฝนการขจัดความกลัวของธิเบตพอแบ่งออกได้เป็น
      
       การฝึกขั้นที่ ๑
      
       การฝึกเพื่อให้หมดความกลัวนั้นต้องทำกันอย่างมาก ถึงที่สุด และเป็นธรรมดาของผู้ที่เป็นศิษย์ เมื่ออยู่ในที่เปลี่ยวและยิ่งถูกมัด โดยไม่มีทางหนี ก็ย่อมมีความรู้สึกมองเห็นไปต่างๆนานา ภาพที่หลอกตาตนเอง ย่อมจะมีขึ้นได้เป็นอันมาก การฝึกใจไม่ให้กลัวก็เป็นวิธีการฝึกอย่างดีวิเศษอย่างหนึ่ง เพราะถ้าไม่กลัวในสถานการณ์ ในกรณีอย่างนั้นแล้ว จะทำให้ใจกล้ามากขึ้น มีกำลังใจที่เข้มแข็ง แต่ข้อที่ควรระวังคือ เนื่องจากไม่มีวิธีฝึกหัดแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นก็ใช้วิธีหักโหมเช่นนี้ ถ้าเป็นคนประสาทอ่อน ก็อาจเจ็บป่วย พ่ายแพ้ หวาดกลัวมากขึ้นก็ได้
      
       การฝึกขั้นที่ ๒
      
       เมื่อได้ฝึกหัดขจัดความกลัวอยู่นาน จนเป็นที่พอใจของครูบาอาจารย์แล้ว ขั้นที่สองนี้จะฝึกฝนในลักษณะที่คล้ายกับการเลี้ยงวิญญาณ อาศัยหลักปรัชญาเข้ามาปะปนแอบแฝงอยู่ โดยมีวิธีการคือ อาจารย์ให้มนต์ไปท่อง เมื่อท่องได้ จำได้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็อธิบายความหมายให้ฟัง แล้วสั่งให้น้อมจิตคิดนึกให้เป็นไปตามความหมายของมนต์นั้น ซึ่งวิธีการของชาวธิเบตนี้เขาจะชี้แจงความหมายให้เข้าใจโดยตลอด และสอนให้ทำใจนึกไปตามความหมายนั้นด้วย ไม่ใช่ท่องอย่างเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่องด้วยการทำใจคิดไปตามถ้อยคำของมนต์ทุกประการ
      
       แล้วจึงใช้มนต์นั้นไปนั่งภาวนาสร้างมโนภาพอย่างแจ่มใส โดยอาจารย์จะสั่งให้ไปหาที่ริมแอ่งน้ำ ป่าช้า ที่ฝังศพ เผาศพ ที่ทิ้งศพให้สัตว์กิน ป่าเปลี่ยว เมื่อเลือกที่ได้เหมาะสมแล้วก็ให้นั่งอย่างสงบ และให้เป่า ปี่ที่ทำด้วยกระดูกแข้งของมนุษย์ การเป่าปี่เป็นการเรียกภูตผี จิตวิญญาณ เมื่อเป่าปี่แล้วจึงให้นั่งเข้าฌาน
      
       การเข้าฌานนั้น ให้สร้างมโนภาพเป็นเทพธิดา ภาพของเทพธิดาจะต้องสร้างให้ถือดาบคมไว้ในมือ จะต้องเห็นภาพเทพธิดาใช้ดาบนั้นตัดศีรษะผู้ฝึกหัด เมื่อตัดศีรษะแล้วก็ผ่าออก แหวะท้อง มีปีศาจมารุมแทะ ฉีก ทึ้ง แล้วก็ว่าคาถามีข้อความอธิบายความหมายได้ คือ "ข้าเกิดมาแล้วหลายครั้ง หลายหน จากเลือด จากเนื้อของคนอื่น ข้าเป็นหนี้เลือดเนื้อของคนทั้งหลาย ได้อาหาร เสื้อผ้า ความผาสุก จากการเลี้ยงดู จากแรงของคนอื่น ในวันนี้ข้าขอใช้หนี้เอาตัวของตัวเองออกทำลาย ร่างกายที่ข้าพเจ้ารักขอสละให้เป็นอาหารของภูติผีปีศาจทั้งหลาย ข้าจะให้เนื้อแก่ผู้ที่หิว ให้เลือดแก่ผู้ที่กระหาย ให้หนังปกป้องความหนาวเป็นผ้านุ่งห่ม ให้กระดูกสำหรับจุดไฟทำฟืน ให้ความอบอุ่น ข้าให้ความสุขแก่คนที่ทุกข์ ให้ลมหายใจของข้าแก่คนที่ตายไป ให้กลับฟื้นคืนมา"
      
       เรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า การฝึกหัดตามลัทธินิกายของธิเบตนั้น เป็นการฝึกอย่างจริงจัง เพื่อขจัดความหวาดกลัว แต่ถ้าเรามีสติซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ในมหาสติปัฏฐาน เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่หวาดกลัว สะดุ้งผวา ต่อสิ่งใด สถานการณ์ใดๆ
      
       หลวงปู่จะเจริญสติทุกครั้ง จะสังเกตเห็นว่า ท่านจะเดินทุกวัน โดยเฉพาะช่วงฉันใหม่ๆ จะเดินดูพระใหม่ นอกจากเดินแล้วยังตะโกนอีก คืนนี้ก็ให้พระลุกขึ้นมาทำสติ กลับไปเจริญสติ แล้วนอน กำหนดจิตเอาไว้ว่า เราจะตื่นกี่โมง เมื่อถึงเวลานอนอิ่ม จะตื่นขึ้นมาเอง ไม่ง่วงด้วย จิตมันจะอิ่ม ความอิ่มมันปรากฏ
      
       จะมีปีติสุข ขนพอง ขนลุกซู่ซ่า ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย อาการเหล่านี้มันเฉียดองค์ฌานแล้ว อยู่ระหว่าง อุปจารสมาธิ กับ ปฐมฌาน กำลังขนาดนี้ เจริญวิปัสสนาญาณเพื่อบรรลุ มรรคผล นิพพานได้ ถ้ามีขั้นตอนองค์ฌานที่มั่นคง หรืออุปจารสมาธิที่ตั้งมั่น ก็พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เริ่มต้นจากโครงกระดูก แล้วแปรเปลี่ยนสภาพไป จนกลายเป็นความว่าง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เมื่อเจริญวิปัสสนาจนกระทั่งรู้ชัด เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ก็จะบรรลุมรรคผล มีดวงตาปัญญาญาณเห็นธรรม เข้าขั้นพระโสดาบันได้
      
       ความสงบ สันตินั้น เกิดขึ้นแม้ขณะอ่านหนังสือ สิ่งที่หลวงปู่เตือนไว้ก็คือ อย่าไปหยุดอยู่ในปีติสุข เพราะถ้าหยุดในปีติสุขแล้ว ทุกครั้งเวลาเจริญสติก็จะไปหยุดอยู่ตรงนั้น ซึ่งยังไม่พอ ต้องเพิกถอนปีติซะ ไม่ใส่ใจในปีตินั้น แล้วเดินเข้าไปสู่องค์คุณของสมาธิจิตเบื้องสูง เพื่อจะนำเอาพลังสมาธิจิตเบื้องสูงนั้นไปใช้พิจารณาหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
      
       คุณสมบัติของมหาสติปัฏฐานนั้นจึงยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือฟ้า ถ้าเรารู้จักจะศึกษามันอย่างถ่องแท้ด้วยตัวของเราเอง สำคัญว่าอย่าทิ้งความเพียร บางครั้งหลวงปู่มีน้ำตาไหลออกมา ท่านบอกว่า มีด้วยความรู้สึกว่า คุณของพระพุทธเจ้าช่างยิ่งใหญ่ คุณของพระธรรมช่างกว้างขวาง แผ่ไพศาลไปไกล คุณของพระสงฆ์น่าซึ้งใจ เคารพบูชาไว้ในใจ การฝึกจิตมันเป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเพียรพยายามทำมันอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือเป็นพระ